ใต้เงามนตรา ตอน6 - นิยาย ใต้เงามนตรา ตอน6 : Dek-D.com - Writer
×

    ใต้เงามนตรา ตอน6

    หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!

    ผู้เข้าชมรวม

    68

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    7

    ผู้เข้าชมรวม


    68

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  10 ส.ค. 66 / 10:49 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ใต้เงามนตรา บท6

     

    ด้วยเพราะเมื่อคืนที่ผ่านเกิดเหตุการณ์ชวนให้ขนลุก เช้านี้ทำให้คนงานต่างจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ของค่ำคืนแรกของการสำรวจด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน

    บางคน วิตกหวาดกลัวจนบอกให้ลุงอินทาช่วยแจ้งกับผู้ว่าจ้างว่าจะเลิกรับจ้างและขอกลับบ้านในวันนี้เลย

    บางคน ตกอยู่ในอาการลังเล ตัดสินใจไม่ถูก

    ภาระหนักจึงตกอยู่กับชายชราผู้รับผิดชอบหาคนงานมาให้ทีมสำรวจครั้งนี้แต่เพียงผู้เดียว

    ร่างท้วมที่กำลังเดินตรงเข้ามายังแพพักของผู้เป็นนายซึ่งกำลังนั่งดื่มกาแฟกันอยู่นั้น ทำให้คนทั้งสี่พอจะคาดเดาได้โดยไม่ยาก เพราะนับแต่เช้ามืด นราออกเดินสำรวจไปยังแพพักทุกลำเพื่อสังเกตอาการของทุกคนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนที่ผ่าน และเมื่อถึงแพพักของคนงาน นราก็ได้ยินหัวข้อสนทนาที่ยังไม่อาจหาข้อสรุปกันได้

    ความจริงอย่าว่าแต่คนงานพวกนั้นเลย เพราะแม้แต่ทีมสำรวจจากกรุงเทพฯ ทุกคนก็นำเรื่องนี้มาพูดคุยกันแต่เช้ามืดเช่นกัน เพียงแต่วุฒิภาวะ ความรับผิดชอบ ประกอบกับบางครั้งที่ออกทำงานสำรวจ คนพวกนี้เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องราวแปลกๆ ชวนขนลุกกันมาบ้างแล้วเท่านั้น จึงต่างมองเรื่องที่เกิดเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาว่าควรจะเป็นเรื่องที่ต้องระวังมากกว่าจะมาหวาดกลัวจนเสีย การเสียงาน

    “เชิญครับลุง ดื่มกาแฟด้วยกันมั้ยครับ”

    นพศูรย์เชื้อเชิญ ขณะชายชราหย่อนตัวลงนั่งที่พื้นแพด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล

    “เอ่อ...นายครับ...”

    ลุงอินทาอึกอักเพราะเกรงใจผู้ว่าจ้างจนไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี

    “มีปัญหาเรื่องคนงานใช่มั้ยครับลุง”

    นพศูรย์ถามออกมาตรงๆ เพราะก่อนที่ลุงอินทาจะเข้ามาเพียงไม่กี่นาที นราได้บอกเล่าเรื่องที่ไปได้ยินมาจากคนงานเหล่านั้นให้ทุกคนรับรู้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    “ครับนาย คือเรื่องที่เกิดเมื่อคืนทำให้พวกคนงานไม่กล้าอยู่ทำงานกันต่อน่ะครับ”

    “ทุกคนเลยหรือครับลุง”

    ปิยะนัฐสอบถามขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากนั่งฟังลุงอินทาบอกเล่า

    “ก็เกือบหมดครับนาย ผมพยายามพูดหว่านล้อมเท่าไหร่ก็ยืนกรานกันว่าจะกลับ”

    ครั้งนี้ชายหนุ่มทั้งสี่สีหน้าเครียด เพราะหากชาวบ้านเลิกล้มที่จะรับจ้าง การทำงานก็คงไม่อาจดำเนินไปได้โดยสะดวกอย่างแน่นอน

    “ลุงครับ แล้วถ้าหากชาวบ้านชุดนี้กลับไป ลุงพอจะหาคนงานชุดใหม่มาให้พวกเราได้มั้ยครับ” วิศรุตพยายามคิดหาทางออก หากคำตอบของลุงอินทาทำให้ด็อกเตอร์หนุ่มใหญ่ต้องนิ่งไป

    เช่นกัน

    “ความจริงคนงานนอกจากชุดนี้แล้วก็ไม่มีชุดไหนอีกแล้วล่ะครับนาย ยิ่งหมู่บ้านอื่นๆ ที่ไกลออกไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่กล้ามาแน่ๆ”

    ลุงอินทาตอบพร้อมกับครุ่นคิดอยู่เป็นครู่ก่อนจะเสนอความคิดของตนขึ้น

    “เอาอย่างนี้มั้ยครับนาย พวกนายลองไปพูดกับคนงานพวกนั้นดูอีกที ผมจะช่วยหว่านล้อมให้ด้วย เพราะถ้าหากจะให้ไปหาคนงานชุดใหม่ ผมตอบพวกนายตอนนี้ได้เลยครับว่าไม่มีใครมาที่นี่อย่างแน่นอน”

    สี่หนุ่มมองหน้ากันอยู่ไปมาก่อนที่นราจะสนับสนุนความคิดของลุงอินทาขึ้น

    “นัฐ นายลองไปพูดกับชาวบ้านอย่างที่ลุงแกแนะนำน่าจะดีนะ ไม่แน่บางทีคนงานอาจจะเกรงใจนายซึ่งเป็นนายจ้าง และยอมอยู่ทำงานให้เราต่อก็ได้”

    “แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะนรา ถ้าหากคนพวกนั้นต้องอยู่อย่างจำยอมเพราะความเกรงใจเราเพียงอย่างเดียว”

    ปิยะนัฐเองก็ให้ละล้าละลัง

    “นายครับ แต่ลองไปพูดก่อนก็ไม่เสียหายอะไรนี่ครับ เผื่อจะมีทางออกไหนบ้าง”

    ปิยะนัฐมองทุกคนในที่นั้นอย่างขอความเห็น และเมื่อนพศูรย์ วิศรุต และนราพยักหน้าให้ ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับความคิดเห็นของทุกคน

    “งั้นไปกันเถอะครับลุง เดี๋ยวผมจะลองคุยกับพวกเขาดู”

    ลุงอินทาออกเดินนำปิยะนัฐไปยังแพพักของคนงานซึ่งขณะนี้คนงานยังคงนั่งจับกลุ่มกันอยู่เช่นเดิม เมื่อมองเห็นชายหนุ่มผู้เป็นนายจ้าง ทุกคนต่างยกมือไหว้ด้วยท่าทางที่บอกถึงความเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง

    “ลุงอินทาไปบอกว่าพวกคุณจะขอกลับบ้านกัน พอมีวิธีไหนที่เราจะทำงานด้วยกันได้บ้างมั้ยครับ เพราะถ้าพวกคุณกลับกันไปหมด งานสำรวจครั้งนี้ก็คงไม่สามารถเดินหน้าได้ต่อไปอย่างสะดวกแน่ๆ”

    ทุกใบหน้ามองจับมายังปิยะนัฐเป็นจุดเดียว และในแววตาเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความสงสาร หากความตั้งใจเดิมบวกกับความหวาดกลัวทำให้ยากที่ทุกคนจะเปลี่ยนใจ

    “ฉันเองก็ไม่คิดเลยนะว่าพวกเราจะมาเปลี่ยนใจกันง่ายๆ แบบนี้ จะไปกลัวอะไรกันนักหนา ดูทีมงานทุกคนที่เขามาจากกรุงเทพสิ พวกคุณๆ เขาไม่เห็นจะหวาดกลัวจนถอดใจเหมือนกับพวกเราเลย”

    ลุงอินทาสีหน้าเครียด มองทุกคนด้วยสายตาตำหนิจนปิยะนัฐต้องเบรกแกขึ้นเบาๆ

    “ลุงครับ อย่าไปตำหนิพวกเขาเลยครับ”

    ชายหนุ่มพูดอย่างยอมจำนน เพราะดูจากสีหน้าคนงานแต่ละคนขณะนี้ พวกเขาก็ดูอึดอัดใจกันทั้งสิ้น

    “เอ่อ...ลุงอินทา ผมจะอยู่กับลุงอีกคนนะ”

    เสียงนั้นดังมาจากชายหนุ่มซึ่งน่าจะอยู่ในวัยเดียวกับปิยะนัฐ หากด้วยการงานที่ตรากตรำ ทำให้ใบหน้าบุญสมแก่เกินวัยไปพอสมควร

    “ขอบใจวะสมที่แกจะอยู่เป็นเพื่อนลุง แล้วมีใครอีกบ้างที่จะอยู่ต่อ”

    จบคำถามของลุงอินทาทุกคนก้มหน้านิ่ง และนั่นคือคำตอบที่ปิยะนัฐจำต้องยอมรับโดยไม่อาจเลี่ยง

    “เอาเถอะครับ ถ้าพวกคุณอยากกลับบ้านกัน เดี๋ยวกินข้าวกินปลากันก่อน แล้วผมจะให้ลุงอินทาไปส่งที่หมู่บ้าน ว่าแต่ทั้งหมดมาจากหมู่บ้านเดียวกันใช่มั้ยครับ”

    ทุกคนพากันพยักหน้า ขณะปิยะนัฐส่งยิ้มให้อย่างเข้าใจและพยายามทำใจให้ยอมรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น อยู่ๆ เสียงหนึ่งจากกลุ่มคนงานก็ทำให้ผู้เป็นนายซึ่งกำลังจะเดินกลับไปยังแพพักของตนต้องชะงักฝีเท้าและหันกลับมา

    “นายครับ...นาย...”

    ปิยะนัฐหันกลับมายังกลุ่มคนงานก็เห็นเด็กหนุ่มวัยยี่สิบเศษซึ่งเป็นผู้ร้องเรียกตนไว้กำลังเบียดแทรกร่างของเพื่อนๆ ออกมาด้านหน้า

    “เอ็งมีอะไรจะพูดกับนายอีก”

    ลุงอินทาจับสายตามองเด็กหนุ่มเขม็ง

    “ความจริงพวกผมก็อยากอยู่ช่วยงานของนายกันนะครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมามันทำให้กลัวจนนอนไม่หลับจริงๆ ครับนาย เอาอย่างนี้มั้ยครับ พวกผมยินดีจะทำงานให้นายต่อ ถ้าหากนายจะอนุญาตให้พวกผมไปเช้าเย็นกลับ”

    ข้อเสนอของเด็กหนุ่มทำให้ทุกใบหน้าในที่นั้นคลายความเคร่งเครียดลง

    “แล้วพวกคุณจะสะดวกกันเหรอ เช้าต้องเดินทางมา เย็นก็ต้องเดินทางกลับ”

    ปิยะนัฐถามพร้อมหันไปปรึกษาลุงอินทา

    “ลุงว่าไงครับ ถ้าคนงานต้องเดินทางไปกลับจะลำบากกั้นมั้ย”

    “ไม่ลำบากหรอกครับนาย หมู่บ้านของพวกผม...ก็บ้านผางามนั่นแหละครับ อยู่ห่างจากที่นี่ไปเพียงห้ากิโลกว่าๆ เท่านั้นเอง”

    “ถ้างั้นก็ดีสิครับลุง”

    ปิยะนัฐหันไปส่งยิ้มให้ทุกคน ขณะเด็กหนุ่มผู้เสนอหนทางแก้ปัญหาบอกมาอย่างเกรงใจ

    “พวกผมขอรบกวนให้ลุงอินทาส่งกลับบ้านแค่วันนี้เท่านั้นแหละครับนาย วันต่อๆ ไปผมจะเอาเรือของผมพาเพื่อนๆ มาเอง”

    ปิยะนัฐโล่งอกเป็นอย่างยิ่งกับปัญหาที่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ หากสิ่งหนึ่งที่ผ่านแว่บเข้ามาในใจ...ทำไมสถานที่ตรงจุดนี้ จึงทำให้ผู้คนพากันหวาดกลัว?

     

    ปิยะนัฐกลับมายังแพพักของตนด้วยสีหน้าที่ต่างจากขาไปกับลุงอินทาอย่างชนิดเป็นคนละคน ทำให้ผู้ที่กำลังรอพอจะคาดเดาได้ถึงผลของการเจรจา และเมื่อปิยะนัฐเล่าให้ฟังว่าคนงานขอมาทำงานเฉพาะตอนกลางวัน ขอกลับไปนอนที่หมู่บ้านในตอนกลางคืน ทั้งนพศูรย์ วิศรุต และนรา ต่างก็แสดงสีหน้ายินดีที่ปิยะนัฐสามารถแก้ปัญหาครั้งนี้ไปได้ และเมื่ออาหารมื้อเช้าผ่านไป งานสำรวจในวันแรกก็เริ่มขึ้น...

    นพศูรย์และวิศรุตวางงานร่วมกัน โดยวันนี้จะส่งทีมประดาน้ำซึ่งแบ่งออกเป็นสองทีม ออกไปสำรวจพื้นที่ทั้งสองจุด คือบริเวณแอ่งน้ำตรงดอยสูงด้านเหนือดอยม่วงคำขึ้นไป กับบริเวณ ตรงจุดพื้นน้ำที่มีม่านหมอกลอยระเรียดอยู่แทบทั้งวัน อันเป็นจุดที่มีเพียงนราเท่านั้นที่รู้ว่าคือจุดที่ เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเพื่อนรัก

    การสำรวจในวันนี้ วิศรุตกำหนดให้ประดาน้ำทั้งสองทีมใช้เครื่องมือสำรวจใต้พื้นน้ำ ซึ่ง  เครื่องมือสำรวจจะมีวิถีเรดาห์จับได้ในความลึกราว 25 เมตร หากจุดใดที่เครื่องมือสำรวจสามารถพบเจอวัตถุหรือซากโบราณ จุดนั้นจะมีสัญญาณดังขึ้นจากเครื่อง และทีมประดาน้ำจะปล่อยทุ่น      เพื่อมาร์คเป็นจุดขุดค้นในขั้นตอนการทำงานต่อไป

    นับเวลาจากที่ทีมสำรวจทั้งสองทีมออกไปทำงาน ครึ่งวันเต็มๆ กับการรอคอยที่ปิยะนัฐมีความรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด แม้ในส่วนลึกจะมั่นใจ...สถานที่แห่งนี้คือที่ตั้งของดินแดนต่างมิติที่ตนไปพบเจอมา แต่อีกใจกลับหวั่น...เวลาในขณะนั้นกับเวลาในปัจจุบันนี้ต่างกันมากมายเหลือเกิน 

    ที่สำคัญ...สถานที่ที่ตนได้ผ่านล่วงเข้าไปนั้นมีจริงๆ หรือว่าเป็นแค่ภาพมายาที่ก่อเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อลวงตาตนแต่ประการเดียว?

    “นัฐ...ทีมสำรวจกลับกันมาแล้ว”

    เสียงตะโกนบอกจากนพศูรย์ทำให้ปิยะนัฐลุกพรวดขึ้นทันที สายตาจับมองไปที่เรือหางยาวสองลำซึ่งกำลังแล่นตามกันเข้ามา

    “จะเจออะไรกันบ้างก็ไม่รู้นะครับพี่นพ”

    ชายหนุ่มเบือนหน้าไปยังด็อกเตอร์รุ่นพี่ที่กำลังเดินเข้ามาหา

    “น่านัฐ...ใจเย็นๆ นี่เพิ่งจะทำงานเป็นวันแรก”

    นพศูรย์คาดเดาความคิดอีกฝ่ายได้ทะลุปรุโปร่ง เพราะครึ่งวันเต็มๆ ที่ตนและนราได้เห็นทีท่ากระสับกระส่ายของปิยะนัฐ

    “เดี๋ยวก็ได้รู้แล้วล่ะ”

    นพศูรย์ตบไหล่หนุ่มรุ่นน้องอย่างเข้าใจก่อนจะเดินตรงไปหาด็อกเตอร์วิศรุตซึ่งขึ้นจากเรือแล้วเดินนำหน้าทีมงานพร้อมเปิดยิ้มกว้างมาแต่ไกล

    ปิยะนัฐมองการสนทนาระหว่างนพศูรย์และวิศรุตอยู่เช่นนั้น แม้ในใจปรารถนาจะเข้าไปร่วมสนทนาด้วย แต่ความเกรงใจก็ทำให้จำต้องยับยั้งตัวเอง ปิยะนัฐต้องอดทนรอจนกระทั่งอาหารมื้อเที่ยงผ่านไป ความอึดอัดภายในใจจึงได้คลายลง

    “นัฐ เรามีข่าวดีเกี่ยวกับงานนะ”

    คำนั้นของวิศรุตเรียกรอยยิ้มจากปิยะนัฐและนราที่กำลังรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

    “ตรงบริเวณด้านบนน่ะ พรุ่งนี้คงต้องลองใช้เครื่องสำรวจใหม่อีกครั้ง แต่ตรงเวิ้งน้ำใกล้ๆ    เรานี่ พรุ่งนี้พี่ว่าจะให้ทีมประดาน้ำดำลงไปสำรวจเลย”

    “หมายความว่าไงครับพี่รุต”

    นราเองก็ตื่นเต้นยินดีไม่ต่างจากเพื่อนรัก

    “ก็ที่บริเวณเวิ้งน้ำนั่น มีสัญญาณการค้นพบดังขึ้นจากเครื่องสำรวจน่ะสินรา”

    “เป็นข่าวดีมากๆ เลยครับพี่ ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมคงต้องขออนุญาตตามไปดูทีมประดาน้ำของพี่  ทำงานด้วยคนล่ะครับ”

    ปิยะนัฐบอกอย่างอารมณ์ดี ทำให้ทุกคนในที่นั้นเกิดรอยยิ้มไปตามๆ กัน และนับจากเวลานั้นจนถึงช่วงเย็น ขณะที่ด็อกเตอร์นพศูรย์และด็อกเตอร์วิศรุตปรึกษากันถึงการกำหนดงานขั้นต่อไป ปิยะนัฐและนราก็ต่างพากันเดินพูดคุยกับทีมประดาน้ำและคนงานทั่วทุกลำแพ...

     

    เวลา 22.00 น. ในขณะที่ความเงียบเข้าครอบคลุมทั่วทุกบริเวณ และหลายชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยจากงานช่วงกลางวันพากันหลับสนิทไปแล้ว ภายในห้องพักของปิยะนัฐและนรากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    แม้ร่างกายของนราจะไม่ได้ขยับเขยื้อนและทำให้เพื่อนรักเข้าใจว่าหลับสนิทไปแล้ว หากแท้จริงสายตาของนรายังคงจับนิ่งอยู่ที่ร่างของเพื่อนรักซึ่งบัดนี้ยังคงทอดสายตามองผ่านบานหน้าต่างไปยังเบื้องนอกอย่างเลื่อนลอย

    เกือบชั่วโมงมาแล้วที่แสงจันทร์ซึ่งสาดส่องเข้ามาภายในห้อง ทำให้นราสามารถมองเห็นอากัปกิริยาของเพื่อนได้โดยชัดเจน

    “นัฐ...เป็นอะไร นอนไม่หลับเหรอ”

    หลังจากจับสังเกตเพื่อนรักมานับชั่วโมง สุดท้ายนราก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลง

    “อ้าว นายก็ยังไม่หลับเหมือนกันเหรอนรา”

    “ไม่ต้องมาถามเราหรอก ตอบมาก่อนว่านายเป็นอะไร”

    น้ำเสียงจริงจังทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าโยกโย้

    “เรากำลังคิดถึงภูกับรินมันน่ะนรา”

    นรานิ่งไปเป็นครู่ก่อนจะบอกเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย

    “นัฐ ถ้ามีสิ่งใดที่มันอัดอั้นอยู่ในอก พูดออกมาบ้างก็ได้นะเพื่อน”

    ครั้งนี้ปิยะนัฐเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปบ้าง กระทั่งนราถามย้ำมา ปิยะนัฐจึงตัดสินใจในบางสิ่ง บางอย่างที่เคยชั่งใจมาแล้วหลายครั้งว่าจะเล่าหรือไม่เล่านราดี

    “นรา...ถ้าเราเล่าอะไร สัญญานะว่านายจะไม่มองว่าเราเพี้ยน”

    “เอาเถอะนัฐ เราจะมองนายว่าเป็นอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่อนายเองก็กำลังพยายามจะหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ เล่ามาเถอะ ไม่ว่าเรื่องมันจะพิสดารแค่ไหน เราจะได้เอาสิ่งที่นายเล่ามาเทียบเคียงกับผลจากการสำรวจครั้งนี้ได้ จะไม่มองว่านายเหลวไหลหรอก”

    “ขอบใจนะนราที่นายพยายามเข้าใจเรา ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะเพื่อน นี่คือสิ่งที่มันยังฝังอยู่ในความทรงจำของเราจนถึงบัดนี้...”

    สายลมเย็นยังคงพัดผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่าง...

    แสงจันทร์นวลของข้างขึ้นยังคงสาดส่องต้องร่างของสองหนุ่มมองเห็นเป็นเงาลางเลือน...

    หากเรื่องราวมหัศจรรย์ที่แผ่วผ่านออกมาจากปากปิยะนัฐมันช่างแจ่มชัดจนทำให้นรามีความรู้สึกประหนึ่งว่าตนได้หลุดหลงเข้าไปในดินแดนต่างมิติแห่งนั้นกับเพื่อนรักทั้งสามคน...

     

    อากาศที่เย็นชื้นและมีหมอกเหมยแผ่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ ประกอบกับฝูงยุงที่ดูจะหฤหรรษ์กับการดูดกินเลือดของเหยื่อทั้งสามอย่างโอชะมานับชั่วโมง ปลุกให้ทั้งสามร่างที่บัดนี้ตกอยู่ในสภาพอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้น

    ทันทีที่สติสัมปะชัญญะต่างกลับคืน โดยไม่ได้นัดหมาย ประโยคแรกที่ต่างเปล่งออกมาด้วยความตกใจระคนตื่นเต้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน...

    “ยังไม่ตายเหรอเนี่ย!”

    แล้วต่างคนก็ต่างสำรวจกัน

    “เป็นไปได้ไงวะภู ก็เราเครื่องตกนี่”

    ดวงตาคมมองสองใบหน้าเพื่อนรักสลับอยู่ไปมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

    “มันเป็นไปได้ยังไงวะภู”

    ครั้งนี้ปิยะนัฐสบตาภูวดลนิ่ง ขณะอีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้าไปมา

    “ไม่รู้สิ ว่าแต่นายสองคนบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

    สองผู้ถูกถามก้มลงสำรวจตัวเองเพียงครู่ แล้วผลัดเปลี่ยนกันสำรวจอีกฝ่าย

    “ไม่เป็นอะไรเลยนี่ภู แล้วนายล่ะ”

    “เราก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกันนะ”

    แม้จะต่างพากันแปลกใจ แต่ที่ทุกคนต่างยินดี...ตนยังมีชีวิต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายบัดนี้ยืนยัน...อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ไม่ได้นำมาซึ่งอันตรายใดๆ เลย

    “แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ววะ”

    ภูวดลเปรยขึ้นเมื่อก้มลงมองข้อมือตัวเองแล้วพบว่านาฬิกาหยุดทำงาน...ถ่านคงหมด...ภูวดลคิดเช่นนั้นพร้อมๆกับเหยียดตัวลุกขึ้น หากคำตอบที่ได้รับจากปิยะนัฐทำให้ร่างสูงมองเพื่อนอย่างแปลกใจ

    “นาฬิกาเราหยุดเดินว่ะภู”

    “อะไรกัน นาฬิกายี่ห้อดังราคาเรือนแสนนี่นะ จะมาเดี้ยงเอาง่ายๆ”

    หะรินพูดปนหัวเราะพร้อมกับก้มลงมองข้อมือของตัวเองบ้าง

    “เฮ้ย!”

    “เฮ้ยอะไรวะริน” ภูวดลถามเพื่อนยิ้มๆ

    “นาฬิกาเราก็หยุดนิ่งเลยว่ะ”

    “เป็นไงล่ะ เรือนแสนของพวกนักธุรกิจใหญ่ก็ไม่ต่างจากของเราเหมือนกัน”

    ทั้งหะรินและภูวดลหัวเราะขึ้นพร้อมกัน หากปิยะนัฐไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่นาฬิกาทั้งสามเรือนจะมาเสียพร้อมๆ กัน ในเมื่อจากสภาพที่เห็น อุบัติเหตุที่เกิด ไม่ได้ทำให้ใครต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันเลย

    ความสงัดเงียบบวกกับอากาศที่เย็นชื้น ทำให้ดวงตาคมค่อยๆ กวาดมองสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว แล้วหัวใจของปิยะนัฐก็กระตุกวูบ...ทำไมรอบตัวขณะนี้มีแต่ม่านหมอกและเต็มไปด้วยดงไม้ใหญ่ทั้งสิ้น ยิ่งเถาวัลย์ที่ใหญ่และรกทึบนั่นยิ่งไม่น่าเชื่อว่าดอยม่วงคำแห่งนี้จะมีผืนป่าที่ดูราวจะเป็นดงดิบก็ไม่ปานหลงเหลืออยู่...

    “ภู ริน พวกนายรู้สึกแปลกๆ มั้ย”

    หลังจากกวาดสายตาสำรวจรอบๆ ตัวอยู่ครู่ใหญ่ ปิยะนัฐจึงเอ่ยถามเพื่อน 

    ทั้งภูวดลและหะรินไม่ได้ตอบคำถามนั้น หากต่างสอดส่ายสายตาสำรวจรอบๆ ตัวอยู่เป็นครู่ ก่อนที่สีหน้าคนทั้งสองจะเผือดสีลง

    “จริงของนายว่ะนัฐ”

    คำนั้นของหะรินแทบไม่อาจหลุดลอดผ่านริมฝีปาก

    “เราต้องตั้งสติกันให้ดีเสียแล้วล่ะเพื่อน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผืนป่าดงดิบแบบนี้หลงเหลืออยู่ในบ้านเมืองของเรา พวกนายดูต้นไม้แต่ละต้นนั่นสิ ส่วนใหญ่สามคนโอบยังไม่รอบทั้งนั้นเลย”

    คำพูดของปิยะนัฐทำให้หัวใจของแต่ละคนเย็นเฉียบ

    ปิยะนัฐพูดถูก...ในยุคสมัยนี้ มีหรือที่จะมีผืนป่าที่กำลังเห็นอยู่ขณะนี้หลงเหลือ และบ่อยครั้งที่พวกตนพากันออกเที่ยวเดินป่า ก็ไม่เคยพบเห็นผืนป่าที่ใดเป็นอย่างเช่นที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้เลย

    “ริน นัฐ ไม่เป็นไรน่ะ จะผืนป่าไหนก็ช่างเถอะ เรายังรอด ยังไงเสีย เราก็ต้องหาทางกลับบ้านกันจนได้ล่ะน่า”

    แม้จะปลอบเพื่อนเช่นนั้น หากลึกๆ ของภูวดลไม่ได้เป็นอย่างที่บอกกับเพื่อน สิ่งที่กำลัง  ถาโถมเข้ามามีแต่คำถาม... ในเมื่อตนและเพื่อนต่างมั่นใจ ว่าจุดที่เกิดเหตุคือดอยม่วงคำ แล้วทำไม รอบๆ ตัวที่เห็นอยู่ขณะนี้จึงดูราวกับป่าดงดิบที่ไม่น่าหลงเหลืออยู่แล้วในปัจจุบัน...

    ขณะที่ภูวดลกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความสงสัย ขณะที่หะรินยังคงสอดส่ายสายตามองทุกอย่างรอบๆ ตัวด้วยความหวาดระแวง สิ่งหนึ่งก็แว่บเข้ามาในความคิดปิยะนัฐ...

    “ริน ภู พวกนายจำได้ใช่มั้ย ในตอนเกิดเหตุขณะที่เรายังมีสติ พวกเราเห็นอะไร”

    ทั้งภูวดลและหะรินนิ่งคิดเพียงครู่แล้วพยักหน้าพร้อมๆ กัน

    “ใช่ นัฐ ตอนนั้นก่อนที่เครื่องจะเกิดขัดข้อง รินมันตะโกนบอกให้เราดูด้านล่าง แล้วเราก็เห็นลำแสงประหลาดเกิดขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป”

    “ภู นายกำลังจะบอกว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเราครั้งนี้เกิดจากเจ้าลำแสงประหลาดนั่นน่ะเหรอ”

    ครั้งนี้ภูวดลนิ่ง ไม่กล้ายืนยัน แต่ที่ทั้งสามต่างคิดตรงกันขณะนี้...ถ้าหากอุบัติเหตุที่เกิดไม่ได้เกี่ยวข้องกับลำแสงนั่น แล้วไยพวกตนจึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย

    “มันเกิดอะไรกับพวกเราวะเพื่อน!”

    น้ำเสียงนั้นฉุนเฉียวอย่างไม่เคยเป็น ขณะเจ้าตัวทรุดร่างลงราวจะสิ้นเรี่ยวแรง ยิ่งกวาดตา   มองไปรอบๆ ยิ่งทำให้หะรินเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็น

    “เอาเถอะเพื่อน อะไรเกิดกับเรา เราต้องหาคำตอบให้ได้ ที่สำคัญ ตอนนี้เราจะอยู่กันเฉยๆ ไม่ได้เสียแล้วล่ะ”

    ปิยะนัฐตบไหล่หะรินเบาๆ เข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี เพราะขณะนี้ แม้แต่ตนก็เกิดความสับสนเหลือเกิน

    “ริน ภู เราลองเดินหาหมู่บ้านแถวๆ นี้ดูก่อนดีมั้ย เผื่อจะขอความช่วยเหลือจากพวกชาวบ้านเขาได้บ้าง”

    ปิยะนัฐตั้งใจจะปลอบเพื่อนทั้งสอง โดยเฉพาะหะริน หากสิ่งที่ได้รับ กลับเป็นคำถามมากมายที่หะรินตะเบ็งสวนกลับมา

    “นัฐ พอเถอะเพื่อน เรารู้นะ นายกับเจ้าภูก็รู้สึกเหมือนเรา ที่นี่มันไม่ใช่ป่าธรรมดาๆ อย่างที่เราเคยพบเห็น ที่สำคัญ พวกนายก็กำลังสงสัยใช่มั้ยวะเพื่อนว่าอะไรมันเกิดขึ้นกับเราสามคนกันแน่ นายดูรอบๆ ตัวพวกเราสิ ต้นไม้แต่ละต้นมันใหญ่โตและสูงเสียดเมฆ เถาวัลย์พวกนั้น แล้วยังต้นไม้ตามพื้นดินที่มันดูแปลกๆ พวกนั้นอีก มันหมายความว่าอะไร”

    หะรินชี้กราดไปยังสิ่งที่พูดถึงก่อนจะจบประโยคยืดยาวพร้อมๆกับขอบตาทั้งสองที่เริ่มร้อนผ่าวเพราะไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกภายใน

    “ริน นายพูดถูก เรากับนัฐก็รู้สึกเหมือนนาย แต่เราต้องตั้งสติสิเพื่อน อย่าให้ความกลัวมาทำลายขวัญกันเอง”

    ความเคร่งเครียดบนใบหน้าหะรินค่อยๆ คลายลงด้วยคำพูดเตือนสติของภูวดล และยิ่งประโยคต่อมาซึ่งดังขึ้นจากเพื่อนรักอีกคน ทำให้ความร้อนรุ่มเมื่อครู่แทบจะมลายหายไป

    “ริน เรากำลังเผชิญชะตากรรมด้วยกันนะ ต่อให้ที่นี่เป็นดินแดนมหัศจรรย์อะไร เราก็ต้องหาทางกลับบ้านกันให้ได้นะเพื่อน...”

    ปิยะนัฐส่งมือไปให้เพื่อนรักซึ่งยังคงแผ่หลาอยู่กับพื้นหญ้า ขณะที่อีกด้าน ภูวดลก็ส่งมือไป

    ให้หะรินเช่นกัน

    ไม่มีคำพูด ไม่มีคำปลอบโยนใดๆ แก่กันอีก มีเพียงมือสามคู่เท่านั้นที่เกาะกุมกันไว้มั่น 

    แม้ภายนอกไม่มีคำใดเอ่ยแก่กัน หากในใจต่างคิดไปในทางเดียว...

    ไม่เป็นไร ไม่ว่าที่นี่จะเป็นดินแดนไหน เราจะไม่มีวันทิ้งกัน!

     

     

     

     

     

     

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น