อสงไขย - นิยาย อสงไขย : Dek-D.com - Writer
×

    อสงไขย

    ความรัก ความแค้นความตาย ความริษยาอาฆาต สู่การจองจำดวงวิญญาณไว้ในกำไรมรณะ ก่อเกิดเป็นบ่วงกรรม ที่ยากจะหลุดพ้น สัญญารัก... ทรยศ.. หมดผูกพัน.. ขอทวงคืนทุกคำมั่นชั่วกัลป์กาล

    ผู้เข้าชมรวม

    293

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    293

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    3
    จำนวนตอน :  2 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  16 ก.ย. 62 / 21:24 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    บทนำ  เรือนนางทาส

            เรือนนางทาส

    ในค่ำคืนเดือนเเรมที่มืดสงัดไร้เเสงจากดวงจันทรามีเพียงแสงจากหมู่ดวงดาวเเห่งรัตติกาลดวงน้อยที่ลอยเด่นอยบนฟากฟาสาดส่องระยิบระยับ สุกสกาวอยู่บนท้องฟ้า สีมืดทมิฬ อันกว้างใหญ่ไพศาล

    สายลมรำเพยโชยพัดอ่อนๆช่างเป็นสายพระพายที่หนาวไปถึงขั้วหัวใจอากาศรอบข้างช่างเย็นยะเยือก เสียงหวีดไหวของ สายลมยังคงดังเป็นระยะระยะคล้ายกับดวงวิญญาณ ที่ถูกจองจำไว้กำลังโหยหวน เพื่อทวงความยุติธรรม

          เรือนปั้นหย่าสีฟ้าเก่าเเก่สถาปัตยกรรมเเบบขนมปังขิงประดับอย่างงดงามเเละวิจิตรบรรจงปูหลังคาด้วยกระเบื้องว่าวสีเเดงเลือดหมูสวยงามดุจภาพวาดของจิตรกรชั้นเยี่ยมเรือนหลังนี้สร้างขึ้นในครั้งรัชสมัยที่๕ถูกทิ้งร้างมานานจนรกร้างตั้งตระหง่านในความมืดรอบข้างเต็มไปด้วยกอหญ้าคาสูงท่วมหัวเเม้นจะผ่านกาลเวลามานานนับชั่วอายุคนเเต่กลิ่นอายยังคงลอยตลบอบอวนไปทั่วเป็นสถานที่เล่าเลื่องถึงความเฮี้ยนว่ายังคงมาวิญณาญเจ้าของเรือนยังคงอยู่วนเวียนเเลในคืนเดือนเเรม ใครผ่านมามักจะได้ยินเสียง ร้องไห้คร่ำครวญ ดังออกมาจากเรือนหลังนี้เสมอ ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ที่เฮี้ยนที่สุดก็มักจะมีผู้มาลองดี มากหน้าหลายตาหลายคน นักจะได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีตัวตนถึงกับวิ่งหนีกันป่าราบแต่บางคน ที่จิตอ่อนก็จะพบกับความตายข้างหน้าส่วนคนที่ดวงแข็งหน่อย ก็จะไม่พบเจออะไรเลย

    "รอด้วยสิจะรีบไปไหน ปั่นช้าๆหน่อยสิมืดก็มืดมองอะไรไม่ค่อยเห็นน่ะ" หญิงสาวนักศึกษาใส่เเว่นสีดำชื่อทราย บอกเธอกับเพื่อนๆมาปั่นจักรยานเล่นชมวิวหลังที่เหน็ดเหนือยจากการสอบมาหลายชั่วโมง เเละการได้ออกมาปั่นจักรยานรับลมหนาวช่างเป็นอะไรที่ หายเหนื่อยเเละหายเครียดด้วยในเวลาเดียวกัน

    "ก็ได้เดี่ยวเราไปหาอะไรกิน"

    เพื่อนหนุ่มชื่อเติ้ลหันมาบอกพลางผิวปากอย่างอามารพูดคุยกันอย่างสนุกสนาม

    "อืม... อากาศ ดี จัง ฉัน ชอบ จริง อากาศเเบบ นี้" ทรายพูดกับเพื่อนสาวที่นั่งซ้อนท้ายจักรยานมาด้วยกันว่าพลางสืดอากาศเข้าเต็มปอดต่างจากโมเมเพื่อนสาวที่มองสองรอบด้านด้วยความหวาดระเเวง

    "ฉันว่าอากาศเย็นพิลึกยังไงไม่รู้อ้ะฉันว่าเรารีบกลับกันเถอะ"

    โมเม บอกกับเพื่อนสาวมองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยหญ้าคาที่สูงท่วมหัวด้วยความหวาดกลัว สายลมเย็นๆ สวยพัดมาปะทะกับเนื้อสาว จนต้องกระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้น เสียงหวีดหวิวของเกาะต้นสนข้างทางดูผิวเผินคล้ายกับวิญญาณกำลังร่ายรำต้อนรับ ใครบางคนกลับมาชดใช้ เสียงดนตรีไทยบรรเลงเพลงเเขกบรเทศดังประสานเสียงลมปริศนาที่โชยพัดเอากอหญ้าคอปลิวไสวเป็นระลอกคลื่นเสียงสวบสาบดังขึ้นยอดหญ้าคาเอนไหวคล้ายกับมีอะไรบางอย่าง กำลังหาหนทางออก ชวนขนลุกเเละขวัญผวาในเวลาเดียวกัน

    "ยัยเติ้ลเเกยินเสียงดนตรีไทยไหมว่ะ"

    ทรายเอ่ยปากถามเพือนๆทั้งๆที่ตัวตนก็รู้สึกเริ่มกลัวเพื่อนทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยหวาดกลัวเเต่ก็พยายยามปั่นจักรยานไปให้ถึงหอนอน

    "มันดังมาจากเรือนปั้นหยา หลังนั้นว่ะ"เติ้ล บอกกับเพื่อนๆ ทั้งๆที่ในใจ ก็เริ่มกลัว เสียงหรีดหริ่งเรไร ดำกว่าความมืดขนาดที่ต้นลีลาวดี แม่กิ่งก้านสาขา ร่มครึ้ม ลาวกลับ ถึงเวลายืดเส้นยืดสาย ดูเผินๆคล้ายกับแขนของนางรำกำลังร่ายรำต้อนรับ ทั้งสาม ขนาดที่ดอกของลีลาวดีนั้นก็ขาวโพลนในเงามืด  ร่วงลงมาจากต้น สู่พื้นดินช่างหอม เสียยิ่งกระไร แต่ใครจะรู้ได้ว่า ลีลาวดีสีสวยงามนั้น  เปื้อนไปด้วยเลือดแห่งความแค้นของดวงวิญญาณ นั่นเอง

     ปัง !!!

    บานหน้าต่างจากเรือนปั้นหย่าดังกระทบกับวงกบ จนดังปังครั้งสาม ทำเอาทั้งสาม.  ถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตื่นกลัว และสายตาทั้ง สามคู่ จับจ้องมองไปที่บริเวณหน้าต่างของเรือนปั้นหยา หลังงาม ที่ กระดำกระด่าง ด้วยกาลเวลา กลิ่นลีลาวดีหอมโชยมา ราวกับเป็นน้ำหอมชั้นดี ขนาดที่แสงจันทร์สาดส่อง ทำให้เห็นทุกอย่างข้างหน้าชัดเจนขึ้น ราวกับจะให้ทั้ง สามได้เห็นเธอนั่นเอง

      ปรากฎเป็นผู้หญิงห่มสไบดินเเดงเทศนุ่งสีเขียวก้ามปู สาวเจ้าสวมทับทรวง ชิ้นโปรดอยู่อย่างงดงาม มันคือสิ่งที่เรารักและผูกพัน มันคือเครื่องจองจำ ดวงวิญญาณเธอไว้ด้วยแรงแค้น เจ้าหล่อนร่ายรำในเงามืดอย่างงดงามอ่อนช้อยตามจังหวะเสียงดนตรีไทย ขนาดที่ สาวเจ้าขยับปาก ทรงกระจับ คู่นั้นร้องเพลงลาวครวญอันเป็นเพลงบทรัก ขนาดที่ฟ้าแลบและสายลมหวีดไหว คล้ายกับเสียงมโนรีปี่พาทย์ ดวงหน้าของหล่อนงดงามดุจดั่งนางในวรรณคดีดวงตาหวานซึ่งนวลผิวขาวนวลเหลืองอร่าม รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นขนาดที่เจ้าหล่อนกำลังจะจีบ กรีดนิ้วอย่างงดงาม หญิงสาวหยิบปินปักผม ขึ้นมาก่อนจะร่วงแทงที่ดวงตาคู่นั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว                                                                เพลงลาวครวญ

    โอ้พระชนนี ชนนีศรีแมนสรวง จะโศกทรวงเสียวรู้สึกระลึกถึง

    ไหนทุกข์ถึงบิตุรงค์ บิตุรงค์ทรงรำพึง ไหนโศกซึ้งถึงตูคู่หทัย

    * ร้อยชู้หรือจะสู้หรือจะสู้เนื้อเมียตน เมียร้อยคนหรือจะสู้พระแม่ได้

    พระแม่อยู่เยือกเย็น เยือกเย็นไม่เห็นใคร หรือกลับไปสู่นครก่อนจะดี (ซ้ำ*) 

    ทั้งสามรีบปั่นจักรยานไปอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวสุดขีด

    ผีสาวยืนหัวเราะดังลั่นดังกับเสียงลมหวิดไหว

    เเล้วความเงียบก็เข้ามาปกคลุมอีกครั้ง

    ในความมืดเเห่งรัตติกาลนั้นเรือนไทยหลังนี้ยังคงตั้งตระหง่านในความมืดอีกครั้งท่วมกลางหมู่มวลลีลาวนับร้อยที่กำลังบานสะพรึ่งลอยขาวควกลิ่นหอมฟุ้งชวนขนลุก

    เธอยังอย่

    เธอยังรอ

    เธอยังเเค้น

    เธอยังรัก

    "กูจะรอมึงกลับมาชดใช้กรรม"ผีสาวเจ้าของเรือนประกาศกร้าวฟ้าเปรี้ยงลงมาลมพัดเเรงจนกิ่งไม้เอนไหวเศษใบไม้เเห้งปลิดปลิวว่อนลอยเคว้งคว้างกลางอากาศที่ชวนขนลุกในค่ำคืนเดือนเเรม ขนาดที่สายฟ้าแลบแป๊บๆ ในหมู่เมฆที่ดำทะมึนคล้ายกับฝนกำลัง จะตั้งท่า ก่อนที่จะเทลงมาอย่างฟ้ามืดมัวดิน แล้วทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืด ก่อนที่เสียงร้องไห้คร่ำครวญ ยังคงดังขึ้น ชวนขนลุกและขวัญผวา

    กริ๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

    "


    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น