คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 ตอนต้น
วันนี้เป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดฤดูหนาว
มิเชลรู้สึกแปลกอย่างบอกไม่ถูกที่ได้มายืนอยู่ที่นี่ สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเด็กหนุ่มอายุย่างเข้า 18 ปี คือบ้านคฤหาสน์หลังน้อยหลังคาสีแดง อาคารมีสองชั้นทำจากอิฐสกัดสีขาวละมุนโดยด้านข้างมีต้นตีนตะขาบสีเขียวปกคลุมจนเต็ม ชั้นบนมีระเบียงยื่นออกมาทำหน้าที่เป็นจั่วหลังคาทางเข้าหน้าบ้านในตัว ส่วนปีกซ้ายของอาคารมีหอแปดมุกสูงสองชั้นยื่นออกมาจากตัวอาคาร มีหลังคาทรงกรวยสูงสีแดงแทงยอดขึ้นเหนือหลังคาส่วนอื่น หน้าต่างที่เจาะแซมตามผนังทำให้คฤหาสน์ดูไม่อึดอัดมากไป แต่ก็มีพอเหมาะที่มองดูแล้วอบอุ่นยามอาศัยอยู่ช่วงฤดูหนาวได้
เมื่อรวมกับลูกเล่นการตกแต่งตามตัวอาคารแล้ว คฤหาสน์หลังนี้ถือได้ว่าน่ารักมากเลยทีเดียว
มิเชลยืนบนทางเท้าหินที่ปูเป็นลายพัดทับซ้อนกันอย่างปราณีต มันทอดตัวผ่านสวนไม้ดอกไม้ประดับร่มรื่นที่ถูกจัดให้ดูเป็นธรรมชาติอย่างจงใจ ไม้ดอกและพืชสวนปลูกแซมกันอย่างไม่เป็นสมมาตร ผิดกับวิสัยนิยมของแฟชั่นราชอาณาจักรที่สวนมักจะถูกตัดเป็นรูปเรขาคณิตแสดงถึงอำนาจของมนุษย์เหนือธรรมชาติ แต่ความเป็นธรรมชาติที่สื่อออกมาจากสวนแห่งนี้ไม่ใช่ความรกอย่างไร้ระเบียบ หากเป็นความละมุนละไมอย่างสมดุลย์แสดงถึงการอยู่ร่วมกันระหว่างธรรมชาติและมนุษย์ ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบต่อผลงานที่น่าชื่นชมนี้คือชาวสวนสามคนที่นั่งเล็มกิ่งไม้อย่างขยันขันแข็ง
นอกจากชาวสวนแล้วยังมีหมู่ทหารราชองครักษ์ในชุดทหารสีน้ำเงินราวหกนายกำลังเดินตบเท้าผัดเปลี่ยนเวรกันกันอย่างขึงขัง แบกปืนไรเฟิลติดดาบปลายปืนที่มันวาวสะท้อนแสงจนทำเด็กหนุ่มตาพร่าไปพักหนึ่งเลย
คฤหาสน์ตรงหน้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพื้นที่ในพระราชวัง ปาเล่ซ์ ดู รัว ที่กว้างใหญ่ไพศาล มันกว้างใหญ่เสียจนเขามองเห็นตัวอาคารหลักของพระราชวังที่เป็นส่วนประทับของพระราชาได้เพียงลาง ๆ เท่านั้น
กระนั้น เจ้าคฤหาสน์ เปอร์ตีด มานัวแห่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเป็นกันเองมากขึ้นเลย ถึงมันจะอยู่สุดชายของอาณาบริเวณส่วนในของพระราชวังหลวง มันก็ยังอยู่ข้างในอาณาเขตของพระราชวังอยู่ดี มันจึงไม่แปลกเลยผู้ที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์แห่งนี้ต้องเป็นราชนิกูลไม่ก็บุคคลที่สำคัญยิ่งอย่างแน่นอน
“เมอร์ซิเออร์ จิราร์จ เชิญทางนี้เลยครับ”
ชายแก่ที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าพ่อบ้านเชื้อเชิญให้มิเชลเดินตามเขามา เขามิได้พาเด็กหนุ่มเดินเข้าทางประตูหน้าที่สงวนไว้สำหรับราชวงศ์และแขกผูสูงศักดิ์เท่านั้น หากแต่พาเดินเข้าทางประตูหลังสำหรับคนทั่วไป
ภายในเป็นเพียงห้องรับรองขนาดเล็กที่เชื่อมต่อกับครัวและส่วนพื้นที่ของบ่าวรับใช้ ทำให้สภาพห้องดูวุ่นวายพอสมควร ตรงกลางห้องมีโต๊ะอาหารกลางขนาดใหญ่ตั้งอยู่ แต่ดูแล้วมันคงไม่ได้ถูกใช้เป็นโตะทานอาหารแน่เนื่องจากมันถูกจับจองข้าวของเต็มไปหมด นอกจากนี้ยังมีครุภัณฑ์และหีบกล่องมากมายวางซ้อนกันอย่างระเกะระกะเต็มพื้นไปทั่ว
เมื่อเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้วหัวหน้าพ่อบ้านเชิญมิเชลนั่งบนม้านั่งเก่าตรงหัวมุมที่ดูโปร่งที่สุด
“ฝ่าบาทยังอยู่ในชั่วโมงทรงไวโอลินอยู่นะครับ ถ้าอย่างไรคงต้องขอรบกวนให้เมอร์ซิเออร์ จิราร์จ รอสักครู่ อีกสักประมาณครึ่งชั่วโมงผมจะให้คนมาตามเมอร์ซิเออร์ขึ้นไปที่ห้องรับรอง ถ้าต้องการอะไรโปรดสั่นกระดิ่งเรียกแม่บ้านได้เลยนะครับ”
เขากล่าวอย่างสุภาพพลางผายมือไปยังกระดิ่งทองเหลืองที่วางคว่ำอยู่บนโต๊ะข้าง ๆ ก่อนจะก้มโค้งขอตัวไปก่อน
เมื่อเห็นว่าหัวหน้าพ่อบ้านออกไปพ้นแล้ว มิเชลก็ถอนหายใจพลางเอนตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน เขาไม่ถูกกับความรู้สึกเป็นทางการอย่างนี้เลย ความจริงแล้วเขาอยากคลายกระดุมเม็ดบนออกเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่อยากทำตัวดูซอมซ่อต่อหน้ามาเรียนสักเท่าไหร่ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงได้อย่างมากเพียงแค่ถอดเสื้อนอกที่แสนร้อนออก
เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ อย่างกระสับกระส่าย ตอนนี้เขาอยากจะเขกหัวตัวเองเหลือเกินที่ไม่ได้เอาหนังสือมาอ่านรอฆ่าเวลาด้วย สุดท้ายเขาเลยหยิบกระดิ่งขึ้นมาสำรวจแก้เบื่อ
ระหว่างนั้นเองสายตาของเขาก็ไปสบกับกองช่อดอกไม้ที่วางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ มันเป็นดอกไม้พันธุ์แปลกตาที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แถมแต่ละดอกก็สีสันสดใส ดูท่าทางราคาจะต้องแพงมากอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นอย่างนั้นเขาก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างประหลาด เมื่อเทียบกับช่อดอกไม้สูงค่าเหล่านี้แล้ว ของขวัญที่เขาเตรียมมาด้วยดูไร้ค่าไปเลย
ในตอนที่เขากำลังถูกความรู้สึกต้อยต่ำเข้าครอบงำนั่นเอง มิเชลก็เผลอเขย่ากระดิ่งจนส่งเสียงกรุ้งกริ้งออกมา ก่อนที่เขาจะแก้ไขอะไรได้นั้น สาวรับใช้ก็ปรากฏตัวตามบัญชาเสียแล้ว
“มีอะไรให้ดิฉันรับใช้หรือเจ้าคะ” สาวใช้วัยกลางคนในชุดแม่บ้านสีดำที่คาดผ้ากันเปื้อนสีขาวกล่าวกับมิเชลอย่างเฉยเมย
“อ...อ้อ พอดีผมเผลอทำกระดิ่งสั่นนะครับ ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่เป็นไรค่ะ” แม่บ้านยิ้มให้อย่างเป็นมิตร แต่ภายใต้หน้ากากเปื้อนรอยยิ้มนั้นมิเชลรู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดที่คุกรุ่นข้างใน “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ดิฉันขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
กระนั้นก่อนที่แม่บ้านจะได้ก้าวเท้าออกไป มิเชลก็ทักเรียกรั้งตัวเธอไว้
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนครับ”
แม่บ้านหันกลับมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่มิเชลสาบานได้เลยว่ารอยยิ้มนั้นมันกระตุกแปลก ๆ ราวกับจะงับหัวเขาเสียบัดนั้น ทำเอามิเชลกลัวจนไม่กล้าตอบไปเลย
“ม... ไม่เป็นไรแล้วครับ”
แต่ดูเหมือนแม่บ้านจะไม่คิดเช่นนั้น “ไม่เป็นไรค่ะ เชิญถามมาได้เลย” เธอกล่าว พลางยื่นหน้าเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มที่กระตุกมากขึ้นเข้าไปอีก “ตอนนี้พวกดิฉันก็มีงานค่อนข้างจะมากอยู่ ดังนั้นถ้าเมอร์ซิเออร์จะเรียกใช้อะไรในทีเดียวเลยจะเป็นพระคุณอย่างมากเจ้าค่ะ”
มิเชลตัวลีบไปตั้งแต่แรกแล้ว เขาได้แต่พยายามเค้นความกล้าก่อนจะกล่าวออกไป
“คือ ผมอยากทราบว่าดอกไม้เหล่านี้ใครเป็นคนให้มาเหรอครับ”
“อ้อ พวกนี้เหรอเจ้าคะ” หล่อนกรีดสายตามองมิเชลจากหัวจรดเท้าก่อนจะหันไปไล่เรียงรายนามเจ้าของของช่อดอกไม้เหล่านั้น “ ถ้าช่อนี้ดยุคอารียองเป็นคนพระราชทานมา ส่วนช่อนี้ก็จาก ฯพณฯ ท่านเคลเมนโซ ส่วนอันนี้...” รายชื่อที่สาวใช้ผู้นี้กล่าวมาล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญในแวดวงสังคมหรือรัฐบาลทั้งนั้น เป็นชื่อใหญ่โตที่นามของตระกูลจิราร์จมิอาจเทียบเคียงได้เลย “นี่ยังน้อยอยู่นะเจ้าคะ ถ้าตอนที่องค์หญิงเสด็จแสดงที่คอนเสิร์ตฮอลล์เย็นนี้คงมีช่อดอกไม้อีกมากรออยู่นะค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นมิเชลก็ยิ่งรู้สึกตัวลีบเข้าไปอีก ตอนที่แม่บ้านเดินจากไปตัวเขาก็เรียกได้ว่าแห้งเหี่ยวราวกับเห็ดทรัฟเฟิลตากแห้งก็มิปาน
มิเชลรู้สึกสมเพชตัวเองเหลือเกิน พอได้เห็นอย่างนี้กับตัวแล้วก็ได้แต่รู้ถึงกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นระหว่างโลกของเขากับโลกของมาเรียนเหลือเกิน...
ไม่สิ เขาต้องเรียกว่า องค์หญิงมาเรียนเสียมากกว่า
♫ ♪ ~
ระหว่างที่เขากำลังรู้สึกท้อแท้อยู่นั่น จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงไวโอลินอันแผ่วเบาดังมาจากข้างบน มันเป็นเสียงอันอ่อนโยนราวกับขนนกที่ล่องลอยไปตามสายลม แต่ละเสียงที่คันสีลากยาวไปตามสายคอร์ตมันทำให้ใจที่หดหู่ของเด็กหนุ่มกลับชุ่มชื้นอีกครา
ว่าแล้วเขาก็หลับตาปล่อยให้ใจเคลิบเคลิ้มเสียงดนตรีอันอ่อนเยาว์ของผู้เล่นที่มิเชลรู้จักดี
โซนาต้า อี แฟล็ต เมเจอร์ ของวาลดีนี่
เพลงโปรดของมาเรียน...
มันเป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่ทราบที่เขาเพลิดเพลินไปกับเสียงดนตรีจนลืมไปแล้วว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ พอรู้ตัวอีกทีก็เป็นเวลาที่แม่บ้านคนเดิมเชิญให้มิเชลไปรอที่ห้องรับรองบนเรือน
แม่บ้านนำมิเชลเดินผ่านตรอกเล็ก ๆ ที่ทะลุออกมายังห้องรับรองหลักของคฤหาสน์ มันเป็นห้องทรงแปดเหลี่ยมที่คาดว่าน่าจะอยู่ในหอคอยทางปีกซ้ายที่เขาเห็นตอนแรก ในห้องปูพรมขนแกะปุยนุ่ม มีเก้าอีกรับรองที่เป็นม้านั่งยาวละเก้าอี้เดี่ยววางเรียงเป็นครึ่งวงกลมโดยมีโต๊ะเล็กคั่นกลาง หน้าต่างถูกเปิดออกทำให้บรรยากาศดูสว่างไสว ตามผนังมีไวโอลินประดับตามซอกระหว่างหน้าต่าง บนตู้แสดงมีรูปภาพในกรอบทองและถ้วยรางวัลจากการแข่งขันตั้งแสดงอยู่
เมื่อแม่บ้านปลีกตัวออกไป ในห้องจึงเหลือแต่เด็กหนุ่มเพียงผู้เดียว มิเชลมีท่าทีกระสับกระส่าย พยายามจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เขามองหากระจกอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนจะเจอกระจกตั้งโต๊ะอยู่หนึ่งบาน และตอนที่เขาส่องกระจกจัดปัดทรงผมอยู่นั่นเอง มิเชลก็เหลือบไปเห็นภาพถ่ายภาพหนึ่ง
มันเป็นภาพของเขากับมาเรียนที่อุ้มลูกสุนัขในอ้อมอกยืนถ่ายคู่กันในสวนของสถานทูตที่เมืองหลวงของแคว้นโปโตแม็ก สหราชอาณาจักร ตัวเขาดูยืนเกร็งดูน่าสมเพชเหลือเกินในขณะที่มาเรียนนั้นดูเป็นธรรมชาติมาก
มันเป็นรูปที่ถ่ายหลังจากเขาทราบว่าเพื่อนหญิงปริศนาที่เขาเที่ยวเล่นด้วยตลอดเกือบเดือนคือเจ้าหญิงของประเทศตนนั่นเอง
ในตอนนั้นเอง เขาได้ยินเสียเห่าของสุนัขและเสียงกุกกักวิ่งลงมาจากด้านบน พอมิเชลหันไปอีกทีก็พบว่ามีหมาพันธุ์บีเกิลวัยกำลังโตวิ่งกระโจนหาอย่างร่าเริง มันกระโดดเหยง ๆ บนต้นขาของมิเชลพร้อมกับหางที่หมุนไปมาราวกับเป็นใบพัด
“ไงเจ้าโมนาร์ท แกตัวโตขึ้นเยอะเลยนี่นา” มิเชลอุ้มเจ้าสุนัขที่ตั้งชื่อตามนักดนตรีแห่งยุคขึ้นมา ซึ่งเจ้าโมนาร์ทก็ไม่รีรอที่จะเลียใบหน้าเด็กหนุ่มด้วยความรักอย่างเหลือล้น “เฮ้ย หน้าฉันเปื้อนน้ำลายแกหมดแล้วรู้ไหม”
ระหว่างที่กอดรัดฟัดเหวี่ยงกับโมนาร์ทอยู่ มิเชลก็ได้ยินเสียงปรบมือสั่งจากประตูทางเข้าห้องรับรอง
“โมนาร์ท อย่าซนสิลูก”
เมื่อได้ยินเสียงของเจ้านาย มันก็รีบกระโดดออกจากอุ้งแขนของมิเชล ก่อนวิ่งกระดิกหางไปหาหญิงสาวที่ออกคำสั่งกับมัน
“นั่ง โมนาร์ท นั่ง”
เจ้าสุนัขแสนซนก็นั่งตามคำสั่งแต่โดยดี มันนั่งกระดิกหางแลบลิ้นมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไร้เดียงสา
หญิงสาวผู้นันคือมาเรียน... เพื่อนแสนสวยและองค์หญิงแห่งราชอาณาจักรที่ไม่ได้พบกันเกือบปีนั่นเอง
องค์หญิงมาเรียนเป็นเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา แต่นั่นมันก็เป็นเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นที่ทั้งสองมีร่วมกัน เธอมีใบหน้าและนัยน์ตากลมโตราวกับตุ๊กตา แก้มแดงฝาด ริมฝีปากเรียวบางแต่งแต้มด้วยลิปสติกสีชมพูกุหลาบดูน่ารักน่าเอ็นดู ผมสีน้ำตาลเกาลัดยาวดัดเป็นลอนผูกโบว์สีเขียวแมลงทับ แลดูเหมาะสมกับสีของชุดกระโปรงบานที่สวมใส่บนร่างบางของเพื่อนสาวคนนี้
แม้ผ่านไปเกือบปีแล้วแต่ใบหน้าของมาเรียนยังดูคุ้นเคย ไม่สิ... มิเชลต้องบอกว่าเธอดูสวยขึ้นมากเลยทีเดียว
กระนั้น...
มิเชลกลับรู้สึกว่าใบหน้าที่ดูคุ้นเคยกลับดูเหินห่างอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ได้พบกันตั้งนานเลยนะ เมอร์ซิเออร์ จิราร์จ”
องค์หญิงมาเรียนกล่าวด้วยโทนเสียงของผู้สูงศักดิ์ ดูเข้ากับท่าทางการเดินที่สง่างามของราชนิกูลผู้อยู่เหนือราษฏรษ์ทั้งปวง
มิเชลได้แต่ต้องข่มใจรับกับความรู้สึกหนักหน่วงที่ถาโถมเข้ามา...
มาเรียนในตอนนี้มิใช่หญิงสาวที่พูดคุยกับเขาเกี่ยวกับดนตรีอย่างร่าเริงอีกต่อไป
เด็กหนุ่มพยายามเกร็งใบหน้าก่อนก้มหัวลงอย่างนอบน้อม เขาไม่กล้าสบตาเพื่อนผู้สูงศักดิ์ตรง ๆ
“ก...กระหม่อมก็ยินดีที่ได้พบฝ่าบาทอีกครั้งพะยะค่ะ...”
เขาก้มหัวอย่างนั้น ทว่า มาเรียนกลับไม่ตอบ
ความเงียบในตอนนี้ช่างเป็นความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนยิ่งนัก มิเชลอยากจะร้องไห้เสียตรงนั้นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แต่เขาก็ยังได้แต่ค้างท่าก้มโค้งไม่อยู่อย่างนั้น
เมื่อไม่ทราบว่าจะเงยหน้าขึ้นเมื่อไหร่ดี สุดท้ายเขาจึงค่อย ๆ แอบเงยหน้าเหลือบมององค์หญิงผู้สูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างหวั่นเกรง
“................”
“................”
และแล้ว มาเรียนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“ดูหน้าเธอตอนนั้นสิ ทำอย่างกับว่าเจอผีอย่างนั้นล่ะ” องค์หญิงมาเรียนกล่าวชี้หน้ามิเชลทั้งที่ยังหัวเราะไม่หยุด
ส่วนมิเชลนั้นดูสับสนในช่วงแรก ก่อนที่ความรู้สึกอึดอัดในตอนแรกเริ่มจางหายไป และจึงเริ่มหัวเราะตามราวกับคนโง่
โดนเข้าเต็ม ๆ เสียแล้ว
เขาลืมไปได้อย่างไรกับนิสัยชอบปั่นหัวคนอื่นของมาเรียน
“องค์หญิงก็เหมือนกันล่ะ เกือบหลอกผมสำเร็จแล้วนะ...”
ก่อนที่มิเชลจะได้กล่าวจบนั่นเอง องค์หญิงมาเรียนก็เข้าโผกอดมิเชลโดยไม่ทันตั้งตัว เขารู้สึกได้ถึงเสียงสะอื้นเบา ๆ ในอ้อมอกจากเพื่อนรักแสนสวยของเขา
“เรียกเราว่ามาเรียนเหมือนแต่ก่อนเถอะ”
เมื่อนั้น ความรู้สึกหม่นหมองทั้งหมดก็มลายสิ้น มิเชลได้แต่ยิ้มเหมือนคนบ้าพลางโอบไหล่ขององค์หญิงตอบ
“ดีใจที่ได้พบมาเรียนอีกนะ”
“เราก็เช่นกัน”
องค์หญิงมาเรียนตอบพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลริน
b g
ความคิดเห็น