คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 03 :: นักร้องน้องใหม่
03 นักร้องน้องใหม่
“พี่เจน เห็นสร้อยข้อมือจิ๋วบ้างมั้ย?” เสียงใสเอ่ยถามเจนรบก่อนที่ร่างเล็ก ๆ จะเดินกะโผลกกะเผลกลงมาจากบันได เป็นภาพที่ค่อนข้างชินตาของเจนรบและคนอื่น ๆ ในร้านไปแล้วในเวลาเพียงไม่กี่วัน
“ไม่เห็นนะ สร้อยอะไรเหรอจิ๋ว”
“สร้อยข้อมือเส้นเล็ก ๆ สีเงินอะพี่เจน.. มีใครเห็นบ้างรึเปล่า?” ท้ายประโยคหันไปขอคำตอบจากเด็กในร้านของเจนรบ
“ไม่เห็นครับพี่จิ๋ว/ ไม่เห็นค่ะ” ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกัน ทำให้คนถามหน้านิ่วคิ้วขมวด พยายามนึกว่าเผลอไปถอดทิ้งไว้ที่ไหน แต่ก็นึกยังไงก็นึกไม่ออก หลายวันที่ผ่านมาคงยุ่งเกินไปจนลืมใส่ใจกับสิ่งใกล้ตัวจึงไม่ทันได้สังเกต
“มันหายเมื่อไหร่ล่ะ” เจนรบถาม
“ไม่รู้เหมือนกันพี่เจน” พูดแล้วก็ถอนหายใจสีหน้ายุ่งยาก จนเจนรบอดที่จะกระเซ้าด้วยความสงสัยไม่ได้
“หนุ่มที่ไหนให้มาเหรอยะ ถึงได้สำคัญขนาดนั้น”
“หนุ่มอะไรล่ะ ซื้อมาใส่เอง เส้นโปรดซะด้วยสิ” จิ๋วบ่นกระปอดกระแปดด้วยความเสียดาย
“ลองนึกดี ๆ สิจิวเวอรี่ เธอไม่ใช่คนขี้ลืมไม่ใช่เหรอ”
“เฮ่อ… ตอนนี้กลัวอยู่อย่างเดียว” เธอถอนหายใจ
“กลัวอะไรเหรอ”
“กลัวมันหล่นตอนโดนรถเฉี่ยวน่ะสิ จิ๋วก็ไม่แน่ใจด้วยว่ามันหายในวันนั้นรึเปล่า” ดูเหมือนเรื่องนี้จะทำให้จิ๋วหัวเสียไม่น้อย เพราะความสะเพร่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นง่าย ๆ กับเธอนัก
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงไม่ได้คืนแล้วล่ะพี่ว่า” ยิ่งพูดก็ยิ่งทำให้จิ๋วหงุดหงิด หญิงสาวยังคงหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเอง พยายามจะเค้นเอาจากความทรงจำทั้งหมด แต่ก็เปล่าประโยชน์
“เอาน่า สร้อยหายแค่เส้นเดียว ขนหน้าแข้งคุณหนูปิยนุชไม่ร่วงหรอกย่ะ”
“มันใช่เรื่องมั้ยเนี่ยพี่เจน” จิ๋วส่งค้อนให้ผู้เป็นพี่ ไม่ชอบใจกับบางคำในประโยค
“เป็นไรเนี่ยหงุดหงิดแต่เช้า วันนั้นของเดือนรึไง”
“….” ผลก็คือเจนรบได้รับค้อนวงใหญ่อีกวงจากคนเป็นน้อง
“ไม่ต้องมามองฉันอย่างนั้นเลย เอางี้ เดี๋ยวฉันพาไปหาเผื่อมันหล่นอยู่แถวนั้นจริง แต่ตอนนี้เอากาแฟซักแก้วก่อนมั้ย”
“ก็ดีเหมือนกัน ขอบคุณค่ะ”
“มินต์ พี่ขอกาแฟให้พี่จิ๋วแก้วนึง เหมือนเดิมนะ” เจนรบหันไปบอกกับเด็กในร้านก่อนหันมาจ้องหน้าน้องสาวต่างสายเลือดด้วยท่าทีจริงจังจนคนถูกมองชักสงสัย อดทนกับสายตานั้นไม่ไหวเลยต้องออกปากถามเสียเอง
“พี่เจนมีอะไรรึเปล่า?”
“คือ…พี่มีอะไรจะให้ช่วยหน่อย”
“มีอะไรก็ว่ามาเลยสิพี่เจน คนกันเองแท้ ๆ ทำอ้ำอึ้งอยู่ได้” จิ๋วบอกอย่างรำคาญนิด ๆ เจนรบจึงดึงมือเล็ก ๆ มากุมไว้มองด้วยแววตาไม่น่าไว้วางใจ
“พี่จำได้นะว่าจิ๋วร้องเพลงเพราะมาก” เจนรบพูดเสียงอ่อนเสียงหวานผิดปกติ ทำให้หญิงสาวยิ่งเคลือบแคลงสงสัย
“แล้ว?”
“คือว่าที่ร้านพี่ก็มีแต่นักร้องผู้ชายใช่มั้ยล่ะ แต่ยังไม่มีนักร้องผู้หญิงเลย”
“อย่าบอกนะว่า… ไม่เอาด้วยหรอกพี่เจน อีกหน่อยจิ๋วก็ต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้วด้วย” ไม่ต้องรอให้อธิบายจนจบจิ๋วก็พอเข้าใจเจตนา หญิงสาวส่ายหน้าดิกก่อนกระตุกมือจากเจนรบอย่างรวดเร็วพร้อมถอยห่างออกไปจนสุดโซฟาอีกด้าน
“ไม่ได้หรอกยัยจิ๊ด มาเชียงใหม่ก็ต้องอยู่ด้วยกันสิ มีพี่อยู่ที่นี่ทั้งคน จะอยากไปตกระกำลำบากข้างนอกอีกทำไมล่ะ นี่ขายังเดี้ยงอยู่เนี่ยทำเก่งอีกนะ” เจนรบได้ทีก็ใส่เป็นชุด เขาคิดอยู่แล้วว่ามันแปลก ๆ ตั้งแต่วันที่ไปรับมาอยู่ด้วยกัน คนอย่างจิ๋วยอมถูกบังคับง่าย ๆ มันผิดปกติไปหน่อย
“พี่เจน… จิ๋วก็โตแล้วนะ อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว จิ๋วดูแลตัวเองได้ ที่เจ็บอยู่เนี่ยมันก็อุบัติเหตุนะ” หญิงสาวพยายามอธิบาย
“ไม่รู้ล่ะ ถ้าเธอเป็นอะไรมากกว่านี้พ่อกับแม่เธอเอาฉันตายแน่ยัยจิ๊ด ต้องปลอดภัยไว้ก่อน ให้มาอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ กำลังหางานให้ทำอยู่นี่ไง”
“งานจิ๋วก็มีแล้วนะพี่เจน แค่สอนก็เด็กม.ปลายก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว อยู่นี่ก็เกะกะเป็นภาระคนอื่นเปล่า ๆ”
“ไม่ได้ให้ทำทุกวันไง แค่ให้มาแจมบ้างเป็นสีสัน เธอน่ะกินก็น้อย ตัวก็เท่านี้จะเป็นภาระอะไรมากมายฮะ?”
“ไม่ดีหรอกน่าพี่เจน ไปจ้างนักร้องมาดีกว่า”
“มีของดีอยู่ในมือฉันจะต้องไปจ้างคนอื่นทำไมล่ะจิ๋ว”
“ว่าไปนู่นเลย….” จิ๋วส่ายหน้าเอือม ๆ ตั้งท่าจะตัดบทในไม่ช้า แต่ก็ไม่ทันเจนรบ
“ให้มันรู้ไปว่าพี่ขอร้องแค่นี้น้องมันจะทำให้ไม่ได้” เจนรบเห็นท่าว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมลงให้ง่าย ๆ ก็ตัดพ้อกันต่อหน้าจนคนเป็นน้องอ่อนอกอ่อนใจ
“จะเล่นไม้นี้ใช่มั้ย”
“เปล่า ไม่ได้เล่นลูกไม้อะไรทั้งนั้น ในเมื่อไม่อยากทำ ก็ไม่เป็นไรหรอก ไปเปิดร้านล่ะ” พูดจบก็ลุกหนีไปดื้อ ๆ ทิ้งความรู้สึกผิดไว้ให้คนข้างหลังต้องครุ่นคิดไปทั้งวัน
.
.
.
หลังจากที่กลับมาจากบ้านพักครูนิวก็กลับมาที่ตึกคณะด้วยความผิดหวัง ในมือยังกำสร้อยเงินเส้นเล็กไว้มั่น กะว่าจะเอาไปคืนเจ้าของแต่ก็คว้าน้ำเหลวกลับมาเมื่อพบว่าอาจารย์สาวคนสวยย้ายไปอยู่ที่อื่น จนหนทางที่จะตามหาอีกคนให้พบ เบอร์โทรศัพท์ก็ไม่ได้ขอเอาไว้เสียด้วย
“มานู่นแล้วไง”
“ใคร”
“นังนิวไง”
มัวแต่ใจลอยครุ่นคิดถึงวิธีการคืนสร้อยให้เจ้าของก็เผลอเดินเลยกลุ่มเพื่อนที่นั่งประชุมกันอยู่ที่หน้าห้องสโมสรคณะ แม้จะมีเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ก็ไม่อาจสะกิดให้นิวรู้ตัว
“อ่าว ๆ ดูมันเดินผ่านเราเฉยเลยเว้ยเฮ่ย”
“นิว! ทางนี้ ๆ” แพรวโบกไม้โบกมือพลางตะโกนเรียกให้คนใจลอยรู้สึกตัว ซึ่งมันก็ได้ผล
“เอ้อ ว่าไง?” นิวหยุดฝีเท้า หันมองเพื่อน ๆ ด้วยสีหน้าเหรอหรา
“นั่นแกจะไปไหนน่ะ” บอยเป็นคนถามย้ำอีกหน
“อ่อ ขึ้นตึกอะ” ตอบไปหน้าตาเฉย แนบเนียนชนิดที่ถ้าคนฟังไม่ใช่เพื่อนสนิทก็คงมองไม่ออกว่ามันคือคำแก้ตัว
“ไม่ต้องมาแถเลย ขึ้นตึกบ้าอะไรค่ำ ๆ มืด ๆ คนขี้กลัวอย่างแกเหรอจะกล้า มานี่เลยมา” นุ้ยจีบปากจีบคอพูดอย่างรู้ทัน กระดิกนิ้วเรียกอย่างมีจริต ชนิดที่ผู้หญิงแท้ ๆ ยังต้องชิดซ้าย
“แกไปไหนมาอะนิว” แพรวตบที่ว่างข้างตัวชวนให้นิวเข้ามานั่งใกล้ ๆ
“เอาของไปคืนเค้า”
“เออ แล้วเจอพี่เค้าป่ะวะ?” บอยที่รู้เรื่องนี้ดีกว่าใครเป็นคนเอ่ยถาม
“ไม่อะ เค้าย้ายออกไปแล้ว ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน”
“เดี๋ยว ๆ พวกแกสองคนพูดเรื่องอะไรกัน เล่าให้พวกฉันฟังก่อนได้ไหม งงไปหมดแล้วเนี่ย” นุ้ยที่มองเพื่อนสองคนสลับกันไปมาด้วยความสงสัยอยู่พักหนึ่งก็หมดความอดทน
“ก็เพื่อนไอ้เนี่ย เมาแล้วขับมอ’ไซค์ไปเฉี่ยวผู้หญิงคนนึง ฉันกับมันตามไปพอดีเลยเจอแล้วก็พาไปส่งโรง’บาล ตอนเย็นเจอนี่ตกอยู่บนซาเล้งอะ คิดว่าน่าจะเป็นของเค้าแหละ” นิวเล่าพลางบุ้ยใบ้ไปทางบอยที่ตกเป็นผู้ต้องหาแทนเพื่อน
“แล้วแกรู้ไหมเค้าย้ายไปอยู่ไหน?” แพรวหันมาถาม เหมือนไม่ได้ตั้งใจฟังที่นิวคุยกับบอยตั้งแต่ต้น
“ก็เพราะไม่รู้นี่แหละถึงได้กลุ้มอยู่เนี่ย สร้อยมันน่าจะราคาแพงซะด้วย ” นิวเผยสร้อยเส้นเล็กที่อยู่ในมือให้เพื่อนดู เหลือบมองบอยแล้วชี้หน้าเอาเรื่อง “แล้วที่สำคัญนะ เพื่อนแกยังไม่ได้ไปขอโทษเค้าเลย”
“เออ ฉันตามตัวมันได้อยู่แล้วน่า” บอยตัดรำคาญ
“แล้วคนที่พวกแกพูดถึงอะเค้าเป็นใคร ทำอะไรที่ไหน พอจะรู้บ้างไหม?” นุ้ยซักต่อ
“เป็นครูอยู่สาธิตเนี่ยแหละ”
“เฮ่ย งั้นก็ยิ่งหาง่าย รู้ชื่อเค้าป่ะ เด็กฉันเยอะในนั้นอะ”
“เด็กที่ไหนกล้าเข้าใกล้แกวะนุ้ย?” นิวหลิ่วตามองอย่างสบประมาท
“หุบปากแล้วเล่าให้ฉันฟังดี ๆ …ตกลงแกรู้ชื่อเค้ามั้ย ชื่อจริงชื่อเล่นอะไรก็ว่ามา รูปร่างหน้าตาล่ะเป็นไง”
“รู้สึกจะชื่อ…ปิยนุช…มั้งถ้าจำไม่ผิด นามสกุลจำไม่ได้แล้ว ส่วนชื่อเล่นฉัน ลืมถามอะ… เค้าเป็นคนตัวเล็ก ๆ ขาว ๆ สวยด้วยนะ เหมือนเพิ่งย้ายมาใหม่ด้วยแหละ” นิวนึกไปอธิบายไป
“อืม… ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลยอะนะ เดี๋ยวฉันช่วยตามหาอีกแรง” นุ้ยอาสา ทำให้นิวยิ้มออกบ้าง
“แต๊งกิ้วสุดสวย เดี๋ยวฉันจะลองถามเด็กแถวบ้านด้วย ส่วนสร้อยไม่ฝากนะ เดี๋ยวแกเอาไปจำนำ” นิวกระเซ้าเพื่อนสนิทแล้วหัวเราะร่วน
“เดี๋ยวแม่ตบดิ้นเลย” นุ้ยเงื้อมือทำท่าฟาดลมฟาดแล้งใส่เพื่อน สะบัดหน้าส่งค้อนให้จนน่ากลัวว่าคอจะเคล็ด
“นี่พวกแก เย็นนี้ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” แพรวเอ่ยชวนเมื่อเห็นว่าเรื่องที่คุยกันได้ข้อสรุปแล้วเรียบร้อย
“ขอบายนะไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวพ่อกับแม่ไล่ออกจากความเป็นลูกจะซวยเอา” นิวออกตัว
“เฮ่ยแกมีบ้านด้วยเหรอวะนิว” บอยหยอกแรง ๆ โดยไม่กลัวเพื่อนโกรธ ตามมาด้วยเสียงโอดครวญจากแพรวและนุ้ย
“ไรว้า… นอนด้วยกันตั้งหลายวันไม่เห็นอยากกลับ”
“นั่นดิ มากลับไรวันนี้วะแก”
“เอาน่า ไว้วันหลังแล้วกันนะ”
“เออ งั้นช่างแก… เราไปร้านไหนดี”
นิวยักไหล่เมื่อเพื่อนหมดความสนใจจากตนเอง หันไปฟังเพื่อนร่วมคณะแจกแจงรายละเอียดเกี่ยวกับกิจกรรมรับน้องใหม่ในช่วงเทอมแรกของปีการศึกษา ได้ยินเสียงเพื่อนคนอื่น ๆ ปรึกษากันเรื่องอาหารมื้อเย็นอยู่แว่ว ๆ
“ลามูร์มั้ย”
“เออก็ดี ไม่ได้ไปนานละ พวกแกไปป่ะ”
“ไปดิถ้าแกเลี้ยง”
.
.
.
แสงสีนวลจากหลอดไฟหน้าร้านส่องกระทบตัวอักษร l'amour ที่บรรจงประดิดประดอยอย่างสวยงามบนป้าย เสียงเพลงอะคูสติกบรรเลงสดจากฝีมือของมือกีตาร์หนุ่มดังเคล้าคลอเสียงทุ้มนุ่มฟังรื่นหูของนักร้องประจำร้าน บนเวทีเตี้ย ๆ ที่ยกสูงจากพื้นไม่ถึงสองฟุต ท่ามกลางอากาศเย็นชื้นในฤดูฝน กลิ่นหอมอบอวลจากเมล็ดกาแฟระคนกับกลิ่นจาง ๆ ของเครื่องเทศเป็นตัวเรียกน้ำย่อยให้ลูกค้าในร้านได้เป็นอย่างดี
กลุ่มของนุ้ย แพรว บอย และเพื่อนอีกสามสี่คนจับจองเอาโต๊ะหนึ่งที่อยู่ช่วงกลางร้านและสามารถชมการแสดงเล็ก ๆ บนเวทีได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่อะไร.. เพราะนุ้ยอยากเห็นหน้านักร้องหนุ่มสุดหล่อของร้านลามูร์เต็ม ๆ ตาจึงเลือกโต๊ะนี้เป็นฐานที่มั่น
“โชคดีนะเนี่ย ที่วันนี้มีดนตรีสด มาไม่เสียเที่ยวเลยจริง ๆ” นุ้ยเท้าคางมองนักร้องหนุ่มด้วยแววตาเคลิ้มฝัน จนแพรวที่นั่งอยู่ติดกันอดหมั่นไส้เพื่อนไม่ได้ มือเล็ก ๆ ฉวยเอาเมนูที่วางอยู่ใกล้มือมาบดบังสายตาของนุ้ยจากภาพบนเวที
“พอได้แล้วนังนุ้ย มองจนพี่เค้าจะสึกหมดแล้วนั่น” การกลั่นแกล้งของแพรวสร้างความไม่พอใจให้คนถูกแกล้งจนต้องโวยวายออกมาด้วยเสียงที่ไม่เบานัก
“โอ๊ย อะไรของแกเนี่ย ยุ่งจริงวุ้ย” นุ้ยปัดเมนูออกอย่างรำคาญ
“นั่นสิ แกชวนพวกฉันมากินข้าวหรือชวนมากินนักร้องกันแน่วะนุ้ย” เสียงหนึ่งของเพื่อนร่วมโต๊ะแซวขึ้นอย่างอดไม่อยู่ จากน้ำเสียงแล้วเจ้าตัวคงรู้สึกอย่างเดียวกับที่แพรวเป็น
“น่ารำคาญจริงนังพวกนี้” บ่นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนจิ้มสเต็กชิ้นพอดีคำเข้าปาก
“เฮ่ยแพรว ดูนู่น” บอยเอาศอกสะกิดเพื่อนตัวเล็กแล้วพยักพเยิดไปทางเข้าร้าน
“มีไรเหรอ” พอมองตามสายตาของบอยก็พบกับร่างของคนที่บอกจะไม่มาทานข้าวเย็นกับเพื่อนเมื่อชั่วโมงก่อน ใบหน้าที่แลเห็นไกล ๆ ใต้แสงไฟคล้ายกำลังบูดบึ้ง บวกกับท่าเดินดุ่ม ๆ ดูแล้วเหมือนเจ้าตัวอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
“นั่นมันไอ้นิวนี่ ไหนบอกว่ามันจะไม่มาไง” แพรวเปรยออกมาดัง ๆ ให้เพื่อนร่วมโต๊ะทุกคนได้ยินอย่างทั่วถึง
“เห็นมะ สุดท้ายมันก็ไปไหนไม่รอด” นุ้ยร่วมผสมโรงด้วยท่าทางสะใจ
“ไงนิว ไม่อยู่กินข้าวที่บ้านเหรอวันนี้?” บอยเอ่ยถามเมื่อนิวเดินมานั่งแหมะบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่เพื่อนอีกคนจัดหามาให้เมื่อครู่
“เข้าบ้านไม่ได้อะดิ ไม่มีใครอยู่ซักคน” นิวตอบเสียงขึ้นจมูก เพื่อน ๆ ก็เป็นห่วงกันเหลือเกิน ผลัดกันซักไซ้ไล่เรียงกันอย่างสนุกปาก
“ทำไมวะ เค้าไปไหนกันหมด”
“ไปงานแต่งญาติที่แม่ฮ่องสอน”
“อ้าว แล้วเค้าไม่ได้บอกแกไว้ก่อนรึไง”
“บอก……แต่ฉันลืม” เสียงในคำแรกนั้นเน้นหนัก ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบเบา ๆ เมื่อต้องเอ่ยถึงความผิดพลาดของตน ไม่ต้องเดาว่าหลังจากนั้นเสียงหัวเราะจากโต๊ะนั้นจะดังแค่ไหน ยิ่งได้เห็นสีหน้าหงุดหงิดของนิวด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความครื้นเครงให้กลุ่มเพื่อนราวกับกำลังดูตลกคาเฟ่
“ฮ่า ๆๆๆ ไอ้บ้า สมควรแล้ว” บ้างก็สมน้ำหน้า บ้างก็ปลอบโยนด้วยวิธีที่น่าหมั่นไส้
“โอ๋เอ๋ ๆ น้องนิวผู้น่าสงสาร ไม่งอแงนะคนดี๊คนดี” แพรวที่นั่งฝั่งตรงข้ามยังอุตส่าห์ยื่นมือฟากไปเกาคางนิว ทำเสียงเล็กเสียงน้อยเพื่อยั่วโมโหเพื่อน
“นี่… แล้ว. แล้วแกไม่มีกุญแจเข้าบ้านรึไงฮะนิว?” นุ้ยถามออกไปทั้งที่ยังหัวเราะจนตัวโยน
“กุญแจเก็บไว้ในห้อง ปกติก็มีคนอยู่ตลอดเลยไม่ได้พก” นิวปัดมือแพรวออก แยกเขี้ยวใส่เพื่อปรามเพื่อน
“นิว…อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ฉันขอสมน้ำหน้าแกตอนนี้ยังทันป่ะวะ” นุ้ยพูดแล้วก็ระเบิดหัวเราะดังลั่นกว่าเดิม นิวมองอย่างอาฆาต นึกอยากเอาอะไรยัดปากเพื่อนให้เงียบกันเสียที
“หัวเราะกันเสร็จแล้วก็ไปตามด้วยนะ” นิวทำท่าจะลุกหนีเพราะเริ่มงอนจริงจังแต่ก็ถูกหลายเสียงรั้งตัวเอาไว้ รวมไปถึงมือของเพื่อนที่นั่งข้างกัน
“เฮ่ย ๆ ไม่ล้อแล้ว ๆ อย่าเพิ่งงอนสิ นั่งก่อน ๆ”
“ท่าทางจะหิวนะเนี่ย งั้นกินอะไรเล่นไปก่อนแล้วกัน อยากได้อะไรค่อยสั่งเพิ่ม” บอยหยิบจานเปล่าพร้อมช้อนกับส้อมส่งให้นิวแล้วเลื่อนจานอาหารไปต่อหน้าให้เลือกทานได้ตามใจ
คำขอร้องของเจนรบเมื่อสองสามวันที่แล้วเป็นสาเหตุให้เธอต้องมานั่งกลัดกลุ้มอยู่ข้างเวที เมื่อท้ายที่สุดก็ต้องใจอ่อนให้เพราะหากเมินเฉยก็ต้องรู้สึกผิดต่อเจนรบไปตลอด วันนี้ถือเป็นการเริ่มงานวันแรก เพราะอาการบาดเจ็บก็เกือบหายเป็นปกติ เวลาเดินเธอก็ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้ค้ำอีกต่อไป
“พี่เจน.. เอาจริงเหรอ?” จิ๋วละสายตาจากสองหนุ่มบนเวที หันมาถามคนเป็นพี่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“มาถึงขั้นนี้แล้วยังจะถามอะไรอีกยัยจิ๊ด ทำเหมือนเด็กตื่นเวทีไปได้ เมื่อก่อนก็ขึ้นเวทีร้องเพลงออกบ่อยไม่ใช่รึไง”
“มันก็นานแล้วป่ะ นานจนลืมไปแล้วด้วย” จิ๋วบออกด้วยท่าทางประหม่า รู้สึกว่ามือไม้เริ่มวางไม่ถูกที่ถูกทาง
“เอาน่าจิ๋ว คิดซะว่าร้องให้คนที่บ้านฟัง”
“แต่คนที่บ้านจิ๋วไม่ได้หน้าตาแบบนั้นนะพี่เจน” จิ๋วผายมือไปที่โต๊ะลูกค้า เจนรบยกมือเท้าสะเอวมองคนเป็นน้องอย่างเหนื่อยหน่าย
“นี่อย่ามารวนได้มั้ย อุปมาอุปไมยน่ะรู้จักป่ะ”
“เฮ่อ… แล้วจะให้ขึ้นตอนไหนนะ” จิ๋วพูดออกมาในที่สุด หลังจากยืนมองบรรยากาศรอบ ๆ ตัวอยู่ชั่วอึดใจ
“อีกสองเพลง เดี๋ยวเบลล์จะเกริ่นนำให้ ไม่ต้องห่วง วันนี้ชิมลางด้วยเพลงคู่ วันหลังค่อยฉายเดี่ยวแล้วกันนะน้องรัก” เจนรบเอ่ยถึงนักร้องหนุ่มบนเวทีก่อนยีผมนุ่มสลวยของน้องสาวเบา ๆ
“ทีอย่างนี้ล่ะพูดดีเชียว” จิ๋วย่นคอหนีแต่ก็ไม่พ้น ดวงตากลมเหลือบมองคนตัวโตพร้อมส่งค้อนวงเล็ก ๆ ไปให้
“ก็น้องสาวพี่น่ารักนี่วันนี้ อยากได้อะไรก็บอก ขาดเหลือก็ว่ามาอะไรเดี๋ยวพี่จัดให้” มือใหญ่ของผู้เป็นพี่ทำท่าจะยื่นมาหยิกแก้มใสอย่างที่เคยทำเมื่อตอนยังเด็ก แต่จิ๋วรู้แกวจึงเบี่ยงตัวหลบได้ทันท่วงที
“ไม่ต้องเลย พอแล้ว ยังไงก็ทำให้อยู่ดีล่ะน่า”
“แหม… ทำหวงเนื้อหวงตัวนะเดี๋ยวนี้”
“เข้าห้องน้ำก่อนนะ ไปทำสมาธิแป๊บ” จิ๋วบอกกับเจนรบก่อนปลีกตัวออกไป ไม่ได้สนใจคำเหน็บแนมเมื่อครู่
“เดินระวัง ๆ ด้วยล่ะ เดี๋ยวลื่นล้ม” เสียงเตือนของเจนรบดังแว่วมาให้ได้ยิน
“จิ๋วไม่ใช่คนซุ่มซ่ามนะพี่เจน” เสียงเล็กตอบกลับไปในระดับที่ดังพอกัน ก่อนจะก้าวเข้าไปในส่วนของห้องน้ำหญิง ตรวจดูความเรียบร้อยของตนในกระจก
ชุดแซกเรียบ ๆ สีน้ำตาลอ่อนรับกับผมยาวสลวยที่ดัดเป็นลอนอ่อน ๆ ทิ้งตัวลงมาคลอเคลียแผ่นหลังและไหล่บอบบาง ดวงหน้าเรียวเล็กถูกแต่งแต้มด้วยสีสันเข้มขึ้นมาจากตอนกลางวันเล็กน้อย ดวงตากลมถูกกรีดด้วยอายไลน์เนอร์ให้คมเข้มขึ้นเช่นเดียวกัน ภาพที่เห็นในกระจกช่วยเรียกความมั่นใจให้เธอได้มากทีเดียว
“เอาล่ะ เธอทำได้แน่ปิยนุช” หญิงสาวบอกกับเงาของตนในกระจกเมื่อเวลากระชั้นชิดเข้ามาเรื่อย ๆ หลังจากเพลงนี้จบลง คนที่ร้างเวทีมานานอย่างเธอต้องหวนกลับขึ้นไปโชว์พลังเสียงอีกครั้ง ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอย่างนี้มานานเหลือเกิน ...ตอนนี้หัวใจของเธอกำลังสูบฉีดรุนแรง เลือดในกายพลุ่งพล่านจนแก้มขาวเจือสีระเรื่อ นึกแล้วก็ขำตัวเองเบา ๆ อาการอย่างกับสาวน้อยเพิ่งมีความรักครั้งแรกยังไงอย่างงั้น
หญิงสาวหลับตาทำสมาธิครู่หนึ่งแล้วก้าวออกมาจากห้องน้ำเมื่อถึงท่อนฮุคสุดท้ายของบทเพลง
“ครับ สำหรับวันนี้เรามีสาวสวยให้เกียรติมาขึ้นเวทีกับเราสองคนด้วย ดีใจนะครับ ผมจะได้ไม่เหงา เพราะบนนี้มีผมพูดอยู่คนเดียว ส่วนอีกคนก็เอาแต่คุยกับกีตาร์ไม่สนใจเพื่อนเลย” นักร้องหนุ่มแซวมือกีตาร์ประจำตัว เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากลูกค้าในร้าน หางตาเหลือบมองร่างเล็กที่ยืนแสตนด์บายอยู่ข้างเวทีเพื่อส่งสัญญาณให้เตรียมตัว
“เอาล่ะครับ เชื่อว่าทุกคนคงอยากพบเธอแล้ว เธอเองก็คงอยากจะพบทุกคนเต็มแก่ ขอบคุณพี่เจนที่พาเธอมา ขอบคุณที่ทำให้เรา หากันจนเจอ ครับ” เมื่อชายหนุ่มพูดเข้าเพลงจบก็ผายมือไปด้านหนึ่งของเวทีที่มีพุ่มไม้ประดับบดบังอยู่
“สิ่งที่ฉันหวัง สิ่งที่ฉันคอย อาจดูเหมือนเลื่อนลอย เกือบจะฝันไป…..” เสียงกังวานใสดังขึ้นพร้อมเสียงกีตาร์ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ จะก้าวขึ้นไปบนเวทีโดยมีนักร้องหนุ่มเข้าไปจับจูงมือบางเพื่อให้ความช่วยเหลือ จนพาร่างนั้นมาถึงเก้าอี้กลางเวทีได้เป็นผลสำเร็จ หญิงสาวโค้งน้อย ๆ เพื่อทักทายก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างข้าง ๆ กันกับอีกคน
ลูกค้าในร้านปรบมือกันเกรียวกราวหลังจากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของนักร้องน้องใหม่แห่งร้านลามูร์ ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ดึงดูดสายตา เรียกให้คนที่กำลังโมโหหิวหยุดมือจากการตักอาหารเข้าปากแล้วเงยหน้ามองเหตุการณ์บนเวทีอย่างสนใจ
“เฮ้ย! ใช่ป่ะวะ” ครู่เดียวดวงตาเรียวก็เบิกกว้าง ซ้ำยังเผลออุทานเสียงดังอย่างลืมตัวเมื่อพิศมองหญิงสาวบนเวทีได้ชัดเจนถนัดตา ลูกค้าโต๊ะข้าง ๆ หันมองด้วยสายตาตำหนิจนเพื่อนร่วมโต๊ะต้องค้อมศีรษะขอโทษขอโพยแทนเจ้าตัว
“นี่แกเป็นบ้าอะไรวะนิว ร้องทำไม” นุ้ยกระซิบถามเชิงต่อว่า ในร้านที่มีเพียงเสียงเพลงอันไพเราะจากนักร้องหนุ่มสาว ลูกค้าก็เหมือนพร้อมใจกันหยุดบทสนทนาในนาทีนั้น นุ้ยไม่กล้าทำลายบรรยากาศเหมือนต้องมนต์นั้นอีกครั้ง หลังจากที่นิวได้ลงมือทำไปก่อนแล้วเมื่อครู่
“ก็ผู้หญิงคนเนี้ย เหมือนคนกำลังที่ฉันตามหาอยู่เลยอะ” นิวลดเสียงลงเมื่อรู้ตัวว่าตนโวยวายจนเอิกเกริก บอยยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อสนทนากับเพื่อนในเรื่องเดียวกัน
“ใช่แน่ ๆ ฉันว่าใช่อะ” ชายหนุ่มย้ำความมั่นใจให้กับนิว
“ไหนว่าเป็นครูไงวะ มาร้องเพลงร้านพี่เจนได้ไงอะ” นิวตั้งข้อสังเกต
“ถ้าแกสงสัยอะไรก็ไปถามพี่เจนดีกว่า ดึกกว่านี้หน่อยแกคงออกมา” แพรวแนะนำ
“ใช่ แล้วพวกแกก็หุบปากกันซะด้วย จะฟังเค้าร้องเพลง เคป่ะ” เพื่อนชายคนหนึ่งในกลุ่มยื่นหน้าเข้ามาพูดด้วยแล้วจับเพื่อนแยกออกจากกันคนละทิศละทาง คงเพราะรำคาญเสียงซุบซิบเป็นแมงหวี่แมงวันที่ดังมาเข้าหูอยู่เรื่อย ๆ
นิวเห็นอาการของเพื่อนแล้วก็พอดูรู้ว่าเขาไม่ได้อยากจะฟังเสียงหวาน ๆ นั้นขับกล่อมเพียงอย่างเดียว คงติดใจในความสวยของหญิงสาวบนเวทีด้วยมากกว่า มองด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้มขนาดนั้น แต่เธอก็ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดจึงนั่งเท้าคางดูเงียบ ๆ มือข้างหนึ่งใช้ส้อมจิ้มนั่นจิ้มนี้เข้าปากช้า ๆ
พอได้มาลองฟังอย่างตั้งใจแล้วนิวก็อดยิ้มตามไม่ได้ นึกชื่นชมความสามารถของอีกฝ่ายอยู่ในใจ ไม่คิดเลยว่าคนตัวเล็กจะมีเนื้อเสียงที่ไพเราะขนาดนี้ แค่เพลงเบา ๆ ในจังหวะสบาย ๆ ก็เล่นเอาคนฟังเคลิ้มจนแทบละลาย
นิวไม่รู้หรอกว่าเจนรบไปรู้จักผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง แต่ที่ประจักษ์ชัดในนาทีนี้คือเจ้าของร้านคนเก่งเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ
_ __ __ __ __ __ __ __ __ __ _ __ _
ตอนที่สามมาอย่างช้า เนื้อเรื่องก็ดำเนินไปอย่างอืดอาดเช่นกัน 55555 มันเป็นอะไรที่แก้ไม่หายจริง ๆ อาจน่าเบื่อหน่ายไปบ้างก็ขออภัยด้วยนะคะ
ปล. คุณจัสศรีอย่าเล่นมุกสัปดนกลางที่สาธารณะสิคะอายเค้า 555555
ความคิดเห็น