ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (SF: Yaoi The Star) Sassy Love (โน่กัน / อสรพิษ)

    ลำดับตอนที่ #30 : Only Love [RujRin] 2/3

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 211
      1
      19 พ.ค. 59

    #2#

     


     

                    ภายในห้องนอนสีฟ้าสดใส ร่างบางของศิลปินหนุ่มสุดฮอตกำลังวาดลวดลายออกสเต็ปไปตามจังหวะดนตรีหนักหน่วง ทุกวันหลังจากกลับจากทำงานและอ่านหนังสือเรียนจบ รินมักจะซ้อมเต้นด้วยตัวเองเสมอแต่เพราะไม่ได้ออกกำลังกายมากนักจึงทำให้เหนื่อยง่าย ดังนั้นหากวันไหนไม่มีงานและมีเวลาว่าง เขาจะแบ่งเวลาไปกับการว่ายน้ำและวิ่งบนลู่ออกกำลังกาย

     

     

    การหักโหมของรินทำให้คนรอบข้างเป็นห่วงแต่ไม่รู้จะทำเช่นไรเพราะถึงรินจะอ่อนโยนแต่ในบางเรื่องก็ดื้อรั้นไม่ต่างจากพี่น้องคนอื่น ร่างบางกังวลเพียงแค่ตัวเองจะเป็นตัวถ่วงของฮั่นและจะทำให้แฟนคลับผิดหวังที่ทำผลงานไม่ดีพอจนลืมไปว่าตัวเองกำลังสร้างความเป็นห่วงให้เกิดกับคนรอบข้าง

     

     

                    ประตูห้องนอนเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของฝาแฝดคนโต ร่างบางมองคนที่หน้าเหมือนตัวเองเป็นพิมพ์เดียวนิ่งๆก่อนจะถอนหายใจออกมาและเดินไปปิดเพลงจากวิทยุ นั่นทำให้รินชะงักและหันมองไปยังทิศทางที่กันยืนอยู่ทันควัน คนเล็กมุ่ยหน้าทันทีที่เห็นโจทก์เก่าที่ช่วงนี้มักขัดใจเขาประจำ

     

     

    “ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย รินซ้อมมา 3 ชั่วโมงแล้วนะ พอได้แล้ว ” กันเดินมาใกล้รินและจูงมือน้องชายฝาแฝดให้มานั่งบนเตียงด้วยกัน

     

    “ แต่รินยังเต้นไม่เก่ง อีกไม่กี่วันก็ต้องแถลงข่าวเปิดตัวซิงเกิลใหม่แล้ว ถ้าเกิดมันผิดพลาดขึ้นมาจะทำยังไง ”

     

    “ แต่ถ้ารินหักโหมจนบาดเจ็บขึ้นมา มันจะไม่ใช่แค่ไม่ได้เต้นวันแถลงข่าวนะแต่รินอาจไม่ได้เต้นโปรโมตซิงเกิลไปอีกหลายวันเลยด้วย ”

     

    “ รินระวังตัวอยู่แล้ว ”

     

    “ แต่อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้เสมอ ใครจะรู้ว่าถ้ากันไม่เข้ามาเมื่อกี้ อีกห้านาทีต่อมา รินอาจล้มจนข้อเท้าแพลงก็ได้ ”

     

    “ ข้อเท้าแพลงไม่กี่วันมันก็หาย ”

     

    “ แค่ยกตัวอย่างไหมล่ะ -*-

     

    “ วันหลังก็ยกตัวอย่างให้มันน่ากลัวสิ =^=

     

    “ เฮ้อ ริน ไม่มีใครว่าหรอกนะถ้ารินอยากจะซ้อมแต่อย่าหักโหมมากเกินไป ถ้ารินเอาแต่กดดันตัวเองแบบนี้ มันจะยิ่งแย่กว่าเดิมนะ รินต้องผ่อนคลายและทำให้การเต้นมันกลายเป็นเรื่องสนุก ไม่ใช่เอาแต่กังวลว่าจะเต้นผิด ขืนเป็นแบบนี้ยังไงรินก็เต้นไม่ได้หรอก แล้วอีกอย่างพี่ฮั่นเขาเต้นมากี่ปีแล้วริน รินเพิ่งหัดเต้นได้ไม่กี่เดือน จะไปเก่งแบบเขาได้ยังไง ค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีกว่าไหม ”

     

    “ รินเข้าใจแต่ว่ามัน...กลัว ”

     

    “ อย่าไปกลัวสิ รินเชื่อใจคู่เต้นของรินไหม ” คำถามของกันทำให้รินนิ่งไปก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ

     

    “ อือ ”

     

    “ เพราะฉะนั้นก็มั่นใจได้ว่าหากรินเต้นไม่ได้ เขาจะช่วยรินเอง ”

     

    “ กัน ”

     

    “ การที่รินหักโหมขนาดนี้ มันทำให้ทุกคนเป็นห่วงรินนะ พักผ่อนบ้างเถอะ ” สายตาที่มองมาอย่างจริงใจของกัน ทำให้รินรู้สึกผิด

     

    “ ขอโทษนะกันที่ทำให้เป็นห่วง ”

     

    “ อืม ไม่เป็นไร แล้วยังจะซ้อมอยู่ไหม ” รินส่ายหน้าทันทีที่ได้ยินคำถาม

     

    “ ไม่แล้วล่ะ รินเหนื่อยแล้ว หิวด้วย ไปหาอะไรทานดีกว่า ”

     

    “ งั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เราจะไปเที่ยวกัน! ” กันยิ้มแฉ่ง ทั้งหมดทั้งมวลที่พูดมาก็เพื่อจะหาเรื่องให้รินไปเที่ยวด้วยกันนี่แหละ

     

    “ เดี๋ยวสิ ไหนบอกจะให้พักไง พักอยู่บ้านมันไม่ดีกว่าเหรอ ”

     

    “ ไม่ดีหรอกน่า น่าเบื่อจะตาย เราไปเป็นเด็กหยามกันเถอะ ไม่ได้เดินมานานแล้ว~~~

     

    “ นี่มันบ่ายโมงนะกัน ไปตอนนี้ก็ได้โดนรุมอดเที่ยวกันพอดี ”

     

    “ ไม่มีใครรุมหรอกน่า พวกเราหน้าเหมือนกันใครเขาจะไปคิดว่าเป็นรินล่ะ อย่างน้อยก็ต้องมีลังเลบ้าง พอเขามาถาม เราก็บอกว่าไม่ใช่รินแต่เป็นปรกเป็นปัณณ์ก็พูดไป ”

     

    “ กันนี่เจ้าเล่ห์เหมือนเดิมเลยเนาะ กี่ปีก็เหมือนเดิม ” รินพูดด้วยนัยน์ตาใสซื่อ

     

    “ ริน! ” กันทำหน้ามุ่ย

     

    “ ไปๆ ไปรอด้านล่าง เดี๋ยวเสร็จแล้วจะตามไป ”

     

    “ อือ เร็วๆนะ ” กันพูดก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

     

     

                    รินมองประตูที่ปิดสนิทลงแล้วจึงยิ้มออกมาน้อยๆ ร่างบางลุกจากเตียงเตรียมจะไปอาบน้ำแต่เสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน มือเรียวเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ไม่ห่างจากตัวมากนักขึ้นมาดู คิ้วสวยขมวดมุ่นทันทีที่เห็นข้อความคุ้นตาแต่หมายเลขโทรศัพท์ไม่คุ้นเคยเอาซะเลย

     

     

    ‘ I’ll be with you ’

     

     

    “ ใครส่งมากันนะ ”

     

     

    ร่างบางมีสีหน้าไม่สบายใจ เขาได้รับข้อความนี้แทบทุกวันและแต่ละวันไม่เคยมีเบอร์ซ้ำกันเลย เวลาติดต่อกลับก็มักปิดเครื่องเสมอ ทีแรกเขาเข้าใจว่าเป็นฝีมือฮั่นแต่พอแกล้งถามก็พบว่าไม่ใช่พี่ชายสายเต้นอย่างที่เขาคิดและเขามั่นใจว่าฮั่นไม่ได้โกหกเพราะแววตาของร่างสูงไม่หลุกหลิกสักนิด  

     

    นอกจากนี้ยังมีพัสดุแปลกๆที่ส่งมาให้เขาอีก มันเป็นของที่เขาทานเหลือและบางสิ่งก็ใช้ในระหว่างทำงาน มันมักถูกส่งให้เขาหลังงานนั้นเสร็จสิ้นไปหนึ่งวัน ไม่ว่าจะเป็นขวดน้ำ ทิชชู่ เศษกระดูกไก่ ไม้ไอศกรีม หรือบางครั้งก็จะเป็นเสื้อผ้าของเขาซึ่งใส่ทำงานต่างๆที่เปรอะเปื้อนคราบบางอย่างเต็มไปหมด มันทำให้รินขนหัวลุกได้ไม่ยาก

     

     

    เขาไม่เข้าใจเลยว่าผู้ส่งข้อความและสิ่งของพวกนี้มามีวัตถุประสงค์อะไร ถ้าเป็นแฟนคลับก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนแบบนี้และคงไม่โรคจิตขนาดนี้ หากไม่ใช่แฟนคลับ เขาก็นึกไม่ออกเช่นกันว่าอีกฝ่ายทำลงไปเพื่ออะไร มันทำให้เขาค่อนข้างหวั่นใจมากทีเดียวแต่เขาก็ไม่เคยปรึกษาเรื่องนี้กับใครเพราะกลัวทำให้คนอื่นต้องเป็นห่วงมากขึ้น

     

     

    “ ขอให้เป็นแค่ข้อความให้กำลังใจจากแฟนคลับก็แล้วกัน ”

     

     

                    รินพยายามปลอบใจตัวเองเพื่อไม่ให้คิดเรื่องนี้มากจนเกินไป เขาวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ใช้เวลาเพียง 20 นาที รินก็เดินลงมาหากันที่ห้องนั่งเล่น เขาถามหาพี่น้องคนอื่นก็ได้รู้ว่าปรกออกไปเที่ยวกับสน ส่วนปัณณ์ทำรายงานอยู่กับริทในห้องหนังสือจึงไม่ตามไปเที่ยวด้วย แต่สิ่งที่ผิดคาดคือโตโน่กับรุจที่นั่งหน้าสลอนข้างกันที่ทำหน้าบึ้ง

     

     

    “ ทำไมพวกพี่มาอยู่ที่นี่ได้ล่ะครับ ” รินถามด้วยความสงสัย

     

    “ พี่เลิกงานเร็วเลยแวะมาหาเด็กแต่เห็นเด็กกำลังจะไปเที่ยวก็คงต้องติดรถไปด้วยซะแล้ว ” โตโน่ยิ้มกริ่มพลางดึงเจ้าตัวดีมากอดรัดฟัดเหวี่ยง หอมจนกันโวยวายออกมา

     

    “ จะหอมอะไรนักหนา น้ำยังไม่ได้อาบเลย หอมหัวหอมแก้มนี่ไม่เหม็นหรือไง ” กันพูดด้วยใบหน้างอง้ำ

     

    “ ไม่เลย ต่อให้ไม่อาบน้ำหลายวันกันก็ยังหอมไปทั้งตัว พี่พิสูจน์มาหลายรอบแล้ว~~~

     

    “ หยุดพูดเลยพี่โน่ อายคนอื่นบ้าง!! ” กันแหวใส่คนรักก่อนจะเบือนหน้าหนีสายตาล้อเลียนของรุจและใบหน้าแดงระเรื่อด้วยความเขินอายของริน

     

    “ แล้วพี่รุจไม่ต้องไปทำงานเหรอครับ ” รินถามเพื่อช่วยกันเปลี่ยนเรื่อง

     

    “ เลิกงานแล้ว ตอนนี้อยากไปเที่ยว ขอไปด้วยคนนะ ^^

     

    “ อ้าว แล้วพี่ไม่ต้องรีบกลับไปดูพี่แก้มกับน้องโรมเหรอ ” รินเอ่ยถามถึงสองแม่ลูกที่รุจรับมาดูแลชั่วคราว

     

     

                    ช่วงแรกที่รู้เรื่องแก้มจากรุจ รินรู้สึกสงสารชะตากรรมของหญิงสาวจับใจแต่ลึกๆก็กังวลใจอยู่บ้างว่าอีกฝ่ายจะมาสร้างรอยร้าวให้ความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานของพวกเขา แต่พอได้พูดคุยกับแก้มนานเข้าเขาก็วางใจว่ามันคงไม่เกิดขึ้น เพราะแก้มไม่มีท่าทีคิดเกินเลยกับคนรักของเขาเลยและรุจก็ยังคงดูแลเขาดีเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อไม่นานมานี้แก้มก็เพิ่งผันตัวมาเป็นผู้ช่วยของรุจชั่วคราว รายได้ของรุจจะถูกแบ่งให้แก้ม 10% ซึ่งหญิงสาวก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรเพราะมันเป็นแค่งานเล็กน้อยเท่านั้น

     

     

    “ ไม่ต้องหรอก วันนี้เขาพากันไปทานข้าวข้างนอกตามประสาแม่ลูก ”

     

    “ มันไม่อันตรายเหรอ ” กันถามแทรกขึ้นมา เขาพอจะรู้เรื่องแก้มมาจากรินบ้าง

     

    “ ไม่หรอกมั้ง แค่ร้านแถวคอนโด หมอนั่นคงไม่โผล่มาทำร้ายน้องโรมกลางที่สาธารณะแบบนั้น ” รุจตอบ

     

    “ คนเราก็แปลกนะ ลูกแท้ๆของตัวเองกลับจ้องทำร้ายไม่เลิกรา ” โตโน่เอ่ยด้วยความขัดเคืองใจ เขาไม่เคยเห็นใครใจร้ายขนาดนี้มาก่อนเลย

     

    “ เอาเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า รีบไปเที่ยวจะได้รีบกลับ ” รินพูดขึ้นพลางยิ้มบางๆ

     

     

    ใจจริงเขาอยากอยู่บ้านเพื่ออ่านหนังสือและซ้อมเต้นมากกว่าแต่ก็สงสารกันที่ช่วงนี้เรียนหนักและอดเที่ยวมานาน ที่สำคัญเขาไม่อยากให้ใครเป็นห่วงอีก

     

     

    +_+_+_+_+ O = N = L = Y = L = O = V = E +_+_+_+_+

     

     

                    ใช้เวลาชั่วโมงกว่า พวกเขาก็เดินทางมาถึงสยามแต่อากาศที่ร้อนอบอ้าว ทำให้คนขี้ร้อนอย่างกันเปลี่ยนไปเดินภายในห้างสรรพสินค้าบริเวณนั้นแทน ในระหว่างที่พวกเขาเดินเล่นอยู่นั้นก็ตกเป็นเป้าสายตาของวัยรุ่นหลายคนแต่ในเมื่อไม่มีใครเข้ามาทัก พวกเขาจึงเดินเล่นอย่างสบายใจ พวกเขาใช้เวลาอยู่ในห้างเกือบ 3 ชั่วโมงก่อนจะตัดสินใจขับรถกลับบ้าน

     

     

                    ครู่ใหญ่พวกเขาก็ฝ่ารถติดมาถึงบ้านได้เป็นผลสำเร็จแต่ในระหว่างที่กำลังจะถึงประตูรั้วบ้านนั้น โตโน่ก็เห็นว่ามีใครบางคนยืนอยู่แถวรั้ว ร่างนั้นสวมเสื้อฮู๊ดปิดบังหน้าตา เขาหยิบกล่องบางอย่างออกมาจากถุงกระดาษสีดำและเดินด้อมๆมองๆอยู่หน้าบ้าน โตโน่เห็นท่าทางไม่น่าไว้ใจ เขาจึงบีบแตรรถเสียงดังลั่น ใครคนนั้นตกใจแต่ไม่ได้หันมามอง กลับรีบวิ่งหนีไปอีกทางโดยทิ้งกล่องที่ร่วงหลุดมือเอาไว้

     

     

    “ พี่โน่บีบแตรทำไม ” กันที่นั่งหลับมาตลอดทางสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาถาม

     

    “ มันมีคนน่าสงสัยมาวางอะไรไม่รู้ตรงนั้นไง พี่เลยบีบแตรเรียกแต่มันดันหนีไป ”

     

    “ อ้าว ก็นายไปบีบแตรอย่างนั้น คนร้ายที่ไหนก็ต้องวิ่งหนีไหมล่ะ ” รุจท้วง เขาเห็นแล้วเหมือนกันและกำลังจะบอกโตโน่ว่าจะลงไปดูคนๆนั้นแต่หมอนี่ดันไวบีบแตรขึ้นมาซะก่อน

     

    “ เออ จริงด้วยสิ ลืมคิดเรื่องนี้ ”

     

    “ พี่โน่นี่นะ ทำไมทีเรื่องพวกนี้ไม่ค่อยจะมีสติ ” กันส่ายหัวน้อยๆแกล้งตำหนิคนรักแต่ไม่จริงจังนัก

     

    “ ก็พี่ได้กลิ่นเรามากเกินไปเลยเบลอ คิดไม่ทัน ” โตโน่แกล้งหยอกโดยการเอานิ้วบีบจมูกตัวเองแล้วโน้มตัวยื่นหน้าไปใกล้กัน

     

    “ งั้นไม่ต้องดมจะได้ไม่เบลอ ” กันผลักหน้าคนรักออกเต็มแรงจนโตโน่คอแทบเคล็ด

     

    “ เราลงไปดูกล่องนั้นไหม ” เสียงของรินหยุดการหยอกล้อของคู่รักเบื้องหน้า

     

    “ มันอาจจะเป็นระเบิดก็ได้นะริน พี่ว่าเราแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบดีกว่า ” รุจเอ่ยบอก

     

    “ ถ้ามันเป็นระเบิดก็คงระเบิดตั้งแต่ที่เขาทำหลุดมือแล้วสิ ” รินไม่คิดว่ามันเป็นระเบิด เพราะเคยเห็นกล่องลักษณะนี้มาหลายครั้งแล้วและคิดว่าครั้งนี้คงไม่ต่างจากครั้งก่อนๆเพียงแค่เปลี่ยนจากส่งที่บริษัทมาเป็นที่บ้านเท่านั้น

     

     

    แต่ถึงขนาดรู้ที่อยู่บ้านของเขา มันก็ออกจะน่ากลัวมากไปหน่อย

     

     

    “ มันก็ควรระวังเอาไว้ ”

     

    “ งั้นรินไปดูเอง ”

     

    “ ไม่ต้องๆ เดี๋ยวพี่ไปดูก็ได้ ”

     

     

                    รุจเดินลงไปจากรถและหยิบกล่องนั้นขึ้นมาอย่างเชื่องช้า พยายามเงี่ยหูฟังก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติและกล่องมีน้ำหนักเบาเกินกว่าจะมีวัตถุอันตรายอย่างระเบิดอยู่ในนั้นได้ เขาจึงถือมันมาขึ้นรถจากนั้นพวกเขาถึงได้แล่นรถเข้ามาในตัวบ้าน ทันทีที่เข้าบ้านมาได้ กันก็เดินนำลิ่วไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อนำกล่องที่ได้มาเปิดออกดู แม้รินจะค้านว่าขอดูออกเพราะหน้ากล่องเป็นชื่อของเขาแต่พี่ชายฝาแฝดก็ไม่ยอม

     

     

    “ เกิดมันเป็นของโรคจิตแบบคราวก่อนจะทำยังไงล่ะริน ”

     

     

                    นั่นคือเหตุผลที่กันบอกรินและทุกคนเห็นด้วย รินจึงหมดสิทธิคัดค้าน เขาเดินตามพี่ชายเข้ามาภายในห้องก็พบว่าไม่ได้มีแค่พวกเขา 4 คนเท่านั้นแต่มีปรกและปัณณ์นั่งอยู่ด้วย รินเดินไปนั่งข้างปัณณ์ก่อนจะเอนศีรษะซบบนไหล่อย่างออดอ้อนเหมือนที่เคยทำเวลาจะให้ปัณณ์ช่วยต่อรองกับพี่คนอื่น

     

     

    “ ไม่ต้องไปอ้อน ยังไงวันนี้กันก็ไม่ใจอ่อน ” กันยื่นคำขาดพร้อมนั่งลงข้างปรก แน่นอนว่าปรกก็คือฝ่ายสนับสนุนของกันมาตลอดเช่นกัน

     

    “ มีเรื่องอะไรกันเหรอ ” ปรกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยานคาง เขาเพิ่งกลับมาถึงบ้านก่อนหน้ากันไม่กี่นาทีและสนเพิ่งกลับไปเพราะมีถ่ายละครช่วงหัวค่ำ การตะเวนเที่ยวทั้งวันทำให้ปรกเหนื่อยไม่น้อย

     

    “ มีใครไม่รู้เอากล่องนี่มาวางหน้าบ้าน ชื่อบนกล่องบอกว่าส่งให้ริน รินจะเอาไปเปิดเองแต่กันไม่ยอม มันน่าสงสัย กันกลัวว่ามันจะเป็นกล่องแบบเดียวกับโรคจิตที่เคยเล่าให้ฟังไง ” กันอธิบาย

     

    “ อ๋อ งั้นก็เปิดเลย ไม่ต้องรอรินอนุญาตหรอก ” ปัณณ์ตัดสินใจทันที ทำให้น้องเล็กที่พยายามจะอ้อนถึงกับลุกมานั่งตัวตรงทำหน้างอ

     

    “ รินจะให้ปัณณ์ช่วยพูด ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ!

     

    “ ถ้าเกิดมันเป็นของโรคจิต รินจะทำยังไงล่ะ มาวางไว้ลับๆล่อๆ ทำตัวน่าสงสัย หรือถ้ามันไม่มีอะไรน่าสงสัย เป็นของธรรมดาก็ไม่เห็นต้องปิดบังนี่ ปกติพวกเราก็ไม่เคยมีความลับต่อกัน นอกเสียจากว่ารินกำลังมีความลับอะไรที่ปกปิดพวกเราอยู่ ” สายตาจับผิดของปัณณ์ ทำให้รินเลิกดื้อและเบือนสายตามองไปทางอื่นทันที นั่นทำให้ทุกคนรู้ว่ารินมีเรื่องปิดบังอยู่

     

     

                    กันส่ายหัวเบาๆก่อนจะเริ่มเปิดกล่องพัสดุออกโดยมีคนอื่นชะโงกหน้ามาดูอย่างคนไม่อยากรู้อยากเห็นสักเท่าไร แต่แล้วพวกเขาก็ต้องลุ้นเก้อเพราะภายในกล่องไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่อย่างที่พวกเขากังวลเลย มันเป็นเพียงตุ๊กตาหมีน้อยสีน้ำตาลที่สวมชุดเอี๊ยมสีฟ้าเท่านั้นและนอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีก รินจึงรีบแย่งตุ๊กตาคืนมา

     

     

    “ เห็นไหม บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรก็ไม่ยอมเชื่อ เขาคงเป็นแค่แฟนคลับธรรมดานั่นแหละ พอพี่โน่บีบแตรก็เลยตกใจวิ่งหนี คงกลัวโดนตำหนิ ” รินพูดพลางมองบรรดาพี่ๆด้วยสายตาเหวี่ยง 

     

    “ เราก็อุตส่าห์ลุ้น ” ปรกกลอกตาไปมาด้วยความเซ็งก่อนจะลุกออกไปจากห้องนั่งเล่น ความจริงก็ห่วงน้องหรอกแต่เขาไม่เคยเห็นของที่พวกโรคจิตส่งมา มันก็เลยค่อนข้างลุ้นเล็กน้อย พอเห็นแบบนี้เลยหมดสนุก -_-

     

    “ อ่า ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ปัณณ์ไปอ่านหนังสือต่อก่อนนะ ” ปัณณ์ยิ้มเจื่อนๆก่อนจะรีบเดินหนีเข้าไปในห้องทำงานโดยไม่ฟังเสียงเรียกหาตัวช่วยของกันเลย

     

    “ ริน~~ กันขอโทษ ” กันยกมือไหว้พลางส่งกะพริบตาปริบๆส่งให้น้องชายฝาแฝดอย่างเว้าวอนไม่ให้โกรธ เขาแค่ระแวงมากไปหน่อยเท่านั้นเอง

     

    “ ริน อย่าโกรธกันเลยนะ กันก็แค่เป็นห่วง พี่เองก็ห่วง ” รุจลูบหัวกลมๆก่อนจะหอมขมับบางเบาๆ

     

    “ เฮ้อ ก็ไม่ได้โกรธหรอก เข้าใจแหละว่าเป็นห่วง งั้นรินเอาของขึ้นไปเก็บก่อนนะพี่รุจ เดี๋ยวลงมาคุยด้วย ” รินยิ้มบางๆก่อนจะเดินหายออกไปจากห้องนั่งเล่น

     

    “ รอดตัวไป~~

     

     

    กันพรูลมหายใจออกมาทางปากด้วยความโล่งอก ทำให้โตโน่อมยิ้มขำ เขาคว้าคอเจ้าตัวแสบเข้ามาใกล้ก่อนจะจับประกบปากจูบโดยไม่สนใจแรงต่อต้านจากคนโดนจู่โจมกะทันหันและไม่แคร์สายตาที่มองมาของรุจ ทำให้ร่างสูงของผู้จัดการหนุ่มจำเป็นต้องเดินไปทางอื่นเพื่อไม่ให้ตัวเองกลายเป็นก้างขวางคอของโตโน่ที่ดูท่าทางจะหมั่นเขี้ยวเด็กในปกครองไม่น้อยจึงจูบจัดหนักขนาดนั้น    

     

    .

     

    .

     

    .   

     

    หลังจากมื้ออาหารรอบค่ำผ่านพ้นและทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว รินจึงเดินกลับเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง เขาทิ้งตัวลงนอนแผ่กับเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อนแต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงบางอย่างดังขึ้นมา เขาชันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปมองทิศทางของเสียง

     

     

    มันดังมาจากตุ๊กตาหมีตัวใหม่

     

     

    [ อือ.....อา.....ริน....อื้อ....เร็ว...อีก....อืม...ริน....โอ้.....ริน....อา.... ]

     

     

    “ อะ อะไรกันเนี่ย... ”

     

     

                    รินมองตุ๊กตาหมีที่ส่งเสียงประหลาดออกมาด้วยความตกตะลึง แม้เขาจะไม่เข้าใจว่ามันคือเสียงอะไรแต่เสียงนั้นที่ดังวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาและมีชื่อเขาหลุดรอดเป็นระยะ ยิ่งฟัง ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นทุกที รินจึงรวบรวมความกล้าหยิบตุ๊กตาตัวนั้นขึ้นมา เขาควานหาปุ่มปิดเสียงจนเจอที่มือข้างหนึ่งของตุ๊กตา เมื่อกดลงไปเสียงก็เงียบหายไปทันที

     

     

                    ร่างบางพยายามคลำไปตามตัวตุ๊กตา เขาแน่ใจว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างส่งมาให้เขาอีกแน่ๆ เพราะทุกครั้งที่มันส่งมาก็มักจะมีโน้ตแนบมาด้วย แล้วแน่นอนครั้งนี้ก็เช่นกัน รินควานหาไม่นานก็พบว่ามันแนบมากับชุดของตุ๊กตาหมี เป็นซองกระดาษจดหมายสีขาวที่ถูกแหนบเอาไว้อย่างเรียบร้อยแต่เมื่อเปิดออกดู รินกลับต้องตะลึงมากกว่าเดิม เขาตกใจโยนกระดาษและตุ๊กตาลงพื้น มือบางยกขึ้นปิดปาก ดวงตาไหวระริกมองสิ่งที่อยู่บนพื้น ลำตัวสั่นเทาด้วยความกลัว

     

     

                    สิ่งที่แนบมาภายในซองจดหมายคือภาพถ่าย 5 - 6 ใบ มันไม่ใช่ภาพธรรมดา มันเป็นภาพกึ่งเปลือยของเขาซึ่งกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ภายในห้องแต่งตัวและบางภาพก็เป็นภาพถ่ายมุมสูงจากในห้องน้ำตามสถานที่ต่างๆ ทุกรูปมีจุดเล็กๆที่พอจะมองออกว่าเป็นสีแดงตามส่วนต่างๆบนร่างกายของเขา มีภาพหนึ่งที่แตกต่างจากภาพอื่น นั่นก็คือสภาพของแมวที่โดนทารุณจนเลือดท่วมตัวนอนตายตาเหลือกถลน

     

     

    ใครก็รู้ว่าฉายาของรินที่แฟนคลับเรียกกันก็คือ...ลูกแมวน้อย

     

    นอกจากนี้ยังมีกระดาษโน้ตที่แนบมาเขียนข้อความด้วย...อักษรเลือด

     

     

    [ ฉันจะอยู่กับนายทุกที่และทำให้นายเป็นของฉันตลอดไป ]

     

     

    ปัง!!

     

     

    “ ไม่นะ!! ” รินยกมือขึ้นปิดหูพลางทรุดตัวนั่งฟุบหน้าลงบนเข่าร้องไห้ตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง

     

    “ ริน ยืมหนังสะ......ริน.....!! ” ปัณณ์ที่พรวดพราดเปิดประตูเข้ามาเพื่อถามหาหนังสือถึงกับตกใจเมื่อเห็นสภาพของน้องชายฝาแฝด เขารีบถลามาคว้าตัวรินแต่รินกลับปัดออก 

     

    “ ไม่เอาแล้ว ไม่เอา ”

     

     

    รินก้มหน้าก้มตาปัดมือของเขา ยิ่งทำให้ปัณณ์งุนงงมากขึ้นไปอีกจนกระทั่งดวงตากลมเหลือบไปเห็นสิ่งที่วางทิ้งไว้เกลื่อนพื้น เขาหยิบมันขึ้นมาดูทีละภาพรวมไปถึงตุ๊กตาหมีและข้อความเลือดนั่น ทุกสิ่งที่ได้เห็นมันทำให้เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่ารินต้องมาเจอคนโรคจิตขั้นรุนแรงเช่นนี้ ปัณณ์รีบเก็บทุกอย่างให้พ้นสายตาของรินก่อนจะกลับมาดึงร่างบางเข้าสู่อ้อมกอดพลางลูบหัวลูบหลังปลอบประโลม

     

     

    “ ริน นี่ปัณณ์ไง ตั้งสติสิริน ไม่มีอะไรแล้ว ปัณณ์เอาออกไปแล้ว ”

     

    “ ฮึก ปัณณ์ ช่วยด้วย รินกลัว ฮือ ” แขนเล็กโอบกอดพี่ชายฝาแฝดพร้อมกับซบหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น

     

    “ ไม่เป็นไรนะ ปัณณ์อยู่นี่แล้ว ทุกคนอยู่ข้างๆรินเสมอ ใครก็ทำร้ายรินไม่ได้หรอก ไม่ต้องกลัวนะ ไม่เป็นไร รินจะไม่เป็นอะไร ”

     

     

                    ครู่หนึ่งรินก็เริ่มสงบลง ปัณณ์ประคองให้รินลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ดวงตาหวานไหวระริกมองไปรอบกายก่อนจะหลับตาลงเพื่อเรียกสติตัวเองให้กลับคืนมาแบบที่เคยทำเป็นประจำ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเขาก็พบว่าปัณณ์ยังคงส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้เหมือนเดิม รินยิ้มบางๆก่อนจะกอดพี่ชายฝาแฝดแน่น

     

     

    “ ขอโทษนะปัณณ์ ”

     

    “ ขอโทษทำไม รินไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย แล้วนี่โอเคขึ้นบ้างหรือยัง ” ปัณณ์ดันร่างบางของน้องชายออกและเช็ดน้ำตาให้เด็กอ่อนโยนที่กำลังอ่อนแอ

     

    “ อือ ดีขึ้นแล้ว ” รินตอบตรงข้ามกับใจ ความจริงเขายังคงมีความกลัวอยู่

     

    “ เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังได้ไหม ” ปัณณ์เอ่ยถาม รินชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเปิดปากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ตั้งแต่ข้อความประหลาดและของขวัญน่ากลัวเหล่านั้น

     

    “ ความจริงคราวก่อน รินได้ชั้นในเปื้อนเลือดมาด้วยแต่มันอยู่ในห้องแต่งตัวที่สตูดิโอถ่าย MV รินเลยคิดว่ามันเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากที่กองก่อนหน้านั้นลืมไว้ พอมาเห็นแบบนี้ รินคิดว่ามันคงส่งมาให้รินจริงๆนั่นแหละ ” รินหยุดเล่าพลางกำมือแน่นเพื่อไม่ให้ความอ่อนแอแสดงตัวออกมา

     

    “ เข้าใจแล้ว รินนอนพักเถอะนะ เดี๋ยวปัณณ์ไปอาบน้ำก่อนแล้วจะมานอนเป็นเพื่อน ส่วนเรื่องพวกนั้นไม่ต้องไปคิดถึงมัน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกปัณณ์เอง ”

     

    “ ขอบคุณนะปัณณ์ ” รินล้มตัวลงนอนโดยมีปัณณ์ห่มผ้าให้

     

     

                    ปัณณ์ออกมาจากห้องนอนของรินหลังจากที่เห็นว่ารินนอนหลับไปแล้ว เขาหยิบตุ๊กตาและรูปภาพต่างๆที่วางไว้หน้าห้องขึ้นมา ดวงตากลมมองภาพเหล่านั้นอย่างพิจารณาจากนั้นจึงเดินไปทางห้องของปรก เขาเคาะประตูไม่นานพี่ชายฝาแฝดก็เปิดประตูให้ด้วยสภาพหัวฟูยุ่งเหยิง

     

     

    “ ว่าไงปัณณ์ ” ปรกถามพลางหาวหวอดใหญ่ มันเป็นช่วงหัวค่ำก็จริงแต่เพราะตะลอนทั้งวันทำให้เหนื่อยมาก

     

    “ ปรก ปัณณ์มีเรื่องให้ช่วย ”

     

    “ ช่วย? เรื่องอะไร ” ปรกขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเพราะร้อยวันพันปีปัณณ์ไม่เคยต้องการความช่วยเหลือจากใครเลยและคำพูดที่หลุดออกมาจากปากน้องชายก็ทำให้ปรกอึ้งหนักกว่าเดิม

     

    “ เป็นโจรให้หน่อยสิ ”

     

     

      +_+_+_+_+ O = N = L = Y = L = O = V = E +_+_+_+_+

     

     

                    เสียงกรีดร้องของแฟนคลับดังก้องไปทั่วห้างสรรพสินค้าชื่อดังซึ่งใช้เป็นสถานที่แถลงข่าวโปรเจคพิเศษ Dynamic Duo ของรินและฮั่น กระแสตอบรับท่วมท้นทำให้บอสใหญ่ของค่ายภาคภูมิใจไม่น้อย การแสดงผ่านไปด้วยดีและการเปิดตัว MV เป็นครั้งแรกก็เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย เพราะฮั่นกับรินถูกแปลงโฉมสลับบทบาทกัน

     

     

    ฮั่นที่เคยมีภาพของคาสโนว่าสุดเซ็กซี่กลายเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาแสนเชย ในขณะที่รินเปลี่ยนจากเด็กเรียบร้อยกลายเป็นคาสโนว่าสุดฮอต พวกเขาทั้งร้องและเต้นประชันกันด้วยท่วงท่าหวาบวามแหวกแนวไปจากการแบทเทิลทั่วไป ทำให้เกิดเสียงฮือฮาตลอดเวลา กล้องหลายสิบตัวรัวบันทึกภาพจนเกิดเสียงดังแข่งกับเสียงตั้งคำถามของสื่อมวลชน เรียกได้ว่าโปรเจคนี้ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก

                   

     

                    งานแถลงข่าวใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงครึ่งจึงสิ้นสุดลง พวกเขาให้สัมภาษณ์เดี่ยวนักข่าวต่อก่อนจะขึ้นรถตู้กลับบริษัท ใช้เวลาชั่วโมงกว่าพวกเขาก็มาถึงบริษัท รินแยกทางกับฮั่นเพื่อไปเปลี่ยนชุดและเตรียมตัวกลับบ้านโดยมีรุจเดินตามมาไม่ห่างเพราะห่วงว่ารินจะยังกลัวเรื่องคนโรคจิตนั่นอยู่ ดังนั้นทันทีที่ถึงห้องแต่งตัว รุจก็ชิงเปิดประตูเข้าไปสำรวจสถานที่อย่างละเอียดและเมื่อไม่พบสิ่งปกติจึงให้รินตามเข้ามา  

     

     

    “ พี่ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้นะครับ มันไม่มีอะไรแล้วล่ะ เขาเงียบไปนานแล้ว ”

     

     

                    ตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น เจ้าโรคจิตนั่นก็หายเงียบไป ไม่เคยส่งอะไรมาให้เขาอีกเลย มันเงียบจนหลายคนผิดสังเกตแต่รินกลับสบายใจและคิดว่าเรื่องมันจบลงแล้ว คนโรคจิตนั่นอาจไปตามคนอื่นแทนหรือไม่ก็กลับตัวกลับใจแล้วก็เป็นได้ ส่วนเรื่องกลัวนั้น เขายอมรับว่ามันยังแฝงอยู่บ้างเวลาอยู่คนเดียวแล้วได้ยินเสียงก๊อกแก๊กแต่เขาก็พยายามทำตัวเข้มแข็งเพราะไม่อยากให้ใครต้องมาคอยห่วง

     

     

    “ เราไม่ควรประมาทนะริน ”

     

    “ แต่เราก็ไม่ควรระวังจนกลายเป็นระแวงนะครับ ”

     

    “ ริน พี่หะ..... ”

     

     

    ¯เธอเป็นคนเดียวที่ฉันจะรักและอยากจะบอกเธอคือทุกสิ่ง เพียงขอให้รู้ว่าใจหนึ่งดวงนี้ไม่ทิ้งให้เธอต้องอยู่ลำพังจากนี้จนตาย¯

     

     

                    เสียงโทรศัพท์ของรุจดังขึ้นมาขัดบทสนทนา ร่างสูงหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็พบว่าเป็นสายจากน้องรหัส ชายหนุ่มลังเลที่จะรับสายเพราะยังคุยกับรินไม่เข้าใจ เขาเหลือบตามองคนรักสลับกับหน้าจอโทรศัพท์ รินพยักพะเยิดให้รุจรับสายเพราะเขากลัวว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญ รุจจึงยอมรับสาย ข้อความจากปลายสายทำให้เขาตกใจไม่น้อย เขาตอบรับความต้องการของน้องรหัสก่อนจะวางสายลงและหันมาบอกรินด้วยน้ำเสียงร้อนรน

     

     

    “ ริน แก้มโดนรถชนระหว่างทางที่นั่งรถแท็กซี่ไปรับน้องโรม ตอนนี้กำลังถูกนำส่งไปโรงพยาบาล ”

     

    “ จริงเหรอครับ แล้วพี่แก้มไปโรงพยาบาลไหน เป็นอะไรมากหรือเปล่า ”

     

    “ ยังไม่รู้ เขาบอกว่าถ้าถึงโรงพยาบาลแล้วจะโทรบอกอีกทีแต่แก้มไม่ได้เป็นอะไรมากแค่หัวแตกนิดหน่อยและมีแผลถลอกเล็กน้อย เขาโทรมาบอกให้พี่ช่วยไปรับน้องโรม ”

     

    “ งั้นก็รีบไปรับสิครับ พี่จะได้รีบไปดูพี่แก้ม ”

     

    “ แต่พี่ห่วงริน ”

     

    “ ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวรินให้กันมารับแทนได้ คนเจ็บสำคัญกว่า ” รุจลังเลใจแต่พอเห็นแววตาหนักแน่นของริน เขาก็ยอมพยักหน้า

     

    “ ขอโทษนะริน เสร็จเรื่องแล้วพี่จะรีบไปหา ”

     

     

                    รุจบอกก่อนจะรีบวิ่งจากไป รินมองตามด้วยความกังวลจากนั้นจึงเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าและเก็บของเพื่อกลับบ้าน ตลอดทางที่เดินมายังลิฟต์ เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหากันแต่ยังไม่ทันที่พี่ชายฝาแฝดจะรับสาย เขาก็ถูกฮั่นเดินมาขวางหน้าเสียก่อนทำให้รินจำเป็นต้องตัดสายเพื่อคุยกับพี่ชายคนสนิท ฮั่นชวนรินคุยจนรู้ว่าวันนี้รุจไม่ว่างไปส่งรินกลับและรินยังติดต่อพี่ชายไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงอาสาพาไปส่งบ้าน

     

     

    “ อย่าเลยครับ เกรงใจและเสียเวลาพี่เปล่าๆ ” รินปฏิเสธอย่างนอบน้อม

     

    “ ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า หรือว่ารินรังเกียจพี่ ”

     

    “ ปะ เปล่านะครับ ไม่ใช่แบบนั้น ”

     

    “ งั้นให้พี่ไปส่งนะ ” ฮั่นมองรินด้วยนัยน์ตากดดันเล็กๆ นั่นทำให้รินจนหนทางที่จะบ่ายเบี่ยงจึงยอมให้ฮั่นไปส่งที่บ้าน

     

    “ รบกวนด้วยนะครับ ”

     

     

                    ฮั่นยิ้มกริ่ม เขาเดินนำรินมายังลานจอดรถ เขาเปิดประตูให้รินเข้าไปนั่งข้างคนขับ ส่วนเขาก็รีบเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับ เมื่อเข้ามานั่งเรียบร้อย ร่างสูงจึงหยิบผ้าคาดปากขึ้นมาใส่ก่อนจะสตาร์ทเครื่องและแล่นรถออกมาจากลานจอด

     

     

    “ พี่ฮั่นเป็นหวัดเหรอครับ ” รินถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นร่างสูงคอยขยับจัดผ้าคาดปากและปรับแอร์ไปทางอื่นเสมอ

     

    “ อืม เพิ่งเป็นเมื่อเช้าแต่พี่กลัวเป็นหนักกว่าเดิมเลยต้องคอยป้องกันหน่อย ” ฮั่นตอบเสียงอู้อี้พลางขับรถไปตามทางที่รินบอก

     

    “ โห ดูไม่ออกเลยนะครับ ตอนทำงานพี่เต้นเต็มที่มาก ”

     

    “ มันเป็นงานที่พี่รักไง มันเลยต้องมีสปิริตสักหน่อย ” ฮั่นขยิบตาให้คนอายุน้อยกว่า รินจึงยิ้มบางๆให้

     

     

                    หลังจากนั้นก็ไม่มีบทสนทนาใดๆอีกนอกจากเสียงบอกทางของริน จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วโมง ในระหว่างที่รถกำลังใกล้ถึงสี่แยก ฮั่นก็หันมาถามทางรินอีกรอบแต่ก็พบว่ารินหลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วและไม่ว่าจะเรียกเท่าไร ร่างบางก็ไม่มีวี่แววตื่นขึ้นมาเลย

     

     

    “ แย่จัง ทำยังไงดีล่ะ พี่ไปบ้านรินไม่ถูกซะด้วยสิ ” ฮั่นพูดขึ้นพลางเอื้อมมือข้างที่ไม่ได้ขับพวงมาลัยไปลูบเรือนผมนุ่มของรินก่อนจะผละออกและเลี้ยวรถไปอีกทาง

     

     

    “ สงสัยรินคงต้องไปบ้านพี่ก่อนแล้วล่ะ... ” 

     

                     

             

    =+=+=+=+=+=+= To Be Continue =+=+=+=+=+=+=

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×