อยากเรียนเก่งฉบับจากนักเเข่งโอลิมปิก - อยากเรียนเก่งฉบับจากนักเเข่งโอลิมปิก นิยาย อยากเรียนเก่งฉบับจากนักเเข่งโอลิมปิก : Dek-D.com - Writer

    อยากเรียนเก่งฉบับจากนักเเข่งโอลิมปิก

    มาพบกับวิธีทำให้เรียนเก่งกันดีกว่า จาก ผู้ที่ประสบผลมาเเล้ว 89%จากนักเรียนที่เข้าเเขงขันโอลิมปิกและนักเรียนเรียนดีทั่วประเทศ

    ผู้เข้าชมรวม

    171

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    171

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  นิยายวาย
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 ต.ค. 49 / 18:10 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      หลักการที่สำคัญที่สุด คุมตัวของคุณเองให้ได้อย่างที่ต้องการจะเป็น แพ้ชนะอยู่ที่การสู้กับตัวเอง มิใช่สู้กับคนอื่น
      ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้ ความขยันอันไม่มีอะไรจะหยุดได้
      ทฤษฎีบท ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สำเร็จมิได้ด้วยความเพียร
      สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นหลักการควบคุมตัวเองทั้งสิ้น ลองด้วยตัวคุณเองแล้วจะรู้ว่า ฉันไม่ได้โกหกคุณเลย (ถ้าคุณทำตามที่ฉันว่ามาได้ มองขั้นตอนทั้งหมดสรุปย่อโดยรวม
      1.
      ควบคุมภาวการณ์หลับและการตื่นได้ดั่งใจ
      2.
      ออกกำลังสม่ำเสมอ เพื่อพลังกายที่สมบูรณ์แบบ
      3.
      อ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2 ชม.(หรือตามที่คิดว่าเหมาะสมกับคุณ)
      4.
      นั่งสมาธิและทบทวนก่อนนอน และ ตื่นนอนทุกวัน
      คำอธิบายในแต่ละขั้นตอน และ รายละเอียดปลีกย่อย

      1.
      คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อน
      เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกัน

      ให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือ

      เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองได้อย่างดีเยี่ยม

      และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ครับ.

      ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากครับ.

      2.
      หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ ครับ.

      เช่นตั้งไว้ว่า อันหนึ่ง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอครับ.
      แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องครับ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างหนึ่งแล้ว

      ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ.

      3.
      ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับ

      ได้ครั้งละเท่าไรครับ. อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยกครับ. ครั้งละ 25 - 30 นาที
      และพัก 5- 10 นาที

      4.
      อ่านจบวันหนึ่ง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะครับ.

      สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร

      5.
      ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง

      ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อครู่นี้ครับ. ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดี

      ให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ครับ.
      6.
      ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาครับ.

      เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ
      1
      เคมี =เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ

      อังกฤษ = เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ ครับ.

      เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง

      เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า

      Where do you go?
      อะไรเป็นต้น

      แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ

      ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertain กันทั้งที

      ก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ

      7.
      วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ

      อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็วครับ.

      ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลครับ.

      แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ

      ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลยครับ.

      จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน

      จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มหนึ่งมา

      อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด .
                                                                        
      สำคัญคือความตั้งใจนะครับ.

      ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว

      ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด

      สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง

      ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้

      โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่า

      ต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า

      บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธการสำเร็จแบบนั้น

      มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปลบ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด

      เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา

      ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้วคูณ 4 - 5 นิ้วครับ.

      ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท

      เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกครับ.

      จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยครับ

      . 8.
      สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ
      ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ. ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า

      กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวงครับ. เด็กสมัยใหม่นี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิก

      นั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเราครับ. เด็กต้องสอบ Entranceเข้าต่อ ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัฒนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ

      เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ

      ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขน บิดามารดาเมื่อไร

      ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเอง ยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับ.

      ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว

      ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง

      โดยทำดังต่อไปนี้ครับ.

      -
      ให้นึก! โน้ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกัน ซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์ นึกนะครับ ไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะเปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง

      จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วให้เลิกครับ. ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที

      กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตย์จนเลิกนึกนี่ คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือนนะ

      ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์

      9.
      กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเองซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อย คือกระบวนการสอบแข่งขันครับ.

      ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ครับ. เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ไหม ทักษะในการทำข้อสอบ มีไหม

      เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า

      ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน

      เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์

      ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาสตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ

      สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1 - 2 ปี รู้ผลแน่

      พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น

      แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก

      อ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ. ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด


      จาก คนที่ลองทำแล้วประสบผลสำเร็จมากๆ ต้องขอขอบคุณมากๆเลยค่ะ

       

       

       

       

       

       

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×