legend the pantonia แดนมหัศจรรย์กับตำนานแพนโทเนีย
อาเทอร์ เจ้าว่าดวงตาข้ามีแสงสีทองดั่งดวงจันทร์ซินะ ข้าโชคดียิ่งที่ได้เจอเจ้า ต่อจากนี้เจ้าต้องอยู่ให้ได้ แม้ข้าจะไม่ยืนตรงนี้ก้ตาม...
ผู้เข้าชมรวม
285
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ณ.ดินแดนแห่งเรา ชาวเอลฟ์
เป็นดินแดนลับแลที่ข้าเฝ้าทะนุถนอม รักษา และห่วงแหน เพราะรั้งไว้ซึ่งผลประโยชน์แก่ลูกหลานข้า
แม้ว่าร่างกายข้าจะยืนต้นตายวันนี้ ข้าก็ไม่นึกเสียดายที่วันนี้ข้าได้รักษาไว้
ซึ่งปณิธานที่จะปกป้องลูกหลานแห่งข้า ร่างกายข้ามอดไหม้ได้ หากวันนี้ร่มเงาที่ข้าให้แก่ลูกหลานข้ามันเริ่มให้ความร่มเย็นแก่พวกเขาไม่ได้แล้ว
รากของข้าจะปลดเปลื้องพันธนาการแห่งผืนธุลีได้
หากวันนี้ข้ารู้ว่าลูกหลานข้าไม่ต้องการข้าอีกแล้ว และเมื่อถึงวันที่ไม่มีใครต้องการข้า
ข้าก็จะทิ้งลำต้นลง และปล่อยให้ตัวข้าเปื่อยผุพัง
เป็นเศษธุลีที่ถาโถมอีกนิดเพื่อให้พวกเจ้าได้เหยียบเดิน
-เพนติ-
"ท่านเพนติ เหตุในท่าถึงดูอ่อนล้าเช่นนี้"
เสียงของเอลฟ์ตนหนึ่งเอ่ยถามต้นไม้ที่สูงใหญ่ด้วยท่าทีสงสัย
"อำนาจของนางโรเทเซียมีอยู่เหนือข้าแล้ว
ดินแดนเราอาจถูกค้นพบ" เสียงแหบแห้งดั่งชายชราตอบด้วยท่าทีที่อิดโรย
"ท่านพูดเล่นใช่ไหม อำนาจท่านยิ่งใหญ่ดั่งเทพเจ้า
ท่านเป็นคนสร้างแดนแห่งเรา แดนแห่งแพนโทเนีย แดนแห่งชาวเอลฟ์
เหตุใดท่านถึง......"
"เอาเถอะพวกเจ้าอาจจะเข้าใจง่ายขึ้นหากข้าทำเช่นนี้...."
ลำต้นใหญ่โตของต้นไม้ที่มีใบดกหนา ค่อยๆนั่งลงก่อนที่จะผายกิ่งออกดั่งมือของมนุษย์
พร้อมกับโบกไปทางด้านซ้าย และบรรจงจีบยอดใบของตนเองเข้าด้วยกัน
ก่อนที่จะเกิดแสงสีเขียว มีประกายสีทองระยับค่อยๆ ล่วงหล่นจากกิ่งต้นลงสู่พื้น พลันก็เกิดเป็นต้นอ่อนของต้นไม้เรืองแสง
และมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มจากต้นอ่อนและกลายเป็นไม้ดอกยืนต้น
จากนั้นดอกไม้ก็ค่อยๆผลิบานออกพร้อมกับมีแสงสีทองสว่างจ้าค่อยๆฉายออกจากปลายกลีบดอกพร้อมกับเสียงตื่นเต้นดีใจ
ก้องไปทั่วบริเวณจากเหล่าเอลฟ์ที่มุงดูด้วยความใจจดใจจ่อ
ตามด้วยละอองเกสรที่ค่อยๆล่วงหล่นลง หลังจากนั้นดอกไม้ก็ค่อยๆผลิกลีบ
ล่วงหล่นพื้นและตามมาด้วยลำต้นเช่นเดียวกัน
มันเริ่มผลิใบพร้อมกับเหี่ยวเฉาลงอย่างรวดเร็วและสุดท้าย ไม้ดอกต้นนั้นก็ยืนต้นตายต่อหน้าต่อตาที่ดูเศร้าสลดของเหล่าเอลฟ์...
“ท่านเพนติหมายความเช่นใด” เอลฟ์ตนหนึ่งทักท้วงขึ้น
“ตามนั้นแหละพวกเจ้าทั้งหลาย ข้าหมายความตามนั้น”
เพนติค่อยยืนต้นนิ่งหลับสงบเช่นดั่งเคยและปล่อยทิ่งซึ่งความสงสัยใคร่รู้ของเหล่าเอลฟ์
“ท่านเพนติท่านต้องมีนัยต์ ในสิ่งที่ท่านแสดง
เราต้องรีบไปทูลราชินีถึงนิมิตที่ท่าน”
“ใช่ ข้าว่าองค์ราชินีกับองค์ราชาคงอยากทราบ
เราต้องรีบไปเข้าเฝ้าพระองค์ทั้งสอง... ไปเถอะพวกเรา”
ฝูงชนชาวเอลฟ์ค่อยๆกระจายตัวกันออกไป โดยสายตาอันอาดู
และห่วงหาของเพนตินั้นก็เฝ้ามองพวกเขาจากไปจนสุดสายตา จึงค่อยๆปิดสายตาของตนเองลง...
-ณ พระราชวังแพนโทเนีย พระราชวังที่สร้างเป็นทรงปราสาทสูงแหลมมีลักษณะคล้ายต้นไม้ที่บิดตัวเป็นเกลียวแน่น พร้อมกับมีคานทอดยาวโค้งเว้าลงจากยอดมาบรรจบที่หน้าประตู ซึ่งมีทั้งหมดสี่ทิศ พร้อมกับหอคอยน้อยใหญ่รายล้อมอีก4ด้าน ซึ่งทั้งหมดนั้นมีวัสดุมนการสร้างคือไม้ และทั้งตัวปราสาทนั้นมีลักษณะคล้ายต้นไม้ทั้งหมด มีทหารยามเฝ้าออกตลอดเวลา แต่ ภายในประสาทนั้นกลับมีท้องพระโรงเพียงอย่างเดียว ราชาและราชินีนั้นประทับอยู่ส่วนกลาง บนบัลลังสูง มีลักษณะคล้ายหินอ่อนตั้งตรงเป็นแผ่นซ้อนสลับ และเว้าลงยาวก่อนจะตัดตรง มีลีกษณะคล้ายหน้าจั่วบ้านทรงแหลมตัดยอด ซึ่งราชาและราชินีจะประทับสูงสุด และลดหลั่นลงตามลำดับเครือญาติ และตำแหน่งการปกครอง พระราชวังตั้งอยู่เป็นศูนย์กลางแห่งเมืองแพนโทเนีย ที่รายล้อมไปด้วยชุมชนของชาวเอลฟ์ที่อาศัยบนต้นไม้ ภายในโพรงต้นไม้ หรือแม้แต่การขุดถ้ำใต้ดินโดยยึดการแทงรากของต้นไม้เป็นห้องใช้สอย..-
-ราชวังแพนโทเนีย-
“นิมิตแจ้งเหตุองค์ราชินี นิมิตแจ้งเหตุมาแล้วองค์ราชา”
เสียงที่ตื่นตกใจพร้อมกับท่าทีที่ดูเหนื่อยล้าของชายชราหลังค่อมในชุดขาวดังขึ้น
พร้อมกับร่างกายที่พยายามเร่งความเร็วโดยมีไม้เท้าเป็นเครื่องมือช่วยพยุงร่างกาย
ก็ค่อยเดินอย่างรีบเร่งเข้าสู่ท้องพระโรง
“มีเหตุอะไรเกิดขึ้น ท่านผู้แสวงหา”
ราชาตรัสถามด้วยเสียงที่นุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยน
“ท่านเพนติเผยนิมิตแล้ว... เ..ป็..นน..น เป็นนิมิตการก่อกำเนิด”
เสียงที่เหนื่อยหอบพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่ร่วนๆ ของชายชราดังขึ้น นั่นทำให้ราชินีมีท่าทีดีพระทัยเป็นที่สุด
“แต่.....” ชายชราเอ่ยน้ำเสียงออกมาอย่างสั้นๆ
แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง
“แต่อะไรหรือท่านผู้แสวงหา” ราชินีตรัสถามด้วยน้ำเสียงที่กังวล
“มีเหตุสูญดับอีกด้วยหนึ่งสิ่งพะยะค่ะ”
นั่นทำให้พระนางสงสัยพระทัยขึ้นไปอีก และร้อนลนอยากจะพบกับเพนติอย่างมาก
“ท่านผู้แสวงหา ท่านช่วยติดต่อท่านเพนติผ่านเวทย์มนต์ของท่านทีเถิด”
ราชิเอ่ยปากขอร้องแก่ชายชราด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย
“ข้าแด่องค์ราชินี
ด้วยข้อจำกัดนี้ข้ามิอาจจะทำตามพระประสงค์ได้พะยะค่ะ
เป็นเพราะว่าท่านเพนติได้ป้องกันอิมเอนเดอไว้อย่างแน่นหนาเป็นการยากยิ่งที่ข้าจะส่งจิตไปถึงเขา”ชายชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและเสียใจ
ก่อนที่จะส่ายหน้าและก้มหน้าลงอย่างผิดหวัง
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ปล่อยไว้อาจสายเกินการณ์
ข้าจะไปถามเพนติด้วยตัวข้าเอง” ราชินีตรัสพร้อมกับลุกขึ้นจากบัลลังค์ทันที
“ช้าก่อน แอนโดนอร์” เสียงอันนุ่มลึกและจริงจังดังขึ้นอย่างก้องกังวานแต่ไร้ซึ่งความแข็งกร้าวและดุดัน
“พระองค์ห้ามหม่อมฉันด้วยเหตุใด? หากปล่อยไว้เช่นนี้อาจเป็นการอันตรายต่อดินแดนเรานะเพค่ะ”ราชินีไต่ถามแก่ผู้เป็นเจ้าของเสียง
“เพนติ คงมีเหตุผลจำเป็นบางอย่าง และไม่รู้ด้วยเหตุใด
ข้ามีลางสังหรณ์ว่าอีกไม่นานนี้ ความหวังแห่งเราจะปรากฏ”
ราชินี เมื่อได้ฟังในสิ่งที่ พระสวามี
ของตนพูดเธอจึงนิ่งคิดและยอมกลับไปนั่งที่เดิมด้วยท่าทีที่คลายความวิตกและกังวลลง
“หากเป็นเช่นที่ท่านพูด หม่อมฉันก็เบาพระทัยเพค่ะ”
................................................
ผลงานอื่นๆ ของ thefolksong ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ thefolksong
ความคิดเห็น