legend the pantonia แดนมหัศจรรย์กับตำนานแพนโทเนีย - นิยาย legend the pantonia แดนมหัศจรรย์กับตำนานแพนโทเนีย : Dek-D.com - Writer
×

    legend the pantonia แดนมหัศจรรย์กับตำนานแพนโทเนีย

    อาเทอร์ เจ้าว่าดวงตาข้ามีแสงสีทองดั่งดวงจันทร์ซินะ ข้าโชคดียิ่งที่ได้เจอเจ้า ต่อจากนี้เจ้าต้องอยู่ให้ได้ แม้ข้าจะไม่ยืนตรงนี้ก้ตาม...

    ผู้เข้าชมรวม

    295

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    13

    ผู้เข้าชมรวม


    295

    ความคิดเห็น


    8

    คนติดตาม


    3
    หมวด :  นิยายวาย
    จำนวนตอน :  2 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  11 ก.ค. 59 / 12:04 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ณ.ดินแดนแห่งเรา ชาวเอลฟ์ เป็นดินแดนลับแลที่ข้าเฝ้าทะนุถนอม รักษา และห่วงแหน เพราะรั้งไว้ซึ่งผลประโยชน์แก่ลูกหลานข้า แม้ว่าร่างกายข้าจะยืนต้นตายวันนี้ ข้าก็ไม่นึกเสียดายที่วันนี้ข้าได้รักษาไว้ ซึ่งปณิธานที่จะปกป้องลูกหลานแห่งข้า ร่างกายข้ามอดไหม้ได้ หากวันนี้ร่มเงาที่ข้าให้แก่ลูกหลานข้ามันเริ่มให้ความร่มเย็นแก่พวกเขาไม่ได้แล้ว รากของข้าจะปลดเปลื้องพันธนาการแห่งผืนธุลีได้ หากวันนี้ข้ารู้ว่าลูกหลานข้าไม่ต้องการข้าอีกแล้ว และเมื่อถึงวันที่ไม่มีใครต้องการข้า ข้าก็จะทิ้งลำต้นลง และปล่อยให้ตัวข้าเปื่อยผุพัง เป็นเศษธุลีที่ถาโถมอีกนิดเพื่อให้พวกเจ้าได้เหยียบเดิน

                                                                                                                                 

                                                                                                                                               -เพนติ-

     

     

     

    "ท่านเพนติ เหตุในท่าถึงดูอ่อนล้าเช่นนี้" เสียงของเอลฟ์ตนหนึ่งเอ่ยถามต้นไม้ที่สูงใหญ่ด้วยท่าทีสงสัย 

    "อำนาจของนางโรเทเซียมีอยู่เหนือข้าแล้ว ดินแดนเราอาจถูกค้นพบ" เสียงแหบแห้งดั่งชายชราตอบด้วยท่าทีที่อิดโรย

    "ท่านพูดเล่นใช่ไหม อำนาจท่านยิ่งใหญ่ดั่งเทพเจ้า ท่านเป็นคนสร้างแดนแห่งเรา แดนแห่งแพนโทเนีย แดนแห่งชาวเอลฟ์ เหตุใดท่านถึง......"

    "เอาเถอะพวกเจ้าอาจจะเข้าใจง่ายขึ้นหากข้าทำเช่นนี้...." ลำต้นใหญ่โตของต้นไม้ที่มีใบดกหนา ค่อยๆนั่งลงก่อนที่จะผายกิ่งออกดั่งมือของมนุษย์ พร้อมกับโบกไปทางด้านซ้าย และบรรจงจีบยอดใบของตนเองเข้าด้วยกัน ก่อนที่จะเกิดแสงสีเขียว มีประกายสีทองระยับค่อยๆ ล่วงหล่นจากกิ่งต้นลงสู่พื้น พลันก็เกิดเป็นต้นอ่อนของต้นไม้เรืองแสง และมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจากต้นอ่อนและกลายเป็นไม้ดอกยืนต้น จากนั้นดอกไม้ก็ค่อยๆผลิบานออกพร้อมกับมีแสงสีทองสว่างจ้าค่อยๆฉายออกจากปลายกลีบดอกพร้อมกับเสียงตื่นเต้นดีใจ ก้องไปทั่วบริเวณจากเหล่าเอลฟ์ที่มุงดูด้วยความใจจดใจจ่อ ตามด้วยละอองเกสรที่ค่อยๆล่วงหล่นลง หลังจากนั้นดอกไม้ก็ค่อยๆผลิกลีบ ล่วงหล่นพื้นและตามมาด้วยลำต้นเช่นเดียวกัน มันเริ่มผลิใบพร้อมกับเหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็วและสุดท้าย ไม้ดอกต้นนั้นก็ยืนต้นตายต่อหน้าต่อตาที่ดูเศร้าสลดของเหล่าเอลฟ์...

    “ท่านเพนติหมายความเช่นใด” เอลฟ์ตนหนึ่งทักท้วงขึ้น

    “ตามนั้นแหละพวกเจ้าทั้งหลาย ข้าหมายความตามนั้น” เพนติค่อยยืนต้นนิ่งหลับสงบเช่นดั่งเคยและปล่อยทิ่งซึ่งความสงสัยใคร่รู้ของเหล่าเอลฟ์

    “ท่านเพนติท่านต้องมีนัยต์ ในสิ่งที่ท่านแสดง เราต้องรีบไปทูลราชินีถึงนิมิตที่ท่าน”

    “ใช่ ข้าว่าองค์ราชินีกับองค์ราชาคงอยากทราบ เราต้องรีบไปเข้าเฝ้าพระองค์ทั้งสอง... ไปเถอะพวกเรา” ฝูงชนชาวเอลฟ์ค่อยๆกระจายตัวกันออกไป โดยสายตาอันอาดู และห่วงหาของเพนตินั้นก็เฝ้ามองพวกเขาจากไปจนสุดสายตา จึงค่อยๆปิดสายตาของตนเองลง...

     

         -ณ พระราชวังแพนโทเนีย พระราชวังที่สร้างเป็นทรงปราสาทสูงแหลมมีลักษณะคล้ายต้นไม้ที่บิดตัวเป็นเกลียวแน่น พร้อมกับมีคานทอดยาวโค้งเว้าลงจากยอดมาบรรจบที่หน้าประตู ซึ่งมีทั้งหมดสี่ทิศ พร้อมกับหอคอยน้อยใหญ่รายล้อมอีก4ด้าน ซึ่งทั้งหมดนั้นมีวัสดุมนการสร้างคือไม้ และทั้งตัวปราสาทนั้นมีลักษณะคล้ายต้นไม้ทั้งหมด มีทหารยามเฝ้าออกตลอดเวลา แต่ ภายในประสาทนั้นกลับมีท้องพระโรงเพียงอย่างเดียว ราชาและราชินีนั้นประทับอยู่ส่วนกลาง บนบัลลังสูง มีลักษณะคล้ายหินอ่อนตั้งตรงเป็นแผ่นซ้อนสลับ และเว้าลงยาวก่อนจะตัดตรง มีลีกษณะคล้ายหน้าจั่วบ้านทรงแหลมตัดยอด ซึ่งราชาและราชินีจะประทับสูงสุด และลดหลั่นลงตามลำดับเครือญาติ และตำแหน่งการปกครอง พระราชวังตั้งอยู่เป็นศูนย์กลางแห่งเมืองแพนโทเนีย ที่รายล้อมไปด้วยชุมชนของชาวเอลฟ์ที่อาศัยบนต้นไม้ ภายในโพรงต้นไม้ หรือแม้แต่การขุดถ้ำใต้ดินโดยยึดการแทงรากของต้นไม้เป็นห้องใช้สอย..-

                                                                                                    -ราชวังแพนโทเนีย-

    “นิมิตแจ้งเหตุองค์ราชินี นิมิตแจ้งเหตุมาแล้วองค์ราชา” เสียงที่ตื่นตกใจพร้อมกับท่าทีที่ดูเหนื่อยล้าของชายชราหลังค่อมในชุดขาวดังขึ้น พร้อมกับร่างกายที่พยายามเร่งความเร็วโดยมีไม้เท้าเป็นเครื่องมือช่วยพยุงร่างกาย ก็ค่อยเดินอย่างรีบเร่งเข้าสู่ท้องพระโรง

    “มีเหตุอะไรเกิดขึ้น ท่านผู้แสวงหา” ราชาตรัสถามด้วยเสียงที่นุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน

    “ท่านเพนติเผยนิมิตแล้ว... เ..ป็..นน..น เป็นนิมิตการก่อกำเนิด” เสียงที่เหนื่อยหอบพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ร่วนๆ ของชายชราดังขึ้น นั่นทำให้ราชินีมีท่าทีดีพระทัยเป็นที่สุด

    “แต่.....” ชายชราเอ่ยน้ำเสียงออกมาอย่างสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง

    “แต่อะไรหรือท่านผู้แสวงหา” ราชินีตรัสถามด้วยน้ำเสียงที่กังวล

    “มีเหตุสูญดับอีกด้วยหนึ่งสิ่งพะยะค่ะ” นั่นทำให้พระนางสงสัยพระทัยขึ้นไปอีก และร้อนลนอยากจะพบกับเพนติอย่างมาก

    “ท่านผู้แสวงหา ท่านช่วยติดต่อท่านเพนติผ่านเวทย์มนต์ของท่านทีเถิด” ราชิเอ่ยปากขอร้องแก่ชายชราด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย

    “ข้าแด่องค์ราชินี ด้วยข้อจำกัดนี้ข้ามิอาจจะทำตามพระประสงค์ได้พะยะค่ะ เป็นเพราะว่าท่านเพนติได้ป้องกันอิมเอนเดอไว้อย่างแน่นหนาเป็นการยากยิ่งที่ข้าจะส่งจิตไปถึงเขา”ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและเสียใจ ก่อนที่จะส่ายหน้าและก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง

    “ถ้าเป็นเช่นนี้  ปล่อยไว้อาจสายเกินการณ์ ข้าจะไปถามเพนติด้วยตัวข้าเอง” ราชินีตรัสพร้อมกับลุกขึ้นจากบัลลังค์ทันที

    “ช้าก่อน แอนโดนอร์” เสียงอันนุ่มลึกและจริงจังดังขึ้นอย่างก้องกังวานแต่ไร้ซึ่งความแข็งกร้าวและดุดัน

    “พระองค์ห้ามหม่อมฉันด้วยเหตุใด? หากปล่อยไว้เช่นนี้อาจเป็นการอันตรายต่อดินแดนเรานะเพค่ะ”ราชินีไต่ถามแก่ผู้เป็นเจ้าของเสียง

    “เพนติ คงมีเหตุผลจำเป็นบางอย่าง และไม่รู้ด้วยเหตุใด ข้ามีลางสังหรณ์ว่าอีกไม่นานนี้ ความหวังแห่งเราจะปรากฏ”

    ราชินี เมื่อได้ฟังในสิ่งที่ พระสวามี ของตนพูดเธอจึงนิ่งคิดและยอมกลับไปนั่งที่เดิมด้วยท่าทีที่คลายความวิตกและกังวลลง

    “หากเป็นเช่นที่ท่านพูด หม่อมฉันก็เบาพระทัยเพค่ะ”

                                                                   

                                                                    ................................................

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น