ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รวมมิตร SHORT FIC

    ลำดับตอนที่ #1 : WHEN W E WERE I N F I N I T E - ครั้งหนึ่งเราเคยนิรันดร์

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 56



    W H E N  W E  W E R E 
     

    I  N  F  I  N  I  T  E
     

    ค รั้ ง ห นึ่ ง เ ร า เ ค ย นิ รั น ด ร์

     

    infinite-photoshoot-gif.gif

     

    This story dedicated to

    INFINITE,INSPIRIT and memory that we shared together

     

     

    ขยับเข้ามาได้ไม๊

    ขยับมาใกล้กัน

    ขยับความสัมพันธ์ มารักกับฉันนะเธอ

    ลองคบลองดูกันไม๊ เขย่าให้หัวใจเต้นตรงกัน

    เธอจะมีแต่ความสุข เธอจะมีแต่ชั้นที่รักเธอ~~~~~~~~~

     

     

    เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีผู้ชายเจ็ดคนร้องเพลงนี้ให้ชั้นฟัง

     

    เวลามันจะผ่านไปเร็วเหมือนโกหก

     

    ถ้าพูดในอีกแง่ เราเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

     

    แต่พวกนายทำให้ชั้นมีความสุขได้ทุกๆวันอย่างไม่น่าเชื่อ

     

    ชั้นอยากจะขอบคุณพวกนายซักครั้งไม่ว่าตอนนี้พวกนายจะอยู่ที่ไหน

     

    ชั้นไม่เคยมีโอกาสได้ใกล้ชิดพวกนายเลยซักครั้ง

     

    ชั้นทำได้เพียงแค่…

     

    คิดถึงความทรงจำเหล่านั้นที่เราเคยมีร่วมกัน

     

     

     

     

     

    โอ้วววว…นี่เพลงไทยเพลงแรก ในรอบปีที่ถูกเปิดจากมือถือ ของเธอ 

    ถึงมันจะฟังไม่เอชดี เหมือนเพลงเกาหลี เพราะเปิดจากapps youtubeในsmart phone 

    เสียงร้องผิดๆถูกๆ ตะโกนลั่นทั่วรถ พร้อมกับเพื่อนอีกสองคน

     

    นี่ให้ร้องเพลงเกาหลีซะยังชัดกว่า ก็มันไม่รู้จักเพลงนี้นี่หน่า แต่นั่นมันไม่ใช่ประเด็นแล้วหละ เพราะที่สำคัญมันคือความพิเศษของเพลงนี้ตังหากหละ

    มันคือเพลงไทยที่เหล่าหนุ่มๆขวัญใจของพวกเธอ

    ร้องไว้ให้เป็นเพลงระหว่างเราและพวกเค้า

    สำเนียงไทยที่น่ารักๆ ยังค้างอยู่ในหูอยู่เลย คอยดูนะ

    กลับไปบ้านจะต้องโหลดเก็บเอาไว้ให้ได้

     

     

    “เห้อออ ฟินหวะ คุ้มมากอะสี่พันตรู”

    สาวน้อย เหยียดแขนและบิดขี้เกียจ หลังจากยืนเป็นเวลาสามชม.

     

    “เง้อออ ไม่อยากให้พวกเค้ากลับไปเลยอะแก!! ยังไม่หายคิดถึงเลย อ๊ากทำใจไม่ได้”

    หล่อนโอดครวญ

     

    “ทำอย่างกับปกติ อยู่ด้วยกัน ถุ้ย

    เห้ย แต่วันนี้พี่จาง น่ารักเฟ่ออะ เปลี่ยนเมนได้มะ ฮ่าๆๆ”

    สาวน้อยอีกคนชะโงกมาแจมจากเบาะหน้า

     

    “เออจริง ดงอูเหมือนเมาอะ คิ้วๆ อะแก ฮ่าๆ”หล่อนเออออตามเพื่อสาว

     

    “แคระอยู่ต่ออีกคืนใช่ปะ แหมนะจะได้ไปหาที่ชาเทรี่ยมบ้าง คริคริ”

     

    “บายเลยแก ตะคริวมันกินขาชั้นไปห้ารอบได้ละ ขอกลับไปนั่งดูรูปที่ถ่ายไว้กี่กว่า”

     

     

     

    ถึงจะเหนื่อยหมดแรงแค่ไหน อินสปิริททั้งสามหน่อก็กลับมาบ้านอย่างอิ่มเอิบใจ พร้อมกับของofficial goods เต็มถุง และของเล่นอีกจำนวนหนึ่ง ที่มากพอจะทำให้เงินที่เก็บมาครึ่งปี หายวั๊บไปภายในวันเดียว

     

    หล่อนเดินเข้ามาในห้องนอนของตน ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง มือยาวเอื้อมไปหยิบถุงของด้วยความอ่อนล้าจากการแกว่งแท่งไฟและถ่ายวีดีโอ

     

    โปสเตอร์ของหนุ่มหล่อได้ถูกนำออกมาจาถุงอย่างระมัดระวัง

     

     

    “อ๊ากก รูปนี้หล่อทุกคนเลยอ๊ะ!!! ยอลลี่น่ารักเว่อร์อะ มยองก็หล่อตลอดกาล จงงี่เป๊ะไปนะ แว๊ก! แรปเปอร์ไลน์ ย่าดงยืนข้างกันด้วย โหยนัมก็โครตนัมเลย แปะลืมตาปะเนี่ย ฮ่าๆ ฟินเว่อร์อ๊าาา ว่าแต่จะแปะตรงไหนดีหละ”

     

     

    หล่อนกวาดสายตามองไปทั่วห้องที่มีแต่รูปหนุ่มๆทั้งเจ็ดคนเต็มผนังไปหมด จนไม่มีที่ว่าง

    สาวน้อยเลือกผนังที่ปลายเตียงและค่อยๆแกะรูปบางส่วนออกอย่างทะนุถนอมและเก็บมันไว้อย่างดีในสมุดเล่มหนึ่ง ก่อนที่จะนำโปสเตอร์ที่ได้จากคอนเสิร์ตครั้งนี้มาแปะเอาไว้แทน

     

     

    หล่อนจ้องมองหน้าหนุ่มๆที่ละคนและยิ้ม

     

    “วันนี้เราได้เจอกันแล้วนะ กลับมาหาชั้นไวๆนะ ชั้นจะรอพวกนายมาอีก” สาวน้อยพูดกับโปสเตอร์ด้วยรอยยิ้มและความคาดหวัง

     

     

     

    เธอที่ลงตัวนอนบนเตียงอีกครั้ง และคว้า หูฟังมาเลื่อนเปิดเพลงโปรดจากเพลลิสของหนุ่มๆทั้งเจ็ด ภาพความประทับใจที่เกิดขึ้นมือตอนหัวค่ำวันนี้ ค่อยๆถูกย้ายเข้าไปสู่ในลิ้นชักของความทรงจำที่จะไม่มีวันลืม สาวน้อยค่อยๆหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มปริ่ม

     

     

     

     

    10 ปีผ่านไป

     

     

     

     

    “คืนนี้หนูนอนห้องเก่าหนูไปละกันนะ แม่ให้คนจัดไว้ละ” แม่เดินนำหญิงสาวไปที่ห้องนอน

    เธอยิ้มรับและหอมแม่หนึ่งฟอดด้วยความคิดถึง ประตูบานเก่าค่อยๆเปิดออกพร้อมกับเสียงดังเอี๊ยดแสดงถึงความเก่า

     

     

    เธอไม่ได้กลับมาที่นานเกือบสิบปีได้ หลังจากที่เรียนจบ กลับมาจากต่างประเทศก็แต่งออกไปอยู่บ้านแฟน ห้องนอนเล็กห้องนี้เลยกลายเป็นแค่ที่เก็บของ

    หล่อนเดินมามองตัวเองหน้าประจกบานเดิมที่ส่องมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้กระจกดูเก่าและเยินมาก แต่ภาพที่สะท้อนดันกลับกัน จากเด็กวัยรุ่นง๊องแง๊อายุ 20 กลายมาเป็นหญิงสาววัย 30 ปี

     

     

     

    “นี่ชั้นทำอะไรเนี่ย จะหยิบอะไรนะ” เธอพูดเพื่อปลุกตัวเองจากความคิดและเดินไปเอาของที่ตั้งใจจะมาเอา

     

    มือยาวคลำแฟ้มเอกสารที่เธอคิดว่าเก็บไว้ที่ชั้นเหนือเตียง หล่อนพยายามดึงแฟ้มออกจากกองของ

     

     

     

    โครม~~ กล่องใบใหญ่ ร่วงลงมาจากชั้น ของด้านในหกออกและกระจายเต็มพื้นห้อง

    หญิงสาวก้มลงไปมองผลงานตัวเองที่กระจัดการจาย ก่อนเบิ่งตาโตเมื่อเห็นของเหล่านั่น หล่อนลงมาจากเตียงและหยิบภาพเหล่านั้นขึ้นมา

    รอยยิ้มเล็กๆปรากฎขึ้นบนหน้าอย่างที่เคย

     

     

     

    “ซองยอลลี่” หล่อนเรียกบุคคลในภาพที่ส่งยิ้มให้เธอ เหมือนกับว่าเค้าจะได้ยินที่เธอเรียก

    เธอหยิบภาพพวกนั้นมารวมกัน และเหลือบไปเห็นไดอารี่เล่มเก่าทียังมีรูปอีกจำนวนหนึ่งถูกเสียบไว้ในนั้น

    หล่อนเป่าฝุ่นที่จับตัวหนาอยู่ที่ปกออก ทำให้เห็นรอยยิ้มทั้งเจ็ดที่ยังดูสดใสร่างเริงเหมือนเดิม

     

     

     

    ภาพความทรงจำต่างๆเมื่อสิบปีก่อนค่อยๆย้อนกลับมาที่ละนิดๆ และมันยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆเมื่อเธอพลิกหน้าต่อไปของสมุดไดอารี่เล่มนั้น

     

     

    มือเรียวจับที่ปาก เหมือนกับต้องการจะซ่อนรอยยิ้มปริ่มไว้ น่าแปลกหรือไม่ ที่จู่ๆใจก็เต้นเร็วขึ้นๆเหมือนเมื่อก่อนเวลาที่เธอ ได้ยินเพลงของพวกเค้าในที่สาธารณะ หรือเวลาต่อแถวกำลังจะเข้าไปในคอนเสิร์ต

     

     

    เธอเหลือบเป็นเห็นแผ่นซีดีเพลงที่ยังอยู่ในกล่อง หญิงสาวลุกออกจากกองรูปภาพและไปเปิดเพลงทันที

     

     

    “she’s back she’s back she’s backkkk~~~”

     

     

    หญิงสาวร้องตามขณะนอนกลิ้งไปมาบนเตียงเช่นเคย หล่อนคว้าไดอารี่มาดูต่อ และมันอดไม่ได้เลยที่จะยิ้มตามพวกเค้า

     

     

    แผ่นซีดี ติดๆขัดๆเล็กน้อย แต่ถึงแม้เพลงจะขาดหายไปบางช่วง แต่เธอก็สามารถร้องต่อท่อนนั่นได้อย่างชัดเจน เหมือนกับจะบอกว่า แม้เวลาจะผ่านไปแค่ไหน แต่สิ่งที่ยังอยู่คือความทรงจำขอหล่อน

     

     

    “ซองกยู ดงอู อูฮยอน โฮย่า ซองยอล มยองซู ซองจง” หญิงสาวไล่ชื่อของพวกเค้าทั้งเจ็ด เพื่อทดสอบตัวเองว่ายังจำชื่อพวกเค้าได้อยู่ไม๊

    ทั้งๆที่เมื่อก่อนนี้ ชื่อของพวกเค้าเคยถูกเอ่ยขึ้นทุกๆวัน และวันละหลายๆรอบ

     

    “ป่านนี้ พวกนายเป็นอย่างไรกันบ้างแล้วนะ คิดถึงพวกนายจังเลย”

    หญิงสาวถามกับรูปภาพ

     

     

     

    กริ๊ง~~~กริ๊ก~~~เสียงกระพรวนเหนือประตูดังขึ้น เป็นสัญญาณว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้าน หญิงสาวสองสามคน ดูท่าทางตื่นเต้นกับแมวนับสิบตัวที่หันมามองพวกเธอพร้อมๆกัน

     

     

    นี่เป็นคาเฟ่แมวที่ดังที่สุดในย่าน พอสายๆมีคนนั่งกันเต็มร้าน แต่ตอนนี้ร้านพึ่งเปิด คนยังไม่ค่อยมี จะมีก็แต่เจ้าเหมียว เดินกันเต็มร้าน บ้างก็นอนอืดอยู่บนชั้นคอนโดแมว

     

     

    “ยินดีต้อนรับค่ะ รับอะไรดีค่ะ” พนักงานหลังเคาร์เตอร์กล่าวทักทาย

    แก๊งหญิงสาวกระซิบกระซาบกันอยู่ตรงหน้าเคาร์เตอร์

    จนมีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นถามพนักงานอย่างใจกล้าว่า

     

    “จะ เจ้าของร้านอยู่ไม๊ค่ะ” พนักงานสาวยิ้มเหมือนกับว่าคุ้นเคยกับคำถามนี้

     

    “อยู่ค่ะ อยู่หลังร้าน เดียวดิชั้นเรียกให้นะค่ะ”

    แววตาของพวกหล่อนเป็นประกาย ต่างคนต่างมองหน้ากัน

     

     

    “ครับ?” ชายร่างสูง กับตาคู่หวาน ชะโงกออกมาจากหลังประตู ด้วยรอยยิ้มโชว์เหงือกสดใส

     

     

    ผมที่หวีเสยขึ้น ทำให้เห็นคิ้วที่สักจนสวยได้รูป มือเรียวอุ้มเจ้าเหมียวไร้ขนอยู่ที่อกอย่างทะนุถนอม

     

     

    “อีซองยอล อีซองยอล ตัวเป็นๆเลย” 




    หญิงสาวตาค้างที่ชายหนุ่มขณะที่เขย่าแขนเพื่อนและเอ่ยออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างห้ามไม่ได้

     

     

    ซองยอลหัวเราะร่าให้พวกหล่อน ก่อนจะกล่าวทักทายอย่างเป็นกันเอง จริงๆแล้วเค้าก็เจอสถาณการณ์แบบนี้อยู่บ้างแต่ก็ไม่บ่อยมากนัก เพราะกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กสาวรุ่นใหม่ ซึ่งก็คงไม่ทันในสมัยที่เค้ายังเป็น ซองยอลอินฟินิทอยู่ แต่ซองยอลก็ยินดีมากๆที่จะได้เจอลูกค้าที่ยังเป็นแฟนคลับของเค้าอยู่ เหมือนเช่นในครั้งนี้ เค้าจึงจัดการเคทแคร์ ลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยตัวเอง

     

    ซองยอลจัดขนมหวานและกาแฟยามเช้าให้สาวๆกลุ่มนั้น และพูดคุยกับพวกเค้าเล็กน้อย ก่อนจะแนะนำเจ้าแมวขี้เซาให้มาเล่นกับสาวๆ

     

    “เอ๊ะนั่น เจ้าจูริมมี่ใช่ไม๊ค่ะ” หญิงสาวเอ่ยถาม

    ซองยอลค้างไปสองวิ ก่อนจะอุ้มเจ้าแมวเหี่ยวที่อกมาวางบนโต๊ะ

     

    “ไม่ใช่หรอก” ซองยอลตอบเรียบๆ มือเรียวลูบหนังเหี่ยวๆของเจ้าตัวเล็กและสายตาที่อ่อนโยน

     

    หญิงสาวมองหน้ากัน และพวกหล่อนก็มีมารยาทพอที่จะไม่ถามต่อ

     

     

     

    ลูกค้าเริ่มทะยอยเข้าร้าน หลังจากที่ซองยอลพูดคุยกับสาวๆอยู่พอสมควรแล้ว เจ้าของร้านก็ขอตัวกลับไปพักผ่อนอยู่ชั้นสองของร้าน ซองยอลโทรศัพท์ไปเช็คของในสาขาอื่นๆซึ่งเค้าทำเป็นชีวิตประจำทุกวัน จากนั้นก็มานั่งจิบกาแฟอเมริกันโน่สูตรตัวเองอยู่ริมระเบียงพร้อมกับเจ้าแมวเหี่ยวที่นอนอยู่บนตัก

     

     

    “คิดถึงมัมมี๊ เธอไม๊?”

     

    ซองยอลถามเจ้าเหมียว ขณะที่มือก็เล่นหนังย่นๆของมัน เสียงเมี๊ยวเล็กๆจากเจ้าเหมียวทำให้ซองยอลยกยิ้มบางๆขึ้น เหมือนกับว่ามันคือคำตอบ

    ชายหนุ่มหลับตาช้าๆและสัมผัสถึงลมที่พัดเข้าระเบียงพัดผ่านตัวเค้าไป ดวงตากลมเปิดขึ้นเหมือนนึกอะไรบางอย่างออก ซองยอลยกเจ้าเหมียวขึ้นมาจุ๊บที่หูของมัน และอุ้มมันไปที่ห้องอีกห้องหนึ่งที่เป็นห้องเก็บของ

     

    ซองยอลวางเจ้าเหมียวในตะกร้าใบเก่า และหันไปยกลังกระดาษที่ซ้อนกันอยู่ลงมา มือเรียวค่อยๆหยิบของออกมาทีละชิ้นๆ สิ่งของเหล่านั้นล้วนเป็นพวกอุปกรณ์เกี่ยวกับแมว เช่นพวกของเล่นเอย ที่ลับเล็บเอย จนในที่สุด เจ้าตัวก็เจอสิ่งที่กำลังตามหา

     

    กล่องพลาสติกใสใบเล็กถูกเปิดออก มือบางหยิบของข้างในขึ้นมามองด้วยรอยยิ้มที่ดูเศร้า

     

     

    ร่างสูงเดินกลับไปหาเจ้าเหมียวที่อยู่ในตระกร้าและ สวมปลอกคอที่อยู่ในมือให้กับเจ้าตัวเล็ก ปลอกคอสีชมพูหวานพร้อมกับชื่อที่เป็นตัวอักษรเพรช สลักชื่อ “จูริมมี่” ประดับอยู่บนคอ ของเจ้าเหมียวตัวเล็ก

     

     

    “คิดถึง มัมมี๊ไม๊ คิดถึงจูริมมี่รึเปล่า” ซองยอลถามคำถามเจ้าเหมียวซ้ำ ทั้งๆที่เสียงตัวเองเริ่มสั่น เจ้าเหมียวมันคงไม่ได้รู้สึกอะไร แต่คนที่สะเทือนคงจะเป็นตัวเค้าเองมากกว่า

    ซองยอลลุกขึ้นยืนและสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเดินกลับไปเก็บของที่ตัวเองรื้อออกมาจากลัง

     

     

    “เอ๊ะ?”มือเรียวหยิบกล่องอีกใบที่มีหูฟังสีม่วงโผล่ออกมา เค้าขมวดคิ้วเล็กๆและมองของเหล่านั้น

     

     

     

     

    “ว๊าวว ถูกใจๆ แฟนคลับคนนี้รู้ใจสุดๆไปเลย” โฮวอนหยิบหูฟังขึ้นมาลอง

     

    “ของชั้นก็มี ดงอูหยิบอีกอันออกมาจากกล่อง” จากนั้นสองคนก็ทำท่าดีเจ และเล่นสนุกกันสองคน

     

     

     

     

    “นี่ของโฮย่าทั้งกล่องเลยนี่หน่า มันติดมาอยู่กับเราได้ยังไงกัน” ซองยอลอุ้มเจ้าเหมียวลงไปที่ห้องนอน และกดโทรศัพท์โทรไปหาเพื่อนทันที

     

     

    ซองยอลฟังเสียงรอสายอยู่ซักพัก และกดซ้ำอยู่หลายรอบ ระหว่างนั้นก็พลางๆคิดไป นี่เราไม่ได้ติดต่อโฮย่านานแค่ไหนกันแล้วเนี่ย ปลายสายว่างเปล่าไม่มีคนรับ

     

     

    ซองยอลไม่ได้ติดต่อเพื่อนๆคนอื่นๆมาซักพักใหญ่แล้ว นับๆแล้วน่าจะเกินสามปี ก่อนหน้านั่นก็คุยผ่านทางอื่นบ้างเล็กน้อย แต่ทุกๆคนต่างก็มีชีวิตของตัวเอง

    เสียงฝากข้อความที่เป็นเสียงของโฮย่านั้น ทำให้ซองยอล เริ่มนึกถึงเพื่อนๆอินฟินิทคนอื่นๆ

     

    เค้าจงเลื่อนดูรายชื่อในมือถือ และแน่นอน ชื่อแรกที่เค้าตัดสินใจโทรหา

    “คิม มยองซู” ซองยอลอ่านชื่อในมือถือ และยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหู

     

     

     

     

    “ดีครับ ดี อีกเซทนึงนะ ทีนี้เอาแบบเป็นธรรมชาตินะ ไม่ต้องเกร็ง” เสียงช่างภาพตะโกนบอกนายแบบหน้าหล่อในชุดสูทสีดำ ที่ยืนเก๊กให้ไฟสปอร์ตไลท์สาดใส่หน้า

     

    สตูดีโอกว้างถูกจัดแสงอย่างมืออาชีพและเป็นระเบียบถึงแม้ บรรยากาศภายในสตูดีโอจะดูวุ่นวายก็ตาม ก็เพราะวันนี้มีงานด่วนเข้ามาจึงทำให้ ทีมงานทุกคนดูเครียดไปหมด

     

     

    “มยองซู พักก่อนไม๊ เหลืออีกแค่เซทเดียวพักก่อนก็ได้”ทีมงานวิ่งเข้ามาถาม

     

    “นายไหวใช่ไม๊ นายไหวชั้นก็ไหว” มยองซูตะโกนถามนายแบบและชูมือท่าโอเคให้

     

    ช่างภาพหนุ่มหน้าหล่อคม ที่ยืนอยู่หลังกล้องมาตั้งแต่เช้าแล้ว เค้าดูน่าจะเป็นคนที่เหนื่อยที่สุดแต่กลับดูสดใสและมีความสุขกับงาน ทีมงานมองไปที่ช่างภาพก็รู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาทันที

     

    “มืออาชีพจริงๆ สมแล้วหละที่เป็นคิมมยองซู” ช่างแต่งหน้าสองคนพูดกันขณะที่มองช่างภาพที่ทำงานอย่างขยันขันแข๊ง

     

    “โอเค เรียบร้อย ประมาณนี้นะครับ” มยองซู สั่งให้ทีมเปิดภาพเซ็ทสุดท้ายให้ลูกค้าดู และคุณลูกค้าก็ยิ้มและปรบมือให้อย่างไม่ต้องสงสัย

     

    “เสร็จแล้วครับทุกๆคน ขอบคุณมากครับ”

    มยองซูขอบคุณทีมงานและรับคำชื่นชมจากคุณลูกค้าจนเจ้าตัวหน้าบานตัวลอยอย่างเช่นทุกครั้ง

     

    “หลังจากเสร็จงานบ่ายแล้ว

    ตอนเย็นคุณคงไม่รังเกียจให้ผมเลี้ยงคุณและทีมซักมื้อนะครับ”

    คุณลูกค้าเข้ามาถามมยองซู

     

    “ครับ แน่นอนครับ ขอบคุณมากๆจริงๆนะครับ” มยองซูเอ่ยอย่างถ่อมตน

     

    ตืดดดดด~~~ตืดด~~~~~

     

    “ขอตัวก่อนนะครับ” มยองซูยิ้มให้คุณลูกค้า แล้วเดินออกมานอกสตูดีโอ

     

    “ซองยอลลี่!! ว่างั๊ย!” เสียงแบนอารมณ์ดีเอ่ยทักปลายสาย

     

    “ย่าห์ คิมมยองซู นายเป็นอย่างงัยบ้าง”ปลายสายเอ่ยถาม

     

    “ดีดีมากๆเลยหละ” มยองซูกำลังอารมณ์ดีอย่างสุดขีดหลังจากที่งานลุล่วง เค้าเล่าเกี่ยวกับงานที่เค้าพึ่งทำเสร็จรัวเป็นไฟจนแทบจะลืมถามปลายสายกลับว่าซองยอลหละเป็นยังไงบ้าง

     

     

    “ฮ่าๆ ดีแล้วหละ นายทำได้อยู่แล้ว ชั้นหรอ ก็เรื่อยๆหนะไม่มีอะไรมาก”

     

    “อ่อ อื้ม ว่าแต่นายมีอะไรหรอถึงโทรมา” มยองซูถาม

     

    “อ้อ ก็จะถามว่า เย็นนี้นายว่ารึเปล่า ชั้นอยากกินข้าวกับนายกับพวกพี่ๆหนะ”ซองยอลเปิดประเด็น

     

    “อ้อ งั้นหรอ ขอบคุณครับๆ พี่ๆไหนอะ”มยองซูขอบคุณทีมงานที่เดินกลับออกจากสตู เค้าดูไม่ค่อยมีสมาธิที่จะฟังปลายสายซักเท่าไหร่ จึงถามคำถามโง่ๆออกไป

     

    “อินฟินิท” ซองยอลตอบเรียบๆ เค้าไม่คิดว่ามยองซูจะถามคำถามนี้ออกมา

     

    “อ้อใช่ พี่ๆซองกยุ อูฮยอน คนอื่นๆ อ้อ ซองจงงี่ด้วย”

    มยองซูยิ้มให้กับทีมงานและเดินสวนไปที่หลังสตู จะได้คุยสะดวกขึ้น

     

    “แล้วนี่นายคิดยังไง จะมารียูเนี่ยนตอนนี้” มยองซูถามปลายสาย

     

    “ก็เปล่าแค่อยากเจอหนะ เห็นไม่ได้เจอกันนานแล้ว”ซองยอลตอบ

     

    “ซองยอลลี่ขอโทษ จริงๆนาวันนี้มีนัดซะแล้วหละ ไปกับลูกค้าหนะ รายนี้สำคัญด้วย คนที่ชั้นบอกเมื่อกี้ไง ฮ่าๆ”

     

    “อื้อ ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าก็ได้”

     

    “ฝากความคิดถึงถึงพี่ๆน้องๆด้วยละกันนะ”

     

    “ชั้นยังไม่ได้ชวนใครเลย ชั้นโทรหานายคนแรก”

     

    “อ่อ” มยองซูชะงักเล็กน้อย

     

    “โอเค ชั้นไม่รบกวนนายละ วันหลังมาเจอกันนะ ชั้นคิดถึงนายนะแอล” ปลายสายตัดบทและวางสายไป

     

     

    มยองซูค้างกับประโยคสุดท้าย ตั้งแต่ที่เค้าออกจากวงการมาก็ไม่มีใครเรียกเค้าว่าแอลอีกเลย จนเค้าแทบลืมไปแล้ว ว่าเค้าเคยใช้ชื่อนี้ และยิ่งด้วยชื่อนี้ถูกเรียกออกจากปาก

    ซองยอล มันทำให้เค้ารู้สึกอะไรบางอย่าง

     

     

    “แอล งั้นหรอ” มยองซูพูดและยิ้มที่มุมปากให้กับโทรศัพท์

     

     

    “คุณมยองซู ลังนี่ให้เอากลับสตูดีโอเราด้วยไม๊ค่ะ” เสียงสาวทีมงานร่างใหญ่ปลุกมยองซูออกจากความคิด

     

     

     

     

    เสียงดนตรีดังทั่วห้องซ้อม ทำให้ไม่ค่อยได้ยินเสียงคนปลายสาย เสียงนุ่มตะโกนแข่งกับเสียงเพลง

     

    “ฮัลโหลๆอะไรนะ ดังๆหน่อยๆ อ้อ อื้มแล้วเจอกัน ครั้งหน้าละกันนะ ห๊ะ อ้อ บายย”

    ร่างหนาที่กำลังยืดตัวอยู่ เอื้อมมือไปกดวางสาย

     

    “ใครโทรมาหรอ โฮย่า” เสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียก

     

    “ซองยอลหนะ เค้าโทรมาชวนกินข้าวเย็นนี้ แต่ผมปฏิเสธไปแล้วหละ เค้าถามพี่ด้วย แต่ผมก็บอกไปว่าคืนนี้พี่ต้องคิดท่าให้พวกน้องๆในงานโชว์พรุ่งนี้” โฮวอนอธิบายยาว

     

    “ฮ่าๆ อ้อ แปลกดีนะ ร้อยวันพันปีไม่โทรเห็นโทรมาเลย” ดงอูขำและนั่งยืดขาข้างๆโฮวอน

     

    “วันนี้มีคัดตัวเทรนเนอร์หนิ พวกน้องๆมากันกี่โมงหละ” ดงอูเอ่ยถาม

     

    “เดี๋ยวก็มากันแล้วหละ อะนั่นไง มาพอดี”

     เด็กชายกลุ่มหนึ่ง เดินมาโค้งให้กับโฮวอนและดงอู พวกเค้าคือเด็กฝึกของโฮวอนนั่นเอง ซึ่งในบางครั้งเวลาซ้อม ดงอูก็จะมาช่วยด้วย แต่คงไม่ใช่วันนี้ เพราะดงอูเองก็ต้องกลับไปที่โรงเรียนสอนเต้นของตนเอง พรุ่งนี้แล้วหละที่โชว์ของเหล่าเด็กๆจะถูกจัดขึ้น

     

     

     

    สองคนนี้ยังทำงานอยู่ในวงการเดิมแต่เปลี่ยนตำแหน่ง โฮวอนควบการเป็นเทรนเนอร์และ ผู้ออกแบบท่าเต้น พวกผลงานของเด็กรุ่นใหม่ก็เป็นฝีมือเค้าทั้งนั้น ดงอูก็ได้เปิดโรงเรียนของตนเองสมใจ แต่ถ้าถามถึงผลงานของทั้งสองคน ก็ยังมีอยู่ในตลาดบ้าง ในนามของ The H ที่ออกมาเป็นดูโอ้ ทั้งสองได้ ทำเพลงเองทั้ง ดนตรี คำร้องและ ท่าเต้นเล็กน้อย





    รถหรูคันดำขับมาจอดอยู่หน้าตึก ใจกลางย่านธุรกิจ รองเท้าเสริมส้นเงาวับก้าวลงมาจากรถ พร้อมกระเป๋าสุดเก๋และหนังสือนิตยาสารในมืออีกสองสามเล่ม

     

    “วันนี้เลยหรอฮยอง?” เสียงแหลมถามปลายสาย ขณะที่หนีบโทรศัพท์อยู่ที่หู

     

    “หนึ่งทุ่ม เช็คตารางให้ผมทีครับ” ซองจงหันไปหาเลขาที่เดินอยู่ด้านหลัง

    เลขาส่ายหน้าเล็กและชู ตารางเวลาบนแทปเล็ทให้ซองจงดู

     

    “ว๊าา ไม่ได้เลยฮยอง คิวแน่เอี๊ยดเลย ได้อีกที….”

    ซองจงเลิกคิ้วขึ้นเพื่อให้คุณเลขาเปิดหาช่วงเวลาว่างบนตาราง

     

    “อีกสองเดือนหนะ”ซองจงทำหน้าเสียดาย

     

    “ฮัลโหลว ฮันโหลว ซองยอลฮยองง สงสัยสายหลุดไปละ สัญญาณเครื่องนี้ไม่ค่อยดีเลย” สิ้นคำพูดของซองจง เลขาก็ยื่นโทรศัพท์อีกเครื่องของซองจงมาให้จากกระเป๋า

     

     

     

     

    “เดี๋ยวขึ้นไปบอกทุกคนให้ไปรอที่ห้องประชุมเลยนะ เดี๋ยวผมตามไป” ซองจงสั่งงานและ ปล่อยให้เลขขึ้นลิฟต์ไปคนเดียว และตนก็กดโทรกลับหาซองยอล

     

    “ฮะ ฮยอง ยุ่งมากๆเลยฮะ ผมจะปิดเล่มใหม่วันนี้แล้ว คงไปไม่ได้หรอกฮะ คืนนี้มีประชุมอีกรอบฮะ”

     

    “เอ๊ะเดี๋ยวนะฮยอง สงสัยมีข้อความเข้ามาฮะ  อ๋อฮะๆ ไว้ว่างๆผมจะโทรกลับนะฮะ”

     

     

     

    : ทุกคนพร้อมประชุมแล้วค่ะ บก. :

    ซองจงส่งสติกเกอร์หน้ายิ้มกลับไปให้คุณเลขา และเดินตรงไปที่ลิฟต์

     

     

     

     

    หนังสือของซองจงขึ้นช๊าตขายดีมา สองปีซ้อนแล้วตั้งแต่เค้าเข้ามาเป็น บก.ใหม่ของนิตยสารเล่มนี้ เค้าทำงานหนักตัวเป็นเกลียวเลยทีเดียวถึงจะขึ้นมาถึงจุดนี้ได้ แต่ความถ่อมตัวก็ยังเป็นเอกลักษณ์ของซองจง ถึงแม้ตอนนี้จะกลายเป็นเจ้านายซะเอง นั่นทำให้เค้าเป็นที่รักในบริษัทมากๆ

     

     

     

     

     

     

     

    “กรุณาปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดขณะเครื่องแลนดิ้งลงด้วยนะค่ะ” เสียงแอร์ฮอสเตสคนสวยเอ่ยขึ้น

     

     

    ชายหนุ่มยิ้มตอบและ เก็บมือถือลงในกระเป๋าเดินทางใบเล็กที่อยู่ด้านใต้เบาะหน้า

    อูฮยอนถอดผ้าพันคอออก เพราะไม่ถึงสิบห้านาที เค้าก้จะกลับมาอยู่ในอากาศปกติจากบ้านเกิดซะที ที่อเมริกา ช่วงนี้กำลังเป็นช่วงฤดูหนาวพอดี โชคดีจริงๆที่เค้าไม่ต้องทนหนาวอยู่ที่นั่น เพราะเป็นช่วงปิดกลางเทอม

     

    อีกแค่ไม่ถึงครึ่งปี อูฮยอนก็จะมีปริญญาอีกใบอยู่ในมือ ซึ่งตัวเค้าและที่บ้านเชื่อว่ามันเป็นความสำเร็จอีกชิ้นหนึ่งของชีวิต แม้ในวัยเรียนเค้าอาจจะไม่มีโอกาสได้ทำอย่างเต็มที่ แต่ตอนนี้เค้าได้กลับมาเรียนแล้ว

     

    : เกทเจ็ด นะครับฮยอง : อูฮยอนส่งข้อความขณะที่ยืนรอกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตนเอง

     

    อูฮยอนหรี่ตาและเพ่งไปที่ชายสวมหมวกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ทักผิดคน รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน เค้าโบกมือให้กับชายสวมหมวกขณะที่เข้าใกล้ชายผู้นั่นขึ้นเรื่อยๆ

     

    “ซอง กยู ฮยองงง!!!!” อูฮยอนวิ่งรี่ตรงเข้าหาและโถมตัวใส่คนเป็นพี่

     

    “ชู่ว์ ตะโกนซะดังเลย เดี๋ยวแฟนๆก็แห่กันมา ไม่ต้องกลับกันพอดี” ซองกยูมองลอดแว่นทางซ้ายและทางขวา
     

    “อุย ลืม” ร่างเล็กจัดหมวกและแว่นของซองกยูให้กลับเข้าที่เข้าทาง

    อูฮยอนทักทายพี่ด้วยความคิดถึงจนลืมตัว และเกือบลืมไปเลยว่าพี่ซองกยูยังอยู่ในวงการอยู่ ปกติก็มีการ์ดมาคุมบ้างถ้าเกิดออกไปไหนด้วยหน้าที่ แต่นี่ก็เป็นเวลาส่วนตัวของเค้า เนื่องจากเป็นศิลปินเดียวและเป็นรุ่นใหญ่แล้ว ซองกยูก็ได้รับความไว้วางใจ และไม่จำเป็นต้องมีการ์ดมาคอยติดตัวตลอด

     

    “เดี๋ยวฮยองต้องแวะไปที่บริษัทแปปนึงนะ อูฮยอน พอดีบอสเรียก แล้วเราค่อยไปหาอร่อยๆกิน ตามที่ตกลงกันไว้ โอเคไม๊” ซองกยูพูดขณะแย่งกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของอูฮยอนมาช่วยถือ

     

    “จริงหรอ เราจะได้กลับไปที่วูลิมหรอเนี่ย” อูฮยอนยิ้ม

     

    “อื้ม แต่ ตอนนี้เค้าสร้างตึกใหม่แล้วนะ”

    อูฮยอนนิ่งไป หลังจากนั้นพวกเค้าก็คุยกันเรื่อง เพลงและอัลบัมเดี่ยวล่าสุดของซองกยู ทั้งสองคนยังติดต่อกันอยู่บ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก พอรู้แค่คร่าวๆขออีกฝ่าย เพราะอูฮยอนต้องเรียนหนัก และซองกยูก็ยังมีผลงานออกมาอยู่เรื่อยๆ ถึงจะไม่ต้องซ้อมหนักเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็มีการเก็บตัวบ้าง

     

    “รู้ไม๊วันนี้ใครโทรหาพี่” ซองกยูพูดขณะที่ขับรถ

     

    “ใครอะ” อูฮยอนหันไปถาม

     

    “ซองยอล” ซองกยูตอบและหันมาดูปฏิกริยาของอีกฝ่าย

     

    “อะหรอ แหม่ไม่เห็นโทรหาผมบ้างเลย เอ๊ะหรือว่าตอนผมอยู่บนเครื่อง ว่าแต่เค้ามีอะไรหรอ”

     

    “เค้าชวนพวกเราไปกินข้าวกัน แต่พี่เห็นว่าเราคงเหนื่อย บินมาตั้งกี่ชม.”

    อูฮยอนพยักหน้าน้อยๆ และเบ้ปากลงก่อนจะงีบหลับไประหว่างทาง

     

     

     

     

     

     

     

    แววตาคู่คมกระพริบช้าๆ เพื่อลดความระคายเคือง จากแสงจ้าที่หน้าจอคอม

    มยองซูนั่งไล่รูปเซทล่าสุดที่พึ่งจะจบงาน ไฟล์ภาพนับร้อยกำลังถูกย้ายเข้าโน๊ตบุ๊คตัวเก่งของเค้า

     

     

    มือหนานวดอยู่ตรงขมับของตนเพื่อผ่อนคลาย หลังจบงานทีมงานทุกคนต่างเร่งรีบ ตามคุณลูกค้าไปที่ร้านอาหารสุดหรู เพื่อทานเข้าเย็นฟรีตามที่ตกลงกันไว้เมื่อกลางวัน เหลือก็เพียงแต่มยองซูที่อาสารอโหลดไฟล์ทั้งหมด เค้าถือว่าเพียงถ่ายเสร็จไม่ได้แปลว่าจบงานซะทีเดียว

     

     

    ตึง!~~~

    มยองซูเพ่งหน้าจอและเบิ่งตาคู่คมด้วยความตกใจ

     

     

    “หน่วยความจำเต็ม?” มยองซูอ่านหน้าต่างที่เด้งขึ้นอยู่บนจอ

    เค้าเลื่อนตัวมาหน้าคอมและรีบเปิดไฟล์ต่างๆอย่างลุกลี้ลุกลน

     

     

     

    ขยะเต็มเครื่องเลย ต้องเคลียซะบ้างแล้ว อะไรเก่ามากๆก็ลบไปได้แล้ว

    มยองซูลากไฟล์ที่ไม่จำเป็นลงถังขยะ เค้าจัดการกับไฟล์ในคอมอย่างรวดเร็วและชำนาญ

    มือหนาที่จับเมาส์หยุดชักงักอยู่ที่ไฟล์กระเป๋าหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจคลิ๊กเข้าไป

     

     

    --L’viewtiful brovo vol.1--

     

     

    ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน เพื่อซ่อนรอยยิ้ม ความทรงจำมากมายหลั่งไหล่เข้ามาผ่านภาพถ่ายจากเมื่อสิบปีก่อน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เหตุการณ์ทุกอย่างที่ดูเหมือนจะลืนลางเต็มทีกลับชัดเจนเหมือนพึ่งผ่านไปเมื่อวาน

     

     

    เสียงหัวเราะเล็กๆเล็ดรอดออกมาจากชายหนุ่ม เมื่อมองภาพถ่ายงานวันเกิดของพี่รอง จางดงอู พร้อมกับเค้กที่เลอะเต็มหน้า นิ้วโป้งสัมผัสลงบนหน้าคอมพิวเตอร์ เหมือนต้องการจะปาดเค้กที่เลอะอยู่บนหน้าพี่ออก

     

     

    “ฮยอง” มยองซูเอ่ยเบาๆ

    ไม่มีวัน เราไม่มีวันลืมวันที่ดีเหล่านั่นแน่นอน เวลามันผ่านเป็นเร็วจริงๆเลย เค้าคลิ๊กดูภาพต่อๆไปเรื่อย เค้ารู้สึกเหมือนตัวเองทำกำลังเดินทางย้อนเวลากลับไปในเหตุการณ์และความทรงจำที่งดงามเหล่านั้น ทั้งๆที่อีกฝั่งหนึ่งของความรู้สึกกำลังต่อสู้กับความจริงที่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ทางย้อนกลับมา

     

     

    ริบฝีปากบางถูกเม้มอีกครั้ง มยองซูถอนสายตาจากรูปบนหน้าจอและหลับตาลง

    ทำไมกันรูปภาพธรรมดา ไม่ได้มีคำบรรยายใดๆใต้ภาพแถมยังถ่ายไม่ค่อยชัด ถึงเรียกน้ำตาของมยองซูได้อย่างง่ายดาย

     

    ภาพถ่ายในห้องซ้อม เงาสะท้อนในกระจกบานใหญ่บนผนังห้อง ปรากฏสีหน้าของทุกๆ

    คนที่กำลังจริงจังกับการซ้อม มยองซูจำได้ดีว่าวันนั้นเป็นวันที่เหน็ดเหนื่อย เพราะใกล้จะถึง ดีเดย์แล้ว แต่เพราะกำลังใจจากพี่ๆและแฟนๆทำให้เค้าผ่านวันเหล่านั้นมาได้

    ตืดด~~ ตืด ~~

     

     

    “อื้ม โหลดใกล้เสร็จแล้วหละ บอกคุณเค้าว่าไม่ต้องห่วงนะ อ้อ แล้วก็บอกเค้าให้หน่อยว่าวันนี้ผมคงไปไม่ได้แล้วหละ ขอบคุณมากๆนะ ทานเผื่อผมด้วยหละ”

    มยองซูบอกทีมงานในสาย ก่อนจะลุกไปคว้าเมมโมรี่สำรองที่ชั้นวางของและมาจัดการกับไฟล์งานต่อ

     

     

     

     

     

     

     

     

    เสียงเพลงถูกกดหยุด เหลือเพียงแต่เสียงหอบของร่างเล็ก ดงอูแทบจะยืนไม่อยู่จนต้องก้มตัวและเท้าแขนเอาไว้กับเข่า เค้าหยีตาและจ้องไปที่หยดเหงื่อขอตนเองที่หยดอยู่ที่พื้น

     

     

    “เห้อ~~” ดงอูทรุดตัวลงกับพื้น

    เมื่อก่อนเราไม่ได้เหนื่อยง่ายขนาดนี้นี่หน่า ลายเต้นมันก็ลื่นไหล่ ไม่เคยต้องมานั่งตันแบบนี้

     

    ดงอูแยกตัวออกมาอยู่ที่ห้องอีกที่ไม่ได้มีคลาสสอนอยู่ เค้ากำลังง่วนอยู่กับการคิดท่าเต้นสำหรับท่อนสุดท้ายสำหรับการแสดงของน้องที่จะกำลังจัดขึ้น จนไม่ได้สังเกตุเลยว่ามีร่างหนายืนมองอยู่ตรงกระจกตรงประตูห้อง

     

    โฮวอนยิ้มกับตัวเอง

    ฮยองคนนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลยซักนิดตั้งแต่วันแรกที่ทั้งสองรู้จักกันมา ถึงตอนนี้ก็ร่วมสิบกว่าปีได้แล้ว ดงอูก็ยังเป็นคนที่มุ่งมั่นตั้งใจเหมือนเคย จะมีซักกี่คนบนโลกนี้ที่จะยืนอยู่ข้างๆเราเสมอไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ คอยแบ่งปันประสบการณ์มากมาย และร่วมกันผ่านทุกๆวันที่ดีของชีวิต

     

     

    ดงอูกดเลือกเพลงจากเพลลิสด้านล่างสุด และเต้นตามเพลงที่เค้าคุ้นเคย ดนตรีเดิมๆที่ถูกอัดออกมาเสียงอู้อี้ โฮวอนมองด้วยความไม่เข้าใจว่าผู้เป็นพี่ต้องการจะทำอะไร

    เมื่อพอถึงท่อนสุดท้ายดงอูกลับหยุดเต้นเอาดื้อๆ ร่างเล็กหลับตาลงและกางแขนทั้งสองข้างออก และปล่อยให้เสียงอู้อี้ที่ดังก้องทั่วห้องปะทะตัวเค้า

     

     

    โฮวอนยกคิ้วหนาขึ้นด้วยความอึ้ง เพราะเสียงเหล่านั้นคือเสียงกรี๊ดของเหล่าอินสปิริท ที่ถูกอัดเก็บเอาไว้

     

     

     

     

    “อินฟินิท อินฟินิท อินฟินิท” เสียงเรียกจากแฟนๆดังก้องอยู่ในหัวของดงอู ภาพแสงสปอต์ไลท์ในความทรงจำขณะที่เล่นคอนเสิร์ต ถูกจินตนาการขึ้นเพื่อแทนบรรยากาศในห้องซ้อม ทั้งๆที่ในเสียงในห้องดังอึกทึกไปหมด แต่นี่คือจุดที่ดงอูมีสมาธิที่สุด และที่สำคัญ กำลังใจทั้งหมดถูกเรียกกลับมา ถึงเวลาจะผ่านไปนานซักแค่ไหน กำลังใจในวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังใช้ไม่เคยหมด

     

    จนถึงตอนนี้ โฮวอนเข้าใจเจตนาของดงอูแล้ว

     

    “ฮยอง” โฮวอนเดินเข้าไปขัดอย่างไม่รีรอ

     

    “อ้าว โฮวอนอ่า มาตั้งแต่เมื่อไหร่” ดงอูลดแขนลง และกลับมาในท่าปกติ

     

    “ผมคิดว่า ผมรู้แล้วหละว่าพี่จะคิดท่าออกได้ยังไง” มือหนาจูงดงอูออกจากห้อง พร้อมคว้ากระเป๋าสะพายของพี่ไปด้วย

     

     

     

     

     

     

     

    ร่างบางนั่งเล่นมือถืออยู่ตรงโซฟาหน้าประตูบริษัทที่อยู่ชั้นที่ยี่สิบของตึกสูง หลังจากโพสประกาศตนว่าตัวเองกลับมาถึงเกาหลีได้ อูฮยอนก็เริ่มที่จะสำรวจบรรยากาศรอบๆ

    Woollim Ent’ ตัวหนังสือที่ทำจากแสตนเลส เงาวับ ถูกติดอยู่บนผนังหินอ่อนสีเทาขาวหลังเคาร์เตอร์ รูปเด็กศิลปินหนุ่มมากมาย ถูกติดอยู่ตลอดทางเดิน รวมถึงแบนเดอร์ที่โปรโมทงานแฟนมิตติ้งของวงนั้นๆแขวนอยู่ตรงหน้าลิฟต์

     

     

     

    เค้าไม่รู้จักใครที่นี่เลย บรรยากาศดูหรูหราและดูดีมากๆ แต่กลับไม่อบอุ่นเหมือนก่อนๆที่เค้าสามารถทักทายคนที่บริษัทได้อย่างสนิทใจ

    ซองกยูเปิดประตูกระจกบานสูงออกมา พนักงานที่เคาท์เตอร์กล่าวทักทายเค้าอย่าคุ้นเคย

     

     

     

    “ปะ ไปกันเถอะ เสร็จแล้วหละ” ซองกยูพุดและหยิบแว่นตากันแดดออกมาสวม

     

    “ตึกนี้มันทั้งสวยทั้งใหม่ เลยนะฮยอง ดูดีมากๆเลย” อูฮยอนตอบและเดินตามซองกยูไป

     

    “อื้ม ใช่ แล้วไว้วันหลัง พี่จะแนะนำเราให้กับบอสคนใหม่นะ แต่วันนี้เค้าติดประชุมหนะ ตอนนี้เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”

     

     

    “ฮยอง จำที่เราตกลงกันได้ไม๊ ว่าผมกลับมาเมื่อไหร่ ฮยองจะพาผมไปไหนก็ได้ที่ผมอยากไป กินอะไรก็ได้ที่ผมอยากกิน” อูฮยอนยิ้มให้พี่

     

    “อื้ม จำได้สิ”

     

    “ผมนึกออกแล้วหละว่าผมอยากไปไหน ผมจะเป็นคนพาฮยองไปเอง”

     

     

     

     

     

     

     

    มือเรียวบางอุ้มแมวอ้วนขนฟูไปวางไว้บนหมอน ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายบ่าและพันผ้าพันคอมาปิดหน้าหวานไว้ครึ่งหนึ่ง

     

    “ทำไมวันนี้ปิดเร็วจังค่ะ”แคชเชียร์ของร้านคาเฟ่แมวเอ่ยถาม

     

    “ชั้นว่าจะไปเดินเล่นซะหน่อยหนะ วันนี้เธอก็จะได้เลิกงานเร็วด้วยนะ”

    ซองยอลยิ้มตาหวานให่กับคุณพนักงาน ก่อนจะล็อคประตูร้าน

     

    ซองยอลเดินไปตามถนนที่เงียบสงัด

    มือทั้งสองข้างอออกมาจากระเป๋าเสื้อโค้ตและถูกันเพื่อคลายความหนาว ซองยอลใส่หูฟังและเดินเล่นไปตามทางที่คุ้นเคย

     

     

    พวกฮยองไม่คิดถึงเรากันบ้างเลยนะ มันหน้าน้อยใจจริงๆเลย แอลกับซองจงก็เอาแต่ทำงานๆ ทุกคนคงลืมมันไปหมดแล้ว ทำไมมีแต่เราที่ยังคิดถึงพวกเค้าอยู่นะ มันรู้สึกแย่จริงๆเลยที่คนที่เราอยู่ด้วยกันมาตลอดเป็นเวลานานหลายปี เจอหน้ากันวันนึงเกินยี่สิบชั่วโมง จู่ๆต้องมาแยกออกจากกันคนละทิศละทาง ตอนช่วงแรกเคยบอกตัวเองให้ทำใจให้ชิน แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าทำไมเวลาของเรามันสั้นเกินไปหรอ

     

     

     

     

    “นี่มันห้องซ้อมของพวกเราหนิ”

     

    ดงอูยิ้มร่าขณะหมุนตัวอยู่กลางห้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่พร้อมกับกระจกเงาที่ผนัง ห้องซ้อมของพวกเค้าเปลี่ยนไปมาก แม้สีที่ผนังจะถูกทาทับใหม่ แต่ก็ดูเหมือนว่าห้องจะไม่ได้ถูกใช้เป็นเวลานานมากๆแล้ว ถ้าดูจากฝุ่นหนาที่จับตัวกันอยู่ที่พื้น พวกเครื่องเสียงและอุกปรณ์ต่างๆถูกเก็บอยู่ที่มุมห้องและมีผ้าคลุมไว้

     

     

    ไม่มีอะไรที่ทำให้โฮวอนมีความสุขไปกว่ารอยยิ้มที่บริสุทธ์ของคนตรงหน้า เค้ารู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าคนอื่นๆที่ไม่ต้องโดดเดี่ยวเมื่อนึกถึงอดีตมากนักเพราะเค้ามีดงอูอยู่ตรงนี้ แต่การที่ตัวเค้าและดงอูได้กลับมาอยู่ที่สถานที่เดิมๆ มันทำให้เค้าอยากจะย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลานั้นๆ ที่ตรงนี้ ห้องนี้ มีพี่ๆน้องๆอยู่กันครบพร้อมหน้าพร้อมตา เล่นกันสนุกสนาน ซ้อมกันยันฟ้าสว่าง มันไม่มีอีกแล้วใช่ไม๊ ทุกอย่างมันผ่านไปหมดแล้วใช่ไม๊

     

     

    ร่างหนาเดินตรงไปที่มุมเก็บของก่อนจะหยิบมือถือตัวเองเสียบเข้ากับ

    ลำโพงขนาดใหญ่ที่มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด

     

     

     

    เสียงดนตรีดนตรีคุ้นหูดังขึ้น ในห้าวินาทีแรก ดงอูไม่สามารถบอกได้ว่านี่เพลงอะไร แต่มันทำให้เค้าหันกลับมามองต้นตอของเสียงเพลงด้วยความตกใจ และเมื่อที่สายตาเค้าประสานเข้ากับสายตาของโฮวอน ที่เป็นสายตาคู่เดิมที่มองเค้ามาตลอดสิบกว่าปี เค้าไม่ต้องพยายามนึกต่อเลยว่าเพลงนี้คือเพลงอะไร

     

    아무도 눈치 못 채게끔

    อามูโด นุนชี มท เชเกกกึม

    การแอบมองคุณโดยที่ไม่ให้ใครรู้

    너를 훔쳐 보는 게 내 버릇이 되었고

    นอรึล ฮึมชยอ โบนึน เก เน บอรึมชี ตเวออทโก

    มันกลายเป็นนิสัยของผมไปแล้ว

     

     

     

    สองประโยคแรกของเพลง Special Girl ดังขึ้น โฮวอนเดินมายืนขนานกับดงอู ประจำตำแหน่งทางด้านขวา ดงอูจ้องโฮวอนและค้างด้วยความตื้นตัน โฮวอนยิ้มตอบก่อนจะเริ่มร้องท่อนของตัวเองอย่างเต็มที่

    เหมือนกับว่าเค้ากำลังแสดงสดให้กับอินสิปริทดู

    เมื่อถึงท่อนฮุค โฮวอนหันมามองและพยักหน้าให้กับดงอูที่น้ำตากำลังคลอเบ้า

    เป็นสัญญาณบอกประมาณว่า “มาเต้นด้วยกันสิครับฮยอง”

     

    ทั้งสองคนประสานเสียงและวาดลวดลายท่าเต้น ที่ไม่เคยหายไปจากความทรงจำ ทั้งสองคนยังเต้นได้ดีเหมือนกับตอนที่โปรโมทเพลงนี้ครั้งแรก ต่อให้ตอนนี้จะกลายเป็นเพียง

    The H แต่คำว่า Infinite ก็ยังเข้มข้นอยู่ในหัวใจของทั้งสองคน

     

     

    นี่เป็นครั้งแรกที่ดงอูเต้นไปร้องไห้ไป เสียงร้องโซโล่ ถูกพยายามคุมให้อยู่ในโทนที่ถูกต้องทั้งๆที่สะอื้นไปด้วย บรรยากาศมันไม่ได้เศร้าหรืออะไรเลย แต่มันก็สะเทือนใจทั้งสองคนอยู่ไม่น้อย จะดีแค่ไหนถ้าหากตรงนี้ไม่ใช่เพียงแค่ห้องซ้อม แต่เป็นเวทีที่มีแท่งไฟ ป้ายเชียร์ และเสียงกรี๊ดจากแฟนๆที่คอยให้กำลังใจพวกเค้า

     

     

     

     

    เมื่อจบเพลง ผู้เป็นพี่ นั่งลงทรุดลงกับพื้นและปาดน้ำตา โฮวอนย่อตัวลงข้างๆและโอบไหล่พี่อย่างปลอบโยน โฮวอนเข้าใจความรู้สึกของดงอูดี โดยที่อีกฝ่ายไม่ต้องอธิบายอะไร เพราะตัวเค้าเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน แต่เค้าเก่งกาจที่จะซ้อนมันไว้ในใจ

    เสียงเพลงถัดไปดังขึ้นด้วยดนตรีที่หนักหน่วง โฮวอนไม่ลังเลใจ เค้ายืนขึ้นและฉุดดงอูให้ลุกขึ้นตาม




    ทั้งสองคนมองเงาสะท้อนในกระจกบานใหญ่และจินตนาการว่าตรงนี้มี เมมเบอร์ครบทั้งเจ็ดคน เพื่อหาตำแหน่งที่ถูกต้องของตนเอง

     

     

    เสียงร้องท่อนอินโทรโดยมยองซูดังขึ้น โฮวอนและดงอูประจำตำแหน่งของตนในเพลง Destiny โดยที่แว้นว่างตำแหน่งของคนอื่นๆไว้ จากนั้นทั้งสองก็เต้นเพียงในลายของตนเอง

     

     

     

    다신 니 곁에서 떠나지 않을게 널 버리고 떠난 날 미워해도 돼

    ทาซิน นี คยอทเทซอ ตอนาจี อานึลเก นอล พอรีโก ตอนัน นัล มีวอเฮโด ทเว

    ผมไม่มีวันปล่อยคุณให้จากกันไป คุณเกลียดผม เพราะผมเคยทิ้งคุณไปครั้งนึง

    참아 볼게 나 아파 볼게 다 널 위해 Oh you

    ชามา บลเก นา อาพา บลเก ทา นอล วีเฮ Oh you

    ผมจะพยายามฝืนทนแม้เจ็บปวดแค่ไหน ทุกสิ่งนี้ก็เพื่อคุณ

     

    มือเรียวบางเข้ามาคว้าแขนดงอูเอาไว้ และดึงร่างบางให้หมุนตัวตามลายเต้นของเพลง

    ดงออูเบิ่งตาโตด้วยความช็อค เมื่อเห็นร่างโปร่งยืนเต้นอยู่ด้านข้าง

    “ซองกยู ฮยอง!” ดงอูหันไปเอ่ยด้วยความตกใจ และได้รับวิ๊งค์จากดวงตาคู่เล็กจิ๋วคู่เดิมส่งมาให้

     

     

    “นายจะเต้นท่านี้โดยไม่มีชั้นได้ยังไงกันหละ” ซองกยูเอ่ยขณะที่เต้นลายด้วยเองไปด้วย

    โฮวอนหันมายิ้มกว้างให้กับซองกยูและดงอู

     

     다신 꽉 잡은 손 놓치지 않을게 널 울리고 떠난 날 미워해도 돼

    ทาซิน กวัก ชาบึน ซน โนชีจี อานึลเก นอล อุลลีโก ตอนัน นัล มีวอเฮโด ทเว

    ผมไม่มีวันปล่อยมือคู่นี้ไปอีก คุณเกลียดผม คนที่ทำให้คุณร้องไห้แล้วตีจากไป

     

     

     

     

     

     

     

    เสียงนุ่มดังขึ้นจากด้านหลัง มาพร้อมกับร่างบางที่เดินขึ้นมาโซโล่

    “อูฮยอน!!” ดงอูตะโกนเรียกและยิ้มด้วยความดีใจอีกครั้ง ก่อนที่หัวเราะร่วนและเต้นต่อ

    อูฮยอนหันมายิ้มให้อีกสามคนและพยักหน้า

     

     

     

    บรรยากาศ เสียงเพลง และสีหน้าของทั้งสี่คนที่สะท้อนอยู่ในกระจก กำลังเรียกความทรงจำทุกๆอย่างกลับมา อูฮยอนพยายามหลับตาเต้นเพื่อนซ่อนตาแดงก่ำเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น

    ดงอูทั้งหัวเราะ ร้องไห้และเต้นในเวลาเดียวกัน โฮวอนกำลังเข้าไปสู่เสียงเพลงที่ครั้งนึงเค้าเคยฟังจนขึ้นสมองจนไม่อยากจะฟังอีก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพลงนี้กลับเป็นเพลงที่เค้าอยากฟังซ้ำแล้วซ้ำอีกที่สุด

     

     

    ซองกยู ไม่ได้แสดงความรู้สึกของตนออกมามากนัก แต่ในใจไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาอยู่ตรงนี้อีกครั้ง ถึงแม้น้องๆจะไม่ได้อยู่กันครบทั้งหกคน แต่นี่มันก็เกินกว่าที่จะจินตนาการได้แล้ว

     

     

     

    เมื่อเพลงจบ ดงอูวิ่งโถมตัวเองเข้าหา ซองกยู และอูฮยอน ด้วยความคิดถึง

     

    “พวกนายมาได้ยังไงกัน รู้ได้ไงว่าเราอยู่กันที่นี่ โฮวอนโทรไปบอกหรอ รู้ไม๊ว่าเราคิดถึงพวกนายกันแค่ไหน” ดงอูพูดโดยไม่พักหายใจ

     

    “…แฮ่ แฮกๆ ปะ เปล่า จู่พวกเราก็แค่อยากแวะมา” อูฮยอนตอบขณะที่หอบไปด้วย ก็นี่มันผ่านไปตั้งสิบปีจะให้ฟิตเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างไรกันหละ

    ซองกยูพยักหน้าเสริมคำตอบของอูฮยอน ขณะที่ตนเองนั่นลงกับพื้นและเหนื่อยจนพูดไม่ออก

     

     

    “มันบังเอิญมากๆเลย อย่างกับว่าเพลงนี้เรียกพวกนายกลับมา”โฮวอนเอ่ย

     

    “ว่าแต่.. แฮกๆกๆ พวกนายหละ…แฮกๆ.มาทำอะไรที่นี่” ในที่สุดซองกยูก็พูดออกมาได้

     

    “ตอนแรกว่าจะมาใช้ห้องคิดงานซะหน่อย แต่ว่าพอมาก็อดคิดถึงเพลงเก่าๆของพวกเราไม่ได้เลย” ดงอูยิ้มกว้าง

     

     

     

     

    ทั้งสี่คนนั่งคุยกันและอัพเดทชีวิตปัจจุบันของแต่ละคน บ้างก็พูดถึงเรื่องราวในอดีตที่คิดถึง ช่วงเวลาตรงนี้มันมีค่ามากจริงๆ

     

     

     

     

    แสงไฟสีแดงจ้าจากท้ายรถนับร้อยคันสามัคคีกันจนน่าแสบตาเป็นที่สุด

    ไม่ชอบเอาซะเลย ยิ่งเวลารีบๆแบบนี้

     

    “โอย แถวนี้รถติดเกินไปแล้วนะ” เสียงแหลมเอ่ยขึ้น

     

    “พอจะมีทางอื่นไม๊ค่ะ ทางลัดอะไรอย่างงี้ ถ้าจะไปเส้นนี้ต่อ มีหวังไม่ทันแน่ๆค่ะ” คุณเลขาถามกับคนขับรถประจำตำแหน่ง

     

    “ครับๆผม เดี๋ยวพ้นแยกนี้ จะไปอีกทางหนึ่งดีกว่าครับ” คุณคนขับหันมาตอบ

     

     

     

     

     

    รถหรูคันสีดำตีวงออกทางซ้าย เพื่อให้ บก. หนุ่มหน้าหวาน อีซองจงไปที่ประชุมให้ทันเวลา ทางลัดที่เลือกใช้ ตัดผ่านซอยเล็กๆที่มีเพียงแค่แสงสลัวๆให้พอเห็นทางเท่านั่น แต่ซองจงกลับรู้สึกเหมือน บรรยากาศมันดูคุ้นๆอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆที่มองแทบจะไม่เห็นตัวอาคารทั้งสองข้างทางเลยด้วยซ้ำ

     

     

    “เดี๋ยวฮะ จอดก่อน”เสียงแหลมตะโกนบอกพี่คนขับให้จอดรถทันที

    ซองจงรู้สึกเหมือนเห็นชายร่างสูงกับตากลมโต พึ่งจะเดินสวนผ่านกระจกข้างรถของเค้าไป

     

    ร่างบางลงจากรถและวิ่งย้อนกลับด้วยความรวดเร็ว

     

     

     

    “ฮยอง ฮยอง!!ซองยอลฮยอง!”  ซองจงตะโกนเรียกชายร่างสูงที่อยู่ในฮู๊ดสีเทาเข้ม

    ซองจงวิ่งมาจนเกือบจะถึงตัวชายร่างสูงแต่ก็ต้องชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่า ภาพบุคคลตรงหน้าเหมือนกับซองยอลเมื่อสิบปีที่แล้ว เค้าคนนี้จะเป็นซองยอลได้อย่างไง ตอนนี้ซองยอลก็น่าจะดูโตกว่านี้

    และเมื่อเด็กชายคนนั้นหันมา ก็พบว่าไม่ใช่ซองยอลจริงๆด้วย ซองจงมองไปที่ตึกรอบๆ และรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง

     

     

     

    “นี่มันหอพักแรกของพวกเรานี่หน่า” ซองจงพูดกับตนเองและเดินไปทางบ้านหลังเล็ก ตรงหน้า

     

     

     

     

    “ย่าห์ เอาของชั้นมานี่นะอีซองจง ไม่งั้นชั้นจะจัดการตุ๊กตาหมีนาย”

     

    “อย่านะฮยอง อย่าา!! แอลฮยองช่วยด้วย”

     

    “อีซองจง ไปทำความสะอาดห้องครัว ขยะเต็มถังแล้ว”

     

    “อ๊าา ผมอีกแล้ว ทำไมมักเน่ต้องทำตลอดเล้ยย”

     

     

     

     

    เสียงและภาพปรากฏขึ้นในหัวซองจงเมื่อเค้าเห็นบ้านหลังนี้ เค้าเดินตรงไปที่ประตูบ้านหลังนั้น เค้าไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเพ้อไปแล้วหรืออะไร ทำไมเค้าหวังว่าจะเห็นภาพในหัวเค้าปรากฏขึ้นจริงๆ

     

    เมื่อซองจงชะโงกไปทางหน้าต่าง เค้ากลับเห็นพ่อแม่ลูก กำลังนั่งดูทีวี ในตำแหน่งเดียวกับที่พวกเค้าเคยนอนเล่นเกะของขวัญจากแฟนๆกับพี่ๆ

    ของรกๆหายไป แทนที่ด้วยฟอร์นิเจอร์ ไม่มีรองเท้าสิบกว่าคู่วางเกะกะอยู่หน้าบ้านอีกแล้ว ไม่มีโปสเตอร์อินฟินิทที่ผนังห้องอีกแล้ว

     

     

    ซองจงรู้สึกเหมือนมีก้อนแข็งๆอยู่ที่คอ เค้าพยายามกลั้นน้ำตา และเดินกลับไปที่รถของตนเอง

     

     

     

    ชั้นคิดถึง คิดถึงพี่ๆ คิดถึงเวลาเหล่านั้น ผมอยากย้อนเวลามันกลับไป อยากไปเล่นกับพี่ๆ อยากกลับไปซ้อมอย่างเหน็ดเหนื่อย อยากทะเลอะกับซองยอลฮยอง เล่นกับโฮฮยอง หรือแม้แต่จะโดนซองกยูฮยองใช้ ผมก็ยอม

     

    “เดี๋ยว! เลี้ยวซ้ายเลยฮะ” ซองจงบอกคนขับรถ

     

    “เอ๊ะ แต่ที่ประชุมมันไปทางขวาหนิค่ะ” เลขาเอ่ยและเปิดแผนที่ในแทปเล็ทเช็ค

     

    “ผมมีธุระต้องทำ” ซองจงตอบเรียบๆทำให้เลขาและคนขับงงไปตามๆกัน

     

     

     

     

     

    ซองจงลงจากรถและเปิดกระจกมาพูด

     

    “ฝากดูแลการประชุมครั้งนี้ แล้วพรุ่งนี้มารายงานผลให้ผมฟังด้วยนะฮะ ผมเชื่อมือคุณ” จากนั้นรถหรูคันสีดำจะออกไป ทิ้งซองจงไว้ที่หน้าตึกมืดๆตึกหนึ่งที่มีตัวหนังสือเหล็กเงาอยู่หน้าตึกเขียนว่า Woollim Ent’

    นี่คือตึกเก่าของวูลิม ซองจงไม่ได้มาผิดที่ เค้ารู้ว่าบริษัทย้ายไปแล้ว แต่เค้ากลับมาไม่ได้มาหาบริษัท แต่กลับมาหาความทรงจำของตนเองตังหาก

     

     

     

    ขายาวๆก้าวไปตามทางเดินของตึกที่ไร้ผู้คน ซองจงรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเพลงอะไรบาง

    อย่าง เค้านึกไม่ออกว่ามันเพลงอะไร แต่เค้าก็เดินตามเสียงนั้นไปถึงชั้นบน

     

     

    “The Cheaser”ซองจงเอ่ยเบาๆ ทีแรกเค้าคิดว่าหูเค้าคงแว่วไปเองแต่พอเค้ามองเห็นแสงไฟที่ส่องออกมาจากห้องซ้อม ซองจงก็รีบวิ่งตรงเข้าไปหา

    เสียงเพลงหนะของจริงชัวร์ๆ ชั้นเชื่อว่าสติชั้นยังปกติอยู่ แต่ภาพตรงหน้านี่มันอะไรกัน

    ซองจงชะโงกหน้ามองในห้องซ้อม เห็นผู้ชายวัยสามสิบกว่าๆ สี่คนนั่งเล่นคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่กลางห้อง

     

     

     

    นี่ชั้นเดินทางข้ามเวลามาหรือยังไง ทำไมพวกฮยองมาอยู่กันที่นี่ แต่เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ข้ามย้อนเวลาหรอก เพราะพวกเค้าดูแก่ขึ้นกันจริงๆ นี่ของจริงหรอ หรือตาฝาด

     

     

     

    “ก๊อก ก๊อก ก๊อก ผมขอแจมด้วยได้ไม๊ฮะ”เสียงหวานเอ่ยขึ้นเมื่อแง้มประตูห้องซ้อมเข้าไป

     

    “อี ซอง จง!!!!” ทั้งสี่คนประสานเสียงกันด้วยความตกใจ

     

    “อีซองจงอีซองจงอีซองจงงงงง~~~” ดงอูวิ่งเข้าคนแรก และมากอดน้องเหมือนเด็กๆ

    ทั้งสามคนยิงคำถามกันเป็นไฟ จนซองจงไม่รู้ว่าจะตอบใคร คำถามไหน ก่อนดี

     

     

     

    “ผมก็ไม่รู้ ผมแค่คิดถึงที่นี่ ผมก็แค่กลับมาเฉยๆ ไม่คิดว่าจะเจอพี่ๆซะหน่อย”ซองจงพูดเสียงสั่น

     

    “เมื่อกี้ผมไปที่หอเก่าหอแรกของพวกเรามา ผมก็คิดถึงพี่ๆขึ้นมา จริงๆนะฮะ”ซองจงพูดต่อขณอยู่ในอ้อมกอดแบคฮัคของดงอูและโฮวอนซ้อนอีกที ซองกยูลูบหัวน้องด้วยความเอ็นดู อูฮยอนก็เขย่าตัวน้องซะแรงก่อนจะดึงมากอด

     

    ถึงพี่ๆจะแก่ลงตั้สิบปี แต่ก็ยังเหมือนเดิมเลยจริงๆ

     

     

     

     

     

    “ย่าห์!!!!!! ทำไมทุกคนมาอยู่ที่นี่!!!” เสียงแบนเป็ด ตะโกนมาจาทาวประตูห้อง หยุดทุกการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นและทำให้ทุกคนหันไปมองกันเป็นตาเดียว

    ดงอูทรุดลงกับพื้นและหัวเราะร่วนไม่ยอมหยุดและน้ำตาไหลไปด้วย

     

     

    “นี่มันวันอะไรกันเนี่ย ฮ่าๆๆๆ”ซองกยู ตะโกนขึ้นมาอย่างๆงงๆ

     

    “แอลฮยอง  พี่ก็มาด้วยหรอ!! อย่าบอกนะว่าจู่ก็คิดถึงเลยมาเยี่ยมอะ”ซองจงวิ่งเข้าช๊าตมยองซู

     

    “อะ.. อืม ทำไมอะ” มยองซูตอบแบบมึนๆ

     

    “มันเป็นไปได้ยังไงที่ทุกคนจะมาคิดถึงพร้อมๆกันในวันเดียว” อูฮยอนถาม

     

    “อ่าว แล้วซองยอลลี่ไปไหน”มยองซูถาม

     

    “เอ้อออ จริงด้วยจู่ๆผมคิดก็เพราะว่าซองยอลฮยองโทรมาหาผม”ซองจงตอบ

     

    “จริงหรอ เค้าก็โทรหาพวกฮยองเหมือนกัน”โฮวอนตอบ

     

    “นี่เจ้าซองยอลมันโทรหาทุกคนเลยใช่ไม๊ มันก็โทรหาพวกฮยองเหมือนกัน”ซองกยูเอ่ย

     

    “ว่าแต่ ตอนนี้ซองยอลอยู่ไหนหละ”ดงอูเอ่ย

     

    “เดี๋ยวผมโทรตามเอง”มยองซูตอบและหยิบมือถือออกมากดทันที





    ร่างสูงเดินไปตามทางและร้องเพลงเก่าๆของตัวเองไปพร้อมๆกับเพลงที่เปิดขึ้นในหูฟัง
    ตืด~~~~ตืด~~~~ สายเข้าขัดเพลงที่กำลังเล่นอยู่
    “ว่าไงแอล อย่าบอกนะว่าจะชวนชั้นกินข้าวตอนนี้”ซองยอลถามปลายสาย

     


    “เปล่า ตอนนี้นายอยู่ไหน” มยองซูถามกลับ

    “นายต้องไม่เชื่อแน่ว่าชั้นอยู่ที่ไหน ฮ่าๆ ชั้นอยู่หน้าตึกเก่าวูลิม ฮ่าๆ”ซองยอลหัวเราะอย่างสะใจ

    “….”


    “ฮ่าๆ เงิบไปเลยหละสิ ชั้นแค่คิดถึงบรรยากาศเก่าๆหนะเลยแค่อยากมาเยี่ยมเท่านั้น”ซองยอลตอบ

    “อะ งั้นหรอ …แล้วทำไมนายไปคนเดียวหละ” มยองซูเนียนๆถาม

    “กว่าจะรอพวกนายว่างพร้อมๆกัน ชั้นคงอายุห้าสิบได้ละหละฮ่าๆ”
    ซองยอลหัวเราะร่า ขณะกดลิฟต์ขึ้นไปชั้นบน

     

    “นั่นสิโน๊ะ คิกคิก”มยองซูพูดและแอบขำเบาๆ


    “ว่าแต่ นายโทรมามีไรหรอ”ซองยอลถาม

    “เปล่าหรอก ชั้นก็แค่อยากจะบอกนายว่า…”

    ลิฟต์เปิดออก ใบหน้าหล่อคมปรากฏขึ้นหลังประตูลิฟต์ แววตาคมเข้มประสานเข้ากับตากลมโตของซองยอล

    “ชั้นก็คิดถึงนายเหมือนกันซองยอล”

    เสียงแบนเอ่ยใส่โทรศัพท์ขณะที่ยิ้มให้กับร่างสูงตรงหน้าที่กำลังยืนค้างอ้าปากหวออยู่
    มยองซูเข้าสวมกอดซองยอล เพื่อยืนยันให้อีกฝ่ายรู้ว่านายไม่ได้คิดไปเอง นี่ของจริง

    “นะ นายยย นาย มาได้ยังไงกะ กัน ไหนบอกว่า..”ซองยอลยังช็อคไม่หาย

    “ก็ชั้นบอกอยู่นี่ไงว่าชั้นคิดถึงนาย ขอโทษนะที่รู้ตัวช้า” มยองซูเอ่ยข้างๆหูของร่างสูง

    “และทุกๆคนก็คิดกถึงนายเหมือนกัน”มยองซูถอนกอดและผลักประตูห้องซ้อมให้เปิดออก

     


    “เซอร์ไพรซ์!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงของทุกคนประสานกัน และวิ่งเข้ามาหาซองยอล


    “ทะ ทุกกคน มาอยู่ที่นี่กัน ได้ไงเนี่ย!!!ชั้นคิดว่าทุกคนจะจจะ…

    อ๊าากก!!ชั้นคิดถึงพวกพี่ทุกคนเลยย”

    ซองยอลโวยวายและกอดคนอื่นๆขณะที่เงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตา

    “ทำไมนายถึงมาช้าอย่างนี้หละ”อูฮยอนเอ่ย

     

    “ใช่ ถ้ามาช้าอีกครั้งหน้านายจะโดนทำโทษ” ซองกยูเสริม

    “พวกเรากำลังซ้อม Bemine กันอยู่ แล้วก็ซ้อมต่อกันไม่ได้เลย”ดงอูต่อ

    “เพราะไม่มีใครจำท่อนของนายได้ เรารอนายมาโซโล่อยู่เนี่ย”โฮวอนเอ่ย

    “ฮ่าาาาาาๆๆๆๆฮ่าๆๆ” ซองยอลหัวเราะทั้งปาดน้ำตา ก่อนจะถูกซองจงเข็นไปให้ประจำตำแหน่งของเพลง Be mine


    เสียงเพลงที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพลงที่ที่โด่งดัง เป็นเพลงที่ทุกๆคนร้องได้ ณ ตอนนี้ถูกร้องโดยเจ็ดหนุ่มอีกครั้ง ทั้งเจ็ดคนร้อง เต้น และแสดงอย่างเต็มที่ เหมือนที่เคยทำในทุกโชว์ ทุกคนยังจำท่าได้อย่างแม่นยำ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน การเต้นก็ยังพร้อมเพียง แม้ไม่ได้ซ้อมด้วยกันมาเป็นสิบปี สมแล้วกับที่เคยได้ชื่อว่าเป็นวงที่มีความสามารถความพร้อมในการเต้น

    내꺼 하자 내가 널 사랑해 어? 내가 널 걱정해 어?

    แนกอ ฮาจา แนกา นอล ซารางแฮ ออ? แนกา นอล คอกจองแฮ ออ?

    내가 널 끝까지 책임질게

    แนกา นอล กึทกาจี แชกกิมชิลเก

    내꺼 하자 니가 날 알잖아 어? 니가 날 봤잖아 어?

    แนกอ ฮาจา นีกา นาล อัลจานา ออ? นีกา นาล พวาจานา ออ?

    내가 널 끝까지 지켜줄게

    แนกา นอล กึทกาจี ชีกยอจุลเก

    Do you hear me… Do you hear me… oh


    มันเหมือนเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อที่จู่ๆวันหนึ่ง ทั้งเจ็ดคนจะคิดอยากจะกลับมาในที่เก่าๆ พร้อมกัน แต่นั้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าความรัก ความคิดถึง ความทรงจำ ของอินฟินิท ไม่เคยหายไปจากตัวพวกเค้าทุกคน

    ซองยอลเหงาและคิดถึงทุกๆคนถึงแม้ปัจจุบันจะได้ทำในสิ่งเค้ารัก แต่ก็ไม่มีใครมาร่วมทุกข์ร่วมสุขเหมือนเมื่อก่อน

    มยองซูกำลังก้าวหน้าทางการงาน จนลืมไปว่าจุดเริ่มต้นของงานปัจจุบัน มันก็มาจากอดีตที่งดงามเหล่านั้น เค้าลืมไปว่าเค้าคิดถึงสิ่งเหล่านั้นมากแค่ไหน

    ดงอูและโฮย่า รู้สึกเหมือนเหลือกันเพียงแค่สองคน ถึงจะเป็นสองคนที่อะไรๆจะเปลี่ยนไปน้อยที่สุด แต่ก็อย่างที่เค้าเคยได้กล่าวเอาไว้ ว่าเค้ามาเป็น Infinite Hได้นั้น ก็เพราะมีเหล่าเมมเบอร์ที่ให้กำลังใจพวกเข้าอยู่ด้านหลัง

    ซองจง ก้าวไปไกลกว่าคนอื่นๆ สังคมรอบตัวถูกปรับเปลี่นใหม่ทั้งหมด ในชีวิตปัจจุบัน เค้าเป็นคนเก่ง เป็นผู้ใหญ่ และมีแต่คนอยากพึ่งพา แต่สำหรับพี่ๆไม่ว่าจะผ่านไปสิบปี หรือยี่สิบปี ยังไงซองจงก็คือมักเน่ น้องคนเล็กของครอบครัวอินฟินิท ที่จะถูกแกล้งถูกใช้ และถูกเอ็นดูจากพี่ๆเสมอ เค้าดีใจมากๆถูกห้อมล้อมด้วยพี่ๆอีกครั้ง เค้าไม่สามารถความรู้สึกแบบนี้จากที่ไหน

    อูฮยอนได้จากเกาหลีไปไกลแสนไกล และครั้งนี้เป็นการกลับมาที่คุ้มค่ามากที่สุด เค้ารู้สึกคิดถึงพี่ๆน้องๆทุกคน ความรักที่ได้จากแฟนๆ ชื่อเสียง และความโด่งดังเหล่านั้น สภาพแวดล้อมปัจจุบันเค้าเปลี่ยนไปมาก จนเหมือนเค้ากลายเป็นอุฮยอนคนใหม่ เค้าจะหาเพื่อนที่เคยเห็นเค้าร้องไห้เมื่อมีความสุขสุดๆ ท้อแท้มากที่สุด และเหน็ดเหนื่อยมากที่สุดจากไหนได้อีกและ

    ซองกยูเป็นคนเดียวที่ยังทำงานอยู่ในค่าย เห็นการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในรอบสิบปี เห็นว่าบริษัทเติบโตไปมากขนาดไหน เค้าภูมืใจมันมากๆ แต่ไม่มีใครจะมาร่วมแบ่งปันความภูมิใจนี้เลย เค้าเหมือนมีบ้านหลังใหญ่สวยงาม แต่อยู่แค่คนเดียว วันนี้ก็คือวันที่สมาชิกในครอบครัวเค้ากลับมาเยี่ยมสินะ

    ทั้งเจ็ดคน นั่งเล่นพูดคุยกันอยู่ที่ห้องซ้อมห้องนั้น และแชร์ถึงเรื่องราวต่างๆที่เปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเค้าในรอบสิบปี


    “ทำงานคนเดียวมันก็สนุกดีนั้นหละ แต่มันจะเหมือนตอนที่พวกนายอยู่กันได้ยังไงเล่า”
    ซองกยูพูดขณะที่มือซนๆก็ไปแกะแผ่นสีที่ลอกออกจากผนัง

    “ฮยองนี่ซนจริงๆ สีหลุดหมดแล้ว” อูฮยอนพูดและตีมือพี่เบาๆ

    “เอ๊!?! นี่อะไรอะ”แววตาแหลมคม เรียวเล็ก สังเกตุเห็นหมึกสีทองที่ผนังชั้นใน
    ซองกยูเลยค่อยๆแกะแผ่นสีที่ทาทับใหม่ออกจากผนัง ลายเส้นสีทองค่อยๆชัดขึ้นชัดขึ้นเมื่อแกะสีออกเป็นวงกว้าง

    “มันดูคุ้นๆยังไงไม่รู้” ซองยอลเอ่ยขึ้น และเลื่อนตัวเข้าไปช่วยพี่แกะออก

    ทุกคนช่วยกันแกะแผ่นสีออกจากผนัง ทีละนิด จนมยองซูที่ดึงออกมาชิ้นหนึ่งซึ่งลอกแผ่นสีออกมาเป็นชิ้นใหญ่เกือบทั้งผนัง

    ทั้งเจ็ดคนค่อยๆถอยหลังและมองภาพรวมของลายเส้นสีทองที่อยู่บนผนัง

     


    ซองจงเอามือปิดปากเพื่อเก็บเสียงสะอื้น

    มยองซูโอบไหล่ซองยอลเอาไว้แน่น

    ซองยอลฉีกยิ้มทั้งน้ำตา

    ดงอูปาดน้ำตาที่ไหลมาโอบแก้มทั้งสองข้าง

    โฮวอนขมวดคิ้วหนาและหลับตาลง

     

    อูฮยอนเช็ดน้ำตาออกและหันไปมองทางอื่น

    ซองกยูยิ้มด้วยความสุขแต่คิ้วกลับลู่ลงด้วยความเศร้า

    พี่ใหญ่เดินตรงเข้าไปหากำแพง มือเรียวลูบไปตามลายเส้นของคำด้วยความอาลัย


    WE ARE INFINITE พวกเราคืออินฟินิท และจะเป็นอินฟินิทตลอดไป ต่อด้วยลายเซ็นของทั้งเจ็ดคน ที่เขียนด้วยปากกาและสเปรย์สีทอง


    สิ่งเหล่านนี้ถุกเขียนเอาไว้เมื่อสิบปีที่แล้ว โดยฝีมือของพวกเค้าเอง

    มันเคยมีเอาไว้เตือนใจเวลาที่พวกเค้าท้อ มีไว้บอกว่าพวกเค้าคือใคร และมีใครอยู่เคียงพวกเค้าข้างเสมอ


    “ฮยอง ฮยองคิดว่าพวกเราจะกลับไปเป็นอินฟินิทได้อีกไม๊” ซองจงเอ่ยถามด้วยเสียงสั่น

    “ไม่” ซองกยูเอ่ยทันที

    “เพราะตอนนี้ พวกเราก็คืออินฟินิท และจะเป็นอินฟินิทตลอดไป”

     

     

     


    หญิงสาวหยิบโปสเตอร์ one great step ขึ้นมาปัดฝุ่นด้วยความทะนุถนอม ก่อนจะติดลงที่ผนังห้องนอน ในตำแหน่งเดิมที่มันเคยอยู่

    “ซองกยุ ดงอู อุฮยอน โฮย่า ซองยอล มยองซู ซองจง ไม่ว่าตอนนี้พวกนายจะอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรกันบ้าง ชั้นอยากให้นายรู้นะว่าชั้นคิดถึง และชั้นเชื่อว่าอินสปริททุกคนก็คิดถึงพวกนาย พวกนายคือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ของใครอีกหลายๆคน ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ความรักของพวกเราที่มีให้กันมันก็ไม่มีที่สิ้นสุดนะ 

     

    สำหรับพวกเรา นายคืออินฟินิท และจะเป็นอิฟินิทตลอดไป



     


    TALK

    เรื่องนี้ยาวหน่อยนะคะ แต่ตอนเดียวจบ
    ไม่เคยเขียนแนวนี้เลย
    ไม่รู้จะมีใครอินตามกับไรท์รึเปล่า
    เรื่องนี้ออกมาจากใจล้วนๆเลย อยากจะมาแชร์ให้รีดได้อ่านกันนะค่ะ

    ชอบไม่ชอบ เม้นบอกกันเยอะๆนะค้าา ขอบคุณมักๆค่าาาา



    แรงบรรดาลใจของเรื่องนี้มาจาเนื้อเพลงเพลงนี้นะค่ะ เอาแชร์มาก ซึ้งจริงค่ะ

    เป็นเพลง peter pan ของ exo ที่เอามาcover เป็นภาษาอังกฤษ และแปลงเนื้อบางส่วนค่ะ

    CLICKME

    เนื้อเพลงค่ะ แปลมาให้

    The old diary that's been long forgotten
    ไดอารี่เล่มหนึ่งที่ถูกลืมมาเนิ่นนาน


    I brush of the dust and remember your grin
    ฉันปัดฝุ่นมันออกและจำรอยยิ้มของเธอได้


    just like before,Your pictures remain here.
    เหมือนเมื่อก่อนเลย รุปของเธอยังเหมือนเดิม


    The memories appear
    ความทรงจำกำลังปรากฏขึ้น


    My heart beat speed up like I did in the past.
    ใจของชั้นเต้นแรงเหมือนที่ชั้นเคยเป็นเมื่อก่อน


    It's unfortunate that that time couldn't last
    โชคร้ายจริงๆที่ช่วงเวลานั้นไม่สามารถคงอยู่ได้


    I begin to recall everything that I left behind
    ชั้นเริ่มที่จะระลุกถึงทุกๆสิ่งที่ชั้นทิ้งไว้ด้านหลัง


    You're my Peter pan .This world's lonely without you
    เธอคืปีเตอร์แพนของชั้น โลกนี้มันชั่งเหงาเมื่อไม่มีเธออยู่


    Let's go back to our Neverland
    เรากลับไปที่ เนเวอร์แลนกันเถอะ


    Our memories are there.
    ความทรงจำของเราอยู่ที่นั่น


    All our laughter, smiles everything's still there.
    ทั้งเสียงหัวเราะ ทั้งรอยยิ้ม ทุกๆอย่างยังอยู่ที่เดิม


    You'll always be my Peter pan
    เธอจะเป็นปีเตอร์แพนของชั้นตลอดไป


    No matter how long I have to stand. I'll wait here for you
    ไม่ว่านานแค่ไหนที่ชั้นต้องทน ชั้นก็จะรอเธอ


    Because it's not the end ,I know I will meet you again
    เพราะว่านี่ไม่ยังไม่ใช่จุดจบ ชั้นรู้ว่าเราจะได้พบกันอีก



    :) Shalunla


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×