คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #115 : Login 112: 'IF'
Login
112: 'IF'
ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อิงศรก็ตามมิ่งขวัญกลับจากโรงเรียนจนกระทั่งมาถึงบ้าน
เจอหน้าแม่ที่วันนี้หยุดงานกำลังเตรียมกับข้าวอยู่ในครัว
พ่อที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านพอดี
กินข้าวพร้อมหน้า
อาบน้ำ แล้วเขากับน้องชายก็แยกย้ายกันไปที่ห้องของตัวเอง
ชีวิตประจำวันอย่างที่ควรจะเป็นถ้าหากว่าโลกไม่ได้ล่มสลาย
ไม่มีปีศาจ
อารย-สนธยากับเมตไตรยไม่ได้ทำวิจัยพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ขายพวกเขาให้เป็นวัตถุดิบทดลอง
ราวกับโลกในอุดมคติ
ราวกับความฝัน...
แต่อิงศรทดลองหลายๆ
อย่างกับตัวเองแล้วทั้งหยิกทั้งชกตัวเองแรงๆ
แต่ความรู้สึกก็สมจริงเสียจนพูดได้ว่าเขากำลังอยู่ในความจริง
อยู่ในโลกที่ไม่ได้เกิดเกมวันโลกาวินาศขึ้น
อิงศรนั่งอยู่บนเตียงของตัวเองภายในห้องส่วนตัว
ในบ้านที่อยู่ในความทรงจำ...ทุกอย่างแทบจะไม่เปลี่ยนไปจากความทรงจำสมัยเด็กจะมีก็แค่รู้สึกว่ามันคับแคบลงนิดหน่อยแต่อาจจะเป็นเพราะขนาดตัวที่โตกว่าเมื่อก่อน...
เมื่อก่อนเขากับมิ่งขวัญใช้ห้องนี้ร่วมกันนอนด้วยกัน
เล่นด้วยกัน
อิงศรย้ายสายตาไปทางผนังห้อง
ที่นั่นมีโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยหนังสือและข้าวของวางระเกะระกะกับคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง
มีที่ว่างระหว่างโต๊ะกับตู้หนังสือเหมือนกับว่าเคยมีโต๊ะอีกตัวตั้งอยู่
มันเพิ่งถูกยกออกไปตอนที่มิ่งขวัญได้ห้องเป็นของตัวเองแล้วเราก็แยกห้องกันนอนนับแต่นั้นมา...
ความทรงจำแบนั้นไม่เคยมีอยู่ในหัวมาก่อน...อิงศรคิดแบบนั้น
เด็กหนุ่มลุกจากเตียงแล้วเดินตรงไปยังที่ว่างนั่น
เมื่อไปถึงก็รู้สึกว่าความทรงจำนั้นเด่นชัดยิ่งขึ้น
มันเคยเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆ
ในตอนนั้นเองโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้นมา
ไม่ใช่สายเรียกเข้าจากโทรศัพท์แต่บนหน้าจอแสดงไอคอนสายเรียกเข้าของโปรแกรมไลน์
อิงศรหยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดรับสายตามด้วยกดเปิดลำโพงเสียงจากทางนั้นดังมาว่า
'เฮ้ย!
ศรวันนี้แกจดการบ้านเลขมาด้วยป่าวเขาให้ทำถึงข้อไหนวะ!"
เสียงของเมษา
ธุวดารกะดังออกมาจากลำโพงมือถือ
เขาไปมีไลน์ของเมษาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
ที่สำคัญกว่านั้นหมอนั่นน่าจะยังถูกพวกของกุมภาจับตัวไว้ไม่ใช่หรือ?
พอเริ่มคิดแบบนั้นก็นึกความทรงจำที่ไม่คุ้นออกมาได้อีก...
เขากับเมษาเจอหน้ากันตอนขึ้นมัธยมปลาย
แรกๆ ไม่ค่อยถูกกันนัก
เขาโดนเมษาเหม็นขี้หน้าแบบไม่มีสาเหตุแต่ก็ได้มีนาที่เป็นฝาแฝดคอยช่วยไกล่เกลี่ยตอนที่ขึ้นชั้นปีที่สองพวกเราก็สนิทกันมากขึ้น
มีความทรงจำแบบนั้นผุดขึ้นมา
'เฮ้!
ฟังอยู่รึเปล่าเนี่ย'
เสียงของอีกฝ่ายเร่งรัดมาคงเพราะเห็นเขาเงียบไปครู่ใหญ่
แต่จะตอบให้ก็ทำไม่ได้อยู่ดี
เขาไม่รู้ว่าการบ้านที่เมษาพูดคืออะไรก็วันนี้พอตื่นมาก็เป็นตอนเย็นไปแล้วนี่นะ
ระหว่างที่กำลังคิดหาคำตอบอยู่นั่นเองมือของเด็กหนุ่มก็ยืดไปที่โต๊ะแล้วคว้าสมุดเล่มหนึ่งออกมาจากกระเป๋านักเรียนที่วางทิ้งไว้บนนั้นพลางเปิดไปหน้าล่าสุดที่เพิ่งจดบันทึก
อิงศรอ่านจดการบ้านในนั้นใส่มือถือกลับไป
"ทำข้อสี่ถึงข้อหกในหน้าห้าสิบสามน่ะ"
'ข้อสี่ถึงหกนะ
เคๆ ขอบใจวางละ'
แล้วเมษาก็ตัดสายไป
เมื่อครู่ที่หยิบสมุดออกมานั้นร่างกายขยับไปเองตามความทรงจำที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน
พอเริ่มสงสัยหรือคิดว่าต้องทำสิ่งใดก็จะมีอะไรมาดลใจอยู่เสมอราวกับว่าต้องการทำให้เขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลกที่คล้ายกับความฝันนี้
ตอนนั้นเอง...
"พี่ศรหลับแล้วยัง"
ก็มีเสียงของมิ่งขวัญดังมาจากด้านหลังประตูห้อง
นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ชวนให้รู้สึกแปลกมิ่งขวัญเรียกเขาว่า
'พี่' ถึงจะเคยเรียกก่อนที่โลกจะล่มสลายก็ตามแต่พอเริ่มปีกกล้าขาแข็งเข้าหน่อยเจ้าน้องคนนี้ก็เลิกอ้อนพี่ไปแล้ว
ทว่า...
"พี่ศรยังตื่นอยู่รึเปล่าไม่งั้นจะเข้าไปแล้วนา~"
เจ้าหมอนี่ก็ยังเป็นน้องชายตัวแสบจริงๆ
นั่นแหละถ้าเจ้าของห้องยังไม่อนุญาตใครที่ไหนก็ห้ามเข้าห้องเฟ้ย!
อิงศรคิดอย่างหงุดหงิดระหว่างนั้นประตูห้องก็โดนถือวิสาสะเปิดออกเสียเอง
มิ่งขวัญก้าวเท้าเข้ามาในห้องแล้งมองตรงไปที่เตียงแต่ไม่พบตัวเขาเพราะอย่างนั้นล่ะมั้งถึงได้หันมาทางโต๊ะติดผนังที่เขายืนอยู่แทน
"มีอะไร"
อิงศรถามพลางขมวดคิ้วทำหน้ามุ่ย
แต่อีกฝ่ายกลับไม่สนใจคำพูดที่ลอยอยู่บนสีหน้าของเขาแล้วตอบความปราถนาออกมาอย่างไร้เดียงสา
"ขอยืมปากกาหน่อยลืมซื้อตอนกลับบ้านอ่ะ"
ได้ยินดังนั้นอิงศรก็คว้ากระเป๋านักเรียนบนโต๊ะมาล้วงเอาปากกาสองสามด้ามส่งให้น้องชายไป
เอาอีกแล้ว...
เด็กหนุ่มคิด
จู่ๆ
ก็รู้ด้วยตัวเองว่ามีปากกาอยู่ในกระเป๋า
เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มรู้จักโลกใบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
แถมยังคล้อยตามโดยแทบไม่รู้ตัว
"เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าคืนนะ"
มิ่งขวัญพูดแบบนั้นแล้วหันหลังเตรียมจะเดินออกไป
“เดี๋ยว!”
พอได้ยินเสียงเรียกของเขาแผ่นหลังของน้องชายก็ลุกชันขึ้นอย่างผิดสังเกต
มิ่งขวัญหันกลับมาทันทีและโต้ตอบด้วยน้ำเสียงกับท่าทางเก้ๆ
กังๆ
"ข...ขอบคุณ
เอ่อ...ขวัญไม่ได้ลืมพูดขอบคุณซักหน่อยนะพี่ศร"
ตกลงว่าที่ดูมีพิรุธเพราะเรื่องนั้นเองหรอกหรือ...อิงศรเบ้หน้าอย่างเซ็งๆ
"เปล่าไม่ได้จะว่าเรื่องนั้นแค่อยากจะถามอะไรหน่อย"
พอคิดว่าจะลองถามเรื่องของโลกที่ล่มสลายก็เกิดรู้สึกว่าตัวเองกำลังเขินอายคงเพราะมันเป็นเรื่องที่ถ้าเป็นโลกปกติคงไม่มีใครพูดกัน
ทั้งที่มันเป็นเรื่องซึ่งเกิดขึ้นจริงแต่กลับตะขิดตะขวงที่จะพูด
"..."
มิ่งขวัญยังคงยืนรอคำถามอย่างใจจดใจจ่อดังนั้นควรจะต้องถามออกไป
ถามให้รู้แน่ชัดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่อย่างน้อยที่สุดถ้ามิ่งขวัญไม่รู้อะไรเลยแค่หาเรื่องมาพูดกลบเกลื่อนก็พอ
อิงศรคิดอย่างมั่นใจแล้วพูดสิ่งที่เป็นเรื่องเหลือเชื่อในโลกยามปกติ
"คือว่า...โลกของพวกเราน่ะเคยล่มสลายไปแล้วใช่ไหม"
พอถามออกไปแบบนั้นมิ่งขวัญก็ทำหน้าเป็นงงกับคำถาม
อิงศรยังคงพยายามต่อเขาคิดว่าขอลองดูอีกซักหน่อยแล้วค่อยฟันธง
"คือว่าโลกถูกพวกเอเลี่ยนโจมตีจนกลายเป็นเกม..."
"หืม
หรือว่าพี่ศรกำลังพูดถึงอโพออนไลน์รึป่าว"
"อ...อโพออนไลน์เหรอ.."
มิ่งขวัญพยักหน้าให้กับคำถามนั้นแล้วชี้ไปที่จอเครื่องคอมพิวเตอร์
ชี้ไปยังไอคอนโปรแกรมตัวหนึ่งที่ชื่อว่า
'Apocalypse Online'
"จะคุยเรื่องเกมนี่ใช่ป่าวอ่ะ"
มิ่งขวัญพูด
"เอ่อ..ใช่"
เขาตอบตามน้ำไปแต่ในหัวกำลังคิดหาทางไปต่อว่าจะคุยอะไรเกี่ยวกับเกมที่ว่า
จากการที่มิ่งขวัญฟังเรื่องของเขาแล้วพูดถึงเกมนี้ขึ้นมาแสดงว่าเกมโลกาวินาศนั้นน่าจะถูกนำไปทำเป็นเกมบนคอมพิวเตอร์
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าที่ผ่านมาเขาแค่ฝันไปเองอย่างนั้นหรือเปล่า?
ความเป็นจริงก็คือแบบนี้...
เขาเล่นเกมอโพออนไลน์นั่นมากเกินไปจนเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ
ถึงขั้นดึงเอาคนรอยตัวที่อยู่ในความเป็นจริงเข้าไปพัวพันกับความเพ้อฝันใหญ่โตที่ไร้ซึ่งแก่นสาร
อิงศรเริ่มจะอยากยอมรับความเป็นจริงแบบนั้นขึ้นมา...
"พรุ่งนี้นรินทร์นัดไปลงบอสกันน่ะลากกวินทร์มาด้วยสิจะได้มีคนทำดาเมจ"
อิงศรพูดออกไปโดยที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงสร้างคำพูดที่ตนเองก็ไม่รู้ออกมาได้แต่ว่า...
มิ่งขวัญพยักหน้าและยิ้มให้
"โอเคแล้วพรุ่งนี้จะบอกมันให้"
น้องชายตอบรับเช่นนั้นแล้วเดินออกจากห้องไป
กวินทร์เป็นเพื่อนร่วมชั้นกับมิ่งขวัญแล้ว...นรินทร์
เมษา มีนารวมกับเขาด้วยก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่ติดเกมอโพคาลิปส์ออนไลน์งอมแงม
...มันเริ่มมีเค้าโครงเรื่องแบบนั้นผุดขึ้นมาในสมองแถมยังมีเริ่มมีความทรงจำที่ทำให้เชื่อและยอมรับได้ว่านี่คือความเป็นจริง
เด็กหนุ่มเริ่มจะยอมรับมันโดยที่ไม่รู้ตัว
แล้วค่ำคืนก็ได้ผันผ่านไป
ในเช้าวันต่อมาอิงศรออกไปโรงเรียนพร้อมกับน้องชาย
เข้าเรียนตามปกติใช้ชีวิตประจำวันอย่างเด็กวัยรุ่นปกติธรรมดา
ไม่ต้องต่อสู้
ไม่ต้องพลัดพราก
ไม่ต้องมีเรื่องโศกเศร้า
นี่แหละคือความเป็นจริงชีวิตไม่ได้มีอะไรที่พลิกโผเลย
และแล้ว...
ก็มาถึงตอนที่เข้าไปเล่นในเกมอโพคาลิปส์ที่ว่านั่น
เป็นเกมเวอชวลเรียลลิตี้ที่ใช้การสวมเครื่องเล่นรูปร่างคล้ายหมวกกันน็อกต่อสายพ่วงกับเครื่องคอมพิวเตอร์
จากนั้นก็ล็อกอินแล้วเริ่มเกม
ภายในเกมเหมือนกันทุกอย่างกับโลกแห่งการล่มสลายในความฝันนั่น
มีทั้งมนุษย์ต่างดาว
องค์กรทหารรับจ้างที่เหมือนกับเมตไตรย
องค์กรของปีศาจที่เหมือนกับอารย-สนธยา
และสัตว์เทวะ...
เบื้องหน้าอิงศรคือสัตว์เทวะมังกรแบบเดียวกับตอนที่เกิดเรดบอสที่ค่ายในความฝัน
ตอนนั้นพวกเขาต้องสู้แทบตายถวายชีวิต เกือบจะต้องสูญเสียพวกพ้องไป แต่ในตอนนี้
"คุณอิงศรคะตอนนี้แหละลาสชอตเลยค่ะ!"
มีนาที่อยู่บนถนนตะโกนขึ้นมา
ตอนนี้เด็กหนุ่มยืนอยู่บนดาดฟ้าของอาคารหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางซากเมือง
พวกเขาล่อให้มังกรออกจากถนนหน้ารั้วมหาลัยซึ่งเป็นสถานที่ปรากฏตัวให้ตามเข้ามาในดงป่าคอนกรีตนี่เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของมัน
มังกรตัวนี้พูดไม่ได้และก็ไม่ฉลาดเหมือนกับมังกรตัวนั้น
มันถูกควบคุมด้วยโปรแกรมทำให้อ่านทางได้ง่าย พวกเพื่อนๆ
เองก็มีอาชีพกับวิชาที่เหมือนกับในความฝันจะเป็นมนุษย์หรือมนุษย์ต่างดาวก็ทำได้แค่เลือกเผ่าตอนสร้างตัวละครแต่พอเริ่มเล่นจะไปไหนมาไหนหรือทำอะไรก็เป็นสิทธิ์ที่ผู้เล่นเลือกเอาเองดังนั้นมิ่งขวัญที่เป็นมนุษย์ต่างดาวจึงมาอยู่ที่นี่และคอยช่วยต่อสู้
อิงศรขึ้นลูกธนูเล็งไปยังหัวของมังกรและยิงดับลมหายใจของมัน
ง่าย...
ง่ายดายเสียจนรู้สึกเบื่อขึ้นมาเลยทีเดียว
ขณะที่คิดแบบนั้นร่างของมังกรก็แตกตัวกระจัดกระจาย
ไอเทมของรางวัลโปรยปรายไปทั่วพื้นที่
พวกพ้องของเขาส่งเสียงด้วยความดีใจไปพลางวิ่งไล่เก็บไอเทมไปพลาง
ได้ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาๆ
สนุกสนานกับเพื่อนฝูงไปวันๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
นี่แหละความเป็นจริง...
ทว่าอิงศรที่คิดแบบนั้นได้ไม่ทันไรก็ถูกเรียก
“แบบนี้ดีแล้วเหรอ”
ถูกเรียกด้วยเสียงของมิ่งขวัญแต่ตอนนี้น้องชายยังอยู่ข้างล่างบนถนนแห่งนั้น
ทว่า
เสียงกลับแว่วมาจากทางด้านหลังของเขาซะเอง
อิงศรหันกลับไปและเผชิญหน้ากับมิ่งขวัญอีกคน
มิ่งขวัญวัยสิบเอ็ดขวบกำลังยืนอยู่ที่นั่น
พออีกฝ่ายปรากฏตัวออกมาเวลารอบๆ ก็เหมือนจะหยุดเอาไว้ บรรยากาศหยุดนิ่ง
เสียงเอะอะของพวกพ้องที่พื้นข้างล่างจู่ๆ ก็เงียบไป
มิ่งขวัญที่อยู่ตรงหน้าช่างเหมือนกันกับมิ่งขวัญที่ปรากฏออกมาก่อนที่เขาจะได้พบกับซีลอร์ดเป็นครั้งแรก
มิ่งขวัญพูดว่า...
"ศรจะหยุดอยู่ที่นี่ไม่ได้นั่นไม่ใช่ทางที่จะก้าวไปข้างหน้านี่ไม่ใช่ความเป็นจริง"
พูดเรื่องแบบนั้นด้วยใบหน้าจริงจัง
บอกว่าตัวเองที่กำลังมีความสุขอยู่บนถนนนั่นไม่ใช่ความเป็นจริง
"นายไม่ใช่มิ่งขวัญ...เป็นใครกันแน่"
พอถามไปอย่างนั้นมิ่งขวัญตรงหน้าก็หายตัวไปและมีอย่างอื่นมาแทนที่
เป็นตัวตนที่น่าจะมีอยู่แค่ในความฝันก่อนที่จะตื่นเท่านั้น
“เมอร์คาบาห์”
อิงศรพูดแบบนั้น
เรียกเทวทูตกึ่งจักรกลที่เขาเป็นคนสร้างขึ้นมาตอนที่อยู่บนรากของอาคาชิกเรคคอร์ด
ซีลอร์ดเรียกมันว่ามหาโชคชะตา
โชคชะตาเพียงหนึ่งเดียวที่จะไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ตนเองก็สัมผัสและรับรู้ได้
ณ ตอนที่ได้รับมันมาแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่เข้าใจว่าโชคชะตาคืออะไรกันแน่
เข้าใจแต่ก็ไม่ข้าใจ...
“นี่ไม่ใช่ความจริง”
เมอร์คาบาห์พูดมาอย่างนั้น
นี่คือความจริง...ความรู้สึกภายในส่วนลึกบอกกับตัวเขาเอง
ลักลั่นย้อนแย้ง...
“นี่…ไม่ใช่ความจริง”
เมอร์คาบาห์ยังคงพูดย้ำแต่เสียงในใจของเขาก็กำลังปฏิเสธ
นี่คือความจริง...
“นี่ไม่ใช่ความจริง”
น้ำเสียงของเมอร์คาบาห์เรียบนิ่งและเป็นโทนเสียงเดิมตลอดราวกับเครื่องจักร
เหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจากการเปล่งด้วยลำคอแต่เสียงภายในใจของเขากลับมีแต่จะดังยิ่งขึ้น
นี่คือความจริง
นี่คือความจริง
“นี่คือความจริง!!”
อิงศรตะโกนออกมาโดยที่เขาเองก็แทบจะไม่รู้ตัวในช่วงที่ตะโกน
“...”
เมอร์คาบาห์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดคำพูดอื่น
“จริงน่ะเหรอ…นี่คือความจริงแน่เหรอ”
“…”
อิงศรตอบคำถามนั้นไม่ได้..
อันที่จริงเด็กหนุ่มก็รู้อยู่แก่ใจว่านี่ไม่ใช่ความเป็นจริง
แต่ความเสียดายก็รั้งความมีเหตุมีผลเอาไว้และปล่อยให้ความปรารถนาเข้าครอบงำ
ถ้าหากโลกที่ล่มสลายเป็นได้เพียงแค่เกมที่เล่นเอาสนุกแบบนี้ได้ก็คงดี
ได้มีชีวิตอย่างคนธรรมดาแบบนี้ก็คงจะดีทั้งที่สมัยยังเป็นเด็กเคยคิดด้วยซ้ำว่ามันน่าเบื่อ
แต่วันเวลาที่น่าเบื่อแบบนั้นแหละถึงได้ทำให้มนุษย์สูญเสียความตั้งใจที่จะก้าวเดินต่อไปและทำให้โลกล่มสลาย
ลักลั่นย้อนแย้ง
ทำไมความสงบสุขถึงทำให้ล่มสลาย?
มันเป็นคำถามที่ไม่เคยได้คำตอบ
เดี๋ยวจะต้องกลับบ้านแล้วแถมวันนี้ยังมีการบ้านรออยู่อีกเป็นตั้ง
พรุ่งนี้ก็มีสอบเก็บคะแนนท้ายคาบ
จู่ๆ
ก็เริ่มคล้อยตามกับโลกจอมปลอมขึ้นมาอีก
ความปรารถนากำลังพยายามเหนี่ยวรั้งตัวเขาไว้ที่นี่
“ใช่
นี่คือความจริง คือความจริงที่ฉันอยากให้เป็น”
อิงศรพูดแล้วหันหลังกลับ
ก้มหน้ามองลงไปยังพื้นถนนเบื้องล่าง
ที่นั่นมองเห็นเหล่าเพื่อนพ้องกำลังสนุกสนานกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
แต่ว่า...
แต่ว่าที่นั่นไม่มีฟู
มิกซ์
พลอย...ไม่มีเหล่าผู้คนที่พบเจอหลังจากการล่มสลายของโลกทั้งที่นั่นก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน
พอนึกถึงตรงนี้ก็ควรจะมีความทรงจำเกี่ยวกับคนพวกนั้นผุดขึ้นมาบ้าง
เรื่องแต่งที่อ้างอิงจากคนเหล่านั้นเพื่อให้เขาปรารถนาโลกใบนี้ต่อไป
“…”
ทว่า
กลับไม่มีออกมาเลย
เขานึกความทรงจำจอมปลอมเกี่ยวกับพวกฟูไม่ออกเลยแม้แต่น้อยนี่แสดงว่าโลกใบนี้ไม่อยากให้เขาจดจำเรื่องของคนเหล่านั้นเพราะมันจะทำให้ความเป็นจริงของที่นี่สูญเปล่า
เพราะพวกฟูเป็นผลผลิตจากอารย-สนธยารวมถึงพวกเมตไตรยก็ไม่สามารถจะมีตัวตนอยู่ในโลกแห่งอุดมคติของเขาได้เพราะเป็นตัวต้นเหตุของความทุกข์ทั้งปวงและถึงจะแสร้งสร้างเรื่องจอมปลอมขึ้นมาโดยใช้คนเหล่านั้นเป็นวัตถุดิบก็มีแต่จะทำให้ความจริงจอมปลอมสั่นคลอน
ใครบางคนที่จงใจทำให้เขาเห็นโลกใบนี้เข้าใจตัวเขาเป็นอย่างดีรู้กระทั่งว่าต้องอยู่ในปริมาณขนาดไหนที่จะไม่ก้าวก่ายเส้นของความมีเหตุมีผลของเด็กหนุ่มรู้กระทั่งว่าอะไรที่ทำให้เห็นแล้วเจ็บปวดแถมยังกล้าเสี่ยงเอามิ่งขวัญใส่ลงในความทรงจำนี้อีกทั้งที่เป็นกรณีเดียวกับพวกฟูทั้งที่รู้ว่าการพลัดพรากจะเป็นตัวแยกเขาออกจากโลกใบนี้ศัตรูกล้าเสี่ยงถึงขนาดนั้น
“แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นสินะ”
อิงศรพึมพำอย่างแผ่วเบาและ...
เมื่อเด็กหนุ่มเข้าใจถึงความจริงอันไม่เที่ยงของโลกจอมปลอมที่ฝังลึกในความปรารถนาของตนเองมันก็ได้ทำให้นึกรังเกียจขึ้นมา
ที่นี่เป็นแค่เปลือกแห่งความสุขจอมปลอมเท่านั้นเพราะว่าได้ผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากมาถึงได้เข้าใจว่าภายในความทุกข์
ความโศกเศร้า การได้พบและการพลัดพรากนั้นมันทำให้ได้เจอกับทุกคน
สิ่งนั้นมีความหมายขนาดไหน
นี่ต่างหากคือความเป็นจริง
คือความปรารถนาอันแท้จริง
เด็กหนุ่มคิดได้ดังนั้นจึงหันตัวกลับไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอีกครั้งและเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
เบื้องหลังของเมอร์คาบาห์ซึ่งก่อนหน้านี้เขายังไม่เห็นมันแต่ตอนนี้กลับมองเห็น
มองเห็นพวกครอบครัวหลังโลกล่มสลาย
มองเห็นพวกพ้องที่ต่อสู้ร่วมกันมา
บัดนี้โลกจอมปลอมปิดสายตาของเขาไม่ได้อีกแล้วเพราะว่าจิตใจได้รับรู้แล้วว่านี่ต่างหากคือความจริง
ว่ากันว่าเพราะรู้จักความทุกข์เลยทำให้รู้จักความสุข
ในโลกที่ล่มสลายเองนั่นก็...
ถึงจะพูดได้ไม่เต็มปากก็ตามแต่นั่นแหละคือ...
“นี่คือความปรารถนาที่แท้จริง
นายตั้งใจจะบอกแบบนั้นสินะเมอร์คาบาห์”
“...”
เทวทูตพยักหน้าให้
"ที่ผ่านมานายคอยมองดูมาตลอดเลยสินะตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว"
อิงศรหมายถึงตอนที่เขาได้เลือกจะก้าวเดินหน้าอีกครั้งในตอนนั้นที่เขาได้พบกับมิ่งขวัญและเหล่าครอบครัวหลังการล่มสลายในห้วงจิตซึ่งครั้งหนึ่งเคยคิดว่ามันเป็นความอ่อนหัดของตัวเองที่อยากจะยึดติดกับอดีตแต่มันกลับไม่ใช่
แท้จริงแล้วมันโชคชะตาที่รอให้เขาเลือกขับเคลื่อนมันต่างหาก
ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเคยฝันแบบนั้น
ทำไมซีลอร์ดถึงออกมาหลังจากนั้น
เพราะตั้งแต่ตอนนั้นมาเมอร์คาบาห์ซึ่งเป็นโชคชะตาก็ได้ก้าวเดินไปพร้อมกัน
โชคชะตาที่คอยเหนี่ยวรั้งให้เขาเดินหน้าต่อไปคือจิตคะนึงหา
คือปรารถนาที่แท้จริง
และแล้ว...
เมื่อโลกจอมปลอมนี้ไม่ใช่ปรารถนาอันแท้จริงอีกต่อไปมันก็ได้พังทลาย
ทิวทัศน์รอบๆ ปริแตกและทยอยกลายเป็นความมืดมิด
พวกเขาตกอยู่ท่ามกลางความมืดอันเวิ้งว้าง
แล้วสติก็หลุดลอยออกไปในตอนนั้น
***อาทิตย์นี้จะมีชดเชยที่ไรท์หนีไปเที่ยวอาทิตย์ก่อนให้ในวันเสาร์หนึ่งตอนนะครับอย่าลืมกันเน่อ ^w^
ความคิดเห็น