คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Theme 1
[Fiction] : Always There
[Starring] Micky & Jeajoong , Yunho & Xiah ,Changmin & ?
[Guest] : BATTLE
[Author] : Project_Y^^
Theme 1
ท่ามกลางผู้คนที่มากมาย ณ บริเวณลานกว้างที่เป็นสถานที่รำลึกถึงความสูญเสียและลาจาก วรองค์สูงประทับยืนตระหง่านนิ่ง สายพระเนตรจับจ้องมองนิ่งนานไปยังเบื้องหลังบุคคลอันเปรียบเสมือนพี่น้อง จนลาลับ อาการทอดถอนพระทัยหนักหน่วงด้วยรู้สึกหนักอึ้ง ความห่วงใยที่มีทำให้ไม่สามารถทอดทิ้งสายใยแห่งความเป็นห่วงนี้ไปได้
แม้จะได้ยินดำรัสย้ำชัดออกมาว่า อย่ายุ่ง แม้จะมองเห็นความทิฐิ หยิ่งทระนงจากอีกฝ่ายเท่านั้นก็ตาม
รยู เจ้าจะรู้หรือไม่นะ ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำมันผิดมหันต์เพียงใด เพียงแค่เจ้าอดกลั้น อดทนกับช่วงเวลาที่ยาวนานต่อไปเพียงแค่อีกนิดเดียวเท่านั้น รอยรักที่เจ้าเฝ้าตามหาก็จะได้กลับมาประทับใจได้ดังเดิม เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้
ถ้อยดำรัสที่ดูถูกเหยียดหยามมนุษย์ ความโกรธแค้นที่ฝังรากหยั่งลึกจนไม่รู้ว่ามันสิ้นสุด ณ ที่ใดนั้น หนทางเดียวที่จะทำให้จิตใจที่ปวดร้าวและบอบช้ำของเจ้ากลับมาดุจเดิมได้ คงจะมีแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
เมื่อถอนพระทัยอีกคราว ก่อนที่จะเบือนพักตร์หันกลับหลัง วรกายสูงโปร่งขยับพระบาทจรดเรื่อย ไล่ทอดพระเนตรไปยังเหล่าผู้คนที่ก้มลงนั่งและยืนไว้อาลัยอยู่ในบริเวณนั้น
ก่อนประทับเฉย ดุจสงบ เมื่อสายพระเนตรจรดนิ่ง ภาพของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทรุดกายนั่งชันเข่าอยู่เพียงเงียบ ๆ คนเดียว ใบหน้าอ่อนใสเจือเลือดฝาดสีชมพูอ่อนตรงแนวแก้มขาวบริสุทธิ์มีหยาดน้ำใสไหลเรื่อยลงมาไม่ขาด
แต่ไม่มีอาการสะอึกสะอื้นร้องเสียงสั่นให้ได้ยินแม้เพียงนิด ความเจ็บปวดที่เกิดจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักเช่นเดียวกันกับผู้คนอื่นนับร้อยทั่วบริเวณนี้ กลับไม่ทรงจับกระแสความโกรธขึ้งกับธรรมชาติที่คร่าชีวิตบุคคลอันเป็นที่รักเลยซักนิด
จะมีก็แต่เพียงความรู้สึกที่เหมือนจะตอกย้ำให้ตนเองจดจำ และพร่ำบอกทุกความรู้สึกว่าบุคคลที่จากไปจะจรดลึกอยู่ในความทรงจำตลอดไปเท่านั้น
มือบอบบางสีเนียนละเอียดกอบกุมอะไรบางอย่างที่คล้องอยู่กับสายสร้อยสีเงินวาวสะท้อนแสงแห่งอาทิตย์ แตะทาบทับอกเล็กราวกับทาบให้มันจรดลึกถึงเนื้อหัวใจที่คงเต้นแผ่วช้าด้วยความเศร้ายามนี้
ก่อนที่มือด้านว่างจะยกขึ้นปัดไล่หยดน้ำตาเล็ก ๆ นั้นให้เหือดหายไป อาการถอนหายใจยาว ก่อนรอยยิ้มวาดขึ้นแม้จะเพียงเล็กน้อยด้วยกำลังพยายามบังคับตัวเองให้กระทำเช่นนั้น
ถ้อยคำที่เอ่ยออกมาเบา ๆ พระองค์ทรงใช้อำนาจที่มีถือวิสาสะ ด้วยอยากได้ยินคำกล่าว ยิ่งมือน้อยนั้นค่อย ๆ วางสายสร้อยลงกับพื้นพร้อม ๆ กับกอบทรายตรงนั้นขึ้นกลบฝังมันลงไปกับแผ่นผืนดินยิ่งทำให้อยากทรงทราบมากขึ้น
กุหลาบสีขาวสะอาดจะถูกวางทับร่องรอยทราย ให้คนที่นั่งมองด้วยรอยยิ้มที่เจือจางนั้นมีหยดน้ำตาไหลรินลงมาอีกครั้ง
“ผมจะรอวันที่เราจะได้เจอกันอีกครั้งนะครับ พี่จุนโฮ.....ผมจะรอ”
ถ้อยคำปวดร้าวที่ได้ยิน ทำให้พระองค์อยากที่จะยื่นหัตช่วยรองรับความเจ็บปวดนั้นเอาไว้เหลือเกิน ยิ่งความบริสุทธิ์ใสที่กล่าวออกมาแบบนั้น ที่ทำได้แค่เพียงเฝ้ารอคอยวันเวลาของตัวเองให้มันหมดลงบ้าง นับจากวินาทีนี้จะต้องทนอยู่กับความปวดร้าวนี้มากมายเท่าใด สิ่งที่ได้รับรู้ขัดแย้งถ้อยดำรัสที่กล่าวย้ำ กล่าวหามนุษย์นัก เพราะอย่างน้อยในเวลานี้ก็มีคน ๆ หนึ่งที่มีคำมั่นสัญญา มั่นคง
ต่อให้ต้องเจ็บปวดกับความสูญเสียนี้ ต่อให้เวลาผันผ่านไปนานเท่าใด ความทรงจำ ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน จวบจนอนาคตก็จะยังมีเงาบาง ๆ ของคนที่รักตลอดไป
และพระองค์หยั่งรู้ ว่าที่กล่าวมา ที่ให้คำมั่นสัญญา มันจะเป็นเช่นนั้น แน่นอน
ช่างหลากพระทัยเสียจริง ที่เพียงแค่มนุษย์เพียงคนเดียว กลับทำให้อุระแห่งพระองค์คล้ายจะเย็นวาบอย่างไม่มีสาเหตุ
“พี่ครับ พี่....พี่ครับ”
กระแสเสียงทุ้มที่ดังแว่วมาจากด้านหลังทำให้พระพักตร์ต้องหันกลับ ดวงเนตรวาววาบกระพริบปริบปราบขับไล่ภาพความคิดให้เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะแย้มโอษฐ์เจือยิ้มต้อนรับบุรุษที่ก้าวเข้ามาใกล้
ปลายเส้นทางที่มีม่านพลิ้วเจือสีอ่อน วรองค์สูงโปร่งค่อยก้าวบาทเข้ามาใกล้ ผ้าพลิ้วสีเขียวอ่อนคล้ายเหลือบประกายสีทองห่อหุ้มประทับนิ่งเมื่อจรดหยุดรอ ไม่รุกล้ำสถานที่ส่วนพระองค์
“เรียกนานแล้วไม่เห็นตอบข้านี่”ขนงเข้มของอีกฝ่ายขมวดมุ่น แววเนตรใคร่สงสัยอยากรู้ ด้วยพี่ชายที่แม้ปกติจะสุขุมเงียบอยู่แล้ว วันนี้กลับคล้ายเหม่อลอยจนผิดแปลก
มีอะไรหรือเปล่าหลังจากที่กลับมาจากดินแดนมนุษย์คราวนั้น
“ตอนนี้พี่ก็หันมามองเจ้าแล้วไงแม๊กซ์” ขยับพักตร์ยินยอมกับถ้อยดำรัสนั้น พลางค่อยก้าวบาทเข้ามาใกล้อีกคราว “พระบิดารับสั่งหา”
ขนงเข้มขมวดมุ่นขึ้นในทันที พระพักตร์เข้มเคร่งเครียดทันควันเมื่อได้ยินเพียงนามเทพสูงสุด พระบิดาแห่งสรรพสิ่งทั้งมวล หากแต่ยังไม่ได้ทรงตรัสถาม รับสั่งที่เอ่ยตอบยิ่งทำให้ความหวั่นวิตกยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“สงคราม??”เอ่ยย้ำถามซ้ำอีกหน แม้รู้แน่แก่พระทัย
“บางทีมันอาจไม่มีทางเลือกครับ พี่ U-Know”
.
.
.
.
.
เสียงกริ่งที่ดังตรงโต๊ะตัวเล็กทำให้ขายาวที่กำลังจะก้าวออกจากห้องหยุดชะงัก ก่อนก้าวกลับมากดรับปลายสายที่ดังแว่วนั้น
//นึกว่านายจะออกจากบ้านแล้วนะเนี่ย//เสียงจากปลายสายทำให้รอยยิ้มวาดขึ้นทันที ก่อนทำเสียงเข้มกลั่นแกล้งด้วยความสนิทสนมกัน
“เกือบแล้ว ว่าไงล่ะ หนีไปเที่ยวทิ้งงานไว้ให้เพื่อนทำหัวโต สนุกล่ะซิ”
//โทษทีนะ มันก็สนุกดี แล้วงานเป็นยังไงบ้าง นายกับแทฮวาไม่เหนื่อยมากนักใช่มั้ย?”
หัวเราะออกมาเบา ๆ พลางแกล้งทำเสียงเข้มอีกหน “เหนื่อยมากต่างหากเล่า มีแต่นายนั่นแหละที่สบายชิบ”พูดจบก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “แต่ช่างเถอะ ของมันรักไปแล้ว ยังไงก็ทุ่มเทอยู่แล้วล่ะ”
//อืม//
“เอาเป็นว่าอย่าลืมของฝากก็แล้วกัน ตกลงมะ??”คำต่อรองทำให้ได้ยินเสียงหัวเราะมาจากอีกฝ่ายได้ไม่ยาก “แล้วก็...ถ้าเป็นไปได้ กลับมาแล้วจะบอกว่า เหตุผลที่ไปเนี่ยมันคืออะไรจะดีมากเลยเพื่อน”ประโยคนี้คนฟังรับรู้ได้ถึงความห่วงใย แม้จะเงียบไปนานจนคนฟังทางนี้รู้สึกเหมือนราวกับว่าวางสายไปแล้วก็ตาม “เซีย ชั้นเป็นห่วงนายนะ” เสียงที่พูดย้ำให้ได้ยินอีกคราวทำให้ผ่อนลมหายใจ ขับไล่ความอ่อนแอให้เหือดหาย
“กลับไปแล้วชั้นจะเล่าให้ฟังนะมิกกี้....ขอบคุณมากที่เป็นห่วง”
ปลายสายวางไปแล้ว มิกกี้ค่อย ๆ วางโทรศัพท์ของตัวเองลงกับแป้นเช่นกัน ก่อนที่จะเหยียดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง เอื้อมหยิบกล่องกระดาษที่บรรจุเอกสารต่าง ๆ เอาไว้ขึ้นมาถือ ขายาวก้าวออกจากห้องพักก่อนเดินเรื่อยไปยังลิฟต์ พลางคิดถึงเพื่อนที่เพิ่งจะวางสายไปเมื่อครู่
เซีย จุนซู ถึงแม้ว่าจะไม่เคยก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว ไม่เคยถามไถ่ความเป็นไปใด ๆ หากความสนิทสนม นิสัยใจคอที่ได้คบจนคุ้นเคย ทำให้อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
ท่าทีของเจ้านั่น แม้จะไม่ปิดกั้นตัวเองจากใคร ๆ แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยความเป็นตัวเองออกมาให้คนอื่นได้สัมผัสเช่นกัน ยากนักถ้าจะเข้าใจ แม้เวลาที่เจ้านั่นคิดอะไร
จะมีก็แต่เค้ากับแทฮวาล่ะมั้ง ที่พอตามทัน ที่พอคาดเดาว่าเซียคิดอะไรอยู่ และอยากทำอะไร ต่อไป
แต่นั่นมันก็แค่เรื่องเรียน เรื่องงานเท่านั้นเอง
ขายาวก้าวเข้าไปด้านในลิฟต์พลางยืนรอให้ประตูมันปิดอัตโนมัติเนื่องจากไม่มีแม้มือจะเอื้อมกดปุ่ม หากแต่พอม่านประตูกำลังจะเคลื่อนเข้าหากันเท่านั้น เสียงใครบางคนก็เรียกรั้งจนทำให้ต้องทำท่าจะหันไปเอื้อมกดปุ่มให้หยุดรอ แต่ก็ชะงัก
ก็มันไม่มีมือนี่นา กล่องกองเอกสารเต็มมือเลยนี่
มิกกี้นึกในใจพลางคิดต่อว่าคนที่ร้องเรียกด้านนอกคงจะต่อว่าเค้าไปแล้วแน่ ๆ ที่แค่เพียงกดประตูให้มันเปิดรอก็ไม่ยอมทำ หากอยู่ ๆ ปานประตูที่เขาเข้าใจว่ามันปิดลงแล้วแท้ ๆ นั่นกลับเปิดอ้าออกอีกหน ง่ายดายราวกลับว่ามีคนจากด้านนอกกดปุ่มรั้งเอาไว้ให้
หญิงวัยกลางคนก้าวเข้ามาพร้อมกับก้มหัวลงขอบคุณเค้า มิกกี้ขมวดคิ้วอย่างแปลกใจที่สุด ก่อนที่จะมีใครอีกคนก้าวเข้ามายังด้านในด้วย ใบหน้าขาวสะอาด แก้มสีเรื่อยิ้มสนุกสนานทันทีที่สบตากัน
“ซื้อเตาอบใหม่หรือยังล่ะ?”
มิกกี้ยิ้มตอบพลางส่ายศีรษะไปมา “ยังหรอก ถึงซื้อมาก็ยังไม่มีเวลาอยู่ที่ห้องอยู่ดี”
“เพราะต้องไปเข้าค่ายซินะ”
หืม??
“ท่าทางน่าสนุก เสียดายจังทำไมคณะที่ชั้นเรียนเค้ามียักกะมีกิจกรรมอะไรแบบนี้นะ หืม?? สีหน้านายเหมือนแปลกใจ”หันมามองก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ นัยน์ตาวาวระยับเจือความสนุกสนานอยู่ตลอดเวลา
“ไม่ต้องสงสัยหรอกน่า ไอ้เรื่องที่คณะวิทยาศาสตร์ไปเข้าค่ายเกี่ยวกับการสัมมานาวิชาการเรื่องคลื่นยักษ์ที่ถล่มนิวยอร์กน่ะ ถ้าเรียนมหา’ลัยเดียวกันแล้วไม่รู้ซิแปลก”
มิกกี้พยักหน้ารับรู้ หากไม่คลายความสงสัย เรื่องที่นายรู้ว่าที่คณะชั้นมีจัดสัมมนามันไม่น่าแปลกใจเท่ากับท่าทางที่นายทำเหมือนรู้ว่าชั้นกำลังคิดอะไรอยู่นี่ต่างหาก ทำไมถึงได้ตอบออกมาราวกับได้ยินเสียงในใจชั้นพูดแบบนี้
“นายเรียนมหา’ลัยเดียวกันกับชั้นรึ?”
“ช่าย...แล้ววว”คำตอบที่ได้ยินเจือปนเสียงใสหัวเราะร่าเริง มิกกี้พยักหน้ารับรู้ก่อนที่จะค่อยก้าวออกจากลิฟต์เมื่อมันลงมาหยุดที่ชั้นล่างสุด ผงกศีรษะคล้ายจะเอ่ยลาคนที่ยังยืนยิ้มอยู่ด้านนอกนั่นยังไม่ก้าวไปไหน
หากเสียงตะโกนที่ได้ยินแม้ไม่ดังนักนั้นทำให้ต้องหนขวับกลับมามองด้วยความรวดเร็ว ก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดมุ่นด้วยความสงสัยหนักหนามากขึ้นกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
“ขอให้สนุกนะ มิกกี้ ยูชอน”
คนพูดหายไปแล้ว ราวกับว่าหายตัวไปได้ยังไงยังงั้น แค่พียงเค้าหันกลับมา ชั่ววินาทีแค่เสียงที่เอ่ยร้องเรียกนั้นเท่านั้นเองนะ หายไปไหนได้ไวนัก
ที่สำคัญ ถ้าเมื่อครู่หูมันไม่ฝาดไม่เฝื่อน ชื่อที่ได้ยินออกมาจากปากคน ๆ นั้น มันชื่อของเค้าอย่างนั้นใช่มั้ย?? แล้วไปบอกตอนไหน แนะนำไปเมื่อไร
แปลกชะมัด
.
.
.
บานประตูไม้สลักมหึมาเปิดกว้างต้อนรับ ภายในห้องโถงรโหฐานกว้างขวาง เบื้องหน้าคือบัลลังก์สูงสีทองระยับเด่นตระหง่าน ด้านข้างกอปร ลายฉลุสวยงามปานเนรมิต บรรดาเหล่าเทพน้อยใหญ่ต่างพากันทยอยเข้ารับฟังถ้อยดำรัสมหาเทพสูงสุด
สาเหตุเดียวที่ทำให้ต้องประชุมผองเทพมากมายเช่นนี้ ราวกับจะนัดมาจนหมดทั่วสรวงสรรค์นั่นเพราะคำว่า....สงคราม....
วรองค์บอบบาง ที่คลุมสวมทับเนื้อผ้าสีเหลืองอ่อนบางจรดบาทก่อนทรุดวรองค์นั่งเคียงข้าง จนทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ก่อน ต้องหันมามอง เนตรดำระยับ โอษฐ์บางราวกับจะเจือรอยแย้มสรวลอยู่ตลอดเวลานั้นสร้างความหลากพระทัยจนต้องเอ่ยตรัสถามขึ้นมาจนได้
“โลกมนุษย์มีอะไรสนุกหรือไง ถึงได้ทำสีหน้าเช่นนี้แจจุง”
เจ้าของพระนามหันมาสบเนตรด้วย หัตถ์บอบบางยกแตะปัดไรเกศาสีขาวให้หลีกพ้นวงหน้างดงาม ก่อนจะแย้มสรวลส่งเสียงขบขันออกมาให้ได้ยิน “ก็สนุกกว่าอยู่ที่นี่มากนักล่ะแม๊กซ์ ท่านไม่รู้หรอกน่า”
“จริงรึ?”เอ่ยย้ำถามซ้ำอีกหน คนตอบก็ขยับพักตร์ไว เปรียบคำตอบดุจเดิม “มีอะไรตั้งเยอะแยะที่สวรรค์ไม่มีนะ หรือท่านไม่เชื่อ?”
“ยากนักที่ข้าจะไม่เชื่อท่านนะ เพียงแต่ สวรรค์มีเรื่องให้ข้าต้องคอยดูแล ไม่ว่างเที่ยวเล่นเช่นท่านได้ ท่านเทพพยากรณ์”
สุรเสียงขบขันดังแว่วมาอีกคราว แจจุงขยับพักตร์ไปมา ยินยอมรับข้อกล่าวหานั้นอย่างไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ ทั้งสิ้น หากไม่วายเอ่ยด้วยสุรเสียงสนุกสนานแก้ต่าง
“นั่นเพราะมีบางสิ่ง ที่ทำให้ข้าอยากรู้มากนักต่างหากเล่า แม็กซ์ ใช่ว่าข้าจะไปเที่ยวเล่นเสียอย่างเดียว”
“เหตุผลใดของท่านล่ะ?”ขนงเข้มขมวดรอคอยคำตอบ เทพแห่งการพยากรณ์แย้มโอษฐ์เจือรอยยิ้มหวานก่อนดำรัสตอบข้อสงสัย
“ถ้าท่านเป็นเทพพยากรณ์แบบข้า แล้วไม่สามารถแม้เพียงทำนายเรื่องของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งได้ ท่านจะแปลกใจจนคิดตามหาคำตอบมั้ยล่ะ ท่านเทพแห่งการเวลา”
หืม?????
“อย่าแปลกใจเลย.....สิ่งที่ข้าพูดเป็นเช่นสิ่งที่ท่านได้ยิน....และนั่นคือสิ่งที่สนุกสนานสำหรับข้านะ”
แจจุงหันพักตร์กลับไปก่อนที่จะรีบลุกขึ้นเมื่อมหาเทพเสด็จดำเนินขึ้นบนบัลลังก์ทองพอดี หยุดการสนทนากันแต่เพียงเท่านั้น เทพแห่งการเวลาเบือนพักตร์มาอีกครั้ง คราวนี้จำต้องขบคิด
ก็แปลกนัก มีหรือที่มนุษย์ผู้ใด ที่เทพแห่งการพยากรณ์จะทำนายหรือล่วงรู้ซึ่งความเป็นไปไม่ได้ ทั้งที่ไม่ว่าจะอดีตชาติ ปัจจุบัน หรืออนาคต ขอเพียงได้สบสายพระเนตรแค่ชั่วเวลาเท่านั้น.....หากทุกความคิดค่อยหยุดชะงักลง เพียงสุรเสียงแห่งพระบิดาเอื้อนดำรัส การสนทนาหารือเรื่องราวที่ถือเป็นปัญหายิ่งใหญ่นักของสวรรค์ก็เริ่มต้นขึ้น
.
.
.
TBC ค่ะ
ความคิดเห็น