ตอนที่ 25 : แคมป์เล็กๆ ในวันศุกร์
25 แคมป์เล็กๆ ในวันศุกร์
เเองเจลเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างขี้อาย เจคอบเป็นคนจำคนเเม่นพอที่จะรู้ว่าหล่อนเป็นเพื่อนร่วมห้องเรียนกับเขามาตั้งเเต่เกรดเจ็ด โรงเรียนในเขตป่าสงวนไม่ได้มีคนเรียนมากเท่าโรงเรียนที่เวเลอนีลกับเบลล่าเรียนอยู่ มันไม่ใช่เรื่องยากเลยกับเพื่อนในห้องที่มีเเค่สิบกว่าคน
แต่ดูเหมือนว่าสองสามวันมานี้เธอดูเฮิร์ทแบบคนอกหักชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เเน่นอนว่ากลุ่มเด็กเนิร์ดของเธอเข้าไปปลอบใจเรียบร้อยเเล้ว เจคอบเเค่รู้สึกได้เปิดหูเปิดตาเท่านั้นที่เห็นเพื่อนในห้องเป็นแบบนั้น
ยกเว้นพวกหูตาสับปะรดประจำห้องอย่างเอแน็กที่พร้อมกระจายข่าว
"เห็นว่าคนที่หล่อนแอบชอบคือเด็กใหม่ที่พึ่งย้ายมาที่ฟอร์ค" หมอนั่นออกความเห็น "อายุมากกว่าเราหนึ่งปี มีแฟนเเล้ว"
“แล้วนายบอกฉันทำไม?” เอาจริงๆ นะ เรื่องนี้เขาไม่อยากรู้ด้วยซ้ำ แต่เอแน็กกลับทำหน้ากรุ้มกริ่ม
“บังเอิญว่าคนที่แองเจลไปแอบชอบเหมือนจะเคยมีซัมติงอะไรสักอย่างกับแฟนนายด้วย”
“หา?” เจคอบทำหน้างง “นายเพ้ออะไร ใครแฟนฉัน?”
เอแน็กเป็นพวกรอบรู้...อย่างน้อยหมอนี่ก็พยายามจีบสาวเชียร์ลีดเดอร์ของที่นั่นเป็นรอบที่ห้าแล้ว (แต่ก็ยังนกเหมือนเดิม) ไม่แปลกที่หูตาจะกว้างขวางไปซะเกือบทุกที่
“ก็ครั้งก่อนน...” หมอนี่ลากเสียงยาว “ตอนปีที่แล้วยังจำเรื่องของลิต้ากับเล็กซิสได้ไหม? ตอนที่นายไปส่งเธอขอคืนดีหมอนั่น”
“ฉันไม่ได้ไปส่งสักหน่อย—แต่ใช่ จำได้อยู่” ไม่มีทางลืมแน่ๆ ว่าเคยโดนยั่วโมโหไว้ขนาดไหน “แล้วไง มันเกี่ยวอะไรกับที่นายไปรู้มาด้วยไม่ทราบ?”
“ก็แม่สาวคนนั้นที่นายพากลับด้วยน่ะสิ ชื่ออะไรนะ? ที่เล็กซิสมันจะขอจีบต่อหน้าเมแกนน่ะ”
“เวเลอนีล”
“ใช่ๆ พวกซัน—บังเอิญว่าคนที่แองเจลแอบชอบน่ะ เหมือนจะเคยไปมีซัมติงอะไรสักอย่างกับซันมาน่ะสิ แบบ...ก่อนที่พวกนั้นจะย้ายมาที่ฟอร์ค”
เจคอบเลิกคิ้ว เขาไม่ได้สนใจเรื่องซัมติงอะไรนั่นเลยสักนิด “แล้วเขาลือกันว่าฉันกับเวเลอนีล...?”
เอแน็กยิ้มแฉ่ง “อือฮึ คบกันอยู่”
บางทีเพื่อนเขาคนนี้อาจจะกำลังหวังให้เจคอบแสดงความตื่นตระหนกขึ้นมาให้เป็นสีสัน หรือไม่ก็ร้อนรนที่มีคนรู้ความสัมพันธ์ที่ปิดบังไว้อะไรประมาณนั้น
“...อี๋”
ซึ่งมันไม่มีทางเกิดขึ้นจริง--และเอแน็กก็คงคาดไม่ถึงที่ปฏิกิริยาของเจคอบจะชัดเจนขนาดนั้น หมอนั่นลงไปหัวร่องอหงายบนพื้นทันที
“เฮ้ เอาจริงดิ?”
เจคอบไหวไหล่ ไม่พูดเป็นครั้งที่สอง เอแน็กเป็นพวกมโนเก่งเกินไป บางทีแค่เห็นว่าเขาเอาใครซ้อนท้ายมอ’ไซต์ก็จะคิดไปเองแล้วว่ากำลังพาสาวไปเที่ยว และดูจะทรงแล้วเจคอบขอฟันธงเลยว่าเรื่องนี้น่าจะเอาไปลือกันทั่วโรงเรียนแล้ว
“ถ้างั้นฉันก็เดินหน้าได้สินะ?” อีกฝ่ายว่า “ว่าก็ว่าเถอะนะ ถ้าตัดเรื่องเรื่องฉาวเกี่ยวกับบ้านซันแล้ว แม่นั่นสวยไม่น้อยเลย—ถ้าได้คบกันจริงๆ ชีวิตต้องเหมือนได้เดทกันทุกวันแน่ๆ!”
เดทกับหนังสือน่ะสิ—เจคอบคิดย้อนไป ทุกครั้งที่เขาหมอบนอนเล่นอยู่ในสวนหลังบ้าน สิ่งเดียวที่เห็นแทบตลอดเวลา คือเวเลอนีลในคราบเด็กเนิร์ดไม่ยอมลุกไปไหนเลยถ้าเธอยังอ่านหนังสือในมือไม่จบ (แล้วยอมรับเถอะว่าตำราเวทมนต์ที่แม่นั่นเปิดอ่านน่ะ เขาสามารถอ่านมันได้เป็นปีกว่าจะจบ)
เจคอบส่ายหัว สะพายเป้ที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากกระเป๋าตังกับดินสอสองสามแท่งพาดหลัง
“อย่าดีกว่า” ยิ่งมองหน้าเอแน็กแล้วเขากลับรู้สึกว่าห้ามไว้น่าจะดีที่สุด “เธอไม่สนใจนายหรอก”
“เฮ้ ก็ไหนนายบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกันไง?”
“ฉันก็แค่บอก” ว่าแล้วก็ออกจากห้อง ได้ยินเสียงอีกฝ่ายไล่ตามหลังมาว่าจะไปไหน
เจคอบก็ตอบไปแค่ว่า
“ไปหาเลอนีล”
เอแน็กได้แค่มองตามหลังเพื่อนร่วมห้องตัวเองไปด้วยหน้าตาแปลกๆ
บางทีเพื่อนเขาก็คงจะสับสนในตัวเอง บอกว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่หมอนั่นเป็นคนเดียวในเมืองนี้แล้วมั้งที่กล้าเรียกชื่อเวเลอนีล ซัน ดี ด้วยชื่อห้วนๆ
เรื่องของเรื่องคือ...เมื่อช่วงเที่ยงของวัน ก่อนคาบเรียนบ่ายจะเริ่มไม่กี่สิบนาที เซ็ธแอบจิ๊กโทรศัพท์ของเจคอบโทรมา เจ้าเด็กนั่นบอกว่าคืนนี้มีแคมป์ปิ้งรอบกองไฟ และมันคงจะดีมากถ้าเธอจะมาจอยด์ด้วย
แน่นอนว่าเวเลอนีลจะปฏิเสธ—ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเธอกำลังจะพูดว่า ‘ไม่ไป’ ยังไม่เสร็จ เซ็ธก็พูดว่า ‘ดีมาก แล้วเจอกันเย็นนี้’ แล้วก็วางสายไปเลย
พูดให้ถูกเลยคือมัดมือชก--เวเลอนีลจะทำอะไรได้นอกจากมองหน้าจอโทรศัพท์ที่ดับไปแล้วล่ะ
ยังไงก็เถอะ เธอวางแผนเป็นอย่างดีแล้วว่าจะชิ่ง วีเนอัสพึ่งส่งตำราเล่มใหม่มาให้เธอ ในนั้นมีทริกการใช้เวทมนต์โดยไม่ต้องพึ่งไม้กายสิทธิ์หลายอย่าง สำหรับคนบ้าหนังสือแล้วนี่มันน่าสนใจยิ่งกว่าไปนั่งล้อมวงซะอีก
น่าเสียดายที่เสียงท่อมอ’ไซต์ที่โคตรหนวกหูและคุ้นเคยดังขึ้นทันทีที่เวเลอนีลก้าวเท้าออกจากอาคารมายังลานจอดรถที่ไม่มีวันแห้ง และทันทีที่เห็นว่าใครกำลังจะลงขาตั้ง เวเลอนีลก็หมุนตัวหันหลังกลับทันที
น่าเสียดายที่ไม่เร็วเท่าพวกเชฟชิฟเตอร์ที่เข้าศู่วัยเจริญพันธุ์
“หนีอะไรของเธอ? หน้าฉันมันน่ากลัวเหมือนโจรลักพาตัวขนาดนั้นเลย?”
นี่คือคำทักทายแรกของเจคอบ แบล็กหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเกือบอาทิตย์ พร้อมด้วยฝ่ามือใหญ่ที่วางแปะลงบนศีรษะ
เวเลอนีลไม่ได้ชักสีหน้า กลับกันแล้วแค่ไหวไหล่หน่อยๆ แล้วเลิกคิ้วข้างหนึ่ง
“น้อยๆ หน่อยเจคอบ หัวฉันมันบอบบางนะ ถ้านายบีบกะโหลกแตกขึ้นมาทำไง?”
“เว่อร์แล้วเธอ”
ยังไงก็ตาม ท่าทางสนิทสนมแบบนี้ใช่ว่าจะเกิดขึ้นกับทุกคนที่เข้าหาเวเลอนีล ซัน ดี. หรือมีคนที่กล้าแสดงความสนิทสนมระดับนี้ออกมาโดยไม่แคร์สายตาคนอื่น
ตลอดทางที่เวเลอนีลถูกเจคอบเอามือโอบไหล่เดินมาที่จอดรถนั้นเธอถูกมองมาตลอด (พวกนั้นควรรู้ว่าโอบไหล่ แต่เป็น ‘บังคับเดิน’ ต่างหาก)
“เซ็ธมันพึ่งมาบอกฉันตอนเลิกเรียนว่าเธอจะมาด้วย”
“ฉันยังไม่ได้บอกว่าจะไปด้วย”
“เอาเป็นว่าไหนๆ ฉันก็มาขับรถนำทางให้ขนาดนี้แล้วก็ไปกันเลยก็แล้วกัน”
“...”
ขอบคุณที่ฟังกันดีเหลือเกิน
เวเลอนีลเดินไปยังรถยนต์ของเธอที่จอดสนิท รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าหมอนี่มันพูดมาขนาดนี้แล้ว เธอก็จะไม่แปลกใจเลยว่าตัวเองพูดปฏิเสธแล้วจะโดนหิ้วให้ซ้อนท้ายรถเหมือนตอนเทอมที่แล้ว—ถ้าเป็นแบบนั้นก็สู้ให้เธอตามไปแต่โดยดีจะดีกว่า
และเวเลอนีลคงไม่ทันเห็น—จะเพราะช่วงนี้มีเรื่องน่ารำคาญเกิดขึ้นเยอะจนเธอต้องเมินหลายๆ อย่างหรือเจคอบจะจงใจไม่ให้เธอรู้ก็แล้วแต่ ลับหลังเด็กสาวที่เดินไปยังรถของตัวเองหลังตกลงกับหมาป่าหนุ่มเสร็จ ด้วยการถูกจดจ้องมองด้วยสายตาแปลกประหลาดทั้งหลายจากคนที่อายุเท่าเจคอบแล้ว เด็กหนุ่มมองตอบกลับไปด้วยกลิ่นอายคุกคามเต็มที่
มันไม่ใช่สายตาที่ชวนให้รู้สึกดี สัญชาตญาณของเขาเฉียบคมพอจะรู้ว่ามันมีบางอย่างแปลกๆ
ถึงจะไม่ใช่อันตรายเหมือนตอนที่เจอพวกสเกาเรอร์ในโรงเรียนก็เถอะ แต่มันเป็นความรู้สึกน่ารำคาญที่ติดตามตัวของเวเลอนีลไปทุกที่จนเขารู้สึกหงุดหงิด
สายตาอันตรายเลยกวาดมองไปโดยไม่รู้ตัว
มันเป็นการเตือน—แทบจะใกล้เคียงกับเอ็ดเวิร์ด คัลเลนตอนที่เห็นว่ามีแมลงมาตอมเบลล่าแล้ว
มันเป็นแคมป์ไฟเล็กๆ อย่างที่เจคอบว่า
เวเลอนีลต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเธอรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน (นั่นอาจจะยกเว้นกรณีตื่นเต้นตอนเจอสเกาเรอร์กับผู้เสพความตายสักหน่อย) และต้องพยายามสะกดจิตตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า ‘เฮ้ หมาป่ามันก็เหมือนกับโน-แมจทั่วไปนั่นแหละน่า พวกเขาแค่เร็ว แปลงร่างได้ แล้วยังแรงเยอะพอที่จะหักคอเธอได้อีกต่างหาก!’
ซึ่งก็ดูจะไม่ได้ผลสักเท่าไรหรอก เจคอบสังเกตเห็นตอนที่เขาพาเธอเดินมายังบ้านไม้เล็กๆ ที่ข้างในนั้นมีเสียงหัวเราะเสียงออกมาจากมุกตลกของใครสักคน
“เฮ้ ตื่นเต้นอะไรของเธอ?” หมาป่าหนุ่มหยอกล้อ “ตอนกระโดดหน้าผาไม่เห็นกลัว ตอนนี้มากลัวเนี่ยนะ?”
“เพราะฉันเป็นคนเดียวที่บอบบางที่สุดในนี้ต่างหาก” เวเลอนีลสางผมสีน้ำตาลจากการย้อมของตัวเองเล่น
“มากับฉันก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วน่า วันนี้เราจะแนะนำเธอให้กับทั้งฝูงได้รู้จัก มาเถอะ”
พูดแบบนั้นไปทั้งๆ ที่ทั้งฝูงรู้เรื่องกันหมดแล้วนี่ชวนหัวเราะชะมัด--ยังไงก็ตามแต่ พวกหมาป่าไม่ได้เป็นจำพวกที่จะเป็นศัตรูกับคนแปลกหน้าไปทั่ว ตอนที่เวเลอนีลเดินเข้าไปถึงในตัวบ้าน ก็พบว่าครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนของเจคอบทั้งนั้น เซ็ธดูกระดี้กระด้าสุดๆ ตอนที่เห็นว่าเธอมาที่นี่ตามแผนของเขาได้สำเร็จ บรรยากาศเคร่งเครียดที่เธอสะสมมาแทบจะดูไร้สาระในทันที
“บางทีฉันอาจจะมีวาสนาได้กินอาหารฝีมือเธอสักที” เซ็ธว่ามาแบบนั้นตอนที่เห็นว่าเวเลอนีลเดินเข้าไปทักทายแต่ละคน
เจคอบเบรกกลับไปว่า “เธอทำได้แค่ไข่ต้มเท่านั้นแหละ”
มีคนเดียวที่เตรียมมื้อเย็นสำหรับคืนนี้ เธอชื่อเอมิลี่ เจคอบไม่ได้บอกอะไรเลยนอกจากว่าเธอคือคนรักของแซม อูลลี่ย์ที่เป็นจ่าฝูง และเป็นมนุษย์ผู้หญิงคนเดียวในดงหมาป่าวัยฉกรรจ์พวกนี้
“อย่าจ้องหน้าเธอนานๆ ก็พอ” เจคอบกระซิบบอกที่ข้างหู “แซมไม่ชอบให้ใครมองหน้าเธอ”
กับหมาป่าสาวอีกตัวที่เวเลอนีลพึ่งได้พบ ลีอาห์ เคลียวอเตอร์แทบจะเป็นขั้วตรงข้ามทุกอย่างกับเซ็ธน้องชายของเธอ และเป็นคนเดียวที่ท่าทางนิ่งพอที่หมาป่าส่วนใหญ่จะไม่ได้เข้าไปหยอกล้อเกินพอดีตอนที่ในบ้านนี้มีเอมิลี่กับลีอาห์อยู่ด้วยกัน
เจคอบพาเธอมานั่งที่ขอนไม้ด้านนอกที่คนอื่นๆ ก่อกองไฟกันแล้ว
“ทำไมนายพาฉันมาที่นี่ด้วย” เธอถามขึ้น
“เซ็ธแอบเอาโทรศัพท์ของฉันไปโทรนัดเธอ แล้วตอนเย็นฉันก็พึ่งรู้เรื่อง--เธอไม่น่าถามคำถามเดิมนะ” เด็กหนุ่มไหวไหล่
แต่ดูๆ ไปแล้วยังไงๆ มันก็ไม่น่าจะมีแค่นี้ อย่างน้อยเจคอบก็ไม่ใช่คนที่จะบังคับให้เธอมาเผชิญหน้ากับคนในกลุ่มตอนที่เวเลอลนีลไม่พร้อม ตลอดมามันก็เป็นแบบนี้—มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้คนลอยชายที่เอาแต่มาขโมยของว่างในตู้เย็นบ้านเธอกินทุกๆ สามวันลุกขึ้นมาทำอะไรที่ผีเข้าแบบนี้
และเวเลอนีลค่อนข้างเป็นคนชอบสังเกต
“นายอ่านข่าวในเดลี่พรอเฟ็ตส์” เด็กสาวว่า มองคนที่นั่งข้างๆ ที่เงียบไป “นายอ่านหัวข้อข่าวเกี่ยวกับความไม่สงบในช่วงนี้ และเผลอไปเห็นจดหมายที่พี่ฉันเขียนไว้ด้วยใช่ไหม?”
“ใช่” เจคอบยอมรับ “มันคงถึงเวลาแล้วที่เธอต้องแนะนำตัวกับฝูงเราสักที”
“มันมาไม่ถึงที่นี่หรอก เจค”
ฟอร์คไม่มีอะไรที่น่าดึงดูดคนพวกนั้นหรอก คนที่เธอก็รู้ว่าใครตามหาสิ่งที่เป็นแค่นิทานของบีเดิลยอดกวี วลอฟก็แค่กังวลเกินเหตุ
และบังเอิญว่าจดหมายของคนขี้กังวลเกินเหตุก็มาถูกค้นพบโดยคนชอบคิดมากไปเองอย่างเจคอบเท่านั้น
“เรื่องคราวก่อนไม่ทำให้เธอเข็ดเลยใช่ไหม?” เจคอบหมายถึงเรื่องของจอร่าและพวกสเกาเรอร์ทั้งหลาย
เวเลอนีลเงียบ รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิในร่างกายของตัวเองเย็นเยียบจนต้องขอพึ่งพิงความอุ่นร้อนจากร่างกายของคนข้างตัวถ่ายเทความร้อนมาให้
“ฟังนะ--ถึงเธอจะไม่เข็ดแต่ฉันไม่เอาด้วยอีกแล้ว ที่นี่เป็นเขตของเรา ฉันไม่ชอบที่มีใครเป็นอะไรโดยที่ฝูงของฉันไม่มีใครรู้” เด็กหนุ่มว่า “รอบที่แล้วฉันช่วยเธอรอดมาได้แบบหวุดหวิด แต่ถ้าครั้งต่อๆ ไปฉันทำไม่ได้ล่ะ?”
“นายก็อาจจะถูกบ้านฉันจับไปสาปให้กลายเป็นหมาเฝ้าบ้านตลอดชีวิต”
เจคอบผลักศีรษะเธอเบาๆ ไปทีหนึ่ง บรรยากาศจริงจังหายไปในพริบตา
“แต่ที่เซ็ธอยากให้เธอมาน่ะ เรื่องจริงนะ หมอนั่นติดเธอจะตาย”
เวเลอนีลมองไปที่น้องเล็กของกลุ่ม หมอนั่นกำลังโดนหมาป่ารุ่นพี่หยอกเล่นกันสนุก “ก็เห็นๆ กันอยู่--ถือซะว่ารอบนี้ฉันต้องมาทักทายเพื่อนบ้านอย่างเป็นทางการก็แล้วกัน”
เจคอบเพียงแค่ยักไหล่ รอไม่นอนมื้อค่ำก็ถูกเสิร์ฟและหมาป่าคนอื่นๆ ก็มานั่งล้อมวง
มันเป็นการสังสรรค์เล็กๆ น้อยๆ ตามที่เจคอบโฆษณาเอาไว้ไม่มีผิด พวกเขาแค่หากิจกรรมในวันศุกร์เพื่อผ่อนคลายจากเรื่องเรียนที่โรงเรียนมาบ่นและหยอกล้อกันตามประสาเท่านั้น การแลกเปลี่ยนเริ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัว มีเพื่อนของเจคอบหลายคนที่เคยเห็นเวเลอนีลบินเล่นในวันนั้นพูดแซวเธอยกใหญ่
“ฉันนึกว่าเธอจะขี่ไม้กวาด”
เวเลอนีลตอบกลับไปว่า “คนอื่นขี่ไม้กวาด แต่ฉันขี่ไม่เป็น”
“แล้วอย่างของพวกไม้วิเศษแบบคฑาพ่อมดแม่มดอะไรพวกนี้ล่ะ?” นั่นก็เป็นอีกหนึ่งคำถามจากคนในกลุ่มที่ล้อมวงรอบกองไฟ
“ไม้-กายสิทธิ์...ซึ่งฉันใช้ไม่เป็นอีกเหมือนกัน”
ส่วนคำถามนี้เจคอบถาม “เธอทำอะไรที่ผู้วิเศษคนอื่นทำได้บ้าง?”
“...” เวเลอนีลตีแขนเจคอบไปทีหนึ่ง “สาปนายให้กลายเป็นหมาเฝ้าบ้านฉันไง”
จากนั้นรอบวงก็ฮาครืน—และยังมีอีกมากที่คนอื่นแย่งกันพูดเรื่องของตัวเองบ้าง พวกเขาเหมือนกำลังแข่งอวดเรื่องหลายๆ อย่างที่เวเลอนีลไม่รู้ และนับว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามสำหรับคนที่ชอบเสพความรู้ใหม่ๆ อย่างเธอ
ซึ่งสำหรับการต้อนรับเพื่อนใหม่ในวันนี้ก็ถูกทิ้งท้ายไว้ด้วยเรื่องของควิลยูตที่เวเลอนีลจะหาอ่านที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
มันเป็นเรื่องผูกวิญญาณที่เซ็ธเคยเล่าให้ฟัง
“หมอนี่เล่าให้ฉันฟังแล้ว” เด็กสาวยิ้มแย้ม ชี้ไปที่คนอายุน้อยสุด “ฉันรู้ก่อนที่จะรู้ว่ามีหมาป่าในฟอร์คด้วยซ้ำ”
รอบข้างโห่ขึ้นมาทันที “อะไรเนี่ย นี่ไม้เด็ดเลยนะ”
ในตอนนั้นเองคนที่เงียบที่สุดในกลุ่มก็เปรยขึ้นมาเสียงเรียบ เป็นลีอาห์ที่นัยน์ตาแข็งกร้าวและเยือกเย็น เธอนั่งอยู่ข้างๆ น้องชายตัวเอง “ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าอวดอะไรนี่? ทำไมพวกนายไม่หาเรื่องอื่นมาพูดแทนล่ะ?”
เพราะเวเลอนีลหลีกเลี่ยงที่จะรับรู้เรื่องส่วนตัวของคนในกลุ่ม—หรือบางทีเจคอบก็จงใจที่จะไม่ให้เธอละลาบละล้วงเรื่องลึกๆ ในกลุ่มมากเกินไปนัก ตอนที่บรรยากาศเย็นลงเล็กน้อย เธอจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าลมหนาวพัดวูบเข้าที่ด้านหลัง
มันเป็นเรื่องบางอย่างที่ค่อนข้างซับซ้อน ระหว่างแซมที่ยกมือขึ้นโอบไหล่เอมิลี่คนรักของเขา ที่กำลังก้มหน้ารู้สึกผิดโดยไม่รู้ตัว กับลีอาห์ที่ถูกเซ็ธลูบแขนปลอบใจ—คนอื่นเลยเปลี่ยนเรื่องได้โดยทันทีโดยไม่มีอาการอิดออดอีก
“ว่าแต่เคยมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นในกลุ่มพวกเธอหรือเปล่า?”
เวเลอนีลจำชื่อคนที่ถามไม่ได้ เขาน่าจะหมายถึง ‘ในหมู่ผู้วิเศษมีคนที่เคยผูกวิญญาณกับต่างเผ่าแบบนี้มาก่อนหรือเปล่า?’
เจคอบแทรกขึ้น “เธอเกิดมาก็พึ่งรู้ว่าเรามีตัวตน นายคิดว่าจะมีคนผูกวิญญาณกับผู้วิเศษไหมล่ะ?”
ว่าแล้วก็ยกแก้วโกโก้ขึ้นดื่ม เวเลอนีลตีแขนไปอีกรอบหนึ่งจนเด็กหนุ่มต้องหันมาถาม “อะไร?”
เด็กสาวถอนหายใจ เอาเป็นว่าเปลี่ยนหัวข้อเรื่องแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยบรรยากาศมันจะได้ไม่หนักมากนัก “คนอื่นน่ะฉันไม่รู้หรอก คงตอบพวกนายไม่ได้”
คำตอบเชิงนี้แหละ ดึงดูดความสนใจได้ดีนัก
“หมายความว่าไง?”
เด็กสาวตอบ “ที่จริงแล้วบ้านฉันไม่ค่อยเหมือนคนอื่นมากนัก เรามีความสามารถบางอย่างติดตัวมาโดยที่ผู้วิเศษคนอื่นไม่มี เพราะแบบนั้นความสามารถธรรมดาหลายอย่างเลยใช้ไม่ได้เหมือนคนอื่นเขาเป็นการแลกเปลี่ยน”
นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมเวเลอนีลมาอ่านหนังสือฟิสิกส์แทนตำราเวทมนต์คาถา—ไม้กายสิทธิ์กับบ้านเดอ ราโรสเป็นของที่ไม่ได้เดินไปบนทางเดียวกัน
“อีกอย่างสิ่งที่พวกนายเรียกว่าการสื่อจิตพวกนั้นอาจจะเข้าไม่ถึงพวกฉัน เรามีการฝึกปิดกั้นใจเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาอ่านใจได้ เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ชัวร์หรอกว่าเรื่องนี้มันจะมีผลกระทบต่อพวกนายหรือเปล่า”
คนอื่นตาโต “หมายความว่า...”
“อารมณ์แบบคนปิดกั้นจิตใจตัวเอง” เวเลอนีลไหวไหล่ “ก็นั่นแหละ จะคิดเล่นๆ ว่าถ้ามีหมาป่าที่คู่กับผู้วิเศษจริงๆ พวกเขาอาจจะหากันไม่เจอจนกว่าผู้วิเศษคนนั้นเปิดใจให้เขาก็ได้”
“เหลือเชื่อแหะ”
ที่ตอนนี้เธอนั่งคุยกับหมาป่าทั้งฝูงก็เหลือเชื่อเหมือนกัน—เวเลอนีลคิดติดตลก ก่อนจะหันไปหาคนข้างตัว ตบแขนแน่นๆ ของเจคอบไปอีกรอบ
“อะไรเนี่ยแม่คุณ เธอเป็นอะไรกับแขนฉันขนาดนี้ไม่ทราบ?” เจคอบเกือบจะสำลักโกโก้อยู่แล้วตอนที่เวเลอนีลตีแขนเขา
เธอชี้ไปที่แก้วในมือของเด็กหนุ่ม “นั่นมันแก้วฉัน”
เจคอบเลิกคิ้ว ก่อนจะมองแก้วที่ตัวเองถือเหมือนไม่ใส่ใจอะไร เขากินไปเกือบจะครึ่งแล้ว เลยหยิบอีกแก้วที่วางไว้ใกล้ๆ กันนั้นให้เวเลอนีลแทน “เอาแก้วฉันไปแทนแล้วกัน”
เธอตบเข้าไปอีกผลัวะ!
“โอ้ย เจ็บตายล่ะ” หมาป่าหนุ่มทำหน้าล้อเลียน มองไปที่ฝ่ามือแดงๆ ของเวเลอนีลแล้วได้แต่ยิ้มเยาะอย่างหยอกล้อ
“เจ็บสิแปลก แข็งอย่างกับหิน ฉันตีเข้าหนังหนาๆ ของนายได้ที่ไหน?”
ลีอาห์—หรือบางทีอาจจะรวมถึงคนอื่นๆ ด้วยมองสองคนที่กำลังแย่งแก้วโกโก้กันอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยใบหน้าติดตลก
เอาเถอะ—ไหนๆ ก็มีตัวอย่างให้คิดเล่นๆ มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ขอคิดเล่นๆ หน่อยก็แล้วกัน
+++++++++++++++
จะพิมพ์ว่า เอ็ดเวิร์ด คัลเลน เเล้วในหัวให้พิมพ์นามสกุลเป็น เอลริค ตลอดเลย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ไรท์จ๋าาาาาา~ ปีใหม่แล้วน้าาา มาต่อให้หน่อยจิ~(ノ*0*)ノ
ต่อน้าา
แงงงงงง อยากอ่านต่ออออออ มาต่อนะค้าาาาาาQAQ
แหม ถ้าพูดถึงการ์ตูนเรื่องแขนกลคนแปรธาตุแล้ว คิดถึงสมัยที่ช่องแก๊งการ์ตูรยัฃอยู่เลยค่ะ
เอลริลมาจากหนังเรื่องอะไรเหรอคะ
คิดเล่นๆด้วยคน/หน้าตากรุ้มกริ่ม
มีเอ็ดเวิร์ด เอลริคแล้วมีอัลฟองเซ่ เอลริคไหมคะ555555