คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3 : เริ่มเกม
“อยู่ห้องข้าง ๆ นี่เองเหรอ” อารยาตกใจ
ธีระยิ้มประชด “นี่กะท้าทายพวกเราเต็มที่เลยใช่ไหม”
“ดูถูกพวกเรามากกว่าล่ะมั้ง ถึงได้มาโผล่ใกล้ ๆ ขนาดนี้” กรีฑาบ่นทุกคนมองไปที่ประตูห้องข้าง ๆ โดยพร้อมเพรียงกัน หากเครื่องส่งสัญญาณนั้นไม่ได้บอกตำแหน่งผิดพลาดล่ะก็ แค่ทุกคนเปิดประตูบานนั้นเข้าไปและจับตัวเอรันได้ก็จะชนะเกมนี้ทันที
“มันอยู่ห้องข้าง ๆ จริง ๆ เหรอ” อนัญรู้สึกข้องใจ ขณะที่มีบางคนได้แต่นิ่งเงียบ และมองไปรอบห้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย อย่างไรก็ดีพวกเขาเหล่านั้นทำท่าราวกับรู้อะไรบางอย่างแต่ไม่คิดจะบอกใคร
“กับดักหรือเปล่า” ศิตาเอ่ยขึ้นอย่างไม่มั่นใจนัก
โอจินกอดอกขณะทำหน้าราวกับมั่นใจว่านั่นเป็นกับดักแน่ ๆ
“จะเสี่ยงเหรอ” สถิตถามอย่างลังเล
“แต่ถึงยังไง ห้องนี้ก็ไม่มีประตูบานอื่นแล้วนอกจากห้องนั้น” พีตาพูดอย่างมีเหตุผล “ถ้าเราไม่ไปห้องนั้น แล้วเราจะไปไหนได้อีกล่ะ”
ภูผาเอามือเท้าคาง เขาดูเหม่อลอยเล็กน้อย คงเพราะกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“ต่อให้เป็นกับดัก ยังไงเราก็คงไม่มีทางเลือกอื่น” โพคิณสรุป ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้เป็นคนแรก
“ทำเป็นพูดดีไป ที่ลุกคนแรกนี่เพราะนายอยากชนะเกมนี้แค่คนเดียวล่ะสิ ถึงได้อยากรีบไปหาไอ้เอรันซะขนาดนั้น” กรีฑาแขวะ ก่อนจะลุกขึ้นบ้าง “ฉันเองก็จะไปกับนายด้วย”
“เราเองก็ไปบ้างสิพี่” เยาวภาพูดก่อนจะลุกขึ้น แต่ศิตากลับรีบดึงแขนน้องสาวเอาไว้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก “ใจเย็น ๆ ก่อนสิ พี่ว่าอย่าเพิ่งไปเลย สังหรณ์ใจไม่ดียังไงไม่รู้”
“จะใจเย็นทำไมล่ะพี่ เดี๋ยวเอรันก็หนีไปก่อนหรอก” เด็กสาวผมสั้นทำท่าเบื่อหน่าย
“รอก่อนดีกว่า” ภูผาพูดแทรกขึ้นให้สองพี่น้องได้ยิน “ฉันเองก็เห็นด้วยกับพีตาว่าเราไม่มีทางเลือกอื่น แต่ในเมื่อมีประตูแค่บานเดียวเราก็ไม่ควรจะเสี่ยงตอนนี้”
“จะให้หนูรอดูคนอื่นเสี่ยงก่อนงั้นเหรอ” เยาวภาถามด้วยท่าทีผิดหวัง “หนูนึกว่าพี่จะเป็นผู้ชายที่กล้าได้กล้าเสียกว่านี้ซะอีก งั้นเอาอย่างนี้แล้วกันพี่ศิตา เราไม่จำเป็นต้องไปเปิดประตูทั้งสองคนหรอก หนูจะไปเปิดก่อน ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่ก็ค่อยตามไปทีหลัง เพราะถ้าสมมติว่ามันไม่ได้มีกับดักอะไรแล้วเอรันอยู่ห้องข้าง ๆ จริง ๆ ล่ะก็ เราจะชักช้าไม่ได้นะคะ”
“หลักการกระจายความเสี่ยงอย่างนั้นสินะ ในเมื่อมีโอกาสครึ่งต่อครึ่งที่เอรันจะอยู่ห้องข้าง ๆ หรือไม่ได้อยู่ ก็เลยแทงกั๊กเอาไว้ก่อนน่าอิจฉาจังนะ เพราะพวกเธอมากันสองคนพี่น้อง เลยทำแบบนั้นได้” โอจินพูดพลางยิ้ม
เยาวภาแสดงท่าทีระแวงโอจินขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ในขณะที่กรีฑาและโพคิณยังมัวแต่ทะเลาะกันว่าใครจะเปิดประตูคนแรกอยู่นั่นเอง เยาวภาก็ตัดสินใจรีบวิ่งไปเปิดประตูห้องทันที ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
ทว่าในนาทีถัดมา เธอก็ต้องกรีดร้องเสียงหลง “กรี๊ด ! ! !”
“ภา !” ศิตาตกใจรีบตะโกนเรียกชื่อน้องสาว อีกฝ่ายจ้องมองเข้าไปในห้องดังกล่าวด้วยท่าทางหวาดกลัวสุดขีด ซึ่งทุกคนไม่มีโอกาสได้รู้ว่าเธอเห็นอะไรกันแน่ เนื่องจากบานประตูที่เปิดค้างไว้นั้นบดบังสายตาไม่ให้พวกเขามองเข้าไปในห้องได้
เยาวภาละสายตาจากบานประตูแล้วรีบมองมาที่ศิตาราวกับจะขอความช่วยเหลือ แต่ร่างของเธอกลับถูกอะไรบางอย่างฉุดหายเข้าไปในห้องนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ประตูห้องจะปิดลง
ศิตาตกใจรีบวิ่งไปเปิดประตูหมายจะตามน้องสาวกลับมา แต่เมื่อเปิดประตูกลับไม่พบเยาวภา “ภาอยู่ไหน”
ภูผารีบเข้ามาหาเด็กสาว “ศิตา ใจเย็นก่อน”
“รีบปิดประตูเร็วเข้า เดี๋ยวก็โดนลากตัวหายไปอีกคนหรอก” โอจินรีบวิ่งมาปิดประตู
“ไม่ เปิดประตูเดี๋ยวนี้ !” ศิตาเปิดประตูอีกครั้ง “เอ๊ะ ?”
เด็กสาวพึมพำอะไรบางอย่างออกมา แต่ภูผาจับใจความไม่ได้ เขาจึงถามเธอว่า “อะไรนะ”
“นี่ไม่ใช่ห้องเดิม…”
ทุกคนมองตามสายตาศิตาเข้าไป แล้วก็พบว่าเธอพูดถูก ห้องที่ศิตาเปิดประตูเข้าไปก่อนหน้านี้เป็นห้องสีขาวว่างเปล่า ทว่าตอนนี้กลับกลายเป็นห้องสีดำสนิทจนน่ากลัว และไม่ใช่แค่สีผนังห้องที่เปลี่ยนไป ขนาดของห้องก็ต่างกัน เพราะห้องนี้ดูจะกว้างและสูงกว่ามากนัก ราวกับห้องนี้มีไว้สำหรับใช้จุอะไรบางอย่างที่มีขนาดหรือปริมาณมหาศาล กลิ่นเหม็นโชยออกมาจากห้องอย่างรุนแรง
“โอ๊ย ! นี่กลิ่นอะไรเนี่ย” นิตยาทนไม่ไหวจนต้องโวยออกมา
“นี่มัน... กลิ่นคาวเลือด” อารยาพึมพำ
“อะไรนะ” สถิตถามอย่างขลาดกลัว “เลือดสัตว์เหรอ”
“ไม่น่าใช่ นี่มันเลือดมนุษย์”
โพคิณขมวดคิ้วสงสัย “คุณรู้ได้ยังไง”
“ฉันเคยมีเพื่อนคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุร้ายแรง ขาขาดทั้งสองข้างเลือดไหลโชกไปหมด ฉันอยู่กับเพื่อนนานหลายชั่วโมงเพื่อจะห้ามเลือดเลยจำกลิ่นนี้ได้ดี” อารยาพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ฉันพูดจริง ๆ นี่ต้องเป็นกลิ่นเลือดมนุษย์แน่ แถมในปริมาณมากซะด้วย”
กลิ่นคาวเลือดทำให้นางแบบสาวถึงกับกอดอกเพราะรู้สึกขนลุก “มาก... มากเกินไปแล้ว”
ราวกับว่า มีซากศพคนตายเป็นร้อยเป็นพันคนอยู่ด้านหลังประตูบานนั้น...
“รีบปิดประตูเดี๋ยวนี้ !” สาวนางแบบตะโกน ศิตารีบปิดประตูทันที เพราะเธอเองก็กลัวเช่นกัน แต่ก็ยังไม่วายพูดจาลนลานด้วยความเป็นห่วงน้องสาว “แล้วห้องที่ภาหายไปอยู่ไหน นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย !?”
ไม่มีใครตอบคำถามเธอได้เลย เด็กสาวปิดประตูแล้วเปิดประตูอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับโผล่ไปที่ห้องสีทองดูหรูหรา ซึ่งภายในห้องก็ไม่มีร่างของเยาวภาอยู่เช่นเดิม
เสียงเอรันดังมาจากลำโพงว่า “กฎข้อแรกของเกม ถ้าปิดประตูแล้วเปิดใหม่อีกครั้ง จะไม่ไปโผล่ที่ห้องเดิม”
อนัญถามเสียงสั่น “หมายความว่ายังไงที่ว่าไม่ไปโผล่ที่ห้องเดิมน่ะ เรื่องบ้า ๆ แบบนั้นมันจะเป็นจริงได้ยังไงกันล่ะ อย่ามาล้อเล่นนะ!”
ทั้งที่เอรันโดนตวาดใส่ แต่เขายังตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงคล้ายนึกสนุก อีกทั้งยังมีเสียงปรบมือดังมาตามลำโพงอีกต่างหาก “เยี่ยมครับคุณอนัญ คนแบบคุณนี่แหละที่เราต้องการ เป็นคนที่รอบคอบและไม่เชื่อสิ่งที่คนอื่นบอกง่าย ๆ เกิดเป็นมนุษย์ทั้งทีต้องลองทำอะไรให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเอง ถูกไหมครับ เอาล่ะ คุณอนัญ ลองเปิดประตูด้วยตัวเองเลยครับ”
เมื่อถูกผู้จัดเกมท้าทายกลับมาด้วยคำพูดแบบนั้น ก็เล่นเอาอนัญถึงกับชะงัก
“ปอดแหกชะมัด จะกลัวอะไรนักหนากับคำพูดของคนโกหกอย่างมัน มันท้าชนมาเราก็ท้าชนกลับไปสิฟะ เปิด ๆ มันไปเลย ไอ้ประตูเฮงซวยเนี่ย !” กรีฑาเดินไปบิดลูกบิดแล้วผลักประตูเปิดออกสุดแรง ทว่าคราวนี้ห้องด้านหลังบานประตูก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นห้องที่มีลูกตามากมายนับไม่ถ้วนถูกฝังติดกับผนังคอนกรีต และเหนือสิ่งอื่นใดคือ ลูกตาทุกลูกยังหมุนกลอกไปมาราวกับตาของกิ้งก่า เป็นภาพที่ชวนขนลุกจนแม้แต่เด็กหนุ่มจอมก้าวร้าวยังต้องอุทานก่อนจะปิดประตู
เสียงเอรันดังผ่านลำโพงอีกครั้ง “ก็ผมบอกคุณแล้วว่าจะไม่ไปโผล่ที่ห้องเดิม ยังจะมาหาว่าผมโกหกอีก อย่างนี้ผมเสียใจแย่ ผมแค่บอกความจริง ผมผิดตรงไหนหรือ อา… ผมนี่ช่างเป็นคนที่น่าสงสารจริงๆ”
“อยากตะบันหน้ามันสักทีจริง ๆ เว้ย!” กรีฑาบ่นพึมพำด้วยความหงุดหงิด ขณะที่ศิตาเริ่มห่วงน้องสาวมากขึ้นทุกที เธอรีบเดินไปที่ประตูแล้วเปิดปิดมันอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่วนกลับห้องเดิมสักที จนรู้สึกเหนื่อยและสิ้นหวัง เธอก้มหน้าลงอย่างเศร้าหมอง ก่อนจะรีบหันไปทางลำโพงแล้วพูดอ้อนวอนทั้งน้ำตา “เอรัน ฉันขอร้อง ให้ฉันไปเจอน้องทีเถอะ น้องฉันเป็นโรคหอบ แล้วเมื่อกี้ก็อาการกำเริบ ถ้าเธอไม่ได้ยาล่ะก็ อาการจะต้องหนักมากแน่ ๆ”
ทุกคนมองการกระทำของศิตา บ้างก็รู้สึกสงสารและสะเทือนใจบ้างก็เห็นใจแต่ก็พยายามบอกตัวเองว่าการเอาชีวิตตนเองให้รอดสำคัญกว่าการไปนั่งห่วงชีวิตของคนอื่น บ้างก็ไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะสมองจดจ่ออยู่แต่กับเนื้อหาเกมอันพิสดารในตอนนี้เท่านั้น
โอจินละสายตาจากศิตามาจ้องประตูที่เธอเปิดเข้าเปิดออกอย่างสนอกสนใจจนเกินเหตุ เด็กเนิร์ดร่างเล็กจัดขาแว่นของตนเองให้เข้าที่ ก่อนจะเปิดหน้าจอแท็บเล็ตขึ้นมาพิมพ์อะไรบางอย่างโดยที่สายตายังคงจ้องพฤติกรรมของเด็กสาวอย่างพินิจพิเคราะห์ หมกมุ่นมากจนน่ากลัว ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่
ยกเว้นนิตยา… หญิงสาวกำลังจ้องมองโอจินอย่างกระหายใคร่รู้ แต่ในขณะเดียวกันก็ชำเลืองมองคนอื่น ๆ ในห้องด้วย เพราะเธอสัมผัสได้ว่ามีดวงตาบางคู่กำลังจ้องมองตนอยู่ ความจริงแล้ว ตอนนี้ทุกคนในห้องยกเว้นเพียงศิตา ต่างก็กำลังจ้องจับผิดกันและกัน และต่างก็แอบคิดวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ในใจ
เสียงเปิดประตูดังขึ้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ไม่มีเสียงปิดประตู นั่นหมายความว่าตอนนี้ศิตากำลังเปิดประตูค้างไว้ ทุกคนแปลกใจว่าทำไม หรือว่าเธอจะเจอห้องที่เยาวภาหายตัวไปแล้ว
ทุกคนต่างเลิกลอบมองกันและกัน ก่อนจะหันหน้าไปทางประตูที่เปิดค้างไว้
ศิตาและคนอื่น ๆ มองเข้าไปในห้อง และก็ได้เห็นร่างไร้หัวในชุดราตรีสีดำร่างหนึ่งกำลังเดินหันหลังอย่างเชื่องช้าอยู่ภายในห้องมืดสลัว ไม่สิ... นั่นไม่ใช่ร่างไร้หัว แต่เป็นหุ่นโชว์เสื้อแบบที่ไม่มีหัวซึ่งมักพบเห็นได้บ่อยตามร้านเสื้อผ้าต่างหาก มันเดินด้วยท่าทางหงิกงอไปมาตามประสาหุ่นตั้งโชว์ที่มีข้อต่อแขนขาอันฝืดเคือง แต่ทิศทางการเดินของมันดูมีจุดมุ่งหมายราวกับมีความคิด หุ่นโชว์เสื้อรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นแบบผู้หญิงในชุดเดรสลายลูกไม้สีดำนั้นลากราวที่แขวนเสื้อสูทเอาไว้หลายตัวติดมือมาด้วย ประดุจว่ามันเป็นดีไซเนอร์สาวที่เพิ่งตัดเสื้อเสร็จ ทว่ามืออีกข้างของ
มันกลับถือสิ่งที่ไม่เข้ากันกับภาพลักษณ์ดีไซเนอร์อย่างสุดขั้ว ...สิ่งนั้นคือเลื่อยอันใหญ่ที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด
อารยาเผลอร้องออกมาสั้น ๆ เมื่อได้เห็นเลื่อยอันน่าสยดสยอง ก่อนที่เธอจะรีบเอามือปิดปากเพราะกลัวว่าเสียงร้องของตนจะดังจนทำให้หุ่นโชว์เสื้อตัวนั้นได้ยิน
หุ่นโชว์เสื้อหยุดเดิน มันยืนนิ่งราวกับตระหนักได้ว่ามีคนกำลังจ้องมองมันอยู่ และแล้ว... มันก็เอียงร่างของตัวเอง ค่อย ๆ หันกลับมาทางประตู พร้อมยกแขนข้างที่ถือเลื่อยอยู่เงื้อสูงขึ้นเรื่อย ๆ
“มะ... มันมาตรงนี้แล้ว !” สถิตจอมปอดแหกร้องออกมาเป็นคนแรกสุดพลางพยายามจะวิ่งถอยหลังจนสะดุดขาตนเองล้มลง ในขณะที่หุ่นลองเสื้อวิ่ง เร็วขึ้น... เร็วขึ้น... พร้อมกับเหวี่ยงเลื่อยขนาดใหญ่มาทางประตู
ศิตารีบปิดประตูโดยเร็ว ก่อนจะก้มศีรษะลงพิงประตูและหอบหายใจอย่างรุนแรงด้วยความตื่นตระหนก “มะ... เมื่อกี้มันอะไรกันน่ะ”
“ฉันจะไปรู้เรอะ !?”
“คฤหาสน์หลังนี้มันอะไรกันแน่เนี่ย”
เมื่อศิตาเห็นสัตว์ประหลาดเข้าก็ยิ่งกลัวว่าป่านนี้เยาวภาจะเป็นเช่นไร หลังจากตั้งสติได้ เธอจึงรวบรวมความกล้าเพื่อเตรียมเปิดประตูอีกครั้ง พลางส่งเสียงเรียกน้องสาว “ภา เธออยู่ไหน”
อนัญรีบตะโกน “อย่าเปิดนะ ! เดี๋ยวสัตว์ประหลาดก็เข้ามาหรอก”
“ฉันจะช่วยน้องสาวฉัน !”
“ฉันบอกว่าอย่าเปิดไงวะ !” อนัญตะโกนด้วยความเห็นแก่ตัว “น้องสาวเธอจะเป็นยังไงก็ช่างเว้ย ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันไม่อยากตายเพราะเธอทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้แน่ และถ้าเธอไม่หยุด ฉันจะจับมัดเธอเอง!”
“ก็ลองดูสิ !” ศิตาท้าทายกลับไป และ...
เพียะ !
เด็กสาวถูกนิตยาตบอย่างแรง ทว่าดีไซเนอร์สาวไม่ได้แสดงท่าทีโกรธเคืองศิตาแม้แต่น้อย กลับกัน เมื่อครู่นี้เธอตบด้วยสีหน้าเรียบเฉยมาก ก่อนที่จะพูดกับทุกคนว่า “ไม่ว่าใครก็ตาม ห้ามเปิดประตูบานนี้เด็ดขาด”
“แต่ถ้าเราไม่เปิดไปห้องอื่นสักที เราก็จะต้องติดอยู่ในคฤหาสน์นี่ไปตลอดนะ” พีตายังคงยืนยันความคิดเดิม
“ใครอยากจะเปิดก็ช่าง ฉันไม่อยากเปิดตอนนี้” นิตยายืนกราน
อย่างไรก็ดี ภูผาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายอาจไม่อยากเปิดประตูบานนี้ก็จริง แต่ดูจะไม่ได้ไม่ต้องการให้คนอื่นเปิดประตูเหมือนอย่างที่ปากพูด ตรงกันข้าม เหมือนเธอรอจะให้มีใครสักคนขัดขืนเธอแล้วไปเปิดประตูด้วยซ้ำ ใครก็ตาม
ที่น่าจะเปิดประตูโดยมีสติรอบคอบกว่าศิตาในตอนนี้...
“นั่นสิ ฉันก็ไม่อยากเปิดตอนนี้” โพคิณพูด
“นายไม่ต้องเปิดก็ได้ แต่ถ้าพวกฉันเปิดเจอทางรอดออกไปจากที่นี่ได้ล่ะก็ นายไม่มีสิทธิ์ตามพวกฉันมา” กรีฑาตวาดใส่โพคิณ ทำให้เด็กหนุ่มร่างแคระแกร็นโวยกลับอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
“เฮ้ย ! ได้ไงวะ”
“ได้สิวะ ใครมันจะยอมไปตายเอาดาบหน้า แล้วให้คนอื่นที่เอาแต่นั่งงอมืองอเท้ามาฉวยโอกาสเอาตัวรอดไปได้ฟรี ๆ กันล่ะ”
“นายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันให้ทำหรือไม่ทำอะไร คิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหนกันวะ”
ความบ้าคลั่งเริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่ยังไม่พ้นชั่วโมงแรกของเกม ขณะที่ศิตารีบฉวยโอกาสที่ทุกคนมัวแต่สนใจพวกกรีฑากับนิตยารีบมาเปิดประตูอีกครั้ง สักพักประตูก็วนกลับมาที่ห้องเดิมซึ่งน่าจะเป็นห้องที่เยาวภาหายตัวไป เพราะมีเศษซากนาฬิกาข้อมือของน้องสาวเธอหล่นอยู่ ...แต่เยาวภาไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว
“ไม่นะ !” ศิตาเอามือปิดปาก ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เยาวภาเป็นโรคหอบ และยาพ่นของเธอหล่นอยู่ในห้องอาหารนี้ ถ้าเธอไม่ตามหาน้องสาวให้เจอก่อนสายไป น้องเธออาจตายก็ได้ แต่ศิตาจะหาน้องเจอได้อย่างไร ในเมื่อประตูมันสุ่มเชื่อมต่อไปยังห้องอื่นมั่วๆ แบบนี้
คนที่เหลือต่างรีบกรูเข้าไปในห้องที่เยาวภาหายตัวไป ทุกคนเริ่มเถียงกันว่าจะช่วยกันออกตามหาเยาวภาดีไหม เพราะว่ากันตามจริง ยิ่งผู้เข้าแข่งขันในเกมน้อยลง เท่ากับว่าตัวหารเงินรางวัลก็น้อยลงด้วย มีบางคนรู้สึกอยากช่วยแต่ไม่อยากเอ่ยปากเสนอตัวเพื่อเอาตนเองไปพัวพันในเกมที่อันตรายเช่นนี้ ต่างคนก็ต่างห่วงชีวิตของตนเอง ขณะที่มีบางคนไม่ออกความเห็นใด ๆ กลับยืนนิ่งจ้องมองการถกเถียงที่กำลังดำเนินไปราวกับตนเองเป็นผู้สังเกตการณ์
ศิตาด่าทุกคน “น่ารังเกียจที่สุด” ก่อนจะเปิดประตูไปห้องอื่น
มีเสียงใครบางคนตะโกนขึ้นมาว่า “อย่า !”
ทันทีที่ศิตาเปิดประตูอีกครั้ง เธอก็ต้องชะงัก เพราะไม่สามารถเปิดประตูออกไปได้สุด
“ดันมันออกไปสิ” กรีฑาพูดอย่างหงุดหิด
แต่ศิตาไม่สามารถเปิดประตูให้อ้ากว้างกว่านี้ได้เหมือนมีบางสิ่งขวางประตูเอาไว้ กลิ่นอายจากห้องนั้นให้ความรู้สึกคุ้นอย่างประหลาด...
ห้องนี้คุ้นมาก เราเคยเปิดประตูมาเจอแล้วแน่ ๆ เด็กสาวมั่นใจ
เธอพยายามเค้นสมองนึก ก่อนจะตัวสั่นด้วยความกลัว เพราะเธอรู้แล้วว่าสิ่งที่อยู่อีกฟากของบานประตูในตอนนี้คืออะไร
หุ่นลองเสื้อไร้ศีรษะในชุดเดรสลูกไม้สีดำถือเลื่อยเปื้อนเลือดที่ทุกคนเจอก่อนหน้านี้ดูจะเป็นหุ่นที่มีความคิด มันคงรู้ว่าทุกคนจะต้องเปิดประตูเข้ามาในห้องนี้อีกรอบ มันจึงไม่คิดจะเดินเพ่นพ่านไปทั่วห้องอีกต่อไป และเลือกที่จะยืนรอคอยพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูเช่นนี้ เมื่อศิตาเปิดประตูห้องเข้ามา บานประตูเลยไปชนกับร่างหุ่นลองเสื้อที่ยืนขวางประตูอยู่… ในตอนนี้...
พวกเธอเปิดประตูวนมาจนครบรอบ และกลับมาเจอห้องนี้อีกครั้ง
“รีบปิดประตูเดี๋ยวนี้ !” โอจินตะโกนสั่ง ขณะที่ใบเลื่อยที่ชุ่มโลกไปด้วยเลือดสด ๆ ถูกสอดเข้ามาผ่านทางรอยแง้มของประตู
“ดันมันเลย !” กรีฑาเสริม พร้อมกันนั้นก็แว่วเสียงอะไรบางอย่างซึ่งไม่น่าใช่เสียงของผู้เล่นเกมคนอื่น ๆ ในห้องนี้
“...ค่ะ”
“หุ่นลองเสื้อพูดได้ด้วย ทั้งที่ไม่มีหัวเนี่ยนะ !?” อนัญสับสน
ธีระอ้าปากค้าง “มันพูดอะไรของมันน่ะ”
“...คุณค่ะ”
“จะไปสนใจทำไมวะ รีบดันให้สุดแรงเกิดเลย !” กรีฑาตะโกน ขณะที่พีตาร้องลั่น “ดันไม่อยู่แล้วโว้ย !”
ไม่ทันเสียแล้ว…
บานประตูถูกเปิดกว้างออกจนสุด ทุกคนล้มลง ก่อนจะพยายามลุกขึ้นอย่างช้า ๆ
หุ่นลองเสื้อเข้ามายืนตระหง่านต่อหน้าทุกคน ใบเลื่อยแหลมคมโชกเลือดนั้นสะท้อนแสงไฟจากภายในห้องจนเกิดเป็นเงาวาววับ มันขยับตัวหมุนไปมองรอบ ๆ แม้ว่ามันจะไม่มีศีรษะ แต่พฤติกรรมทุกอย่างของมันแสดงให้เห็นว่ามัน ‘มองเห็น’ ทุกคนและทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องนี้
ในที่สุด หุ่นลองเสื้อก็เลื่อนราวแขวนสูทจำนวนสิบสามตัวมาตรงหน้าพวกเขา
“เชิญเลือกเสื้อที่เหมาะกับคุณค่ะ”
ความคิดเห็น