ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นิมิตรา...ปาฏิหาริย์แห่งใจ

    ลำดับตอนที่ #1 : เมืองวสุธา

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 50


      
                      ณ  เมืองวสุธา

                      ท่ามกลางตลาดที่แสนวุ่นวายกลางใจเมือง    ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาเพื่อจับจ่ายซื้อของ  แดดยามบ่ายที่ส่องแสงร้อนแรงส่งผลให้นักซื้อรีบเลือกของ  เพื่อจะได้กลับบ้านไปหลบแดด   แต่แปลกที่กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ   กำลังยิ้มเหมือนมีความสุขที่ได้ตากแดดร้อนๆ  ท่ามกลางสายตาของคนที่แอบนึกอยู่ในใจว่า

                    บ้าไปแล้วหรือไงนะหมอนี่    แดดร้อนจะตายยังยิ้มอยู่ได้

                    แต่ไม่ว่าใครจะคิดยังไง   เด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่สน   เพราะ........

                   “ เย้   หนีออกมาได้แล้ว   เหนื่อยแทบตาย ” อาศิระ  เด็กหนุ่มที่มีผมและดวงตาเป็นสีน้ำเงินบ่นอย่างดีใจ 

                    “เอาล่ะ  ก่อนอื่นต้องไปเที่ยวฉลองอิสรภาพซะก่อน  ” อาศิระออกเดินอย่างมาดมั่น  แต่ก็แค่ก้าวเดียวเท่านั้น 

                    จู่ๆ  โซ่เส้นหนึ่งก็พุ่งเข้ามัดตัวอาศิระอย่างรวดเร็ว  อาศิระที่กำลังก้าวก็เลยล้มคะมำไปข้างหน้า

                    “ โอ๊ย ! ” อาศิระร้องเสียงหลง  พลางหันไปหาคนที่ประทุษร้ายเขาอย่างโกรธเคือง  ก็พบเจ้าของโซ่และผู้หญิงอีกคนที่ยืนเคียงข้างดูเด่นเป็นสง่าอยู่กลางทาง   เพราะผู้คนพากันไปหลบข้างทางด้วยกลัวลูกหลง    
            
                     “  นี่นาย  ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะ  ”  อาศิระโวยวาย  พยายามดันตัวเองให้ยืนขึ้น  แต่ก็ทำไม่ได้ 

                    “ พี่สุคนธ์  ช่วยด้วย  นายนั่นจะฆ่าผมแล้ว ” อาศิระหันไปอ้อนพี่สาวแท้ๆ  ที่มีผมสีน้ำเงินยาวและดวงตาสีเดียวกัน   สุคนธ์ที่ยืนข้างเจ้าของโซ่รีบวิ่งไปหาอาศิระ และพยุงขึ้นนั่ง

                     “ หยุดดิ้นเหอะน่า  ไอ้ลูกหมา  ช่างก่อเรื่องดีนัก ” ชายเจ้าของโซ่ หรือทิวา เจ้าของเรือนผมสีเหลืองสดใสกล่าวพลางเดินมานั่งยองๆข้างอาศิระ    พลางหันไปพูดกับพวกชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์อย่างสนใจ

                      “  ไม่มีอะไรหรอกครับ   ผมแค่มาตามจับน้องเขยที่หนีออกจากบ้าน ” ผู้คนจึงเลิกสนใจการจับกุมและหันไปซื้อของตามเดิม  แต่....

                      “ โอ๊ะ ! ”  ทิวาร้องทันทีที่โดนศอกของสุคนธ์กระทุ้ง 

                      “  ฉันยังไม่ได้แต่งงานกับนายนะ   ” สุคนธ์กล่าวเคืองๆ “ เพราะงั้น อาศิระก็ไม่ใช่น้องเขยนาย ”

                      ทิวาหน้าเสีย   อาศิระยิ้มอย่างสะใจ  และกล่าวเหน็บแนม

                      “ สมน้ำหน้า ”  

                       ทิวาหันมาจิกตาอาศิระทันที 
     
                      “ เดี๋ยวก็ไม่ถอดโซ่ให้หรอก ”ทิวาขู่   อาศิระหันไปฟ้องพี่สาว

                      “  พี่สุคนธ์  นายนั่นจะช่วยผม ”

                      “ ทิวา  ถอดโซ่...... ” สุคนธ์พูดยังใม่ทันจบ

                      “ ก็ได้  ” ทิวากล่าว  พลางเอื้อมมือขวาไปวางบนโซ่   เกิดแสงสีฟ้าสว่างวาบ  แล้วโซ่ก็หายไปพร้อมกับแสงนั้น

                      “ เฮ้อ ..... สบายจัง ” อาศิระบิดตัวไปมาเยาะเย้ยทิวา  เขาไม่เคยกลัวพี่ทิวาเลย   แม้ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นอัจฉริยะในทุกด้าน  และตามจับเขาได้ทุกครั้งที่หนีออกมาก็ตาม 

                       นั่นเพราะเขารู้จุดอ่อนของผู้ชายคนนี้นั่นเอง

                       “ ไอ้ลูกหมาเอ๊ย ” ทิวาว่าอาศิระอย่างที่เคยทำเป็นประจำ  แต่ไม่เคยโกรธหรือรังเกียจอย่างที่แสดงออกมาสักครั้ง  

                      “ ดูสิ  เนื้อตัวมอมแมมไปหมด ” สุคนธ์พยุงอาศิระให้ยืนขึ้น  

                      “เพราะนายนั่นแหละ ” อาศิระโบ้ยความผิดไปให้ทิวา  “  เล่นเกินกว่าเหตุ ”

                     “  ก็ลูกหมาอย่างนายชอบหนีออกจากบ้านเองนี่นา ” ทิวาโต้กลับ “ ถ้านายไม่หนี   ฉันก็ไม่จำเป็นต้องทำรุนแรงกับนาย ”

                    อาศิระกับทิวาจ้องตากันราวกับโกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน

                    “ พอเหอะน่า ” สุคนธ์ไปยืนคั่นระหว่างคนทั้งคู่  ส่ายหัวอย่างเบื่อหน่าย  “  แกล้งทำเป็นไม่กินเส้นกันอยู่ได้  จริงๆแล้วรักกันจะตายไม่ใช่หรือไง ”

                     “ ไม่ ” ทิวากับอาศิระตอบพร้อมกัน   ก่อนจะแอบยิ้มออกมาทั้งคู่

                      “ นั่นไง  พวกนายยิ้มออกมาแล้ว  ยอมรับสักทีเถอะนะ ” สุคนธ์เย้า   จากที่ยิ้ม  ทั้งคู่จึงรีบปั้นหน้าขรึมทันที

                      “ ผมเกลียดนายนั่นจะตาย ” อาศิระกล่าว

                      “  ฉันก็ไม่มีทางญาติดีกับลูกหมาอย่างนายหรอก ” ทิวาโต้กลับ 

                      สุคนธ์ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ

                      ถ้าอาศิระอยู่กับเธอสองคน  เวลาพูดถึงทิวาจะเรียก  ‘ พี่ทิวา ’ตลอด   ทิวาก็เหมือนกันทั้งๆที่รักอาศิระเหมือนน้องชายแท้ๆ  ไหงเวลาเจอกัน    จึงเปลี่ยนสรรพนามเป็น ‘ นี่นาย’  กับ ‘ ไอ้ลูกหมา ’ไปได้ 

                       “ ก็ได้   พวกนายเกลียดกันจริงๆใช่ไหม ? ”

                       “ ใช่ ” คนปากแข็งทั้งคู่ตอบพร้อมกัน

                       “ได้  ” สุคนธ์ทำใจ ก่อนเอ่ยน้ำเสียงเย็นๆ   “ ทิวา  นายไม่ต้องไปประชุมกับฉัน    ฉันจะไปคนเดียว  ”

                      “ แต่ ….” ทิวาทำหน้าเลิ่กลั่ก

                      “ ไม่มีแต่.....  อย่าลืมนะว่านายเป็นคนใช้   ฉันสั่งอะไรนายต้องทำตาม  ”

                     “ แต่เธอเป็นใคร  เธอก็รู้  เธอไปคนเดียวไม่ได้หรอก  ”  ทิวาแย้ง  ความห่วงใยฉายชัดในแววตา  แต่สุคนธ์ทำเป็นไม่สนใจ

                     “ งั้นนายคงลืมไปเหมือนกันว่า  อาศิระเป็นใคร  สำคัญกว่าฉันแค่ไหน ” คำตอบของสุคนธ์  ทำเอาทิวาพูดไม่ออก

                     ใช่  อาศิระสำคัญยังไง สำคัญกว่าสุคนธ์ขนาดไหน  เขาย่อมรู้  แต่เขาปล่อยให้สุคนธ์ไปคนเดียวไม่ได้

                       อาศิระมองทิวาอย่างเห็นใจ    เขารู้ตัวเองดีว่าสำคัญกว่าพี่สุคนธ์ก็แค่ตำแหน่งเท่านั้น   ถ้าเทียบในแง่อื่นเขาก็เป็นแค่คนไร้ค่า     

                       คนที่เห็นค่าของเขาก็มีแต่ พี่สุคนธ์กับพี่ทิวาเท่านั้น

                       เพราะงั้น.......เขาจะไม่มีวันทำให้พี่สุคนธ์กับพี่ทิวาเสียใจ  นั่นคือสิ่งที่เขาย้ำกับตัวเองมาตลอด 

                      “ พี่สุคนธ์อย่าโกรธเลยนะ   ผมกับพี่ทิวาก็แค่แกล้งไม่กินเส้นกันเท่านั้น   พี่อย่าถือเป็นจริงจังสิ   เห็นไหม  ” อาศิระโอบไหล่ทิวาพลางยิ้มกว้างให้   ทิวาก็ยิ้มกลับอย่างรู้แกว

                       “ ใช่แล้ว  ผมรักอาศิระเหมือนน้องชาย   เธอก็รู้  ” ทิวาตอบ  “เพราะงั้น....เราไปด้วยกันทั้งสามคนเลยดีไหม   ฉันจะปกป้องพวกเธอทั้งคู่  ฉันสัญญา ” 

                         สุคนธ์มองอาศิระกับทิวาอย่างตัดสินใจ  หมุนตัวไปข้างหน้าพลางแอบยิ้ม 
    ถ้าเธอใช้แผนนี้เมื่อไหร่   ทั้งคู่ก็เลิกเก๊กทุกที  
                         
                         “ ได้  งั้นเราไปด้วยกัน ”   สุคนธ์ยิ้ม

                           


                         หลังจากที่อาศิระกับทิวาเดินตามสุคนธ์ไปสักพัก   ทั้งคู่ก็มองหน้ากันอย่างแปลกใจ   เมื่อสุคนธ์มัวแต่เดินดูสินค้าข้างทาง   ไม่ไปที่ห้องประชุมของพื้นที่ราชการสักที

                          “  พี่สุคนธ์   เอ่อ...พี่ไม่ไปประชุมหรือไงครับ  ” อาศิระถาม  สุคนธ์หันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้

                          “ ไม่ไป ”

                         “ ทำไมล่ะ   คงไม่ได้ติดเชื้อขี้เกียจจากไอ้ลูกหมานี่หรอกนะ ”ทิวาโยกหัวอาศิระไปมาอย่างเอ็นดู  

                         “ เปล่า ” สุคนธ์ยิ้ม “ ฉันไม่ได้ติดเชื้อ  แต่เรื่องการประชุมนั่นฉันโกหก  จริงๆแล้วไม่มีการประชุมอะไรทั้งนั้น  ”

                          “ อ้าว ” ทิวา กับอาศิระถาม

                          “ ก็ฉันเบื่อคนปากไม่ตรงกับใจ  ก็เลยกุเรื่องประชุมนั่นขึ้นมา ” สุคนธ์ไปหยุดที่ร้านขายไอศกรีม 

                           “ รสช็อกโกแลต 3 ที่   ใส่ขนมปังค่ะ  ” สุคนธ์สั่งไอศกรีมอย่างที่เคยสั่งประจำ   “ แล้วก็ได้ผลจริงๆ   พวกนายเลิกเก๊กใส่กันแล้ว”

                           ทิวากับอาศิระหันมามองหน้ากัน  ก่อนจะยิ้มออกมา

                           “ก็ได้   วันนี้ยอมให้เธอวันนึง  ” ทิวาตอบ

                          “  ถ้าพวกนายยอมดีกันแล้ว   เราก็กลับบ้านกันได้แล้ว ” สุคนธ์ตอบพลางยื่นขนมปังใส่ไอศกรีมให้

                         “  ไม่ได้นะ ” อาศิระโวยวาย “ กว่าผมจะหนีออกจากได้   เหนื่อยแทบตาย  พี่สุคนธ์กับนายจะใจร้ายไม่พาผมไปเที่ยวหน่อยหรือครับ”

                        “  พวกพี่ออกมาก็เพื่อตามอาศิระกลับบ้านนะ ” สุคนธ์ตอบ

                        “  อีก 2 วัน  ท่านก็จะกลับมาบ้าน   ถ้าท่านรู้ว่านายหนีออกมาอีก   นายไม่รอดแน่ ” ทิวาขู่
       
                        “ ผมไม่กลัวหรอก   โดนกักบริเวณซะจนชินแล้ว ” อาศิระสลดนิดนึง  ก่อนยิ้มออกมาใหม่  “ เพราะงั้น......พาผมเที่ยวนะ... นะ....นะ....” อาศิระออดอ้อน

                        ทิวากับสุคนธ์มองหน้ากัน  ก่อนจะยิ้มออกมาทั้งคู่   พวกเราแพ้ลูกอ้อนของอาศิระทุกที

                       “ ได้  แต่เราจะเที่ยวถึงเย็นนะ   โอเคไหม   ” สุคนธ์ตอบ

                        “ ไชโย ” อาศิระกระโดดตัวลอยอย่างดีใจ
     
    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++

                        การเที่ยวตลาดเป็นไปอย่างราบรื่น  พวกเราแวะซื้อของกินเป็นส่วนใหญ่ อาศิระมองพี่ทิวากับพี่สุคนธ์เที่ยวด้วยกันอย่างมีความสุข  

                         อาศิระรู้ว่าพวกเขาทั้งคู่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เที่ยวด้วยกันบ่อยนัก   แม้จะอยู่ด้วยกันเกือบตลอดเวลาก็ตาม   นั่นเพราะพวกเขามีงานที่ต้องรับผิดชอบ 

                        ‘ พี่สุคนธ์ ’ จริงๆแล้ว คือ  เจ้าหญิงเสาวคนธ์ แห่งเมืองวสุธา   เป็นเจ้าหญิงที่มีงานรัดตัว   ไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเอง

                        ‘ พี่ทิวา ’  คือ  องครักษ์จิตรทิวา  องครักษ์ของพี่สุคนธ์   ต้องติดตามพี่สุคนธ์ไปทุกที่เหมือนเงาตามตัว  เพื่อคอยป้องกันภัยทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นให้กับองค์หญิง 

                         แม้หน้าที่องครักษ์จะเป็นอาชีพที่ได้รับเงินเดือนสูงมากอาชีพหนึ่งในทุกเมือง

                          แต่อาศิระรู้   สำหรับพี่ทิวาแล้ว  แม้ว่าหน้าที่นี้จะไม่ได้รับค่าจ้าง  พี่ทิวาก็ยังเต็มใจทำ   นั่นเพราะมีพี่สุคนธ์เป็นองค์หญิง 

                        เหตุผลของพี่สุคนธ์ในการเลือกพี่ทิวาเป็นองครักษ์ก็คงไม่ต่างกัน 

                        แม้จะมีผู้มาสมัครเพื่อรับคัดเลือกเป็นองครักษ์นับพัน   แต่พี่สุคนธ์ก็เลือกพี่ทิวาเป็นองครักษ์เพียงคนเดียว   

                        เพราะทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก   เรียนด้วยกัน   ดูแลกันและกัน  จนกระทั่งเรียนจบพร้อมกัน   และทั้งคู่ก็ดีกับอาศิระมากๆ

                        ส่วนอาศิระ  ก็คือ .................

                        อาศิระมองทั้งคู่อย่างตัดสินใจ   ก่อนจะหมุนตัวกลับและเดินไปอีกทาง 

                       ทำไงได้     นานๆทั้งคู่จะได้เที่ยวด้วยกัน    เขาก็แค่ไม่อยากเป็นก้างขวางคอก็เท่านั้น (  ทั้งๆที่ทำเป็นประจำก็เถอะ )
     
                       อาศิระเดินไปตามทางซึ่งมีจุดสิ้นสุดที่ปลายท่า

                       เขาชอบทะเล    ชอบที่มันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา   

                       มาที่นี่ทีไร  ก็มีความสุขทุกครั้ง  แต่ครั้งนี้....

                       อาศิระขมวดคิ้วอย่างสงสัย   เมื่อเห็นอันธพาลกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมหน้าล้อมหลังผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ 

                       “ อย่ามายุ่งกับฉันนะ ” ผู้หญิงที่มีผมและนัยน์ตาสีแดง ซึ่งตกอยู่ในวงล้อมกล่าวขึ้น

                       “ ได้ยังไงล่ะจ๊ะน้องสาว  ยังไงน้องก็ต้องรับผิดชอบที่ทำให้พี่ตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น  ”  เดช  ชายร่างกลมเตี้ยกล่าวขึ้น 

                       “ใช่   พี่ชายฉันเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดที่นี่    เธอก็อย่าเล่นตัวไปเลยนะ  รับรองถ้าได้อยู่กับพี่ชายฉัน  เธอจะสบายไปทั้งชาติ ” เด่น  น้องชายเดชที่มีรูปร่างไม่ต่างกันกล่าว

                        “  ฉันไม่ต้องการความสบาย   ฉันดูแลตัวเองได้  มีแต่พวกนายล่ะที่จะเจ็บตัวถ้ามายุ่งกับฉัน ” เสียงหญิงผมแดงกล่าวน้ำเสียงเข้มแข็ง   ดวงตาฉายประกายแข็งกร้าว

                       “ ใช่แล้วล่ะ  ผู้หญิงเขาไม่เล่นด้วย  ยังจะมาตื้ออีก ” อาศิระเอ่ยปากยุ่งเรื่องของชาวบ้าน  ก่อนจะแทรกตัวเองออกจากวงล้อม 

                       “ แบบนี้คนแถวบ้านฉันเรียกว่า  ‘พวกไม่มีน้ำยา ’ รู้ไหม ? ”

                        เดช  เด่นและพรรคพวกกัดฟันกรอดกับคำด่า

                        “ ไอ้หน้าอ่อน  แกรู้ไหมว่าพวกฉันเป็นใคร  ” เดชทำท่าวางมาด  เด่นและพรรคพวกจึงทำตาม

                       บ้าหรือเปล่าว่ะ   เก๊กอยู่ได้  ไม่เห็นจะเท่ห์เลย     อาศิระบ่นในใจ

                        หญิงสาวผมแดงที่เคยเคราะห์ร้าย   ตอนนี้กลับยิ้มออกมาราวกับกำลังตลกกับแหตุการณ์ตรงหน้า

                       “ แล้วพวกแกเป็นใครล่ะ ” อาศิระทำหน้าบ๊องแบ๊วสุดฤทธิ์   พวกอันธพาลเลิกเก๊ก   ทำหน้าโกรธแค้นสุดขีด

                       “  พวกแกไม่ใช่พ่อใช่แม่ฉันสักหน่อย    เพราะงั้นฉันไม่จำเป็นต้องรู้จักพวกแก ”

                       “  วอนหาเรื่องตายแล้วไอ้หมอนี่  เฮ้ยพวกแก   ” เด่น  สั่งลูกน้อง
                
                      “  ลุยมันให้เดี้ยง ” 
     
                      ฉับพลัน หมัดหนักหลายหมัดก็พุ่งเข้าหาอาศิระอย่างมุ่งร้าย  อาศิระย่อตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียว 
     
                      พลั่ก ! 

                      อาศิระหน้าหัน  เพราะโดนหมัดหนึ่งเข้าเต็มหน้า 
     
                    “  แน่จริง  อย่าเล่นหมาหมู่สิว่ะ ” อาศิระโวยวาย  รู้สึกมึนหัวไปหมด  พอตั้งสติได้ก็ต่อสู้ด้วยท่าที่เคยเห็นพวกทหารในวังใช้   แต่พวกมันมีจำนวนมากกว่า   สุดท้าย....
     
                      โครม ! 
     
                      โอ๊ยเจ็บ !  หลังฉัน
     
                      อาศิระครวญคราง เมื่อถูกโยนเข้าสู่แผงขายหอย  และหลังกระทบถูกมันเข้า  ซวยซ้ำซ้อนเมื่อพื้นสุดที่รักดึงเขาเข้าไปกระแทกอีกรอบ
     

                    โธ่เอ๊ย ! ไอ้พื้นบ้า  ไม่ต้องรักฉันมากขนาดนี้ก็ได้
     
                    อาศิระถูกลูกน้องคนหนึ่งดึงตัวให้ยืนขึ้น และรวบมือไพล่หลัง 
     
                   “  เป็นไง  หายซ่าหรือยัง ”  เดชถามอย่างสะใจ  อาศิระจ้องหน้าเดชอย่างเคียดแค้น   แม้ว่าใบหน้าเขาตอนนี้จะดูไม่ได้  เพราะโดนซ้อมจนอ่วมก็ตาม 
       
                    ไอ้หน้าอ่อนนี่  ฝีมือห่วยเป็นบ้า   เดชหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง 
     
                   “  สงสัยแกจะไม่ใช่คนแถวนี้   งั้นฉันจะบอกอะไรให้เอาบุญ ” เด่น ยิ้มเจ้าเล่ห์  “แถวนี้พวกฉันใหญ่สุด ใครที่บังอาจมายุ่งเรื่องของพวกฉัน  อย่างต่ำก็ซี่โครงหัก  อย่างหนักก็...... ” เด่นเอานิ้วชี้ปาดคอตัวเอง  เป็นสัญญาณบ่งบอกถึง ‘ ตาย ’

                   “  งั้นลองชิมหมัดฉันหน่อยไหม ? ”  แล้วเดชก็หวดกำปั้นใส่อาศิระทันที เมื่อเห็นว่าอาศิระหมดทางสู้แล้ว 
     
                   ใครจะโง่เป็นเป้านิ่งให้แกอัดเล่า  ไอ้พวกบ้า !
     
                    อาศิระก้มหลบทันที  ทำให้คนที่จับมือเขาไว้เมื่อครู่โดนหมัดจากหัวหน้าสุดที่รักของมันเต็มๆ 
     
                    โอ๊ย ! มันร้อง   และสลบไปทันที  อาศิระอาศัยจังหวะนั้น  ผละตัวเองออกมา

                    ลูกน้องมันที่เหลือ  รีบพุ่งตัวเข้าหาอาศิระ
     
                   ตายแน่ ! อาศิระคิดพลางเหลือบมองรอบตัว   เพื่อหาอะไรก็ได้มาใช้เป็นอาวุธ  แล้วอาศิระก็เห็นอะไรบางอย่างที่เรียกรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ผุดขึ้นบนหน้าที่เริ่มอูมแดง
     
                    พวกอันธพาลวิ่งพลางเงื้อหมัดเพื่อจะทำร้ายอาศิระโดยที่ไม่รู้เลยว่า  ตัวเองกำลังจะเจอกับอะไร  
     
                   เมื่อพวกมันอยู่ห่างจากอาศิระแค่คืบเดียว   อาศิระก็เบี่ยงตัวเองออกจากที่ๆเคยอยู่อย่างรวดเร็ว

                   เฮ้ย ! ตูม !

                    เสียงคนตกน้ำ

                   “  ไหนว่าจะสั่งสอนฉัน     ไหงเปลี่ยนใจลงไปเล่นน้ำกันซะล่ะ ”   อาศิระเยาะเย้ยพวกลูกน้องที่ชอบใช้กำลัง  แต่ไม่มีไหวพริบ   จึงถูกลูกไม้เล็กๆของเขาเล่นงาน

                   ก็พวกมันดันลืมไปว่ากำลังสู้อยู่ที่ท่าเรือ  ข้างๆคือน้ำทะเล   เมื่อพวกมันวิ่งมาด้วยความเร็ว    และอาศิระเบี่ยงตัวหลบ   พวกมันจึงเบรกตัวเองไม่ทัน  และตกน้ำไป 

                   ฮ่าๆ ๆๆ อันนี้ไม่ใช่ความผิดเขานะ   ก็พวกมันทำตัวเองทั้งนั้น  ตรงกับคำพูดที่ว่า  ‘  ให้ทุกข์แก่ท่าน    ทุกข์นั้นถึงตัว  ’ เลย   จริงไหม ?

                  “  ลูกพี่   ช่วยด้วย  ”  พวกลูกน้องรีบส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ  เพราะพวกเขาว่ายน้ำไม่เป็น 
     
                  “  ทำงานพลาดแล้วยังมาขอความช่วยเหลืออีกเหรอ  กูไม่ช่วยหรอก ” เดชตอบ 
     
                  อาศิระมองเดช  และเด่นอย่างไม่ชอบใจ
     
                  “  ขนาดหมามันยังรักลูกตัวเองเลยนะ    พวกแกเป็นคนแท้ๆ  ทำไมไม่มีน้ำใจจะช่วยลูกน้องตัวเองล่ะ  ” อาศิระเอ่ยด้วยความโกรธ
     
                 “  แกอยากเป็นพ่อพระ   ก็ลงไปช่วยพวกมันเองสิ  ” เด่นกล่าว  อาศิระมองคนที่กำลังร้องขอความช่วยเหลืออยู่เบื้องล่างเพียงแวบเดียว   ก่อนจะถอดรองเท้าและเขวี้ยงมันทิ้ง 
     
                  แต่เมื่อเขาทำอย่างนั้น  จู่ๆก็มีพลังบางอย่างที่ไม่รู้ว่ามาจากไหน   มาช่วยลูกน้องทั้งหมดของเดชขึ้นมา  ก่อนที่อาศิระจะกระโดดลงไปด้วยซ้ำ 
     
                  “  พ่อหนุ่ม  ทำไมเก่งอย่างนี้ล่ะจ๊ะ   แค่ถอดรองเท้าก็ช่วยคนขึ้นมาได้แล้ว ”
     
                 คิ้วอาศิระมุ่นเข้าหากัน   รองเท้าฉันช่วยคนเนี่ยนะ   ไม่จริงมั๊ง

                “  นั่นสิ  ตอนแรกคิดว่า  พ่อหนุ่มเป็นคนไร้น้ำยาซะอีก   แต่เมื่อกี้อ่ะนะ   สุดยอดเลย    ”  พวกชาวบ้านที่มุงดูเหตุการณ์พากันชื่นชมอาศิระยกใหญ่ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย  

                อาศิระหันมองรอบตัว  เพื่อหาต้นตอของพลังประหลาด  ก่อนจะพบพี่สุคนธ์กับพี่ทิวายืนอยู่ใต้ต้นมะพร้าวที่ชายฝั่ง 

                หยั่งงี้  ฉันก็ไม่กลัวว่าจะถูกรุมอีก   อาศิระยิ้มกว้างอย่างวางใจ  ก่อนจะรับสมอ้างว่า  ‘ ตัวเองเก่ง ’

                “ ตอนแรกฉันก็แค่ออมมือ   เพื่อให้พวกแกดีใจไปเล่นๆ  แต่เมื่อกี้ฉันเอาจริง ”  ชาวบ้านส่งเสียงเชียร์อาศิระกระหึ่ม   ผู้หญิงผมแดงยิ้มและสั่นหัวอย่างเหนื่อยใจ

                 “ พวกแกยังอยากจะมีเรื่องกับฉันอีกไหม ? ” อาศิระถาม  เดชและเด่นมองหน้ากัน  ก่อนจะปฏิเสธ  เพราะกลัวเสียศักดิ์ศรี

                 “  ไม่  ฉันไม่ยอม  เฮ้ย! พวกแก   รุม ” เดชสั่ง  แต่ไม่มีลูกน้องคนไหนทำตามคำสั่ง

                 “ เฮ้ย ! พวกแก ” เด่นสั่งอีกรอบ  เมื่อพบว่าพี่ชายถูกพวกชาวบ้านหัวเราะที่สั่งลูกน้องไม่ได้ 

                 แต่........ลูกน้องก็ไม่ฟังคำสั่งของเด่นเหมือนกัน

                “ ฉันว่า  ก่อนจะสั่ง  พวกแกน่าจะหันไปมองก่อนนะ  ว่ายังมีใครอยู่ข้างพวกแกอีกบ้าง  ”  อาศิระเอ่ย   เดชและเด่นหันไปมองรอบตัว  ก็พบว่าพวกลูกน้องวิ่งหนีหางจุกตูดไปถึงต้นท่าแล้ว 

               “  ไอ้พวกบ้า    ฉันเป็นเจ้านายพวกแกนะ  มาทิ้งฉันแบบนี้ไม่ได้  เฮ้ย  กลับมาเดี๋ยวนี้นะ  ”  เดชสั่ง

                “  พวกนายไม่ต้องสั่งแล้วล่ะ  เพราะถ้าฉันเป็นคนพวกนั้น    ฉันก็จะทิ้งพวกนายอย่างที่พวกเขาทำ ” อาศิระเอ่ย      พวกชาวบ้านเห็นด้วยเป็นแถว

                “ ในเมื่อเจ้านายอย่างพวกแกยังใจดำทิ้งให้พวกเขาจมน้ำตายได้       พวกเขา.....ก็มีสิทธิ์ทิ้งพวกนายได้เหมือนกัน  ” 

     
     


     


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×