คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : shortfic - little things #hoonyoung #winkdeep
Little things
Cause I fell in love with yours everything.
พัค
จีฮุนเป็นมนุษย์ประหลาด
“ชงกาแฟให้หน่อย”
ผงกหัวขึ้นจากกองเอกสารนับยี่สิบฉบับที่วางทับกันไปมาอย่างไม่ใส่ใจเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูห้องพัก
ช่วงนี้บริษัทที่เขาทำงานอยู่นับได้ว่ากำลังไปได้สวย
การเจรจาต่อรองและทำสัญญาระหว่างคู่ค้าก็ได้รับผลตอบรับที่ดี
ภาระงานในช่วงนี้จึงมากเพิ่มขึ้นกว่าปกติตามไปด้วย จำได้ลางๆว่าตั้งแต่นั่งลงเคลียร์งานที่เอากลับมาทำที่บ้านก็ไม่ได้ลุกไปไหนอีก
ผู้มาเยือนทำเพียงพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปวางเสื้อโค้ทกับราวแขวนอย่างที่เคยทำ
เขาเหลือบมองยามอีกฝ่ายเดินลับหายไปในโซนห้องครัวเพื่อที่จะได้แน่ใจได้ว่าคนเป็นพี่กำลังทำในสิ่งที่เขาร้องขอ(ถึงแม้เวลาปกติจะชอบอิดออดนิดหน่อยก็ตาม)
แพจินยองและพัคจีฮุนเป็นเพื่อนร่วมห้องมาได้เกือบห้าปี
อ่า..
ทั้งที่จริงแล้วก่อนหน้าจะได้มาร่วมชายคาเดียวกันเราทั้งคู่ก็รู้จักกันเพียงผิวเผิน
เป็นความสัมพันธ์ที่รู้จักต่อจากคนรู้จักอีกที แต่เพราะช่วงนั้นเศรษฐกิจกำลังย่ำแย่
ชีวิตในวัยมหาวิทยาลัยของเขาก็ยังต้องมีค่าใช้จ่าย
ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับการยังดิ้นรนมีชีวิตอยู่ได้ในยามนี้ก็คือการประกาศหาคนช่วยผ่อนเบาภาระด้านนั้นลง
พัคจีฮุนที่ดูเหมือนกำลังประสบปัญหาเดียวกันก็เลยตอบรับคำเชิญชวนที่เขาใช้ให้เจ้าซามูแอลไปติดต่อให้อีกที
ช่วงแรกๆที่เพิ่งมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมันค่อนข้างจะน่าอึดอัดเสียหน่อย
เขาเป็นคนมนุษย์สัมพันธ์ไม่ค่อยจะดี
ต่างกับอีกฝ่ายที่ช่างพูดช่างคุยกับคนอื่นแถมยังมีมุกตลกคอยหยอดในวงสนทนาอยู่ไม่ขาด
แต่เพราะกำลังอยู่ในช่วงปลายการศึกษาทั้งคู่ พัคจีฮุนคณะนิเทศปีสี่ก็ยังมีภาระด้านละครเวทีของคณะจนค่ำมืด
ตัวเขาเองที่ต้องอ่านหนังสือทั้งวันทั้งคืนก็ขังตัวเองอยู่ในห้องตั้งแต่กลับมาจากมหาวิทยาลัยทุกวัน
เราเจอหน้ากันเพียงแค่ช่วงเช้า กล่าวคำทักทายง่ายๆเช่น –อรุณสวัสดิ์ ก่อนจะแยกย้ายไปทำธุระของแต่ละคน
ความสัมพันธ์ที่ถูกขีดเอาไว้แค่เพื่อนร่วมห้องแปรเปลี่ยนเป็นคนสนิทได้ตั้งแต่ตอนไหนเขาก็ไม่ค่อยมั่นใจ
ทุกอย่างที่ผ่านมามันดูเรียบง่ายราวกับเส้นตรงที่ถูกลากยาวออกไปไม่มีวันจบ
แล้วจู่ๆเส้นตรงเหล่านั้นก็เริ่มคดโค้งเรื่อยๆ จากที่เคยเพียงแค่กล่าวอรุณสวัสดิ์
ก็เริ่มมาเป็น –นอนดึกจังเลยนะเมื่อคืน –กินข้าวเช้าหรือยัง? และ –วันนี้มีแพลนจะไปไหนหรือเปล่า?
จากที่กินข้าวกันคนละอย่างก็เปลี่ยนมาแบ่งเผื่อให้อีกฝ่ายด้วยความเคยชิน
จากที่ต้องหยิบแก้วน้ำมาครั้งละใบเราก็เลือกที่จะหยิบให้อีกฝ่ายโดยไม่ต้องร้องขอ
มื้อเย็นที่เขาเคยกินตอนสามทุ่มก็ถูกบังคับให้มากินด้วยกันทุกวันตอนหนึ่งทุ่ม
กิจวัตรประจำวันที่ทำคนเดียวมาตลอดเกือบ 22 ปีก็มีพัคจีฮุนเข้ามามีส่วนร่วม
เรื่องประหลาดที่หนึ่งคือ ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง
และทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไปในเช้าวันนั้นที่อากาศปลอดโปร่ง
ท่องฟ้าสดใส
มันเป็นเพียงวันธรรมดาที่ถ้าหากจะเปิดดูปฏิทินก็คงเป็นหนึ่งในพวกที่ถูกมองผ่าน
ไม่ใช่วันที่จะต้องถูกวงด้วยวงกลมสีแดงหรือถูกขีดเน้นย้ำ เป็นวันสีขาวในบรรดา 365
หลากสี ไม่ใช่วันแห่งสีเหลืองที่มีแต่ความอบอุ่น
ไม่ใช่วันแห่งสีเขียวที่เต็มไปด้วยความสดชื่น และก็ไม่ใช่วันสีฟ้าที่มีแต่ความสดใส
เป็นเพียงสีขาวที่จืดชืด เรียบง่าย แต่กลายเป็นสิ่งสำคัญ
ร่างของใครบางคนที่ยืนพิงเคาน์เตอร์ครัวทำให้เขาชะงัก
ถึงนี่จะเพิ่งเจ็ดโมงเช้าก็ตาม
แต่คำบอกเล่าจากปากของอีกฝ่ายว่ามีนัดลองชุดตั้งแต่แปดโมงเช้าทำให้เขาฉุกคิดได้ว่าตอนนี้คนเป็นพี่ควรจะออกจากห้องไปแล้วด้วยซ้ำ
พัคจีฮุนที่ยืนกอดอกมีสีหน้าเคร่งเครียดเสียจนเขาไม่กล้าเดินเข้าไป
แต่เพราะเสียงท้องที่ร้องประท้วงด้วยความหิวโหยทำให้เขาต้องยอมเฉียดไปใกล้
ครั้นจะเดินผ่านอีกฝ่ายเพื่อหยิบซีเรียลเจ้าโปรดที่อยู่ข้างกันก็โดนขัดจังหวะด้วยฝ่ามือที่คว้าจับต้นแขน
หันไปมองหน้าเพื่อนร่วมห้องก็พบเจอกับดวงตากลมที่มีแต่ความสับสน พัคจีฮุนในโหมดนี้สำหรับเขาคือโหมดที่รับมือได้ยากที่สุด
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายกำลั-
ริมฝีปากสีแดงสดราวกับเชอร์รี่ทาบทับลงมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
นี่มันเกินคาดมากไปสำหรับเขา
ยอมรับเลยว่าพักนี้เมื่ออยู่ใกล้อีกฝ่ายอัตราการเต้นของหัวใจเขาก็เริ่มไม่เป็นจังหวะ
มันอาจเป็นเพียงความหลงใหลหรือชื่นชม แต่ส่วนหนึ่งของมันก็คือความรู้สึกดี
ตกใจไม่ใช่น้อยที่จู่ๆก็โดนทำอะไรแบบนี้
เมื่อสติกำลังจะหลุดลอยไปก็โดนดึงกลับมาด้วยแรงกดที่เน้นย้ำอยู่ตรงริมฝีปาก
ไม่ได้มีการรุกล้ำ ไม่ได้มีการเอาแต่ใจ
มันเป็นเพียงการกดค้างแต่ย้ำให้รับรู้ว่านี่คือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริงและเขาไม่ได้ฝันไป
ไอ่บ้าเอ้ย
ผละออกจากริมฝีปากเมื่อช่วงชิงจนหนำใจแล้วก็ฉุดยิ้ม
ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่คนที่เขาต้องพึ่งพาเรื่องค่าใช้จ่ายเขาคิดว่าควรจะต่อยหน้าหมอนี่สักหมัด
เป็นเพียงแค่รูมเมทคิดว่าจะลวนลามหรือเอาแต่ใจแบบนี้ก็ได้หรอ
“เย็นนี้ไปดูพี่แสดงหน่อยสิ”
“...”
ทาบทับลงมาอีกครั้งถึงแม้จะเป็นเพียงแค่แตะเบาๆ
อาการร้อนผ่าวแผ่ไปทั่วใบหน้าเมื่ออีกคนเอ่ยชิดริมฝีปากด้วยน้ำเสียงที่เขาไม่เคยคิดว่าได้ยินมาจากที่ไหน
“นะ”
ท้ายสุดเขาก็ยอมทิ้งกองงานที่มีกำหนดส่งอาทิตย์หน้าไว้ที่ห้อง
ถึงแม้อากาศตอนเช้าจะปลอดโปร่งแต่พอตกค่ำก็เริ่มจะมีลมหนาวมาหน่อยๆ
เขากระชับเสื้อคลุมคาร์ดิแกนตัวโปรดที่คุณแม่ซื้อให้ในฐานวันเกิดที่เพิ่งผ่านพ้นมาไม่นาน
การแสดงละครเวทีของพัคจีฮุนวันนี้ได้รับเสียงตอบรับล้นหลาม
คำชมและเสียงปรบมือที่กู่ก้องตั้งแต่ม่านการแสดงปิดลงทำให้เขารู้สึกตื้นตันอยู่ในอก
คนเป็นพี่บนเวทีนั้นมีเสน่ห์จนลืมภาพที่เดินวนไปวนมาในห้องได้อยู่หมัด
อีกฝ่ายส่งข้อความมาตั้งแต่ก่อนเริ่มการแสดงว่าให้รอกลับบ้านด้วยกัน
แถมเน้นย้ำว่าห้ามเดินไปไหนมาไหนโดยไม่บอกกล่าวอีกต่างหาก
มันก็น่าหงุดหงิดไม่ใช่น้อยเพราะเขาเองยืนรอตรงนี้มาร่วมยี่สิบนาที
เจ้าของข้อความที่เผด็จการเหลือเกินก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่หัว
ถ้าอีกสิบนาทีแล้วเขายังคงต้องมายืนรอเป็นคนโง่ตรงนี้พัคจีฮุนได้นอนนอกห้องแน่ๆ
สัมผัสที่อุ่นวาบขึ้นตรงฝ่ามือทำเขาสะดุ้ง
หันไปมองคนที่ถือวิสาสะรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อีกฝ่ายที่อยู่ในเสื้อยืดสีเหลืองสดพร้อมแจ็กเก็ตยีนยืนยิ้มกว้าง
ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางคงจะถูกลบไปหมดแล้ว แต่นั่นมันไม่น่าตกใจเท่ามือของพัคจีฮุนที่กำลังสอดประสานของเขาอยู่น่ะสิ!
“ปะ กลับบ้านกัน”
เขายอมให้อีกคนลากไปนู่นมานี่ด้วยตามใจชอบ
เพราะปกติที่ไปไหนมาไหนกับเพื่อนสนิทอย่างแดฮวีก็มักจะโดนกระทำแบบนี้ด้วยบ่อยๆ
ที่แปลกไปก็คงจะเป็นความรู้สึกวูบโหวงในช่องท้องกับอัตราจังหวะหัวใจนี่แหละที่ดูจะเต้นแรงผิดปกติ
เรากลับมาถึงห้องในตอนเวลาห้าทุ่ม
เขาคิดว่าวันนี้พลังงานมันลดลงจนเหลือไม่ถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์
ไม่รู้จะขอบคุณอีกฝ่ายหรือกล่าวโทษดีที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“จินยอง”
พอแยกย้ายจะเดินเข้าห้องของแต่ละคนอย่างที่เคย
คนเป็นพี่ก็เอ่ยเรียกชื่อเขาพร้อมกับเดินเข้ามาหา
ถ้าให้บอกกันตรงๆก็คือเขาไม่ไว้ใจเลยสักนิด ทั้งสายตาและน้ำเสียงที่ดูเปลี่ยนไป
พัตจีฮุนน่ะเข้าใจยากยิ่งกว่าข้อสอบตอนสอบไฟนอลเสียอีก
“คบกันเถอะ”
ไม่เคยมีใครบอกพัคจีฮุนหรอ
ว่าถามคำถามเขาให้รอคำตอบ
ไม่ใช่ถามเสร็จแล้วจูบกันแบบนี้!
เมื่อมีโอกาสได้อ้าปากเพื่อที่จะเอ่ยถาม
อีกฝ่ายก็บิดลูกบิดประตูและดันเขาไปข้างในห้อง
พร้อมกับส่งยิ้มกว้างราวกับได้เล่นของเล่นชิ้นโปรด
ก่อนจะปิดประตูพร้อมกับคำเอ่ยลาสั้นๆ
“ฝันดีครับ” –นี่เขาตอบตกลงอีกฝ่ายไปแล้วหรอ
“ไหนกาแฟอะ?”
แก้วเซรามิคสีน้ำตาลที่เป็นรูปคุณหมีถูกวางลงตรงที่ว่างหนึ่งเดียวบนโต๊ะหนังสือ
เขาชะโงกหน้าไปมองของเหลวสีขาวขุ่นที่มีไอร้อนระเหยอยู่
กลิ่นอ่อนโชยกรุ่นพร้อมกับสีหน้าเฉยชาของคนรัก
“ดึกแล้ว
เป็นเด็กเป็นเล็กจะมากินกาแฟหรอ”
“ถ้ากินนมอุ่นผมก็ง่วงสิ”
ตอบกลับด้วยความไม่ยอม
อย่างที่เคยบอกว่าพัคจีฮุนเป็นมนุษย์ประหลาด ชอบทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เสมอ
คราแรกที่เห็นตอบรับว่าจะเอากาแฟมาให้ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นทุนเดิม
ยิ่งมาเห็นผลงานที่ได้รับก็เลยรับรู้ว่าพัคจีฮุนน่ะเอาแต่ใจที่สุดในโลก!
“ง่วงก็ดี จะได้รีบไปนอน”
“งานผมยังไม่เสร็จเลย”
น้ำเสียงออดอ้อนที่ไม่บ่อยนักจะถูกยกมาใช้อ้าง
คนรักไม่ค่อยชอบใจนักที่เห็นเขานอนดึกและก้มหน้าก้มตาอยู่หลังกองเอกสาร
ข้อนี้เขารู้ดี แต่มันก็เป็นเหตุจำเป็นไม่ใช่หรอ
เขามีภาระหน้าที่ที่ต้องจัดการอะไรพวกนี้
ก็เหมือนอีกฝ่ายนั่นแหละที่ชอบอยู่ซ้อมบทละครจนถึงดึกดื่น
“จะตีให้
คิดว่าไม่รู้หรอว่าชอบเอางานคนอื่นมาทำแทน”
“อ๋า –ใครบอกอีกเนี่ย!?”
โวยวายยกใหญ่เมื่อโดนคนเป็นพี่เขกเข้าเบาๆที่หัว
ก็งานส่วนของเขามันเป็นการเจรจากับลูกค้านี่
เห็นคนอื่นในแผนกต้องมานั่งพิมพ์งานงกๆก็สงสารแย่เลยต้องเสนอตัวเองเข้าช่วย
มีแต่อีกฝ่ายนั่นแหละที่ชอบโมเมหาว่าเขาโดนรังแกและยัดเยียดงานให้
เป็นเดือดเป็นร้อนจนไปโวยวายกับรุ่นพี่ที่ทำงานเป็นหัวหน้าแผนกที่สนิทกัน
แพจินยองในช่วงนั้นก็เลยได้ฉายา 'ลูกนก’ ไปโดยปริยาย ทั้งโดนหวงจากคนรัก ทั้งโดนหัวหน้าประคบประหงม
ไม่รู้หรือยังไงว่าเขาหน่ะเบื่ออะไรแบบนี้ชะมัด
“พี่ให้เวลาแค่สิบนาที
ถ้าอาบน้ำออกมาแล้วไม่เห็นในห้องได้โดนดีแน่”
“อย่ามาเอาแต่ใจแบบนี้นะ!”
ตะโกนไล่หลังอีกคนที่เดินลับหายไปในห้องน้ำเรียบร้อย
ทุบอกชกลมพร้อมกับกระดกนมอุ่นรวดเดียวจนหมดแล้วก็ได้แต่เดินกระฟัดกระเฟียดเข้าห้องนอนอย่างช่วยไม่ได้
ถึงจะอยากทำงานต่อ แต่เขาไม่อยากมานั่งเถียงหรือโดนอีกฝ่ายลงโทษหรอกนะ
จำไว้เลยพัคจีฮุน!
เรื่องประหลาดที่สองคือ ชอบชวนไปกินอยู่เรื่อย
“ให้ยืมเอามั้ย?”
เสียงทักด้วยความขบขันทำให้เขาต้องตวัดสายตาไปมอง
ก็เพราะมนุษย์ร่วมห้องไม่ใช่หรือไงที่ทำให้เขาต้องมานั่งหงุดหงิดแบบเนี้ย
ตอนนั้นก็บอกแล้วว่าไม่อยากจะกิน ไม่หิว! ก็ยังมายัดเยียดพาไปกินบุฟเฟ่ต์
พาจะไปกินของหวาน สารพัดการบำรุงด้วยอาหารทั้งๆที่เขาอิ่มแปล้จนหนังตาแทบปิด
แล้วดูสภาพเขาตอนนี้สิ จะยัดตัวเองลงไปในสกินนี่ยีนตัวโปรดยังไม่ได้เลย!
“นิสัยไม่ดี!
ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่อยากกินอะ”
กอดอกหันกลับไปมองอีกคนที่เอนตัวพิงหัวเตียงนั่งจ้องเขาแต่งต้วมาร่วมสิบนาทีกว่า
เนี่ย น่าอายชะมัด สนุกมากนักหรอที่เห็นคนอื่นใส่กางเกงไม่ได้อะ
เจ้าสกินนี่ตัวนี้อยู่กับเขามานานแล้วด้วย หวงแล้วก็รักที่สุดด้วยอะตัวนี้
แล้วดูสิ แค่จะยัดขาลงไปทีละข้างยังทำยากเลย
กระโดดโหยงๆพร้อมกับยัดตัวเองลงไปในกางเกงตัวโปรด
คนเป็นพี่ที่เห็นภาพแบบนั้นก็หัวเราะจนเสียงดัง เขาตวัดสายตาไปมองด้วยความขุ่นเคือง
ใช่สิ เขามันมีเซนส์ทางแฟชั่นไม่ได้ประหลาดเหมือนพระเอกละครหนิ
ถึงจะได้มีตัวเลือกเยอะแยะเวลาต้องใส่ชุดที่ดูดี ทั้งตู้เสื้อผ้าก็มีแต่สีขาวกับดำ
กางเกงที่พอใส่แล้วไม่อับอายก็มีแค่สกินนี่ตัวนี้ แล้วดูผลที่ได้รับสิ
“ไม่ต้องฝืนตัวเองก็ได้
แค่ไปกินขนมกันเอง ไม่เห็นต้องแต่งตัวหล่อขนาดนั้น”
“ก็พูดได้สิ ดูตัวเองแต่งตัวซะก่อน”
พัคจีฮุนในชุดเสือยืดแขนสั้นสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดขาดเข่า
รู้แล้วว่าเป็นนักแสดงต้องดูดี แต่จะให้เขาใส่แค่กางเกงวอร์มเสื้อยืดออกไปเดินข้างกันก็คงไม่ใช่เรื่อง
คนคงได้มองกันตาแทบจะถลนออกจากเบ้าเลยล่ะ
“เอาหน่า รีบแต่งตัวเร็วเข้า
ยิ่งดึกคนจะยิ่งเยอะนะ”
เอ่ย ฮึบ!
กับตัวเองก่อนจะใส่กางเกงที่ว่าได้สำเร็จ
เขาหันไปหยิบเสื้อยืดสีดำตัวใหม่ที่ได้รับมาจากรุ่นพี่อีกทีและสวมมันด้วยความมั่นใจ
“พี่ยังไม่บอกผมเลยนะว่าเราจะไปไหนกัน”
คนอายุมากกว่ากดล็อคหน้าจอโทรศัพท์และยัดมันเข้าใส่กระเป๋ากางเกง
รอยยิ้มกว้างพร้อมกับมือที่จัดผมตัวเองให้เป็นทรงเริ่มทำให้เขาชักรู้สึกไม่ไว้ใจ
ตั้งแต่รู้จักกันมา รวมไปถึงตอนเลื่อนขั้นมากกว่าคนรู้จัก
พัคจีฮุนมักมีเรื่องราวที่ทำให้คนอย่างเขาประหลาดใจเสมอ
“จะพาไปเทศกาล”
“-เห?”
“อยากไปไม่ใช่หรอ?”
เขาพยักหน้าหงึกหงัก
มันก็จริงอยู่ที่ว่าเขาอยากไปงานเทศกาลนี้มาตั้งแต่ประกาศว่าจะจัดเมื่อเดือนก่อน
เทศกาลเล็กๆที่จะมีของขายอยู่ตามทางเดิน ทั้งร้านอาหารขึ้นชื่อ ขนมรสชาติแปลกใหม่
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าถึงเขาจะเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคมแต่การได้ไปเดินลองชิมของเรื่อยเปื่อยก็ผ่อนคลายไปได้อีกแบบ
ที่น่าแปลกใจก็คงจะเป็นตรงที่เขาไม่เคยเอ่ยปากออกไปสักครั้งว่าอยากไปเจ้างานนี้
ตั้งแต่รู้ข่าวก็เก็บเงียบไว้กับตัวเองมาโดยตลอด
ไม่เคยบอกกล่าวแม้กระทั่งคนสนิทอย่างแดฮวี
หรือแม้กระทั่งการชักชวนกันของรุ่นพี่ในแผนกเขาก็ไม่เคยมีส่วนร่วมเลยซักครั้ง(นั่นเป็นเพราะกำลังวางแผนอยู่น่ะซิ
ว่าจะแอบอีกคนไปงานนี้ยังไง!) รูดซิปตัวเองขนาดนี้แล้วอีกฝ่ายมารู้ได้ยังไงกัน
“ถ้าเป็นเรื่องของเรา
พี่รู้หมดนั่นแหละ ไปเอาโทรศัพท์ได้แล้ว”
ว่าพลางเดินสุมเข้ามาใกล้แล้วจับหมับเข้าที่บ่าของคนอายุน้อยกว่า
ปากก็พล่ามบอกให้ไปหยิบโทรศัพท์แต่ทำไมต้องมาทำสายตาพราวระยับแบบนี้กันละ
นึกว่าด้วยความหมั่นไส้แต่ก็ต้องเหวออกมาเสียงดังเมื่อโดนอีกฝ่ายหาเศษหาเลยอย่างที่ชอบทำประจำ
“ใครให้จูบเนี่ย!”
“บ่นมากหน่า เอาเสื้อแขนยาวไปด้วยนะ
อากาศมันหนาว”
ผละออกหลังจากที่กอบโกยจนหนำใจ
คนฉวยโอกาส เขาจะขาดอากาศหายใจอยู่แล้วยังไม่พอรึไง
ยู่หน้าพร้อมจะขบกัดเรียวนิ้วที่ปัดป่ายปลายจมูกของตน
นอกจากนิสัยทำอะไรตามใจตัวเอง
พัคจีฮุนก็ดูเหมือนจะถนัดการแกล้งแพจินยองมากที่สุดเลยมั้งเนี่ย!
“ผมเอาไปตลอดนั่นแหละ มีแต่พี่อะ
ชอบมาขโมยของคนอื่น”
เบ้ปากใส่ไปทีเมื่อคนที่เดินนำออกไปหันกลับมาเขกหัว
ถ้ายังเป็นเมื่อห้าปีก่อนที่เพิ่งรู้จักกันแรกๆ
เขาคงจะไม่เชื่อหรอกว่าคนตรงหน้าจะเป็นคนเดียวกันกับพี่พัคจีฮุนคนนั้น
ถึงตอนนั้นเราจะรู้จักกันไม่มาก แต่พี่เขาก็ไม่ได้เจ้าเล่ห์เพทุบายขนาดตอนนี้
แถมยังไม่เคยหัวเราะเยาะแม้ว่าจินยองจะทำตัวน่าขันแค่ไหนก็ตาม
พอได้รู้จักกันจะเผยธาตุแท้แบบไหนก็ได้งั้นหรอ
“แค่ยืมมือมากุมทำบ่น
ไปใส่รองเท้าได้แล้ว ถ้านมร้อนรสใหม่ร้านนั้นหมดช่วยไม่ได้นะ”
แพจินยองชักเลิกสงสัยแล้วล่ะว่าพัคจีฮุนไปรู้ดีมาจากไหนกันนัก
เขาจะแสร้งทำเป็นไม่ตกใจนักที่อีกฝ่ายที่อีกฝ่ายล่วงรู้ว่าเขาอยากกินอะไรที่ไหนอย่างไร
เพราะสงสัยไปก็เท่านั้น ไม่ว่าจะคาดคั้นอย่างไรก็ไม่มีทางได้คำตอบกลับคืนมา
“นี่”
“..?”
“เอามือมาหน่อย ไม่อยากใส่ถุงมือ”
เรื่องประหลาดที่สาม ชอบนักละถ่ายรูปตัวเอง
“จินยอง เขยิบมาหน่อย”
เคี้ยวตุ้ยลูกชิ้นปลาที่ร้านเจ้าประจำมักแถมมาให้เป็นไม้พิเศษ
เพราะอาศัยอยู่แถวนี้มานาน
เลยได้รับอภิสิทธิ์ในฐานะลูกค้าประจำจนต้องเอ่ยปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจตั้งหลายครั้ง
ผิดกันกับคนรักที่มักจะหัวเราะชอบใจทุกครั้งที่เห็นว่าคุณป้ากำลังเอ่ยชมว่าเขาช่วงนี้ดูอุดมสมบูรณ์ผิดปกติ
ก็แหงละ โดนลากไปกินนู่นกินนี่จนแทบจะตัวระเบิดอยู่แล้ว
ถึงเขาจะมีใบหน้าเล็กแถมตัวเพรียวบาง
ก็ไม่ได้ความความว่าส่วนอื่นมันจะไม่ขยายออกซักหน่อย
หันไปมองคนเป็นพี่ที่ยิ้มร่ายกโทรศัพท์ราคาแพงขึ้นมา
หันมุมตัวเองให้เข้าทิศเข้าทางอย่างที่เคยทำโดยไม่ลืมที่จะเกี่ยวเอวของเขาให้ไปใกล้เพื่อที่จะได้
“ถ่ายรูป” ด้วยกันอีกครั้ง
เขามุ่ยหน้าเพราะไม่ชอบใจเอาเสียเลย แพจินยองไม่ใช่คนดูแลตัวเองมากนัก
และด้วยไม่ชอบยิ้มจนตาขึ้นเป็นขีดเหมือนอีกฝ่าย
เพราะฉะนั้นยามที่ต้องถ่ายรูปคู่กันแบบนี้ก็น่าหงุดหงิดใจเสียเหลือเกิน
พัคจีฮุนจำเป็นต้องดูแลรูปลักษณ์ของตัวเองอยู่เสมอ
ยิ่งมีแสงไฟจากหลอดไฟที่ประดับตกแต่งสถานที่โดยรอบก็ยิ่งขับให้อีกฝ่ายโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางผู้คนมากมาย
เดิมทุนก็ไม่ชอบตัวเองตอนถ่ายรูปมากพออยู่แล้ว
ยิ่งต้องถ่ายมาแนบชิดกับคนรักมันยิ่งทำให้เขาหัวเสียขึ้นเป็นสองเท่า
“ยิ้มหน่อย”
เอ่ยกระซิบชิดใบหูพร้อมเพยิดหน้าให้เขาทำตามที่ร้องขอ
เขาเหยียดริ้มฝีปากออกเล็กน้อยพอให้ยังแยกออกว่ากำลังยิ้ม
แต่แล้วก็ต้องร้องโอดโอยเมื่อมือที่เคยวางอยู่บนเอวเลื่อนขึ้นมาพาดไหล่และหยิกเข้าที่แก้มข้างซ้าย
พร้อมกับยืดมันออกให้ดูย้วยจนน่าเกลียด
พัคจีฮุน!
“ทำไมต้องบีบแก้มเล่า! มันเจ็บนะ”
พอได้รูปที่พึงพอใจก็ยิ้มกับตัวเองแล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋าเหมือนเดิม
พัคจีฮุนเป็นมนุษย์ที่แปลก ชอบถ่ายรูปในทุกที่ที่เราไปไหนมาไหนด้วยกัน
ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ต่างจังหวัดที่มีบรรยากาศดีเหลือเชื่อ
หรือแม้กระทั่งแค่การนั่งกินข้าวกันในเย็นวันศุกร์แสนเศร้าที่ร้านอาหารฟาส์ตฟู้ด
มักจะมีรูปถ่ายสถานที่นั้นๆกับรูปคู่ของเราด้วยเสมอไป
ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าแพจินยองเป็นคนที่ไม่ชอบถ่ายรูป
อีกฝ่ายก็จะต้องคะยั้นคะยอจนเขาต้องตัดรำคาญไปตั้งหลายที
บางครั้งทั้งที่ยังไม่ได้รู้ตัวอะไรก็โดนบันทึกภาพลงไปแล้วเรียบร้อยด้วยซ้ำ
เห็นแต่ว่าถ่ายรูปแต่ก็ไม่เคยเห็นว่าอีกฝ่ายจะเอาลงโซเชียลเน็ตเวิร์คเลยซักครั้ง
หนึ่งอาจเพราะรู้ดีว่าเขาไม่ชอบเปิดเผยตัวตน และสองก็คงจะกลัวเป็นที่โจษจันเหตุเพราะตัวของพัคจีฮุนเองก็มีชื่อเสียงอยู่ไม่ใช่น้อย
“บีบทำโทษเด็กที่ไม่ยอมยิ้มดีๆ”
“ก็ผมไม่ชอบถ่ายรูป”
“แต่พี่ชอบ”
เออ
บทจะตัดหัวข้อการสนทนาก็ทำมันได้ง่ายดาย
เหลือบมองอีกฝ่ายที่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกรอบ ถ่ายอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยตามประสาคนที่หลงใหลในการถ่ายภาพ
ถ้านอกเหนือจากการแสดงแล้ว
การถ่ายภาพนี่แหละก็ดูเหมือนจะบ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของคนตรงหน้าได้ดี
ผิดกับเขาที่ไม่ว่าจะหยิบจะยกอะไรมาถ่ายก็เหมือนการถ่ายรูปด้วยกล้องคุณภาพราคาถูก
อยากจะลองถ่ายให้ดูดีเหมือนที่อีกฝ่ายอัพลงอินสตราแกรม
แต่ก็ต้องพับแผนการที่ว่าเพราะรูปถ่ายแต่ละรูปที่ถ่ายมาไม่ได้ดูเป็นผลงานได้เลย
แอคเค้าท์ของแพจินยองจึงว่างเปล่า เขาไม่มีหัวทางด้านศิลป์มากนัก
ในขณะที่พัคจีฮุนมักจะสรรหารูปอะไรต่อมิอะไรมาโพสต์เต็มไปหมด
ยืนกัดลูกชิ้นปลาที่เริ่มจะเหลือเพียงโคนไม้พลางมองบรรยากาศรอบข้างไปด้วย
เสียงแจ้งเตือนที่ดังขึ้นจากโทรศัพท์ทำให้ต้องหยิบออกมาฆ่าเวลารอที่อีกฝ่ายกำลังเพลิดเพลิน
ก้านนิ้วเรียวคลิ้กเข้าไปยังการแสดงแจ้งเตือนของแอพพลิเคชั่น
ก่อนจะจะฉุดยิ้มเมื่อเนื้อความบนหน้าจอนั่นมันช่างแตกต่างกับความเป็นจริงชะมัด
นิ้วทั้งสี่พิมพ์ช้อความตอบกลับไปแทบจะในทันที นี่แหละความเรียบง่ายของเรา
jh____ : the candles are bright, like ur smile.
1comment
jybae : cause ur love always lights my world.
พัคจีฮุนอาจเป็นมนุษย์ประหลาดที่มีเรื่องราวมากมาย
แต่แน่ละ ..
แพจินยองก็หลงรักทุกความประหลาดนั้น
เพราะเป็นพัคจีฮุน -แพจินยองถึงได้รัก.
พัค
จีฮุนมีความลับนับล้าน
แต่มาคิดดูอีกที
นั่นไม่ใช่ความลับของเขาซะทีเดียวหรอกนะ ถ้าจะให้ระบุให้แน่ชัด
มันก็แค่เรื่องราวเล็กๆน้อยๆที่คนช่างสังเกตุอย่างเขาจดจำได้ขึ้นใจ
มันคงเป็นเหตุการณ์ที่ถ้าเกิดขึ้นแล้วลองย้อนมาถามในสองสามปีให้หลังก็คงจะมีแต่คำตอบที่ว่า
-พร่ำเพ้ออะไรของนาย -ใครจะไปนั่งจำ และ -นี่วันๆนายคิดแต่อะไรแบบนี้หรอ
ก็แน่ละ คนทุกคนบนโลกต่างพบเจออะไรมาแตกต่างกัน
เขาไม่ได้มองโลกแบบที่เพื่อนคนอื่นมอง
เขาไม่ได้มีความสุขกับการนั่งฟังเพลงเรื่อยๆเหมือนนักดนตรี
เขารู้สึกเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำถ้าหากต้องมานั่งอ่านหนังสือเป็นกองๆ กลับกัน
คนอื่นก็ไม่มีโอกาสได้มามองเห็นทุกอย่างในสิ่งที่เขาเห็น
ไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่จะมีโอกาสได้เห็นแพจินยอง
แบบมุมมองในโลกของพัคจีฮุนน่ะนะ
วันนี้เป็นวันอาทิตย์แห่งโลก
เราทั้งสองคนตั้งชื่อให้มันแบบนั้น ไม่ใช่วันอาทิตย์ที่มีเทศกาลระดับชาติ
ไม่ใช่วันอาทิตย์ที่การแข่งขันนัดพิเศษ แต่เป็นเพียงวันอาทิตย์ธรรมดาวันหนึ่งในบรรดาหลายเดือนที่เราสองคนได้ใช้ชีวิตราวกับไม่มีภาระใดใด
เขาไม่มีตารางงาน อีกฝ่ายก็ไม่มีเอกสารกองใหญ่
เราต่างคนต่างนอนตื่นสายให้สมกับที่หักโหมมาหลายอาทิตย์
จากที่ต้องตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่
นาฬิกาปลุกที่ไม่เคยได้ปิดอีกเลยตั้งแต่เริ่มรับงานชิ้นใหม่ก็ถูกถอดถ่านออกจากตัวของมัน
เมื่อไหร่ที่เป็นวันอาทิตย์แห่งชาติ เราทั้งสองจะใช้เวลาไปเรื่อยเปื่อย
ไม่มีใครก้มมองนาฬิกาพร้อมบอกว่า -อ๋า บ่ายสามแล้ว ต้องรีบไปแล้วล่ะ -เฮ้
จะสองทุ่มแล้วหรือยัง ต้องรีบส่งงานให้ลูกค้า ไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำว่าเรานอนกันไปกี่ชั่วโมง
เราใช้เวลาไปกับอะไร
สิ่งสำคัญที่สุดในวันอาทิตย์แห่งชาติก็คือเราสองคนมีความสุขกับมัน
บนโลกใบนี้ที่มีแค่สองคน
เอนพิงพนักโซฟาพลางจ้องมองภาพยนตร์เรื่องโปรดที่ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถ้าหากให้เขาตอบว่าประโยคที่นางเอกของเรื่องกำลังจะพูดต่อไปนั้นคือประโยคอะไร
เขาสามารถตอบได้เลยแบบไม่ต้องมองหน้าจอด้วยซ้ำ
แต่เขาจะไม่โวยวายหรือเรียกร้องให้เปลี่ยนเรื่องหรอกนะ
เพราะเจ้าตัวการที่เป็นคนยิ้มเรื่องนี้ขึ้นมาพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแฉ่งแล้วบอกออดอ้อนว่าขอดูอีกรอบมันทำให้เขาปฏิเสธไม่ลง
แพ จินยอง
พนักงานตำแหน่งเล็กในบริษัทแห่งหนึ่งนอนเอนพนักผิงอีกฝั่งของโซฟา
ใบหน้าเรียวเล็กที่ถ้าหากกอบกุมด้วยมือเดียวของเขาก็ทำได้กำลังแสดงออกถึงการขบคิดของปมปัญหาในเรื่อง
เขาหลุดหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นคิ้วทรงสวยขมวดอีกครั้งเมื่อถึงจุดหักมุมของเรื่อง
ถึงรอบนี้จะเป็นรอบที่ห้าแล้วที่เราหยิบมันขึ้นมาดู
ความชื่นชอบและสนุกไปกับเนื้อเรื่องของอีกฝ่ายก็ไม่มีท่าทีจะลดลงไปเลยแม้แต่น้อย
พัค จีฮุนมีความลับที่ไม่บอกใคร
ข้อแรก แพจินยองแพ้หนังรัก
แต่ถ้าหากจะให้เจาะจงให้ถูก
ก็คงต้องเป็นหนังรักเรื่องนี้ที่กำลังดูอยู่
ถ้าหากเป็นหนังรักเรื่องอื่นอีกฝ่ายจะเบือนหน้าหนีและไม่คิดจะมาดูซ้ำ
แต่ทว่าพอเป็นเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่
ภาระหรือสิ่งที่ทำอยู่กับมือจะถูกปล่อยทิ้งและเพิกเฉย
และเมื่อถึงจุดหักมุมทีไร
ดวงตากลมโตคู่นั้นก็ชอบมีน้ำตาไหลออกมาทุกที
เป็นเดือดเป็นร้อนต้องหันไปหยิบทิชชู่แผ่นแล้วหยิบให้ทุกครั้ง
พอเช็ดออกอย่างลวกๆก็หันมาพร้อมเหวใส่ว่า ผู้ชายอย่างผมไม่ได้ร้องไห้กับอะไรแบบนี้หรอกนะ!
จมูกรั้นๆก็จะขึ้นสีแดงแจ๋ราวกับผลแอปเปิ้ลสุก อดไม่ได้ที่จะต้องเขยิบตัวเองเขาไปบีบมันอย่างชอบใจ
และแน่นอนว่า
“หายใจไม่ออก!”
ข้อสอง แพจินยองชอบละเมอ
อ่า...
ข้อนี้มันฟังดูน่าอายไปซักหน่อย
นาฬิกาข้างฝาผนังในห้องนอนบ่งบอกว่าเลยวันใหม่มาได้ร่วมสองชมกว่า
วันนี้เขามีนัดต้องไปคุยเรื่องบทกับผู้กำกับที่ต่างจังหวัด
กว่าจะมีโอกาสแยกตัวกลับก็สี่ทุ่มเข้าไปแล้วเรียบร้อย
ลำบากต้องมานั่งถ่างตาตัวเองและคอยตบหน้าเรียกสติให้ตื่นตัวอยู่เสมอ
ครั้นเข้ามาในห้องก็เห็นคนรักที่นอนฟุบกับเตียงไปแล้วเรียบร้อย
ร่างเพรียวบางที่ดูจะใหญ่ถนัดตาเมื่อเทียบกับขนาดหัวของเจ้าตัว(อดหยุดขำไม่ได้เมื่อคิดถึงความจริงข้อนี้)
จินยองเสพติดการกอด
ทุกครั้งที่เขาไม่ได้กลับมานอนพร้อมกันเฉกเช่นวันนี้
อีกฝ่ายก็จะใช้หมอนข้างกอดก่ายแทน
ใบหน้าที่แม้จะเรียวเล็กแต่ก็พอมีแก้มพอให้ยืดเล่นได้เมื่อเกิดความหมั่นเขี้ยวเอนแนบสนิทกับหมอนข้าง
เดินไปปรับอากาศในห้องให้อุ่นขึ้นเล็กน้อยแล้วค่อยทิ้งตัวลงนอนอีกฝั่งของเตียงและหันหน้ามองอีกคนที่เข้าสู่ห้วงนิทราไปเรียบร้อย
“เทศ-... เทศกาล-“
อมยิ้มให้กับนิสัยพิเศษของเจ้าตัว
ไม่ต้องบอกก็พอรู้ว่าคงจะหมายถึงเทศกาลอาหารที่จะจัดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้านั่นหน่ะสิ
ถึงจะตัวบางแต่เรื่องกินก็เก่งไม่เป็นรองใคร
นี่ก็คงวางแผนแอบหนีเขาไปเที่ยวไหนอีกแล้วล่ะสิ แสบมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
ผ่านมานานเป็นปีๆก็ยังไม่ลดความแสบลงแม้แต่น้อย
เอื้อมมือไปลูบหัวด้วยความเอ็นดู
เมื่อห้าปีที่แล้วระหว่างเขากับเจ้าเด็กนี่ยังเป็นแค่เพียงคนรู้จักผิวเผิน
เราไม่ได้สนิทกันถึงขั้นที่จะไปไหนมาไหน
ไม่ได้สนิทถึงขั้นจะต้องทักกันทุกครั้งที่เจอหน้า
อาจเพราะวันนั้นที่ตอบตกลงยอมย้ายมาอาศัยร่วมห้องกับอีกฝ่าย
ความสัมพันธ์ระหว่างเราถึงได้พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
เขาก็ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมในเช้าวันนั้นถึงได้คิดจะทำอะไรที่มากเกินกว่าปกติ
แต่พอได้ลองตัดสินใจทำลงไปก็อดปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าหากมีโอกาสก็จะคิดทำอย่างไม่ลังเล
ชอบที่จะเห็นใบหน้านั่นขึ้นสีจางๆ
ชอบเหลือเกินที่ได้เป็นต้นเหตุให้ดวงตากลมโตคู่นั้นหลุบหนีด้วยความเขินอาย
“ฮื่อ! อยากกินนมอะ!”
“นมอะไรอีกเนี่ย”
“ก็ร้านนั้นจะมีรสใหม่
อยากกินอ่า-“
“ครับ
ไว้เคลียร์งานเสร็จแล้วค่อยไปด้วยกันนะ”
ตอบรับคำข้อทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีสติเลยสักนิดก่อนจะค่อยๆดึงหมอนข้างใบโตออกจากอ้อมอกแล้วเอื้อมไปโอบอีกคนไว้อย่างที่เคยทำ
ตบหลังเบาๆพอเป็นจังหวะกล่อมให้อีกคนเข้าสู่นิทราแสนหวานอีกครั้ง
แพจินยองตอนนอนถึงจะนอนนิ่งเรียบร้อยแต่ก็มีเรื่องประหลาดใจมาให้เสมอ
แน่นอนว่าบทสนทนาในคืนนั้น
พัคจีฮุนไม่ได้บอกใคร
ข้อที่สาม แพจินยองเวลายิ้มจนตาเป็นขีดน่ะ น่ารักที่สุด
พัคจีฮุนไม่ได้กลับห้องมาสองวันแล้ว
ไม่ใช่ว่าเขาทะเลาะกับอีกฝ่ายถึงขั้นผิดใจแล้วต้องแยกออกมาหรอกนะ
แต่เป็นเพราะเขากำลังออกมาถ่ายทำสถานที่ที่ต่างจังหวัดถึงสามวันสองคืนไม่รู้ว่าพอจะนับเป็นโชคดีได้ไหมที่เสร็จงานเร็วกว่าที่กำหนด
เพราะครั้นจะเลื่อนไฟล์ทเพื่อที่จะได้กลับบ้านเร็วและไปดักรอเจอเด็กหน้าบูดที่โทรมาออดอ้อนตั้งแต่เมื่อคืน
ไฟล์ทเครื่องบินที่ว่าจะเลื่อนก็ดันเต็มแล้วจนต้องกลับไฟล์ทเดิม
ก็เลยต้องพาตัวเองนั่งรถไปเรื่อยตามสถานที่และร้านอาหารแนะนำตามที่เห็นรีวิวในเน็ต(แน่นอนว่าเขาถ่ายรูปทุกร้านเอาไว้เพื่อจงใจอวดใครบางคนด้วยแหละนะ)
อยากจะแกล้งให้งอแงให้ถึงที่สุดแล้วค่อยพามาอีกทีพร้อมกับขอค่าจ้างเล็กๆน้อยๆ
นึกภาพปากเล็กๆที่ต้องยู่ออกเมื่อได้ยินเขาเอ่ยอ้างถึงค่าจ้างทุกครั้งไป
หลุดขำกับตัวเองจนคนในร้านหันมามองเป็นระยะเมื่อเลื่อนภาพในโทรศัพท์ไปเจอหน้ายุ่งๆของใครบางคนในนั้น
เขารู้อยู่เต็มอกว่าแพจินยองเป็นมนุษย์ไม่ถูกกับกล้อง ไม่ว่าจะถ่ายให้ตัวเอง
ถ่ายให้คนอื่น หรือแม้กระทั่งถ่ายภาพข้างทางก็ต้องบ่นกระปอดกระแปด
กว่าจะได้รูปนี้มาก็ตีกันแทบตาย
เขาน่ะชอบ ชอบให้แพจินยองยิ้มหวานๆ ยิ้มจนตาขึ้นเป็นสระอิ ยิ้มกว้างจนจมูกเล็กๆนั่นย่นลง
เขาชอบมันชะมัดเวลาแพจินยองยิ้มและหัวเราะไปด้วย แต่แน่ละ อีกฝ่ายไม่ได้คิดแบบนั้น
เจ้าเด็กนั่นนึกเกลียดตัวเองเวลาต้องยิ้มเป็นที่สุด
ทั้งคิดว่ารอยคล้ำใต้ตามันเด่นชัดจนนูนเป็นสัน รอยริ้วข้างตาก็ชอบขึ้นจนดูหน้าแก่
แถมยังยิ้มกว้างมากเกินจนทำให้ปวดปากไปหมด
ภาพโดยรวมของตัวเองเวลายิ้มหวานของแพจินยองก็คือยิ้มของคนแก่
สำหรับเขาน่ะหรอ
ภาพรวมก็แค่ลูกแมวตัวนึงเท่านั้นแหละ
“นี่
ร้านที่เราบอกว่าอยากกินน่ะ กาแฟใช้ได้เลยแหะ”
“พี่รู้ได้ไงเนี่ย!”
“ก็อยู่ที่ร้านนี่ไงละ~
แล้วจะกลับไปเล่าให้ฟังนะ”
“ย่า! ผมเกลียดพี่ที่สุดเลยพัคจีฮุน!”
ข้อที่สี่ แพจินยองน่ะรัก รักพัคจีฮุนจดหมดหัวใจเลยล่ะ
jh____ : I keep asking myself why
I still love you,
and then I got it. Im not still I just
cant stop.
พัคจีฮุนครอบงำความลับของแพจินยองไว้หลายอย่าง
สำหรับคนอื่นมันอาจเป็นเรื่องเล็กๆ
สำหรับพัคจีฮุน
ความลับทุกข้อคือคำตอบของคำถามที่ว่า
-ทำไมเขาถึงรักแพจินยอง
ความคิดเห็น