คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #114 : Login 111: New Game Plus
Login
111: New Game Plus
ท่ามกลางเศษซากความมืดที่กระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้เผยให้เห็นไพ่อาคานาร์ของเฟนริลลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
ไพ่ลอยเข้ามาหาราวกับถูกดึงดูดอิงศรจับไพ่นั่นไว้
ไพ่แสดงรูปของสาวงามกับสิงโตอันเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งที่ควบคุมได้
ความกล้าหาญและคุณธรรม ชื่อของมันถูกเขียนเอาไว้ว่า ‘เดอะสเตร็งค์ (The Strength)’
ทันใดนั้นเอง...
ทิวทัศน์รอบๆ
ก็พุ่งทะยานขึ้นไป ไม่สิตัวเขากำลังร่วงลงไปต่างหากเพราะไม่มีแรงดึงดูดจากหลุมดำหลงเหลืออยู่อีก
ฟันเฟืองที่ช่วยให้บินได้จู่ๆ ก็หายไปในช่วงที่เหม่อลอยอยู่กับอาคานาร์
หายอย่างไร้ร่องรอยไม่ทันแม้แต่จะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ
ตอนที่คิดว่าจะต้องร่วงลงไปกระแทกพื้นก็ทำให้เกิดความกลัวจนต้องหลับตา
ตุบ...
เกิดเสียงปะทะเบาๆ
ทั้งที่หล่นจากที่สูงขนาดนั้นแต่กลับตกถึงพื้นเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
“...”
ไม่รู้สึกเจ็บ...อิงศรปรือตาขึ้นและพบว่าตนเองอยู่อ้อมแขนของซีลอร์ด
พวกเขากำลังโรยตัวลงไปข้างล่างอย่างช้าๆ
ซีลอร์ดยิ้มให้แล้ว...
“เพราะเธอแท้ๆ
เลย ผมถึงรอดมาได้ขอบคุณนะ”
กล่าวขอบคุณพอดีกับตอนที่เท้าเหยียบลงบนพื้น
จากนั้นจึงวางอิงศรลง ช่วงเวลาเดียวกับที่อิซานามิร่อนตามลงมาด้วย
“นี่เธอก็บินได้ด้วยเหรอ”
อิงศรถามขณะมองหล่อนพลิกตัวจากที่ร่อนเอาหัวดิ่งขึ้นมายืนบนพื้น
“ปกติทำไม่ได้หรอกนะแต่ที่นี่ไม่ใช่บนโลกก็เลยทำได้”
อิซานามิตอบ
“จะว่าไปทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
ขณะที่ถามอยู่นั้นเองซีลอร์ดก็พูดแทรก
“พูดถึงเรื่องนั้นแล้วผมเองก็อยากจะถามเหมือนกันนะเดธอาคานาร์อิซานามิเธอเองก็เป็นพวกเดียวกับอาคานาร์ที่บุกมานั่นด้วยใช่รึเปล่า”
จะว่าไปแล้ว...ตอนที่อิซานามิปรากฏตัวที่นี่หล่อนก็กินปีศาจเด็กสาวที่ชื่อว่าอลิสเข้าไปด้วยแล้วก็บอกว่าเป็นการรวมร่างกลับเป็นหนึ่งเดียวกันนอกจากนี้ตอนที่พบกันหล่อนก็เคยบอกว่าเป็นเศษเสี้ยวหนึ่งของเดธอาคานาร์
เมื่อดูจากที่ปีศาจทั้งสามตนต่างก็มีอาคานาร์หล่นออกมาหลังกำจัดไปแสดงว่าอลิสก็น่าจะมีเช่นกันและคงจะเป็นเดธอาคานาร์
“นี่ๆ
อย่าเอาฉันไปเหมารวมนะ”
อิซานามิพูดพลางตีหน้าบึ้ง
“จะว่าไปพูดไม่เหน่อแล้วนี่แถมสำเนียงเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาแล้วด้วย”
“แหงสิก็ได้เสี้ยวที่เสียไปคืนมาตอนนี้ก็เลยปรับภาษาให้สมบูรณ์ได้แล้วไงล่ะ”
ฟังดูเป็นเรื่องน่าทึ่งที่ปีศาจสามารถปรับรูปแบบภาษาที่ใช้สื่อสารกับมนุษย์ได้ตามใจชอบแต่บางทีอาจจะเป็นระบบเดียวกับเกมโลกาวินาศนี่ก็ได้เพราะในปัจจุบันมนุษย์สามารถสื่อสารกันได้โดยไม่มีกำแพงของภาษาแล้ว
“แล้วตกลงทำไมเธอถึงมาอยู่กับอิงศรและเข้ามาที่นี่ได้ล่ะ”
ซีลอร์ดถามย้ำเหมือนกลัวว่าจะลืมประเด็นไป
อิซานามิทำหน้าลำบากใจแล้วตอบว่า
“คือมันก็ไม่ได้ถึงกับเป็นความลับอะไรนักหรอกนะแต่มันบอกไม่ได้เพราะว่าฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไปอยู่ในตัวของนรินทร์ที่เป็นเพื่อนของเจ้าหนูนี่น่ะสิ”
อิงศรเองก็ได้ยินมาแค่นั้นเหมือนกันเพราะเกิดเรื่องขึ้นหลายๆ
อย่างทำให้ไม่มีได้สอบถามเสียทีจนถึงตอนนี้เขาก็รู้เพียงแค่ว่าหล่อนเป็นปีศาจจากอาคานาร์ที่นรินท์ถือครองรู้เพียงแค่นั้นจริงๆ
และยังอยากรู้อีกด้วยว่าทำไมนรินทร์ถึงได้ครอบครองอาคานาร์ได้เหมือนกับเขา หรือบางทีอาจจะไม่ได้ครอบครองในความหมายเดียวกับตัวเขาเองแต่แค่ถูกอาคานาร์ฝังตัวเป็นกาฝากเท่านั้นความเป็นไปได้จ้อไหนคือข้อเท็จจริงกันนะ
อิซานามิกล่าวต่อไปว่า
"ส่วนวิธีเข้ามาก็เพราะรู้สึกได้ว่าเจ้าหนูกำลังมีภัยก็เลยตามมาช่วยเรื่องมันก็แค่นั้นแหละนายเองก็น่าจะรู้ถึงคุณสมบัติของอาคานาร์อยู่แล้วนี่สามารถติดตามผู้ครอบครองไปยังที่ใดก็ได้"
พอได้ฟังดังนั้นซีลอร์ดก็ถาม
"หมายความว่าเธอยอมรับให้อิงศรเป็นผู้ครอบครองเหรอ"
"ก็แค่ชั่วคราวจนกว่าจะได้ทั้งร่างกลับคืนมาแหละนะ"
"..."
อิงศรจ้องจับปฏิกิริยาจากซีลอร์ดคอยดูว่ากำลังจับโกหกอิซานามิอยู่หรือไม่เพราะเขาอ่านทางปีศาจไม่ค่อยออกแต่บางทีหมอนี่อาจจะรู้ก็ได้ว่าที่หล่อนพูดมานั้นจริงหรือโกหก
"..."
ไม่มีปฏิกิริยาที่น่าสงสัยออกมาบางทีหล่อนคงพูดความจริงหรือไม่ซีบอร์ดก็แค่ไม่สนใจกันแน่แต่ที่ชัดเจนมีอยู่หนึ่งอย่าง...
สรุปก็คือทั้งเรื่องที่นรินทร์ถูกพาตัวไป
เรื่องที่ปีศาจอาคานาร์บุกมาโจมตีที่นี่แล้วก็ตัวอิซานามิที่มาอยู่ที่นี่ได้น่าจะมีศัตรูที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้แต่จะใช่อารย-สนธยาหรือว่าเป็นศัตรูที่นังไม่เผยตัวออกมากันแน่
อิงศรจ้องมองซีบอร์ดดวงตาเขม็งจริงจังแล้วถามออกไป
“จะว่าไปแล้วนายน่ะทำไมถึงได้โดนต้อนซะขนาดนั้นได้ล่ะทั้งที่...”
เขายังไม่ลืมเรื่องเสียงที่อาจจะเป็นตัวการของเรื่องคราวนี้พูดเอาไว้
เรื่องที่ซีลอร์ดอาจจะ...
”น่าจะเก่งขนาดเครื่องทำสวนที่เคยอาละวาดนั่นแท้ๆ”
แค่คิดว่าอาจจะใช่ที่จริงมันมีมูลเหตุให้อยาทกสันนิษฐานแบบนั้นอยู่หลายเรื่อง
“ทำไมถึง…”
ซีลอร์ดเลิกคิ้วขึ้น...เพียงแค่เล็กน้อย
แต่เพียงแค่นั้นแหละ
“ตกลงว่าใช่สินะ”
อิงศรสรุปเอาเองในทันทีเพราะค่อนข้างมั่นใจในสมมติฐานเขาแค่อยากดูปฏิกิริยาตอบสนองของซีลอร์ดเพื่อยืนยันอีกทีมันก็เท่านั้นเอง
“ฉันได้ยินเจ้าเสียงที่พูดลงมาก่อนหมาป่ายักษ์นั่นจะกลายเป็นหลุมดำคนที่มันเรียกว่าเครื่องทำสวนนั่นน่ะหมายถึงนายสินะ”
“...”
ซีลอร์ดไม่ได้ตอบมาทันทีแต่แสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมาตรงๆ
แล้วจึงกล่าว...
“เพราะซากเมืองเหล่านี้คือแบคอัพของสวนแห่งที่สองถ้ามันถูกทำลายไปล่ะก็สวนแห่ง
นี้จะไม่มีวันกลับมาได้อีก”
คำตอบของคำถามแรกถึงสาเหตุที่ถูกปีศาจไล่บี้แต่นั่นก็เหมือนจะให้คำตอบในคำถามที่สองไปด้วยกลายๆ
“พูดซะยังกับเป็นคนดูแลสวนเลยนะงั้นนายก็ยอมรับสิว่าตัวเองเป็นเครื่องทำสวนจริงๆ
น่ะ”
อิงศรพูดไล่ต้อนพยายามกดดันอีกฝ่ายให้จนคำพูด
ทว่า...
“ก็อยู่ที่เธอจะยอมรับแหละนะผมเคยพูดไปแล้วว่ามนุษย์จะต้องเป็นคนเลือกหนทางหลังจากนี้ไปเองจะต้องแสดงความตั้งใจออกมา”
อีกฝ่ายกลับตีหน้าเซ่อพูดมาแบบนั้นเหมือนจงใจบ่ายเบี่ยงให้ไขว้เขว
“นายต้องการอะไรกันแน่ไม่ใช่สิ
ที่จริงแล้วนายเป็นใครกันแน่มีทั้งส่วนเกี่ยวข้องกับสิงห์
ทำเหมือนกับรู้จักพวกมนุษย์ต่างดาวชั้นสูงอีกแถมยังเป็นเครื่องทำสวน”
“ผู้ถูกลืมเลือนไง
จำได้ว่าเคยบอกไปแล้วนะ”
ซีลอร์ดยังคงตีหน้าเซ่อและพ่นคำตอบงี่เง่าออกมา
อิงศรจึงคิด
คิดว่าต้องหาแรงกระตุ้นที่มากพอจะบดขยี้ให้อีกฝ่ายตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาแล้วหัวข้อที่ว่านั่นก็บังเอิญลอยอยู่บนหัวพวกเขาพอดี
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปยังเทวทูตกึ่งจักรกลที่ตนเป็นผู้เรียกออกมาเทวทูตผู้ได้ชื่อว่ากฏอันเข้มงวด
‘เมอร์คาบาห์’ เขาชี้ขึ้นไปที่เมอร์คาบาห์แล้วถามว่า
“ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปเห็นเอกสารแผนงานหนึ่งของอารย-สนธยาเข้าพ่อกับแม่ของฉันมีส่วนในเรื่องนั้นด้วยแล้วก็ชื่อของแผนงานที่ว่าก็คือ...เมอร์คาบาห์”
เขาจงใจเน้นคำพูดในตอนท้ายแต่อีกฝ่ายกลับไม่แสดงปฏิกิริยาตอบโต้คำพูดเลยแม้แต่น้อย
“ผมไม่ได้รู้เรื่องที่พวกผู้อาศัยในสวนแห่งที่สองทำกันไปซะทั้งหมดหรอกนะ”
ซีลอร์ดพูดบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามอีกแต่อิงศรก็พูดแทรกในทันที
“มนุษย์จะถูกกอบกู้โดยมนุษย์เท่านั้น!”
พูดคำพูดที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจความหมายออกไปแต่เป็นคำพูดที่ทำให้คนตกใจมาถึงสองครั้ง
ในครั้งแรกคือราชครูลำดับที่สามพอพูดคำๆ
นั้นออกไปหล่อนก็ทำหน้าตกใจส่วนครั้งที่สองก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานนี้และซีลอร์ดคือคนที่มีปฏิกิริยาร่วมในตอนนั้น
ดังนั้นมันจะต้องมีอะไรอย่างแน่นอน
ความหมายของคำๆ
นี้ซึ่งผุดขึ้นมาจากความทรงจำที่ตนเองก็ไม่รู้จัก
“…”
ใบหน้าของซ๊ลอร์ดยังคงความสงบนิ่งไว้ได้บางทีอีกฝ่ายคงเตรียมใจเรื่องที่จะโดนเขาซํกถามเอาไว้แล้วคงจะพยายามเก็บอาการให้มากที่สุด
“เลิกทำไก๋ได้แล้วน่ายังไงเรื่องนี้นายก็ต้องตอบมาเพราะฉันเห็นนายคุยกับใครก็ไม่รู้บนสวนที่ไหนซํกแห่งแล้วคนๆ
นั้นก็พูดคำๆ
นี้กับนายแถมตอนนั้นนายก็มีปฏิกิริยาด้วยถ้ายังไม่อยากโดนเทก็รีบพูดมาซะ”
อิงศรพูดข่มขู่ออกไป
ทว่า...
“เท
ที่ว่าเนี่ยหมายถึงการเอาของเหลวในภาชนะออกไปใช่รึเปล่าผมค่อนข้างจะไม่เข้าจำพูดนั่นเอาซะเลย”
“อย่ามานอกเรื่องได้ไหม!”
อิงศรตะคอกด้วยความโมโห
ตอนนั้นเองอิซานามิก็พูดแทรกเข้ามาอธิบายให้ซีลอร์ด
“เท
นั่นน่ะหมายถึงจะไม่สนใจแล้วก็ไม่ฟังเธออีกแล้วหรือก็คือเลิกคบกันไงล่ะคิดว่ารีบๆ
ตอบเจ้าหนูไปจะดีกว่านะถ้ามัวแต่ลีลาเดี๋ยวเสียเพื่อนไม่รู้ด้วยล่ะ”
น่าแปลกที่หมอนั่นพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่ายแล้วเริ่มเปิดปากพูดเข้าเรื่อง
“คำพูดที่อิงศรพูดเมื่อกี้เป็นประโยคที่เขาคนนั้นมักจะพูดอยู่บ่อยๆ”
ระหว่างที่เล่าซีลอร์ดก็แหงนหน้าจ้องมองเมอร์คาบาห์ไปด้วยแล้วจึงเริ่มกล่าวต่อไปว่า
“เขาคนนั้นคือ
อาดาเมียม หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ อดัม
เขาเป็นมนุษย์คนแรกและเป็นบิดาของเหล่าผู้อาศัยในสวนแห่งที่สอง
เป็นสหายเพียงหนึ่งเดียวของผม”
ชื่อ ‘อดัม’ นั้นค่อนข้างฟังแล้วคุ้นหูอยู่ไม่น้อย
ก็มันเป็นชื่อของมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา
อดัมผู้กินผลไม้ต้องห้ามเข้าไปทำให้โดนขับไล่จากสวนสวรรค์ตามที่เขียนไว้ในไบเบิล
”เธอคงจะเคยอ่านหรือได้ยินเรื่องเล่านี้มาจากตำนานที่ผู้อาศัยในสวนของเธอเขียนเล่ามาอย่างผิดๆ
บ้างสินะ”
ก็เป็นไปตามที่ว่าอิงศรพยักหน้าตอบแล้วพูดว่า
“แต่ที่บอกว่าเล่ากันมาอย่างผิดๆ
แล้วก็เป็นบิดาของมนุษย์ต่างดาวเนี่ยเพิ่งจะเคยได้ยินถ้าจำไม่ผิดโดโกบาร์ที่เป็นเครื่องทำสวนเหมือนกันเคยบอกว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ต่างดาวเพื่อหาสาเหตุที่มนุษย์แปดเปื้อนไม่ใช่รึไงแล้วทำไมรูบิเดียม...หมายถึงราชครูลำดับที่สามของพวกมนุษย์ต่างดาวถึงได้พูดชื่อ
อดาเมียม ออกมาตอนที่ฉันไปเจออย่างกับรู้จักล่ะ”
พูดข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมดไปเพื่อให้ได้คำตอบมา
ซีลอร์ดได้ยินก็ทำท่ากอดอกชันคางด้วยมือขวาแล้วถามกลับมา
“งั้นเธอก็ได้เจอกับรูบิเดียมแล้วสินะได้ยินอะไรมาบ้างล่ะ”
อิงศรส่ายหน้า
“ไม่เลย
ยัยนั่นไม่ได้บอกอะไรเลยซักอย่าง”
“ก็คงจะอย่างนั้นผมพอจะเดาได้เพราะว่าเธอเคยเป็นน้องสาวมาก่อน
เอาเถอะเรื่องที่บอกได้ก็คือมโนภาพที่เธอเห็นอาจจะเป็นสิ่งที่เหล่าผู้อาศัยในสวนแห่งสองเรียกกันว่านิมิติ...“
“เดี๋ยวก่อน!”
อิงศรพูดขัดทั้งที่ซีลอร์ดยังเล่าไม่จบเพราะบังเอิญได้ยินเรื่องบางอย่างที่น่าตกใจเข้า
“เมื่อกี้นายบอกว่ารูบิเดียมเป็นน้องสาวเหรอ”
“ก็ใช่แล้วมันทำไมเหรอ”
ได้ยินคำถามที่ฟังดูซื่อๆ
แบบนั้นทำเอาอิงศรแทบควบคุมสีหน้าไม่ได้
“ทำไมน่ะเหรอ!
ก็ถ้านายเป็นพี่ชายของเธอนั่นก็หมายความว่านายเป็นมนุษย์ต่างดาวไม่ใช่รึไง”
เด็กหนุ่มพูดกึ่งตะหวาด
แต่ซีลอร์ดกลับส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธอย่างจริงจัง
“ผมไม่ใช่บุตรแห่งแสงหรอกนะเคยบอกไปแล้วนี่หรือว่าจะสับสนเรื่องความสัมพันธ์”
“หมายความว่ายังไง”
ดวงตาของซีลอร์ดหรี่แคบลงเล็กน้อยเหมือนจะเข้าใจจุดประสงค์ของคำถามแล้วถึงได้กล่าวตอบ
“เธอคิดว่าเหล่าผู้อาศัยในสวนแห่งที่หนึ่งอย่างผมกับพวกบุตรแห่งแสงที่เธอเรียกว่ามนุษย์ต่างดาวนั่นมีความสัมพันธ์แบบการสืบพันธุ์เหมือนมนุษย์หรือไงกัน”
เหมือนคำถามมาแบบนั้น
“...”
ถึงตรงนี้อิงศรก็เริ่มจะนึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์แล้วที่ผ่านมาก็ไม่รู้ด้วยว่ามนุษย์ต่างดาวถือกำเนิดกันอย่างไรสืบพันธุ์กันแบบไหนพวกมันไม่เคยจะแสดงความต้องการทางเพศออกมาเลยด้วยซ้ำไป
ซีลอร์ดพูดต่อจากที่ค้างเอาไว้
“ผมกับรูบิเดียมไม่สิกับบุตรแห่งแสงทุกคนต่างก็เกิดจากโซลาริสโดยตรงดังนั้นจึงเป็นพี่น้องกันส่วนอดัมเขาเกิดทางอ้อม
เกิดจากวัสดุอีกทีจึงไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับบุตรแห่งแสงแต่เป็นบิดาเพราะนอกจากพื้นฐานทางความคิดที่ยึดเอาแบบมาจากตัวผมแล้วรูปลักษณ์ต้นแบบส่วนหนึ่งก็ยึดมาจากอดัมน่ะพูดแบบนี้พอจะเข้าใจรึเปล่าล่ะ”
อิงศรพยักหน้ารับให้คำอธิบายอันยืดยาวนั่นและยอมรับไปถึงหัวใจเลยว่าตนเองคิดตื้นไปจริงๆ
ถ้าซีลอร์ดเป็นเครื่องทำสวนซึ่งพระเจ้าที่เรียกว่าแอดมินิสเทรเตอร์เป็นผู้สร้างขึ้นมาการจะมีสัมพันธ์กับพวกมนุษย์ต่างดาวที่เกิดจากผู้สร้างเดียวกันมันก็ไม่แปลก
“งั้นขอต่อจากที่ค้างไว้เลยนะเรื่องที่ภาพนิมิตที่เธอเห็น”
ซีลอร์ดถาม
“อืม”
“เรื่องของอดัมที่เธอรู้จักน่ะมันแต่งขึ้นจากเค้าโครงความจริงบางส่วนที่ผู้อาศัยในสวนแห่งที่สองซึ่งเป็นลูกหลานระลึกได้จากความทรงจำของอดัมที่ฝังรากลึกอยู่ในสายพันธุกรรมแต่ก็เป็นกรณีที่เกิดได้ยากบางครั้งเธอก็อาจจะเคยได้ยินหรือว่าประสบมาเองก็ได้ความฝันที่ไม่รู้จักแต่มันกลับมีอยู่ในความทรงจำนั่นก็คือตัวตนของภาพนิมิตที่เธอเห็น”
สรุปก็คือหมอนี่ตั้งใจจะบอกว่าเขาสมองเฝื่อนคิดฟุ้งซ่านไปเองอย่างนั้นสินะแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบเรื่องของเมอร์คาบาห์อยู่ดี
เขาอยากจะถามต่อแต่ตอนนี้มีอีกเรื่องที่สำคัญกว่าเรื่องที่ฟังมาจากไทเทเนียม
หล่อนเคยพูดเอาไว้แบบนี้ตอนที่เขาถามเกี่ยวกับเป้าหมายของแฟรนเซียมซึ่งเป็นราชครูลำดับที่หนึ่ง
‘ถ้าเป็นเรื่องเป้าหมายนายน่าจะรู้ดีกว่าฉันนะ
ก็นายไปอยู่ใกล้ชิดเขามาตั้งสามปี’
ตอนที่ได้ยินว่าสามปีใบหน้าของคนแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือสิงห์
ธุวดารกะ
แต่เพราะหมอนั่นตายไปแล้วผู้ต้องสงสัยคนถัดมาจึงกลายเป็นข้าวหลามแต่หมอนั่นก็เป็นพวกอารย-สนธยาป้ายต่อไปจึงหยุดที่
กุมภา ธุวดารกะ แต่เพราะคำพูดที่บอกว่าอยู่ใกล้ชิดเลยทำให้ไม่เข้าเค้าดังนั้นคนเดียวที่เหลืออยู่ในความสงสัยก็เลย...
“นี่นายพอจะรู้ไหมว่าสิงห์อยู่ที่ไหน”
อิงศรเสี่ยงถามออกไปแล้วซีลอร์ดก็ยิ้มและพูดว่า
“เรื่องนั้นผมยังบอกไม่ได้”
“ทำไม...”
อิงศรพยายามจะถามเค้นเอาคำตอบแต่ก็ต้องหยุดคำพูดไว้เพราะร่างกายของเขากำลังจากลงพอมองไปรอบๆ
ก็เริ่มเห็นหมอกก่อตัว
สัมผัสต่อสถานที่เริ่มจะเลือนราง
เขากำลังจะหลุดออกจากรากของอาคาชิกเรคคอร์ด
“จริงด้วยสิตอนที่กำลังจะเข้ามาที่นี่ข้างนอกพวกของเธอถูกปีศาจที่ชื่อ
ยฮวฮ เล่นงานอยู่”
จู่ๆ
อิซานามิก็โพล่งมาอย่างนั้นสีหน้าเหมือนคนที่เพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก
มันก็สำคัญจริงๆ
นั่นแหละแถมเป็นเรื่องใหญ่จนน่าบันดาลโทสะใส่ไม่น้อยเลยทีเดียว
อิงศรเบ้หน้าหลังจากได้ยินรายงานของอิซานามิ
“ทำไมเรื่องสำคัญแบบนั้นถึงไม่บอกกันก่อนเล่า!”
พริบตานั้นเองทิวทัศน์รอบตัวก็จมหายไปในทะเลหมอก
จากนั้นก็เป็นสัมผัสของเขาเองที่หลุดลอยออกไป
อิงศรได้ออกไปจากรากของอาคาชิกเรคคอร์ดแล้ว....
...
อิงศรรู้สึกตัวอีกครั้ง
“อิงศร...”
ได้ยินเสียงเรียก
“อิงศร...”
เสียงเรียกชื่อของตน
น้ำเสียงใสของผู้ชายแต่มันไม่เหมือนเสียงของ กวินทร์ มิ่งขวัญ ฟู มิกซ์ หรือ
เน็กส์ ไม่ใช่เสียงในหมู่พวกเขาเลย
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักเลยมันเป็นเสียงที่เขาจำได้ว่าในความทรงจำเคยได้ยินเสียงของคนๆ
นี้
อิงศรปรือตาขึ้นและพบว่าตนกำลังฟุบหน้านอนอยู่บนโต๊ะเรียนหนังสือ
เขาผละออกจากโต๊ะในทันทีแล้วตรวจสอบสภาพรอบตัว
ทิวทัศน์ไม่คุ้นตาบรรยากาศก็ไม่ใช่แบบทุกครั้ง
เขานั่งอยู่ในห้องเรียนที่มีโต๊ะเก้าอี้หลายตัวเรียงรายหันหน้าไปทางกระดานไวท์บอร์ดเป็นห้องเรียนธรรมดาๆ
ได้ยินเสียงของชีวิตมากมายดังแว่วมาจากด้านนอกห้องเรียน
เสียงหัวเราะ
เสียงตะโกน
เสียงเตะอัดลูกฟุตบอล
เสียงพูดคุยอย่างสนุกสนาน
ทั้งหมดเป็นสุรเสียงในยามปกติของโลกที่ยังไม่ได้ล่มสลาย
ที่หน้าต่างทางซ้ายมือมองเห็นท้องฟ้ายามเย็นและเงาของฝูงนกที่กำลังบินกลับรังถัดออกไปก็มองเห็นทางด่วนที่กำลังก่อสร้างและรถวิ่งสัญจรผ่านไปมาขวั่กไขว่
พอเริ่มจะตั้งสติได้เด็กหนุ่มถึงมองเห็นว่าชุดเครื่องแบบทหารกลายเป็นเครื่องแบบนักเรียนไปซะแล้ว
เครื่องแบบเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาวกางขาสั้นสีกากีถุงเท้าขาวและร้องเท้าสีดำเป็นชุดเครื่องแบบนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาๆ
"เป็นอะไรไปน่ะอิงศรทำหน้าตาประหลาดแบบนั้น"
เสียงที่เรียกชื่อเขาในตอนแรกถามมาอย่างนั้น
พออิงศรหันไปก็ทำดวงตาเบิกโพล่งยิ่งกว่าเก่า
เพราะคนที่อยู่กับเขาจนถึงเมื่อครู่นี้ก็คือนรินทร์
นรินทร์ในชุดนักเรียนนั่งอยู่โต๊ะติดกัน
"นรินทร์..."
อิงศรพูดได้แค่นั้นเขาสับสนและประหม่าจนคิดอะไรไม่ออก
"ป่วยรึเปล่าเนี่ยท้ายคาบก็ฟุบหลับไปเลยคนอื่นๆ
เขากลับกันไปหมดแล้วนะ"
นรินทร์พูดสั้นๆ
แล้วดึงกระเป๋านักเรียนออกมาจากลิ้นชัก
กวาดข้าวของบนโต๊ะลงกระเป๋าก่อนจะลุกจากที่นั่งแล้วหันมา
"รีบเก็บของเถอะมิ่งขวัญเขามารอรับตั้งแต่เมื่อกี้แล้วนา~"
พูดพร้อมกับชี้ไปที่ประตูห้อง
ที่นั่นมิ่งขวัญในชุดนักเรียนแบบเดียวกันกำลังยื่นหน้าเข้ามา
"พี่ศรเก็บของเสร็จยังวันนี้จะกลับด้วยกันใช่ม้า--"
แล้วกล่าวด้วยท่าทางกะตือรือร้น
ไม่รู้ว่าทำไม
แต่ว่า...
ตอนนี้เขาอยู่ในปัจจุบันที่โลกไม่ได้ล่มสลายคิดได้เพียงแค่ทฤษฎีแบบนั้น
***สำหรับอาทิตย์นี้ก็จบแค่ตอนนี้นะครับเนื่องจากไรท์ต้องไปเที่ยวต่างประเทศตามที่แจ้งไว้แล้วและจะกลับมาอัพอีกทีวันอังคารหน้าครับ
แต่จะชดเชยเพิ่มให้อีกตอน(ถ้าปั่นทันนะ) อ้อแล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าเนื้อเรือ่งเป็นมุกตัดจบหรือจะเปลี่ยนแนวเรื่องนะครับยังคงเดินตามเนื้อเรื่องอยู่(รู้สึกเดจาวูตอนอิงศรเกมโอเวอร์พิกล555+) ตอนนี้บอกใบ้ได้แค่ว่าทั้งหมดเป็นเพราะ
ยฮวฮ
ส่วนเฉลยรอตอนต่อไปวันอังคารหน้าเน่ออนึ่งสัตว์เทวะหายไปซะหลายตอนกำลังจะกลับมามีหมดแล้วล่ะสู้กับปีศาจนานจนแทบจะกลายเป็นชินเมกามิเทนเซย์ไปละโอเมก้าา***
ความคิดเห็น