ใต้เงามนตรา ตอน6
หนึ่งชีวิต...ครองความเป็นใหญ่ หนึ่งชีวิต...ความตายเป็นผู้พลัดพราก หนึ่งชีวิต...ต้องจากเทพศิลานครไปตลอดกาล นี่คือชะตากรรมของสามบุรุษผู้ล่วงผ่านมิติเวลา!
ผู้เข้าชมรวม
66
ผู้เข้าชมเดือนนี้
5
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ใต้เงามนตรา บท6
ด้วยเพราะเมื่อคืนที่ผ่านเกิดเหตุการณ์ชวนให้ขนลุก เช้านี้ทำให้คนงานต่างจับกลุ่มพูดคุยกันถึงเหตุการณ์ของค่ำคืนแรกของการสำรวจด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน
บางคน วิตกหวาดกลัวจนบอกให้ลุงอินทาช่วยแจ้งกับผู้ว่าจ้างว่าจะเลิกรับจ้างและขอกลับบ้านในวันนี้เลย
บางคน ตกอยู่ในอาการลังเล ตัดสินใจไม่ถูก
ภาระหนักจึงตกอยู่กับชายชราผู้รับผิดชอบหาคนงานมาให้ทีมสำรวจครั้งนี้แต่เพียงผู้เดียว
ร่างท้วมที่กำลังเดินตรงเข้ามายังแพพักของผู้เป็นนายซึ่งกำลังนั่งดื่มกาแฟกันอยู่นั้น ทำให้คนทั้งสี่พอจะคาดเดาได้โดยไม่ยาก เพราะนับแต่เช้ามืด นราออกเดินสำรวจไปยังแพพักทุกลำเพื่อสังเกตอาการของทุกคนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนที่ผ่าน และเมื่อถึงแพพักของคนงาน นราก็ได้ยินหัวข้อสนทนาที่ยังไม่อาจหาข้อสรุปกันได้
ความจริงอย่าว่าแต่คนงานพวกนั้นเลย เพราะแม้แต่ทีมสำรวจจากกรุงเทพฯ ทุกคนก็นำเรื่องนี้มาพูดคุยกันแต่เช้ามืดเช่นกัน เพียงแต่วุฒิภาวะ ความรับผิดชอบ ประกอบกับบางครั้งที่ออกทำงานสำรวจ คนพวกนี้เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องราวแปลกๆ ชวนขนลุกกันมาบ้างแล้วเท่านั้น จึงต่างมองเรื่องที่เกิดเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาว่าควรจะเป็นเรื่องที่ต้องระวังมากกว่าจะมาหวาดกลัวจนเสีย การเสียงาน
“เชิญครับลุง ดื่มกาแฟด้วยกันมั้ยครับ”
นพศูรย์เชื้อเชิญ ขณะชายชราหย่อนตัวลงนั่งที่พื้นแพด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล
“เอ่อ...นายครับ...”
ลุงอินทาอึกอักเพราะเกรงใจผู้ว่าจ้างจนไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี
“มีปัญหาเรื่องคนงานใช่มั้ยครับลุง”
นพศูรย์ถามออกมาตรงๆ เพราะก่อนที่ลุงอินทาจะเข้ามาเพียงไม่กี่นาที นราได้บอกเล่าเรื่องที่ไปได้ยินมาจากคนงานเหล่านั้นให้ทุกคนรับรู้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ครับนาย คือเรื่องที่เกิดเมื่อคืนทำให้พวกคนงานไม่กล้าอยู่ทำงานกันต่อน่ะครับ”
“ทุกคนเลยหรือครับลุง”
ปิยะนัฐสอบถามขึ้นเป็นประโยคแรกหลังจากนั่งฟังลุงอินทาบอกเล่า
“ก็เกือบหมดครับนาย ผมพยายามพูดหว่านล้อมเท่าไหร่ก็ยืนกรานกันว่าจะกลับ”
ครั้งนี้ชายหนุ่มทั้งสี่สีหน้าเครียด เพราะหากชาวบ้านเลิกล้มที่จะรับจ้าง การทำงานก็คงไม่อาจดำเนินไปได้โดยสะดวกอย่างแน่นอน
“ลุงครับ แล้วถ้าหากชาวบ้านชุดนี้กลับไป ลุงพอจะหาคนงานชุดใหม่มาให้พวกเราได้มั้ยครับ” วิศรุตพยายามคิดหาทางออก หากคำตอบของลุงอินทาทำให้ด็อกเตอร์หนุ่มใหญ่ต้องนิ่งไป
เช่นกัน
“ความจริงคนงานนอกจากชุดนี้แล้วก็ไม่มีชุดไหนอีกแล้วล่ะครับนาย ยิ่งหมู่บ้านอื่นๆ ที่ไกลออกไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่กล้ามาแน่ๆ”
ลุงอินทาตอบพร้อมกับครุ่นคิดอยู่เป็นครู่ก่อนจะเสนอความคิดของตนขึ้น
“เอาอย่างนี้มั้ยครับนาย พวกนายลองไปพูดกับคนงานพวกนั้นดูอีกที ผมจะช่วยหว่านล้อมให้ด้วย เพราะถ้าหากจะให้ไปหาคนงานชุดใหม่ ผมตอบพวกนายตอนนี้ได้เลยครับว่าไม่มีใครมาที่นี่อย่างแน่นอน”
สี่หนุ่มมองหน้ากันอยู่ไปมาก่อนที่นราจะสนับสนุนความคิดของลุงอินทาขึ้น
“นัฐ นายลองไปพูดกับชาวบ้านอย่างที่ลุงแกแนะนำน่าจะดีนะ ไม่แน่บางทีคนงานอาจจะเกรงใจนายซึ่งเป็นนายจ้าง และยอมอยู่ทำงานให้เราต่อก็ได้”
“แล้วจะมีประโยชน์อะไรล่ะนรา ถ้าหากคนพวกนั้นต้องอยู่อย่างจำยอมเพราะความเกรงใจเราเพียงอย่างเดียว”
ปิยะนัฐเองก็ให้ละล้าละลัง
“นายครับ แต่ลองไปพูดก่อนก็ไม่เสียหายอะไรนี่ครับ เผื่อจะมีทางออกไหนบ้าง”
ปิยะนัฐมองทุกคนในที่นั้นอย่างขอความเห็น และเมื่อนพศูรย์ วิศรุต และนราพยักหน้าให้ ชายหนุ่มจึงพยักหน้ารับความคิดเห็นของทุกคน
“งั้นไปกันเถอะครับลุง เดี๋ยวผมจะลองคุยกับพวกเขาดู”
ลุงอินทาออกเดินนำปิยะนัฐไปยังแพพักของคนงานซึ่งขณะนี้คนงานยังคงนั่งจับกลุ่มกันอยู่เช่นเดิม เมื่อมองเห็นชายหนุ่มผู้เป็นนายจ้าง ทุกคนต่างยกมือไหว้ด้วยท่าทางที่บอกถึงความเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง
“ลุงอินทาไปบอกว่าพวกคุณจะขอกลับบ้านกัน พอมีวิธีไหนที่เราจะทำงานด้วยกันได้บ้างมั้ยครับ เพราะถ้าพวกคุณกลับกันไปหมด งานสำรวจครั้งนี้ก็คงไม่สามารถเดินหน้าได้ต่อไปอย่างสะดวกแน่ๆ”
ทุกใบหน้ามองจับมายังปิยะนัฐเป็นจุดเดียว และในแววตาเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความสงสาร หากความตั้งใจเดิมบวกกับความหวาดกลัวทำให้ยากที่ทุกคนจะเปลี่ยนใจ
“ฉันเองก็ไม่คิดเลยนะว่าพวกเราจะมาเปลี่ยนใจกันง่ายๆ แบบนี้ จะไปกลัวอะไรกันนักหนา ดูทีมงานทุกคนที่เขามาจากกรุงเทพสิ พวกคุณๆ เขาไม่เห็นจะหวาดกลัวจนถอดใจเหมือนกับพวกเราเลย”
ลุงอินทาสีหน้าเครียด มองทุกคนด้วยสายตาตำหนิจนปิยะนัฐต้องเบรกแกขึ้นเบาๆ
“ลุงครับ อย่าไปตำหนิพวกเขาเลยครับ”
ชายหนุ่มพูดอย่างยอมจำนน เพราะดูจากสีหน้าคนงานแต่ละคนขณะนี้ พวกเขาก็ดูอึดอัดใจกันทั้งสิ้น
“เอ่อ...ลุงอินทา ผมจะอยู่กับลุงอีกคนนะ”
เสียงนั้นดังมาจากชายหนุ่มซึ่งน่าจะอยู่ในวัยเดียวกับปิยะนัฐ หากด้วยการงานที่ตรากตรำ ทำให้ใบหน้าบุญสมแก่เกินวัยไปพอสมควร
“ขอบใจวะสมที่แกจะอยู่เป็นเพื่อนลุง แล้วมีใครอีกบ้างที่จะอยู่ต่อ”
จบคำถามของลุงอินทาทุกคนก้มหน้านิ่ง และนั่นคือคำตอบที่ปิยะนัฐจำต้องยอมรับโดยไม่อาจเลี่ยง
“เอาเถอะครับ ถ้าพวกคุณอยากกลับบ้านกัน เดี๋ยวกินข้าวกินปลากันก่อน แล้วผมจะให้ลุงอินทาไปส่งที่หมู่บ้าน ว่าแต่ทั้งหมดมาจากหมู่บ้านเดียวกันใช่มั้ยครับ”
ทุกคนพากันพยักหน้า ขณะปิยะนัฐส่งยิ้มให้อย่างเข้าใจและพยายามทำใจให้ยอมรับกับปัญหาที่เกิดขึ้น อยู่ๆ เสียงหนึ่งจากกลุ่มคนงานก็ทำให้ผู้เป็นนายซึ่งกำลังจะเดินกลับไปยังแพพักของตนต้องชะงักฝีเท้าและหันกลับมา
“นายครับ...นาย...”
ปิยะนัฐหันกลับมายังกลุ่มคนงานก็เห็นเด็กหนุ่มวัยยี่สิบเศษซึ่งเป็นผู้ร้องเรียกตนไว้กำลังเบียดแทรกร่างของเพื่อนๆ ออกมาด้านหน้า
“เอ็งมีอะไรจะพูดกับนายอีก”
ลุงอินทาจับสายตามองเด็กหนุ่มเขม็ง
“ความจริงพวกผมก็อยากอยู่ช่วยงานของนายกันนะครับ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมามันทำให้กลัวจนนอนไม่หลับจริงๆ ครับนาย เอาอย่างนี้มั้ยครับ พวกผมยินดีจะทำงานให้นายต่อ ถ้าหากนายจะอนุญาตให้พวกผมไปเช้าเย็นกลับ”
ข้อเสนอของเด็กหนุ่มทำให้ทุกใบหน้าในที่นั้นคลายความเคร่งเครียดลง
“แล้วพวกคุณจะสะดวกกันเหรอ เช้าต้องเดินทางมา เย็นก็ต้องเดินทางกลับ”
ปิยะนัฐถามพร้อมหันไปปรึกษาลุงอินทา
“ลุงว่าไงครับ ถ้าคนงานต้องเดินทางไปกลับจะลำบากกั้นมั้ย”
“ไม่ลำบากหรอกครับนาย หมู่บ้านของพวกผม...ก็บ้านผางามนั่นแหละครับ อยู่ห่างจากที่นี่ไปเพียงห้ากิโลกว่าๆ เท่านั้นเอง”
“ถ้างั้นก็ดีสิครับลุง”
ปิยะนัฐหันไปส่งยิ้มให้ทุกคน ขณะเด็กหนุ่มผู้เสนอหนทางแก้ปัญหาบอกมาอย่างเกรงใจ
“พวกผมขอรบกวนให้ลุงอินทาส่งกลับบ้านแค่วันนี้เท่านั้นแหละครับนาย วันต่อๆ ไปผมจะเอาเรือของผมพาเพื่อนๆ มาเอง”
ปิยะนัฐโล่งอกเป็นอย่างยิ่งกับปัญหาที่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ หากสิ่งหนึ่งที่ผ่านแว่บเข้ามาในใจ...ทำไมสถานที่ตรงจุดนี้ จึงทำให้ผู้คนพากันหวาดกลัว?
ปิยะนัฐกลับมายังแพพักของตนด้วยสีหน้าที่ต่างจากขาไปกับลุงอินทาอย่างชนิดเป็นคนละคน ทำให้ผู้ที่กำลังรอพอจะคาดเดาได้ถึงผลของการเจรจา และเมื่อปิยะนัฐเล่าให้ฟังว่าคนงานขอมาทำงานเฉพาะตอนกลางวัน ขอกลับไปนอนที่หมู่บ้านในตอนกลางคืน ทั้งนพศูรย์ วิศรุต และนรา ต่างก็แสดงสีหน้ายินดีที่ปิยะนัฐสามารถแก้ปัญหาครั้งนี้ไปได้ และเมื่ออาหารมื้อเช้าผ่านไป งานสำรวจในวันแรกก็เริ่มขึ้น...
นพศูรย์และวิศรุตวางงานร่วมกัน โดยวันนี้จะส่งทีมประดาน้ำซึ่งแบ่งออกเป็นสองทีม ออกไปสำรวจพื้นที่ทั้งสองจุด คือบริเวณแอ่งน้ำตรงดอยสูงด้านเหนือดอยม่วงคำขึ้นไป กับบริเวณ ตรงจุดพื้นน้ำที่มีม่านหมอกลอยระเรียดอยู่แทบทั้งวัน อันเป็นจุดที่มีเพียงนราเท่านั้นที่รู้ว่าคือจุดที่ เกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเพื่อนรัก
การสำรวจในวันนี้ วิศรุตกำหนดให้ประดาน้ำทั้งสองทีมใช้เครื่องมือสำรวจใต้พื้นน้ำ ซึ่ง เครื่องมือสำรวจจะมีวิถีเรดาห์จับได้ในความลึกราว 25 เมตร หากจุดใดที่เครื่องมือสำรวจสามารถพบเจอวัตถุหรือซากโบราณ จุดนั้นจะมีสัญญาณดังขึ้นจากเครื่อง และทีมประดาน้ำจะปล่อยทุ่น เพื่อมาร์คเป็นจุดขุดค้นในขั้นตอนการทำงานต่อไป
นับเวลาจากที่ทีมสำรวจทั้งสองทีมออกไปทำงาน ครึ่งวันเต็มๆ กับการรอคอยที่ปิยะนัฐมีความรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด แม้ในส่วนลึกจะมั่นใจ...สถานที่แห่งนี้คือที่ตั้งของดินแดนต่างมิติที่ตนไปพบเจอมา แต่อีกใจกลับหวั่น...เวลาในขณะนั้นกับเวลาในปัจจุบันนี้ต่างกันมากมายเหลือเกิน
ที่สำคัญ...สถานที่ที่ตนได้ผ่านล่วงเข้าไปนั้นมีจริงๆ หรือว่าเป็นแค่ภาพมายาที่ก่อเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อลวงตาตนแต่ประการเดียว?
“นัฐ...ทีมสำรวจกลับกันมาแล้ว”
เสียงตะโกนบอกจากนพศูรย์ทำให้ปิยะนัฐลุกพรวดขึ้นทันที สายตาจับมองไปที่เรือหางยาวสองลำซึ่งกำลังแล่นตามกันเข้ามา
“จะเจออะไรกันบ้างก็ไม่รู้นะครับพี่นพ”
ชายหนุ่มเบือนหน้าไปยังด็อกเตอร์รุ่นพี่ที่กำลังเดินเข้ามาหา
“น่านัฐ...ใจเย็นๆ นี่เพิ่งจะทำงานเป็นวันแรก”
นพศูรย์คาดเดาความคิดอีกฝ่ายได้ทะลุปรุโปร่ง เพราะครึ่งวันเต็มๆ ที่ตนและนราได้เห็นทีท่ากระสับกระส่ายของปิยะนัฐ
“เดี๋ยวก็ได้รู้แล้วล่ะ”
นพศูรย์ตบไหล่หนุ่มรุ่นน้องอย่างเข้าใจก่อนจะเดินตรงไปหาด็อกเตอร์วิศรุตซึ่งขึ้นจากเรือแล้วเดินนำหน้าทีมงานพร้อมเปิดยิ้มกว้างมาแต่ไกล
ปิยะนัฐมองการสนทนาระหว่างนพศูรย์และวิศรุตอยู่เช่นนั้น แม้ในใจปรารถนาจะเข้าไปร่วมสนทนาด้วย แต่ความเกรงใจก็ทำให้จำต้องยับยั้งตัวเอง ปิยะนัฐต้องอดทนรอจนกระทั่งอาหารมื้อเที่ยงผ่านไป ความอึดอัดภายในใจจึงได้คลายลง
“นัฐ เรามีข่าวดีเกี่ยวกับงานนะ”
คำนั้นของวิศรุตเรียกรอยยิ้มจากปิยะนัฐและนราที่กำลังรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“ตรงบริเวณด้านบนน่ะ พรุ่งนี้คงต้องลองใช้เครื่องสำรวจใหม่อีกครั้ง แต่ตรงเวิ้งน้ำใกล้ๆ เรานี่ พรุ่งนี้พี่ว่าจะให้ทีมประดาน้ำดำลงไปสำรวจเลย”
“หมายความว่าไงครับพี่รุต”
นราเองก็ตื่นเต้นยินดีไม่ต่างจากเพื่อนรัก
“ก็ที่บริเวณเวิ้งน้ำนั่น มีสัญญาณการค้นพบดังขึ้นจากเครื่องสำรวจน่ะสินรา”
“เป็นข่าวดีมากๆ เลยครับพี่ ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมคงต้องขออนุญาตตามไปดูทีมประดาน้ำของพี่ ทำงานด้วยคนล่ะครับ”
ปิยะนัฐบอกอย่างอารมณ์ดี ทำให้ทุกคนในที่นั้นเกิดรอยยิ้มไปตามๆ กัน และนับจากเวลานั้นจนถึงช่วงเย็น ขณะที่ด็อกเตอร์นพศูรย์และด็อกเตอร์วิศรุตปรึกษากันถึงการกำหนดงานขั้นต่อไป ปิยะนัฐและนราก็ต่างพากันเดินพูดคุยกับทีมประดาน้ำและคนงานทั่วทุกลำแพ...
เวลา 22.00 น. ในขณะที่ความเงียบเข้าครอบคลุมทั่วทุกบริเวณ และหลายชีวิตที่เหน็ดเหนื่อยจากงานช่วงกลางวันพากันหลับสนิทไปแล้ว ภายในห้องพักของปิยะนัฐและนรากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
แม้ร่างกายของนราจะไม่ได้ขยับเขยื้อนและทำให้เพื่อนรักเข้าใจว่าหลับสนิทไปแล้ว หากแท้จริงสายตาของนรายังคงจับนิ่งอยู่ที่ร่างของเพื่อนรักซึ่งบัดนี้ยังคงทอดสายตามองผ่านบานหน้าต่างไปยังเบื้องนอกอย่างเลื่อนลอย
เกือบชั่วโมงมาแล้วที่แสงจันทร์ซึ่งสาดส่องเข้ามาภายในห้อง ทำให้นราสามารถมองเห็นอากัปกิริยาของเพื่อนได้โดยชัดเจน
“นัฐ...เป็นอะไร นอนไม่หลับเหรอ”
หลังจากจับสังเกตเพื่อนรักมานับชั่วโมง สุดท้ายนราก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลง
“อ้าว นายก็ยังไม่หลับเหมือนกันเหรอนรา”
“ไม่ต้องมาถามเราหรอก ตอบมาก่อนว่านายเป็นอะไร”
น้ำเสียงจริงจังทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าโยกโย้
“เรากำลังคิดถึงภูกับรินมันน่ะนรา”
นรานิ่งไปเป็นครู่ก่อนจะบอกเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“นัฐ ถ้ามีสิ่งใดที่มันอัดอั้นอยู่ในอก พูดออกมาบ้างก็ได้นะเพื่อน”
ครั้งนี้ปิยะนัฐเป็นฝ่ายนิ่งเงียบไปบ้าง กระทั่งนราถามย้ำมา ปิยะนัฐจึงตัดสินใจในบางสิ่ง บางอย่างที่เคยชั่งใจมาแล้วหลายครั้งว่าจะเล่าหรือไม่เล่านราดี
“นรา...ถ้าเราเล่าอะไร สัญญานะว่านายจะไม่มองว่าเราเพี้ยน”
“เอาเถอะนัฐ เราจะมองนายว่าเป็นอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่อนายเองก็กำลังพยายามจะหาคำตอบให้ตัวเองอยู่ เล่ามาเถอะ ไม่ว่าเรื่องมันจะพิสดารแค่ไหน เราจะได้เอาสิ่งที่นายเล่ามาเทียบเคียงกับผลจากการสำรวจครั้งนี้ได้ จะไม่มองว่านายเหลวไหลหรอก”
“ขอบใจนะนราที่นายพยายามเข้าใจเรา ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะเพื่อน นี่คือสิ่งที่มันยังฝังอยู่ในความทรงจำของเราจนถึงบัดนี้...”
สายลมเย็นยังคงพัดผ่านเข้ามาทางบานหน้าต่าง...
แสงจันทร์นวลของข้างขึ้นยังคงสาดส่องต้องร่างของสองหนุ่มมองเห็นเป็นเงาลางเลือน...
หากเรื่องราวมหัศจรรย์ที่แผ่วผ่านออกมาจากปากปิยะนัฐมันช่างแจ่มชัดจนทำให้นรามีความรู้สึกประหนึ่งว่าตนได้หลุดหลงเข้าไปในดินแดนต่างมิติแห่งนั้นกับเพื่อนรักทั้งสามคน...
อากาศที่เย็นชื้นและมีหมอกเหมยแผ่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ ประกอบกับฝูงยุงที่ดูจะหฤหรรษ์กับการดูดกินเลือดของเหยื่อทั้งสามอย่างโอชะมานับชั่วโมง ปลุกให้ทั้งสามร่างที่บัดนี้ตกอยู่ในสภาพอิดโรยอย่างเห็นได้ชัดค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้น
ทันทีที่สติสัมปะชัญญะต่างกลับคืน โดยไม่ได้นัดหมาย ประโยคแรกที่ต่างเปล่งออกมาด้วยความตกใจระคนตื่นเต้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน...
“ยังไม่ตายเหรอเนี่ย!”
แล้วต่างคนก็ต่างสำรวจกัน
“เป็นไปได้ไงวะภู ก็เราเครื่องตกนี่”
ดวงตาคมมองสองใบหน้าเพื่อนรักสลับอยู่ไปมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
“มันเป็นไปได้ยังไงวะภู”
ครั้งนี้ปิยะนัฐสบตาภูวดลนิ่ง ขณะอีกฝ่ายได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“ไม่รู้สิ ว่าแต่นายสองคนบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
สองผู้ถูกถามก้มลงสำรวจตัวเองเพียงครู่ แล้วผลัดเปลี่ยนกันสำรวจอีกฝ่าย
“ไม่เป็นอะไรเลยนี่ภู แล้วนายล่ะ”
“เราก็ไม่เป็นอะไรเหมือนกันนะ”
แม้จะต่างพากันแปลกใจ แต่ที่ทุกคนต่างยินดี...ตนยังมีชีวิต เพราะทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายบัดนี้ยืนยัน...อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ไม่ได้นำมาซึ่งอันตรายใดๆ เลย
“แล้วนี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ววะ”
ภูวดลเปรยขึ้นเมื่อก้มลงมองข้อมือตัวเองแล้วพบว่านาฬิกาหยุดทำงาน...ถ่านคงหมด...ภูวดลคิดเช่นนั้นพร้อมๆกับเหยียดตัวลุกขึ้น หากคำตอบที่ได้รับจากปิยะนัฐทำให้ร่างสูงมองเพื่อนอย่างแปลกใจ
“นาฬิกาเราหยุดเดินว่ะภู”
“อะไรกัน นาฬิกายี่ห้อดังราคาเรือนแสนนี่นะ จะมาเดี้ยงเอาง่ายๆ”
หะรินพูดปนหัวเราะพร้อมกับก้มลงมองข้อมือของตัวเองบ้าง
“เฮ้ย!”
“เฮ้ยอะไรวะริน” ภูวดลถามเพื่อนยิ้มๆ
“นาฬิกาเราก็หยุดนิ่งเลยว่ะ”
“เป็นไงล่ะ เรือนแสนของพวกนักธุรกิจใหญ่ก็ไม่ต่างจากของเราเหมือนกัน”
ทั้งหะรินและภูวดลหัวเราะขึ้นพร้อมกัน หากปิยะนัฐไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่นาฬิกาทั้งสามเรือนจะมาเสียพร้อมๆ กัน ในเมื่อจากสภาพที่เห็น อุบัติเหตุที่เกิด ไม่ได้ทำให้ใครต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวกันเลย
ความสงัดเงียบบวกกับอากาศที่เย็นชื้น ทำให้ดวงตาคมค่อยๆ กวาดมองสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว แล้วหัวใจของปิยะนัฐก็กระตุกวูบ...ทำไมรอบตัวขณะนี้มีแต่ม่านหมอกและเต็มไปด้วยดงไม้ใหญ่ทั้งสิ้น ยิ่งเถาวัลย์ที่ใหญ่และรกทึบนั่นยิ่งไม่น่าเชื่อว่าดอยม่วงคำแห่งนี้จะมีผืนป่าที่ดูราวจะเป็นดงดิบก็ไม่ปานหลงเหลืออยู่...
“ภู ริน พวกนายรู้สึกแปลกๆ มั้ย”
หลังจากกวาดสายตาสำรวจรอบๆ ตัวอยู่ครู่ใหญ่ ปิยะนัฐจึงเอ่ยถามเพื่อน
ทั้งภูวดลและหะรินไม่ได้ตอบคำถามนั้น หากต่างสอดส่ายสายตาสำรวจรอบๆ ตัวอยู่เป็นครู่ ก่อนที่สีหน้าคนทั้งสองจะเผือดสีลง
“จริงของนายว่ะนัฐ”
คำนั้นของหะรินแทบไม่อาจหลุดลอดผ่านริมฝีปาก
“เราต้องตั้งสติกันให้ดีเสียแล้วล่ะเพื่อน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีผืนป่าดงดิบแบบนี้หลงเหลืออยู่ในบ้านเมืองของเรา พวกนายดูต้นไม้แต่ละต้นนั่นสิ ส่วนใหญ่สามคนโอบยังไม่รอบทั้งนั้นเลย”
คำพูดของปิยะนัฐทำให้หัวใจของแต่ละคนเย็นเฉียบ
ปิยะนัฐพูดถูก...ในยุคสมัยนี้ มีหรือที่จะมีผืนป่าที่กำลังเห็นอยู่ขณะนี้หลงเหลือ และบ่อยครั้งที่พวกตนพากันออกเที่ยวเดินป่า ก็ไม่เคยพบเห็นผืนป่าที่ใดเป็นอย่างเช่นที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้เลย
“ริน นัฐ ไม่เป็นไรน่ะ จะผืนป่าไหนก็ช่างเถอะ เรายังรอด ยังไงเสีย เราก็ต้องหาทางกลับบ้านกันจนได้ล่ะน่า”
แม้จะปลอบเพื่อนเช่นนั้น หากลึกๆ ของภูวดลไม่ได้เป็นอย่างที่บอกกับเพื่อน สิ่งที่กำลัง ถาโถมเข้ามามีแต่คำถาม... ในเมื่อตนและเพื่อนต่างมั่นใจ ว่าจุดที่เกิดเหตุคือดอยม่วงคำ แล้วทำไม รอบๆ ตัวที่เห็นอยู่ขณะนี้จึงดูราวกับป่าดงดิบที่ไม่น่าหลงเหลืออยู่แล้วในปัจจุบัน...
ขณะที่ภูวดลกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความสงสัย ขณะที่หะรินยังคงสอดส่ายสายตามองทุกอย่างรอบๆ ตัวด้วยความหวาดระแวง สิ่งหนึ่งก็แว่บเข้ามาในความคิดปิยะนัฐ...
“ริน ภู พวกนายจำได้ใช่มั้ย ในตอนเกิดเหตุขณะที่เรายังมีสติ พวกเราเห็นอะไร”
ทั้งภูวดลและหะรินนิ่งคิดเพียงครู่แล้วพยักหน้าพร้อมๆ กัน
“ใช่ นัฐ ตอนนั้นก่อนที่เครื่องจะเกิดขัดข้อง รินมันตะโกนบอกให้เราดูด้านล่าง แล้วเราก็เห็นลำแสงประหลาดเกิดขึ้นก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป”
“ภู นายกำลังจะบอกว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับเราครั้งนี้เกิดจากเจ้าลำแสงประหลาดนั่นน่ะเหรอ”
ครั้งนี้ภูวดลนิ่ง ไม่กล้ายืนยัน แต่ที่ทั้งสามต่างคิดตรงกันขณะนี้...ถ้าหากอุบัติเหตุที่เกิดไม่ได้เกี่ยวข้องกับลำแสงนั่น แล้วไยพวกตนจึงไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย
“มันเกิดอะไรกับพวกเราวะเพื่อน!”
น้ำเสียงนั้นฉุนเฉียวอย่างไม่เคยเป็น ขณะเจ้าตัวทรุดร่างลงราวจะสิ้นเรี่ยวแรง ยิ่งกวาดตา มองไปรอบๆ ยิ่งทำให้หะรินเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็น
“เอาเถอะเพื่อน อะไรเกิดกับเรา เราต้องหาคำตอบให้ได้ ที่สำคัญ ตอนนี้เราจะอยู่กันเฉยๆ ไม่ได้เสียแล้วล่ะ”
ปิยะนัฐตบไหล่หะรินเบาๆ เข้าใจในความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี เพราะขณะนี้ แม้แต่ตนก็เกิดความสับสนเหลือเกิน
“ริน ภู เราลองเดินหาหมู่บ้านแถวๆ นี้ดูก่อนดีมั้ย เผื่อจะขอความช่วยเหลือจากพวกชาวบ้านเขาได้บ้าง”
ปิยะนัฐตั้งใจจะปลอบเพื่อนทั้งสอง โดยเฉพาะหะริน หากสิ่งที่ได้รับ กลับเป็นคำถามมากมายที่หะรินตะเบ็งสวนกลับมา
“นัฐ พอเถอะเพื่อน เรารู้นะ นายกับเจ้าภูก็รู้สึกเหมือนเรา ที่นี่มันไม่ใช่ป่าธรรมดาๆ อย่างที่เราเคยพบเห็น ที่สำคัญ พวกนายก็กำลังสงสัยใช่มั้ยวะเพื่อนว่าอะไรมันเกิดขึ้นกับเราสามคนกันแน่ นายดูรอบๆ ตัวพวกเราสิ ต้นไม้แต่ละต้นมันใหญ่โตและสูงเสียดเมฆ เถาวัลย์พวกนั้น แล้วยังต้นไม้ตามพื้นดินที่มันดูแปลกๆ พวกนั้นอีก มันหมายความว่าอะไร”
หะรินชี้กราดไปยังสิ่งที่พูดถึงก่อนจะจบประโยคยืดยาวพร้อมๆกับขอบตาทั้งสองที่เริ่มร้อนผ่าวเพราะไม่อาจสะกดกลั้นความรู้สึกภายใน
“ริน นายพูดถูก เรากับนัฐก็รู้สึกเหมือนนาย แต่เราต้องตั้งสติสิเพื่อน อย่าให้ความกลัวมาทำลายขวัญกันเอง”
ความเคร่งเครียดบนใบหน้าหะรินค่อยๆ คลายลงด้วยคำพูดเตือนสติของภูวดล และยิ่งประโยคต่อมาซึ่งดังขึ้นจากเพื่อนรักอีกคน ทำให้ความร้อนรุ่มเมื่อครู่แทบจะมลายหายไป
“ริน เรากำลังเผชิญชะตากรรมด้วยกันนะ ต่อให้ที่นี่เป็นดินแดนมหัศจรรย์อะไร เราก็ต้องหาทางกลับบ้านกันให้ได้นะเพื่อน...”
ปิยะนัฐส่งมือไปให้เพื่อนรักซึ่งยังคงแผ่หลาอยู่กับพื้นหญ้า ขณะที่อีกด้าน ภูวดลก็ส่งมือไป
ให้หะรินเช่นกัน
ไม่มีคำพูด ไม่มีคำปลอบโยนใดๆ แก่กันอีก มีเพียงมือสามคู่เท่านั้นที่เกาะกุมกันไว้มั่น
แม้ภายนอกไม่มีคำใดเอ่ยแก่กัน หากในใจต่างคิดไปในทางเดียว...
ไม่เป็นไร ไม่ว่าที่นี่จะเป็นดินแดนไหน เราจะไม่มีวันทิ้งกัน!
ผลงานอื่นๆ ของ สิริสวรส ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ สิริสวรส
ความคิดเห็น