ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ลิขิตฟ้าสั่งหวนคืน

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่หนึ่ง (๒/๒)

    • อัปเดตล่าสุด 25 พ.ย. 65


    บทที่หนึ่ง

     

    สามชั่วยามที่นางได้รู้จักหลี่ชิงไป๋ เด็กน้อยนั้นตรงต่อกฎระเบียบ อดทน แข็งแรงเกินเด็กทั่วไป ฉลาดในบางเรื่อง แต่ไร้เดียงสา เด็กที่สามารถเติบโตเป็นเช่นนี้ได้โดยไร้มารดาถือมีบุญวาสนานัก 

    นางอยากเห็นเด็กผู้นี้เติบใหญ่ ถึงกล่าวไปเด็กน้อยอาจตายได้แต่โอกาสน้อยนิด นางสามารถเร่ร่อนเกือบสองร้อยปีไม่ใช่แค่โชคช่วยอย่างเดียว ตอนเป็นมนุษย์นางคงแข็งแกร่งมากพอเป็นวิญญาณเร่ร่อนยังคงมีปราณใช้ได้ยาวนานเช่นนี้

    ณ ตอนนี้นางต้องการคำตอบของเด็กหน้ามึน หลี่ชิงไป๋ไม่ส่งเสียงตอบตั้งแต่ถามนางคิดว่าเจ้าเด็กนี้ต้องการเวลาคิดทบทวนให้ดี 

    แต่นี้แสงจันทรน์แทนแสงแดดแล้วหนา ไฉนยังคิดไม่ได้อีก.. 

    “เจ้าหนู ข้าเข้าใจว่าเจ้าคิดหนักแต่ช่วยหยุดออกกำลังเสียที รีบๆ ตอบข้ามาได้แล้วข้าไม่ได้มีเวลามากพอที่จะรอ” นางว่า หันมาอีกทีเจ้าเด็กนี้ออกกำลังอีกแล้ว สตรีในห้องหอเขาไม่อุ้มก้อนหินยักษ์เดินไปมาหรอกนะ 

    อุ้มหินยังกะอุ้มลูกหมา

    “ข้าไม่ต้องการ”หลี่ชิงไป๋ตอบเรียบๆ พร้อมวางหินหมุนตัวชิ่งหนีคำตอบของเฟิ่งไป๋ทว่านางมั่วเสียเวลาอีกไม่ได้ เฟิ่งไป๋ไม่รอช้าโผล่ไปตรงหน้าเด็กน้อย

    “เจ้าแน่ใจ? คิดให้ดีเสียก่อนนี้อาจเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิตเจ้า”เฟิ่งไป๋แสดงสีหน้าจริงจัง ทำเอาเด็กน้อยก้มหน้าเงียบ

    “มีอะไรก็พูดสิ เจ้าเงียบทำไมทีเมื่อกี้โวยวายเสียงดัง”เฟิ่งไป๋คิ้วขมวดดุว่าเด็กน้อย นางไม่ชอบคนเงียบใส่ 

    ความเงียบนั้นน่ากลัวสำหรับนาง มีเหตุใดทำไม่กล่าวออกมาใจคิดเช่นไรก็พูดออกมาให้หมดสิ ได้ไม่ต้องเคลือบแคลงต่อกันเพราะอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบ..

    “ข้าขอโทษ ฮึก”หลี่ชิงไป๋กัดริมฝีปากพยายามกลัดกลั้นอารมณ์ นางจะมาฟูมฟายต่อหน้าผู้นี้อีกไม่ได้ การร้องไห้สองครั้งติดมันน่าอายเกินสำหรับหลี่ชิงไป๋ 

    หลี่ชิงไป๋คงลืมตัวไปตนเองพึ่งสิบสอง เงาตรงหน้าเริ่มจืดจางมือเล็กโดนจับแบมือบางสวมประสานทะลุผ่านไป เม็ดน้ำค่อยๆ หยดลงมือเล็ก

    “ไม่เอา ไม่เอา ข้าไม่ต้องการพลังเจ้าข้าไม่ต้องการ ได้โปรดอย่าจากข้าไปเลย ได้โปรด”เด็กน้อยเสียงสั่นอ้อนวอนต่อร่างลาง พยายามกุมมือบางลอดผ่านทะลุซ้ำเติมตน เข่าเล็กทรุดลงหิมะฝืนหนา พายุหิมะเริ่มร่ายรำ

    “ชิงไป๋ ยอมรับความจริงเถิด ดวงวิญญาณข้าใกล้ดับเต็มทน หากข้าเจอเจ้าไวกว่านี้สักสิบปีห้าสิบปีข้ามิยอมมอบพลังอันแสนมีประโยชน์นี้ให้เจ้าหรอก ข้าจะเป็นวิญญาณคอยหลอกหลอนเจ้าไม่ว่ายามนอน ยามตื่น ยามกิน หรือยามเจ้ากลายเป็นโฉมสะคราญ จะคอยอยู่ข้างๆ เจ้าให้ขนหัวลุกเลยแต่เพลาการเดินทางอันยาวนานของข้าได้สิ้นสุดแล้ว ปล่อยข้าเถิดข้ามิอาจทนอยู่ได้อีก เจ้าจักยอมรับพลังของข้าได้หรือไม่”

    สายหิมะพัดร่ายรอบกาย หลี่ชิงไป๋ไม่รู้สึกหนาวสักนิดในหัวแสนล้าอยากหยุดคิดทุกสิ่ง 

    หากนางกลับไปใช่ว่ามีคนดีใจ หากนางมีปราณไปนางสามารถใช้ได้หรือท่านพ่อจะหาคนมาสอนสุดท้ายพลังอันยิ่งใหญ่ก็มาพร้อมภาระอันหนักยิ่ง ไม่มีใครหวังดีต่อนางหรอก ทุกคนล้วนเข้ามาเพราะ ชื่อเสียง ลาภ ยศ พลังนางโง่อย่างนี้จะไปรู้ทันใครและหากนางตายไปท่านแม่จะเสียใจไหม

    ‘ข้าควรทำอย่างไรดี’

    ‘แล้วถ้าเจ้ามอบกายเนื้อให้นางเล่า’ สองเสียงปริศนาทับซ้อนดังขึ้นมาในหัวหลี่ชิงไป๋

    ‘ร่างกายข้า?’

    ‘ถูกต้อง ดวงจิตของนางและเจ้าประสานเป็นหนึ่งเดียว ร่างกายเจ้าจักเป็นของนางอย่างสมบูรณ์’

    ‘ได้สิ’ 

    ‘ชิงไป๋แน่ใจนะ ถ้าเจ้าเลือกแล้วเจ้าจะหลับลึกไม่อาจตื่นขึ้นรู้สึกสิ่งใดได้อีกเพียงแต่หากนางทำปรารถนาเจ้าเป็นจริงเจ้าจะรับรู้ นางหมดลมหายใจสุดท้ายเมื่อไหร่เจ้าถึงไปเกิดใหม่ได้’

    ‘ข้าแน่ใจ ถ้าไม่ได้นางช่วยข้าคงตายไปแล้วเรื่องแค่นี้เอง ได้พบท่านแม่ด้วยโดยไม่ต้องให้ท่านมาหาข้าดีจะตาย’หลี่ชิงไป๋ตอบอย่างสดใส ตานิลกลับมาฉายแวว 

    กำไลหยกบนข้อมือเล็กปรากฎลำแสงชี้ตรงไปด้านหลังเฟิ่งไป๋ เผยเด็กชายหญิงส่งยิ้มให้โค้งคำนับต่อเด็กน้อย

    ‘เอ่ยนามของตน ตั้งปณิธานขานรับนาง’ ทั้งสองว่าพลันหายไป ราวกับหลี่ชิงไป๋คิดไปเอง

    ตอนแรกร้องไห้มาตอนนี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ผู้เดียว เฟิ่งไป๋อดส่ายหัวกับเจ้าหนูมากอารมณ์ไม่ได้

    “ข้าตัดสินใจได้แล้ว!!” หลี่ชิงไป๋โผงขึ้น เฟิ่งไป๋สะดุ้งเล็กน้อยนางปรับตามไม่ทันจริงๆ 

    “อะ..อ่าดีเลยงั้นเจ้าพูด...”

    “ข้าหลี่ชิงไป๋ อยากเจอท่านแม่อีกสักครั้งไม่ว่าจะยังอยู่หรือตายขอเพียงให้ได้เห็นร่างนางก็เพียงพอ ขอยอมรับวิญญาณนามว่าเฟิ่งไป๋ตรงหน้าข้าผู้นี้!” ไม่รอช้าเด็กน้อยรีบปฏิญาณตัดหน้า

    เด็กสมัยนี้ใจร้อนเสียจริง! 

    แสงจันทราเชื่อมรวมส่องมายังเฟิ่งไป๋ เปลวเพลิงสีแดงฉานปะทุครอบร่างลางค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสะเก็ดไฟ จากล่างสู่บน

    “เก่งมากเจ้าหนู ถึงเจ้าพูดยาวไปหน่อยก็เถอะ ฮ่าฮ่า” เฟิ่งไป๋ว่า มอบรอยยิ้มแสนงามให้แก่เด็กน้อยนับเป็นรอยยิ้มแรกที่ไม่สามารถควบคุมมันได้ 

    นี้สินะที่เขาเรียกกันว่า ยิ้มจากใจ

    ช่วงเวลาผ่านมาแสนยากลำบากเหงาเดียวดายเดินทางเพียงลำพัง พบเจอผู้คนมากมายกับมีน้อยคนที่ได้เสวนา หลายเหตุการณ์ที่ผ่านพบในชีวิตต่างให้ความรู้สึก สุข ทุกข์  โลภ โกรธ กลัว ยินดี ปนเปกันไปจนกลายเป็นเฟิ่งไป๋ผู้ท่องโลกมามาก.

    เหล่าเด็กพวกนั้นจะเป็นอย่างไรบ้างหวังว่ายังคงสุขสบายดี นางไม่อาจกลับไปหาพวกเขาได้แล้ว....สองบุรุษที่ชอบโผล่ขึ้นมาในหัวทำเอานางเจ็บปวดดวงใจทั้งทีปราศจากรู้จักคงมิอาจได้พบกันและสาเหตุการตายของนาง?  เป็นดั่งว่าคนใกล้ตายมักนึกย้อนเรื่องราวผ่านมาของตน

    ช่างมันปะไร นางจะไปสบายแล้วหมดห่วงเป็นพอ 

    “สวรรค์เจ้าจะได้เจอข้าแล้วจงดีใจเสียละ”นางปิดกลีบตาทว่าเหมือนมีก้อนอะไรพุ่งมากอด

    “ครั้งนี้ข้าจะไม่ร้องไห้!”เด็กน้อยเอ่ย เอาหน้ามุดลงที่อกเฟิ่งไป๋ นางส่ายหน้ามือลูบแผ่นหลังเล็กจวบจนร่างลางสลายหายไป เหลือเพียงเปลวไฟก้อนเล็กลอยอยู่บนมือหลี่ชิงไป๋ ร้อนแต่กับอบอุ่น...

    จ้องมองสลักเก็บความงดงามนี้ไว้ในดวงใจ

    “ไว้พบกันนะ ท่านเทพของข้า” เสียงเล็กล่ำลา ยกมือทั้งสองปล่อยก้อนไฟไหลเข้าปากกลืนกินจนหมดสิ้น

    ไฟลุกโชนอาบร่างเล็กทรุดนอนกลางหิมะได้ละลายลงนำร่างสู่พื้นดิน มองฟ้าเจอดวงดาวมากมายส่องแสงเปล่งประกายอวดโฉมตนดวงใดเด่นกว่ากัน 

    ดวงตาเล็กแสนล้าค่อยๆ ปิดลง

    ข้าไม่เสียใจเลยเฟิ่งไป๋..

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×