คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่หนึ่ง (๑/๒)
บทที่หนึ่ง
ท่ามกลางสายหิมะพัดแรงสิ่งมีชีวิตตัวกระจ้อยรอบกายล้อมด้วยสัตว์อสูรนับสิบนอนขดท่วมร่างย้อมไปด้วยเลือดและบาดแผล เฟิ่งไป๋ผู้ผ่านมาเห็นอดสงสารไม่ได้จึงคิดช่วยเหลือนึกมีไม่บ่อยนักที่ขยับร่างโปร่งแสงได้ดั่งใจ
“เอ่อ..เจ้าหนูมีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”เจ้าตัวน้อยดูไม่รับรู้ถึงนางชูมือขวาขึ้นดีดนิ้วไปหนึ่งทีเกล็ดหิมะลอยนิ่งกลางอากาศ สัตว์ร้ายเตรียมพุ่งมาลอยค้างรอบกายเด็กน้อยไร้การเคลื่อนไหวไร้เสียงอื่นนอกจากเฟิ่งไป๋ผู้นั่งบนต้นดอกเหมยฮวาบานสู้เหมันต์
“ลืมตาได้แล้วเจ้าหนู”นางกระโดดลงหาเด็กน้อยเขย่าตัวเบาๆ ด้วยสีหน้าเป็นมิตร
เปลือกตาเด็กน้อยเปิดฉายในตาดำสนิทไม่มีสีอื่นเจือปนได้จังหวะสำรวจหน้าตาเด็กน้อย ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาเมล็ดซิ่งเหริน ริมฝีปากบนใหญ่กว่าล่าง จมูกโด่งปลายพุ่งเชิด ทรงคิ้วตรงทำให้ใบหน้าดูเมินเฉยไร้ความรู้สึก รูปร่างผอมแห้งไปบ้างเติมอาหารเข้าไปคงงามยิ่งอีก นับเป็นโฉมงามยิ่งกว่าโฉมงามไม่ว่าชายหรือหญิงต่างอิจฉา
“ท่านเป็นเทพสวรรค์มารับตัวข้าหรือขอรับ”เด็กน้อยเอ่ยเสียงเบาพยายามขยับตัวทำให้เลือดไหลออกเยอะกว่าเก่า
“ใจร่มๆ ยิ่งเจ้าขยับตัวเจ้ายิ่งจะเจ็บ”เฟิ่งไป๋แบมือแสงสีขาวปรากฏลอยเข้าตัวเด็กน้อยรอยเลือดจางหายทีละนิดบาดแผดเริ่มสมานชิดแต่การฉีดขาดเสื้อผ้าและฝุ่นผงยังคงอยู่
“ข้าก็ไม่ใช่เทพสวรรค์เป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนนามว่า เฟิ่งไป๋”
“ท่านช่วยข้าทำไม!!”เด็กน้อยลุกขึ้นตวาดใส่ ดูไม่พอใจกับสิ่งที่นางทำ
“ข้าอยากช่วย เจ้าไม่ยินดี?”นางว่า เด็กนี้แปลกประหลาดเป็นคนอื่นกราบไหว้นางบูชาเป็นเทพเทวาไปแล้ว
“ไม่เชิงยินดีข้าเตรียมใจตายไม่คิดว่ารอดแล้ว ท่านช่วยรักษาข้าก็จริงแต่ท่านดูสัตว์อสูรพวกนี้ยังอยู่ ยังไงข้าก็ไม่รอดหรอก”เด็กน้อยชี้รอบกายตน
เฟิ่งไป๋จึงดีดนิ้วอีกสองทีเสียงดังกระทบกลายเป็นคมดาบลมตัดคอสัตว์อสูรทั้งหมด หัวสัตว์อสูรกระเด้นตกโดนเท้าเด็กน้อยหันมายิ้มเจื่อนให้เฟิ่งไป๋
“ข้าขอโทษ..ท่านวิญญาณผู้แสนงดงาม”เด็กน้อยพนมมือกราบไหว้นาง
“ฮาฮ่า เจ้าหนูเจ้าพึ่งมารักตัวกลัวตายเนี่ยนะ”ร่างโปร่งแสงกลายเป็นเงาจางฉับพลันลอยขึ้นเหนือหัวเด็กน้อย สายหิมะกลับมาทำหน้าที่
“ข้าจะไปรู้ได้ไงว่าท่านสามารถฆ่ามันง่าย ๆ”เด็กน้อยเหมือนรับรู้บรรยากาศ หยิบศีรษะสัตว์อสูรมองรูปลักษณะมัน แม้สัตว์อสูรระดับต่ำไม่น่ากลัวมากนักชาวนาชายร่างกายแข็งแรงสามารถฆ่ามันได้อย่างง่ายดายแต่นี้คือเด็กน้อย
“ฮาฮ่าช่างเถอะ เรามาคุยกันดีกว่ายังพอมีเวลา”เฟิ่งไป๋หัวเราะมองเด็กน้อยทำหน้าขยะแขยง
เจ้าไปหยิบมันขึ้นมาทำไมเล่า!
.
.
พูดคุยกันสักพักจึงทราบว่าเด็กผู้นี้มีนามว่า หลี่ชิงไป๋ วัยเพียงสิบสองปี ขึ้นเขาครึ่งเสวี่ยเพื่อเก็บดอกเหมยฮวาบริเวณต้นทางเข้าป่าดอกเหมยไม่มีสัตว์อสูรดันพบคนชุดดำสี่คนทำร้าย
หลี่ชิงไป๋วิ่งหนีเข้าตัวป่าเจอสัตว์อสูรหมาป่าเจ้าถิ่นผู้รักสันโดษ หากมันได้กลิ่นเลือดจากมนุษย์มันจะคลุ้มคลั่งไล่ตามจนกว่าผู้นั้นจนตาย เหล่าคนชุดดำหลังพบหมาป่าก็หายไป
ในดินแดนโจวคุนแห่งนี้เชื่อกันว่า ดอกเหมยฮวาที่เก็บจากเขาครึ่งเสวี่ยไม่มีวันโรยราซึ่ง เขาครึ่งเสวี่ยเป็นกรรมสิทธิ์แคว้นอันดับสองหรือแคว้นเล่อ
ดินแดนโจวคุนแสนห่างไกล ดินแดนทั้งห้า เหตุใดสวรรค์นำพานางมาที่แห่งนี้หรือเพื่อให้นางทำความดีครั้งสุดท้ายกับเจ้าหนูหลี่ชิงไป๋ก่อนจากไปหรือ..
“เด็กน้อย..ทำไมข้าถึงสัมผัสปราณเจ้าไม่ได้กัน” นางสัมผัสถึงไอปราณใดไม่ได้จึงถามให้แน่ชัด อดชั่งใจไม่ได้ว่าหลี่ชิงไป๋นั้นไร้ปราณ
ปราณนั้นเป็นสิ่งที่มนุษย์มีแต่กำเนิด ทุกคนจะได้ปลุกธาตุในตัวยามเมื่ออายุห้าปีหากโชคดีได้ธาตุหายากหรือตรงความต้องการอาจได้เป็นใหญ่เป็นโตมีหน้ามีตา หรือเป็นแค่ชาวบ้านที่พอใช้พลังธาตุตนไว้ยังชีพ
ทว่าหากไร้พลังปราณเท่ากับว่าไม่สามารถฝึกพลังธาตุตนได้ เปรียบเสมือนสิ่งไร้ค่าในทุกดินแดน แม้เป็นชนชั้นสูงอาจโดนประหารเนื่องเป็นสิ่งน่าอับอายต่อวงศ์ตระกูล มีน้อยคนที่ถูกเลี้ยงดูจนโต
“ท่านจะสัมผัสได้อย่างไรในเมื่อข้าไม่มีมัน ฮะฮ่า..”หลี่ชิงไป๋หันหลังหัวเราะกลบเกลื่อนข้างแก้มเริ่มมีหยดน้ำตาพยายามอดกลั้น
หวนนึกถึงคำพูดบิดาว่าเป็นลูกชายต้องอดทน นั้นเป็นคำพูดเดียวที่เคยพูดด้วยจริงจังไร้ความเกลียดชังในตัวหลี่ชิงไป๋ แต่เวลานี้น้ำตาเจ้ากรรมดันกลั้นไม่อยู่ คำถามเฟิ่งไป๋ดันไปจี้ตรงจุดกลางใจ
“เจ้าหนูข้าขอโทษ..ข้านึกว่าเจ้าซ่อนไอปราณอย่าร้องไห้ไปเลยนะ พี่สาวคนนี้จะช่วยเจ้าเอง”เฟิ่งไป๋พยายามพูดปลอบกับจี้จุดกว่าเดิม
เสียงร้องไห้ดังขึ้นอีก
“แค่ปราณข้ายังไม่มีเลยไอปราณคือสิ่งใดข้ายิ่งไม่รู้จัก ข้าอดทนพยายามฝึกฝนร่างกายให้แกร่งมากขึ้นเฉกเช่นเดียวกับพลทหารแม้ไร้พลังยังคงคิดว่าสักวันทุกคนจะเห็นตัวตนข้าบ้างกลับไม่มี ยามข้าใกล้ตายพึ่งนึกได้ว่าตัวตนนี้มันไม่ใช่ของข้าเลยสักนิด ท่านดู!”
หลี่ชิงไป๋ถอดกำไลจากข้อมือซ้ายเขวี้ยงลงกองหิมะ ร่างเด็กชายเริ่มกลายเป็นเด็กสาวตัวเล็กลง ถึงเสื้อจะขนาดใหญ่แต่ทรวดทรงชัดเจนส้มเล็กสองลูกโผล่ขึ้นมาสะโพกนูนเล็กน้อย
ไม่ต้องถามเลยว่าใบหน้าไร้มาดนิ่งได้กลายเป็นสตรีทรงเสน่ห์ วัยเท่านี้กลับเผยโฉมสะคราญล่มเมืองสะแล้ว
เพียงแต่เฟิ่งไป๋รู้ตั้งแต่คราแรกเห็นไม่ได้ตกใจอะไรมากที่แปลกใจกว่าน่าจะเป็นกำไลหยกดูคุ้นตา
“ข้าเป็นหญิง ทำไมข้าต้องปลอมเป็นชายข้าอยากมีท่านพ่อท่านแม่ให้ออดอ้อน ข้าอยากเป็นน้องที่พี่ล้วนห่วงใย ข้าอยากใส่เสื้อผ้าเครื่องประดับเหมือนลูกสาวบ้านอื่นบ้างแต่…ไม่มีเลยข้าทำสิ่งใดไม่ได้นอกจากฝึกฝนร่างกายชีวิต เช่นนี้ข้าก็ยอมได้ยอมทุกอย่าง แต่ข้าขอเพียงสิ่งเดียวแค่ท่านแม่หากวันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่พบท่าน ข้าจะลุกขึ้นยื้อไม่ยอมเชื่อฟังใส่กำไลงี่เง่านี้…”เสียงเล็กตะโกนลั่น
เฟิ่งไป๋ทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับเด็กสาวดี เค้นพลังสร้างกายเนื้อเดินตรงเข้าโผกอดมือยกขึ้นลูบศีรษะเด็กสาวเบา ๆ
เด็กสาวยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า การร้องนี้ไม่ใช่เพราะเฟิ่งไป๋ แต่เพื่อปลดปล่อยความอัดอันในตัวตนชายที่ผ่านมาสิบสองปีเป็นแค่เด็กสาวตัวเล็กในอ้อมอกมารดา..
.
.
แสงแดดอ่อนจากตะวันไร้สายหิมะโปรยปราย ดอกเหมยฮวาล่วงหล่นตามสายลม หลี่ชิงไป๋ลืมตาตื่นพบว่าตนหนุนตักเฟิ่งไป๋ รีบกระเด้งตัวตั้งตรงแก้มสองข้างแดงล่ามถึงใบหูหันหน้าหนีอย่างเขินอาย
“ข้าขอโทษที่พูดเรื่องไร้สาระใส่ท่าน”ร่างกายและจิตใจเป็นสาวน้อยแต่คำพูดการกระทำยังคงเป็นชาย การร้องไห้นี้คือครั้งที่สองให้ผู้อื่นได้เห็นครั้งแรกคือบิดาผู้แสนเย็นชาทำให้นางไม่กล้าร้องต่อหน้าใครอีก
ร้องไห้แล้วมีผู้อื่นปลอบช่างรู้สึกดีเสียเหลือเกิน..
“ไม่เป็นไรข้ายินดี นานครั้งนักกว่าข้าได้ทำตามใจชอบและพูดคุยกับใคร”เฟิ่งไป๋ยิ้มหวานให้ใบหน้าหลี่ชิงไป๋แดงกว่าเก่าจนเฟิ่งไป๋อดห่วงไม่ได้
“เจ้าไม่สบายรึเปล่าทำไมหน้าแดงขึ้น”
“ข้าไม่เป็นไรแค่อากาศร้อนน่ะ” หยิบกำไลหยกสวมข้อมือซ้ายกลับเป็นเด็กชายเช่นเดิม
“ร้อน?”
“ช่างข้าเถอะน่า” หลี่ชิงไป๋หนีอาการเขินอายย่อตัวลงคล้ายกำลังลุกนั่งเป็นกิจวัตรประจําวันตน ในขณะที่เฟิ่งไป๋สับสนกับท่าทีเจ้าหนูหลากอารมณ์
อารมณ์เปลี่ยนไวกว่าอากาศฟ้าก็เจ้าเนี่ยและหลี่ชิงไป๋
เฟิ่งไป๋นั่งคำนึงความเป็นไปได้ข้างกายนาง หลี่ชิงไป๋ตัวน้อยผู้มากอารมณ์เปลี่ยนจากลุกนั่งเป็นวิดพื้นรอบกายทั้งสองไร้วี่แววเสียงสิ่งมีชีวิตอื่นมีเพียงสายลมที่ทำให้ไม่เงียบจนตึงเครียดเกินไป
ผ่านไปสักพักเฟิ่งไป๋ได้ยินเสียงท้องร้องของคนข้างกายแต่เจ้าตัวกับกระโดดสลับขาไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวเสียงนั้นกับดังยิ่งขึ้น
โครกกกก~
เฟิ่งไป๋ทนไม่ได้เดินเอาลำตัวหมาป่ามา ดีดนิ้วเพื่อจุดไฟบนกองไม้กลับเกิดสะเก็ดไฟทำให้ต้นเหมยฮวาที่ทั้งสองนั่งหลบอยู่ติดไฟล่ามทั่วทั้งต้น
เพียงชั่วครู่ต้นเหมยฮวากลายเป็นซากไม้จากการเผาไหม้เพียงต้นเดียวในป่าดอกเหมยที่หิมะตกตลอดปี
“ท่านจุดไฟง่ายๆ ไม่เป็นรึไงทำไมต้นไม้ที่งดงามต้องไหม้เกรียมไปด้วย ทีฆ่าหมาป่ากลับทำง่ายแท้”หลี่ชิงไป๋เอ่ยในมือถือน่องขาหมาป่าสุกกำลังพอดี ขนาดไฟไหม้ต้นไม้เฟิ่งไป๋ไม่ลืมการย่างหมาป่าถึงตัวมันจะไหม้แต่ส่วนขาทั้งสี่ยังคงให้หลี่ชิงไป๋ได้ลิ้มลอง
“รีบกินสะ! ข้าอุส่าย่างได้สีสวย”เฟิ่งไป๋โต้ตอบพลางบ่นอุบอิบในใจเพราะใครกันทำให้ปราณนางใกล้หมดเต็มทนแค่จะจุดกองไฟเล็กๆ กลับกลายเป็นสะเก็ดไฟ
ไฟนางหาใช่ไฟธรรมดามันคือเพลิง
หลี่ชิงไป๋มองสลับหัวหมาป่าที่โดนตัดกับน่องขาที่หอมฉุยแม้อยู่บ้านจะไม่ค่อยได้กินดีแต่ก็ได้กินอาหารจากสัตว์ธรรมดา ไม่ใช่สัตว์อสูรแถมเป็นหมาถึงมันเป็นหมาป่าก็เถอะพยายามฝืนใจกินมันแต่มันทำใจไม่ได้จริงๆ ท้องเล็กยังคงส่งเสียงเรื่อยมา
นางเห็นใบหน้ากล้ำกลืนของเด็กน้อย รำคาญแย่งน่องขาหมาป่ายัดเข้าปากหลี่ชิงไป๋เป็นอันจบ
“เนื้อหมากับเนื้อหมูมันก็เหมือนกันนั้นและ !”
กลิ่นเนื้อเหม็นสาบตีขึ้นจมูกสัมผัสเหนียวยากจะกัดรสสากลิ้นนี้ เด็กน้อยเกิดอาการอาเจียนทันทีแต่โดนนางมารร้ายขู่ หากขย้อนออกมานางจะเก็บมันกลับเข้าไปในท้องหลี่ชิงไป๋แบบน้ำ หลี่ชิงไป๋ต้องกลั้นหายฝืนเคี้ยวทั้งน้ำตาไม่อยากคิดว่าหมาป่าพวกนี้ได้ลิ้มลองสิ่งมีชีวิตอื่นมาแล้วกี่ชนิด…มนุษย์?
เฟิ่งไป๋สั่งสอนอีก ทุกชีวิตล้วนมีค่าแม้แต่พืชผักหากฆ่าหรือเด็ดมันควรกินเข้าไปนึกถึงเหล่าผู้คนที่ไม่มีอันจะกินบ้าง
หากนางสามารถกินได้หมาป่าพวกนี้ไม่เหลือ แล้วรสชาติก็ไม่แย่นางก็เคยกินมันกลิ่นหอมอีกต่างหาก
รสชาติไม่ได้แย่บ้านเจ้าสิ หลี่ชิงไป๋เอ่ยในใจ
เฟิ่งไป๋เงียบลง อากาศรอบข้างเริ่มเย็นสมอยู่กลางหิมะแตกต่างจากเมื่อกี้ที่อบอุ่นออกทางร้อนไปเสียด้วยซ้ำหลี่ชิงไป๋กับไม่ได้สังเกตุเลย
“เจ้าหนู.” เฟิ่งไป๋นั่งย่อตรงหน้าสบตาหลี่ชิงไป๋ที่นอนเปิดท้องน้อยๆ อ้าแขนอ้าขา
“ข้าสามารถช่วยเจ้ามีปราณได้..เพียงแต่”
“จริงหรอ !!!!” หลี่ชิงไป๋ลุกพรวดชนเข้าหน้าเฟิ่งไป๋แต่ดันทะลุผ่านตัวนางไป
“เพียงแต่..เจ้าอาจจะตายได้และข้าจะหายไปตลอดกาล”
“…”
ความคิดเห็น