เหล่าแกะหลงทางในเขาวงกต
เรื่องราวของเทพธิดาผู้แสวงหาความสุข นักคิดผู้พันธนาการตัวเอง อัจฉริยะผู้หลงลืมตัวตน นักสมมติผู้นิยมความสุดโต่ง จอมลวงโลกผู้ถูกต้องอยู่เสมอ ศิลปินผู้ปรารถนาจุดสิ้นสุด และผู้หลงผิดซึ่งติดอยู่ในเขาวงกต
ผู้เข้าชมรวม
21,910
ผู้เข้าชมเดือนนี้
102
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อที่จะมีความสุขไงล่ะ”
“ฉันแค่อยากพ้นไปจากทางวงกตนี่เท่านั้น”
“น่าอิจฉานะ ที่มีชีวิตอยู่ในฐานะ ‘มนุษย์’ ได้อย่างเต็มภาคภูมิ”
“เหรียญเนี่ยมันมีสองด้านใช่ไหมล่ะ จะเลือกไปอยู่ฝั่งไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเรานี่แหละ”
“ถ้าทุกคนรู้ ว่าฉันขยะแขยงมนุษย์ขนาดไหน ในฐานะมนุษย์ พวกเขาจะรู้สึกยังไง”
“ก็ไม่ได้ชอบสีดำหรอกนะ แต่คงไม่มีทางหลงใหลสีขาวได้หรอก”
“เลิกหลอกตัวเองซะที!”
“นี่...พวกเราน่ะ เป็นแค่ขยะไร้ค่าของโลกนี้สินะ”
“บางครั้งสายฝนก็นำพาความสุขมาให้ แต่บางครั้งมันก็สร้างความทรมานได้เหมือนกัน”
“ใครกันเหรอ ที่มีสิทธิ์กำหนดความแตกต่างระหว่างคนบ้ากับคนปกติ”
“ผมจะสร้างโลกใหม่ให้เอง”
…
“เอาละ...ออกไปจากที่นี่กันเถอะ”
******
"เหล่าแกะหลงทาง" ต่างเผชิญปัญหาชีวิตที่แตกต่างกัน
บางคนแสวงหาแต่เพียงความสุข บางคนพันธนาการตัวเอง บางคนหลงลืมตัวตน บางคนมัวเมาในทางเลือกสมมติอันสุดโต่ง บางคนโป้ปดจนไม่อาจเอ่ยความจริงได้อีก บางคนสร้างโลกใหม่เพื่อกักขังผู้เป็นที่รัก บางคนพร้อมทำลายโลกทั้งใบเพื่อแลกศรัทธา ในขณะที่บางคนยอมทำทุกทางเพียงเพื่อจะได้หลับใหลตลอดกาล
เหล่าแกะหลงทางต่างดิ้นรนเพื่อหาทางออกจาก "เขาวงกต"
เขาวงกตซึ่งแต่ละคนเลือกที่จะขังตัวเองเอาไว้ด้วยเจตนารมณ์ของตนเอง
******
** (edit ล่าสุด 6 ก.ย. 64) ฉบับรีไรท์จะลงที่ readAwrite <link นี้> อย่างเดียวแล้วนะคะ
ส่วนในเด็กดีเราตัดสินใจลงเนื้อหาเดิมเก็บไว้
ย้อนอ่านแล้วมีทัศนคติบ้ง ๆ ปนอยู่พอสมควร เลยอยากเก็บฉบับเดิมไว้เปรียบเทียบค่ะ ;-;
นับตั้งแต่เริ่มเขียนเรื่องนี้ รู้ตัวอีกทีก็ผ่านมาราว ๆ สิบปีนิด ๆ แล้ว รู้สึกได้เลยว่าเราเติบโตมาพร้อมกับเรื่องนี้จริง ๆ ทั้งในแง่ความคิด การมองโลก รวมไปถึงสภาพจิตใจ เราใช้เรื่องนี้เป็นพื้นที่ระบายความอัดอั้น พร้อมกันนั้นก็ใช้เป็นพื้นที่ทำความเข้าใจตัวเอง ผ่านตัวละครและเรื่องราวสมมติที่ช่วยให้เราสามารถเปิดเผยเรื่องเหล่านั้นออกมาได้อย่างสบายใจมากขึ้น ยิ่งเพราะเราเป็นคนสื่อสารไม่เก่ง ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกหรือความขัดแย้งในใจที่ซับซ้อนมาก ๆ เราจะเรียบเรียงคำพูดเล่าออกมาตรง ๆ ไม่ได้เลย ดังนั้นการได้เล่าอย่างอ้อมค้อมผ่านตัวละครและเรื่องราวสมมติจึงเป็นอะไรที่ช่วยเยียวยาเราได้มาก แถมยังช่วยเป็นสื่อกลางให้เราถ่ายทอดสิ่งที่เราอยากสื่อสารออกไปได้ด้วย
จนถึงตอนนี้ เราอยากขอบคุณเรื่องราวนี้มาก
เราหาเป้าหมายในชีวิตตัวเองเจอแล้ว ไม่รู้สึกว่าชีวิตว่างเปล่าอย่างที่เคยรู้สึกมาตลอดช่วงสิบกว่าปีนี้
อะไรหลาย ๆ อย่างก็ลงตัวขึ้นมาก
ยอมรับว่าเรื่องราวนี้มีส่วนช่วยอย่างมากในการทำให้เราได้ย้อนทบทวนจนรู้ชัดว่าชีวิตเราต้องการอะไร
รวมถึงทำให้เรามีความกล้าในการเลือกทำสิ่งนั้นด้วย เราจึงถือโอกาสนี้กลับมาย้อนอ่านเรื่องราวนี้ใหม่ตั้งแต่ต้น
และตัดสินใจว่าจะปรับแก้บางอย่างโดยระวังไม่ให้ไปเปลี่ยนสาระสำคัญและสิ่งที่ตัวเราเมื่อสมัยก่อนเคยพยายามจะสื่อสารเอาไว้มากจนเกินไป
เราเป็นคนที่ไม่ถนัดเรื่องการโปรโมท ดังนั้นเราคงเลือกใช้วิธีลงเรื่องราวนี้ในเว็บไปเงียบ ๆ เหมือนเคย
ถึงโอกาสที่จะมีคนบังเอิญผ่านมาเจอจะไม่มากนัก
แต่เราก็อยากใช้พื้นที่นี้บอกเล่าประสบการณ์ความขัดแย้งในใจตัวเองที่เราเผชิญมาตลอดช่วงสิบกว่าปีนี้ให้ใครสักคนได้รับรู้
รู้ว่ามีคนที่เคยเผชิญเรื่องราวแบบนี้อยู่นะ รู้ว่าเคยมีคนที่อารมณ์ดิ่งเหวและสับสนเหมือนติดอยู่ในเขาวงกตตลอดเวลาแบบนี้อยู่ด้วยนะ
แต่ตอนนี้คนคนนั้นก็ประคับประคองตัวเองผ่านพ้นจุดดิ่งเหวที่สุด จนมาอยู่ในจุดที่มองย้อนกลับไปแล้วพอจะรู้สึกขอบคุณประสบการณ์เหล่านั้นได้
ที่สำคัญ
เราคงดีใจมากถ้าใครสักคนที่ตกอยู่ในมรสุมแบบเดียวกันได้รับรู้ถึงความหวังเล็ก ๆ
ที่เราใส่ไว้เพื่อให้กำลังใจตัวเองมาตลอดในเรื่องราวนี้
แล้วก็ ที่ปรับชื่อเรื่องเนี่ยก็ไม่มีอะไรมาก แค่คิดว่า “แกะหลงทาง” เป็นคำที่สื่อสารถึงทั้งตัวเราและเด็ก
ๆ ในเรื่องนี้ได้ชัดเจนดีเท่านั้นเองค่ะ
เนื่องจากเรื่องราวนี้ยาวมากจนคนที่ผ่านมาเห็นครั้งแรกอาจจะมองไม่เห็นภาพรวมสักเท่าไหร่
เราเลยจะขอลงเรื่องย่อคร่าว ๆ ของแต่ละตอนไว้ตรงนี้นะคะ
01 อุดมคติ
เรื่องราวที่ตั้งคำถามว่าความสุขคืออะไร ผ่าน “ยู”
เทพธิดาผู้แสวงหาความสุข
ยูเป็นนักเรียนชั้น ม.4 ผู้เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อจะมีความสุข
การมีตัวตนอยู่ของยูทำให้ห้องเรียนของเธอกลายเป็น ‘ยูโทเปีย’
เป็นชั้นเรียนในอุดมคติที่ทุกคนมีความสุขอย่างเสมอภาค
ทว่าเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งกลับเป็นแกะดำขัดขวางอุดมคติของเธอ แดนสวรรค์ที่บรรจงสร้างไว้เป็นอย่างดีเริ่มปรากฏรอยร้าว
เพื่อนร่วมชั้นที่ถูกยัดเยียดความสุขสำเร็จรูปให้ตลอดเวลาเริ่มทนรับความสุขนั้นต่อไปไม่ไหว
ยูจึงต้องพยายามทำทุกทางเพื่อเหนี่ยวรั้งทุกคนให้ยังอยู่ในโลกอุดมคติของเธอ
02 พันธะ
เรื่องราวที่ระบายถึงปัญหาการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นของเราเองออกมาในเชิงสัญลักษณ์
พร้อมกับพยายามหาคำตอบว่าคนแบบนี้ควรทำยังไงจึงจะใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข
โดยถ่ายทอดผ่าน “ไวนด์” นักคิดผู้พันธนาการตัวเอง
ไวนด์เกลียดกลัวมนุษย์ทุกคน แต่เธอก็กลัวถูกทุกคนรังเกียจ
จึงเลือกใช้ชีวิตอย่างประนีประนอมมาตลอด นานวันเข้า ผลของไหลตามกระแสเชี่ยวกรากของคนอื่นโดยเมินเฉยความต้องการของตัวเอง
ทำให้เมล็ดพันธุ์แห่งความอัดอั้นในตัวเธอเติบโตขึ้นเป็นเถาวัลย์อันน่าชิงชัง
สิ่งนั้นพันธนาการให้เธอทุกข์ทรมานทุกครั้งเมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์
อีกทั้งเธอยังรู้ว่าสิ่งที่เธอบ่มเลี้ยงให้เติบใหญ่ขึ้นมาได้หลอมรวมเข้ากับอัตลักษณ์ของเธอจนไม่มีทางที่จะรักษาให้หายขาดได้
เธอจึงต้องหาวิธีอยู่ร่วมกับสิ่งนั้นท่ามกลางสังคมซึ่งเต็มไปด้วยมนุษย์ที่เธอขยะแขยง
03 ความธรรมดา ⊂ ความฝัน
เรื่องราวที่ระบายความอาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งที่ตัวเราเองเคยทิ้งไปในอดีต
รวมถึงความอัดอั้นต่อปัจจุบัน ณ ตอนนั้นที่ชีวิตเคว้งคว้างจนไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร
ผ่านอัจฉริยะผู้หลงลืมตัวตนอย่าง “เรน”
เรนเคยถูกกีดกันจากสังคมเพราะความเป็นคนพิเศษเกินหน้าคนอื่นและความแตกต่างที่ทำให้เขาดูแปลกแยก
เขาจึงทำลายตัวตนในอดีตและกลายเป็นคนธรรมดา ทว่ากลับต้องมาทนทุกข์กับการอยู่ในโลกสีเทาหม่นที่ไม่มีอะไรนอกจากความธรรมดา
ระหว่างใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างไร้จุดหมาย ‘ฮีโร่’ ได้ปรากฏตัวขึ้นและแต่งแต้มสีสันให้โลกของเขา เขาชื่นชม ‘ฮีโร่’ คนนั้นมาก
แต่เขากลับเป็นต้นเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายต้องจากโลกนี้ไป
นั่นทำให้เขาพยายามทำทุกทางให้ตัวเองได้เป็นคนพิเศษ
เพื่อจะได้พ้นจากโลกสีเทาหม่นและไปหา ‘ฮีโร่’ คนนั้น โดยไม่รู้ตัวว่านั่นทำให้น้องสาวของ ‘ฮีโร่’ เคียดแค้นจนต้องการทำลายเขาอีกครั้ง
04 ถ้า...
เรื่องราวที่เดิมทีเขียนแค่เพื่อคลายเครียดสนองรสนิยมของตัวเอง
แต่ก็ต้องการสมมติเล่น ๆ ด้วยว่าถ้าเราเปลี่ยนตัวเลือกสำคัญในชีวิตได้
แล้วชีวิตเราจะดำเนินไปในทางไหน โดยเล่าผ่าน “เชนทร์” นักสมมติผู้นิยมความสุดโต่ง
เชนทร์เกิดมาในครอบครัวโปรไฟล์สมบูรณ์แบบ เขาถูกตั้งความหวังอย่างสุดโต่งจนกลายเป็นคนที่มองโลกแบบสองขั้ว
มีแค่ “ดี” กับ “เลว” มีแค่ “สำเร็จ” กับ “ล้มเหลว” ความอัดอั้นจากการถูกกดดันอย่างหนักทำให้เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตในแบบที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคน
“เลว” และ “ล้มเหลว” ระหว่างที่กำลังใช้ชีวิตเหลวแหลกไปวัน ๆ เขาได้พบความหมายของการมีชีวิตจากคนรักแรก
แต่แล้วก็ต้องสูญเสียมันไปอีกครั้งพร้อมกับการจากไปของเธอ
เชนทร์จึงเลือกที่จะหนีความจริงไปขังตัวอยู่ในโลกสมมติ ซึ่งเป็นโลกฝั่งตรงข้ามกับเส้นทางที่เขาเลือกในแต่ละจังหวะสำคัญของชีวิต
แต่ยิ่งหนีกลับยิ่งพบเจอเพียงความสิ้นหวังที่ไม่ต่างอะไรกับการติดอยู่ในเขาวงกต
05 เรื่องราวเบื้องหน้าของผู้ผดุงความยุติธรรม
เรื่องนี้เกิดจากความกังวลว่าคนที่คอยประคับประคองผู้มีสภาพจิตใจไม่มั่นคงมาตลอด
สักวันคนคนนั้นจะกลายเป็นคนที่สูญเสียความมั่นคงทางจิตใจไปเองหรือไม่ โดยให้ผู้ผดุงความยุติธรรมอย่าง
“แอล” เป็นตัวแทนของคนที่คอยประคับประคองคนนั้น
แอลเป็นประธานนักเรียนผู้ยึดมั่นในความยุติธรรมมาก แต่นั่นทำให้น้องชายฝาแฝดของเธอเป็นทุกข์จนเขาเริ่มแสดงอาการชอบทำร้ายตัวเอง
แอลเครียดกับเรื่องของเขาจนพลอยมีสภาพจิตใจย่ำแย่ไปด้วย
แต่เธอก็เมินปัญหาของตัวเอง
แสร้งทำเป็นเข้มแข็งและเข้าช่วยแก้ปัญหาของผู้อื่นต่อไป ระหว่างนั้น วีวินซึ่งเคยพรากเพื่อนคนสำคัญไปจากเธอแสดงเจตนารมณ์ว่าต้องการใช้ประโยชน์จากน้องชายฝาแฝดของเธอ
แอลจึงยิ่งกังวลหนักว่าวีวินอาจทำให้น้องชายเธอต้องเป็นทุกข์
โดยที่ไม่ทันได้คิดว่าทั้งตัวเธอเองและน้องชายต้องการทำยังไงกันแน่
06 เรื่องราวเบื้องหลังของตัวตนที่ถูกลบเลือน
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นจากการต้องการระบายความรู้สึกเบื่อหน่ายที่มีมากจนถึงขั้นเบื่อที่จะมีชีวิต
โดยเล่าผ่าน “จี” นักเล่าเรื่องที่ลบเลือนตัวตนของตัวเอง
จีเบื่อหน่ายกับทุกสิ่งทุกอย่าง
เหนือสิ่งอื่นใดคือเบื่อหน่ายการที่แอลพร้อมจะเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นได้ตลอดเวลา
เขาจึงแสร้งทำตัวเป็นคนจิตใจไม่มั่นคงเพื่อทำให้แอลเป็นกังวล จะได้เรียกร้องให้เธอยอมฟังเขาทุกอย่าง
ทว่าเขากลับแสดงมากไปจนมาถึงจุดที่ไม่สามารถหยุดแสดงได้ด้วยตนเอง รู้ตัวอีกที
สิ่งที่เขาทำมาตลอดกลับกลายเป็นการกัดกร่อนสภาพจิตใจแอลไปโดยที่เขาไม่เจตนา
ระหว่างที่ปัญหาระหว่างพี่น้องยังแก้ไม่ได้ วีวินเสนอทางเลือกสำคัญมาให้ เธอบอกตามตรงว่าจะใช้ประโยชน์จากความสามารถในการเล่าเรื่องของเขา
เพื่อให้เขาเล่าเรื่องคนคนหนึ่งที่วีวินต้องการคำอธิบายที่ยอมรับได้ตามหลักตรรกะในหัวเธอ
แลกกับการที่เขาเองก็จะได้ฟังเรื่องราวนั้นเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายที่หนักหน่วงขึ้นทุกวัน
07 ‘มีด’ สองคม
เรื่องราวที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับการที่ใครสักคนจะนิยามตัวเองว่าเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ
รวมถึงการแสดงความปรารถนาดีต่อใครสักคนเพื่อความสบายใจของตัวเอง ผ่านความสัมพันธ์ระหว่าง
“กริช” และ “วีวิน”
กริชเป็นลูกชายของอดีตคนขับรถของพ่อวีวิน พ่อของเขาเคยเผลอก่ออาชญากรรมล่วงละเมิดทางเพศกับวีวินในวัยเด็ก
ทั้งยังร้ายแรงถึงขั้นส่งผลต่อสุขภาพของวีวินในปัจจุบัน วีวินย้ำแล้วย้ำอีกว่าเธอเป็นคนหลอกให้เขาทำเอง
เธอยืนกรานว่าเธอต่างหากที่เป็นฝ่ายกระทำ ส่วนเขาคือเหยื่อที่ถูกเธอล่อลวง ถึงกระนั้นกริชก็ยังคงรู้สึกผิดมาตลอด
เขาตัดสินใจว่าจะยอมอุทิศทั้งชีวิตให้วีวิน แม้วีวินจะกล่าวหาว่าทั้งหมดนั่นเขาทำไปเพื่อสนองความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตนเองโดยไม่ได้นึกถึงความต้องการจริง
ๆ ของเธอ แต่เขากลับยังคงไม่อาจแสดงความปรารถนาดีต่อวีวินในรูปแบบอื่นนอกเหนือจากที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้
08 วาทกรรม ‘เด็กดี’
เรื่องราวที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเรา โดยเฉพาะการตั้งคำถามเกี่ยวกับการเลือกเส้นทางในชีวิตและการเก็บกดตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไว้เพียงเพราะต้องการตอบสนองต่อความคาดหวังของคนรอบข้าง
เรื่องนี้เล่าผ่านตัวละครที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ถูกต้องอยู่เสมออย่าง “ราล์ฟ” และ
“เอแคลร์”
ราล์ฟและเอแคลร์เป็นนักเรียนดีเด่นที่มองจากภายนอกแล้วแทบจะสมบูรณ์แบบในทุกด้าน
ทั้งคู่ต่างปิดบังด้านมืดของตัวเองไว้เพื่อรักษาภาพลักษณ์ ‘เด็กดี’ ตอบสนองต่อความคาดหวังของสังคม ทว่าเอแคลร์กลับค่อย
ๆ แสดงด้านมืดของตัวเองออกมาทีละน้อยเพื่อให้ตัวตนที่แท้จริงของเธอได้รับการยอมรับบ้าง ในขณะที่ราล์ฟยังคงปกปิดด้านมืดนั้นไว้ต่อไปและใช้มันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
09 สีเทา
เรื่องราวที่เขียนขึ้นเพื่อระบายความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าเป็นอาการของโรคซึมเศร้า
วิตกกังวล PTSD อย่างอื่นนอกเหนือจากนั้น หรือว่าทั้งหมดผสมปนเปกัน
ในสมัยที่สังคมยังอคติและไม่เปิดใจยอมรับโรคกลุ่มนี้ โดยเล่าผ่านตัวละครหลายคนที่ถูก
“วีนัส” ลากเข้ามาพัวพัน
เรื่องนี้เล่าย้อนไปในสมัยที่วีนัสผู้เป็นแม่ของวีวินยังคงเป็นนักศึกษา
โดยเล่าผ่านมุมมองของคนที่เป็นพี่เลี้ยงวีวินในปัจจุบัน วีนัสมีอาการคล้ายเป็นโรคไซโคพาธ
เธอไม่เพียงแต่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
แต่ยังไม่สามารถทำความเข้าใจความรู้สึกของมนุษย์ตาม ‘ปกติ’ ได้ วันหนึ่ง แฟนหนุ่มของเธอถูกฆาตกรรม
เธอจึงประกาศกร้าวต่อหน้าทุกคนที่เธอลากเข้ามาพัวพันว่าคนร้ายอยู่ในกลุ่มพวกเขา และเธอก็ต้องการแก้แค้นคนร้ายคนนั้น
ทั้ง ๆ ที่ในตอนนั้น บางคนในกลุ่มพวกเขาเต็มกลืนแล้วกับการประคับประคองชีวิตของตนเองให้อยู่รอดไปได้ในแต่ละวัน
10 1.61803...
เรื่องราวนี้เล่าชีวิตของเราเองในรูปแบบที่จะว่าคล้ายนิยายน้อยที่สุดก็ใช่
แต่จงใจให้เป็นนิยายมากที่สุดก็ถูก เพราะเป็นการเล่าผ่าน “ฟี” ซึ่งเป็นตัวละครหนึ่งในเรื่องแต่งที่จีเขียนขึ้น
ฟีเป็นนักศึกษาปริญญาโทสายวรรณกรรมที่รู้ตัวดีว่าต้องการเรียนแพทย์
แต่เธอในวัยเด็กได้วางแผนชีวิตตัวเองในเส้นทางสายมนุษยศาสตร์ไว้เป็นดิบดีและเดินตามทางเส้นทางนั้นมาอย่างราบรื่น
เธอจึงยึดติดว่าจะต้องทำตามแผนการนั้นมากเกินไปจนกลายเป็นเหมือนตุ๊กตาชักใยของตัวเองในวัยเด็ก
นั่นทำให้เธอไม่มีความกล้าที่จะเลือกอนาคตที่ตัวเองต้องการจริง ๆ
พร้อมกันนั้นยังต้องมารู้ว่าชีวิตเธอทั้งชีวิต
ชีวิตที่เธอเคยเชื่อว่าเป็นของเธอเองและเธอมีสิทธิ์กำหนดทุกอย่าง แท้จริงแล้วเป็นเพียงเรื่องแต่ง
โลกที่เคยเชื่อว่าเป็นโลกในแบบที่ควรเป็นเองก็กลับเป็นเพียงโลกในหัวใครสักคน
เธอจึงแสดงเจตนารมณ์ให้เจ้าของโลกถอนตัวจากเรื่องราวนี้
เพื่อที่เธอจะได้ปลดแอกและมีอำนาจกำหนดชีวิตตัวเองเสียที
นอกจากนี้ วีวินให้จีเขียนเรื่องราวนี้ขึ้นมาเพื่อตั้งคำถามว่าเป็นไปได้ไหม
หากโลกที่พวกเธออยู่กันตอนนี้แท้จริงแล้วกลับเป็นเพียงโลกในหัวใครสักคนเหมือนกัน
11 เหล่าผู้หลงผิด
เรื่องราวที่เริ่มมาจากความต้องการระบายความกังวลในการเข้าสังคมของคนที่ไม่เก่งเรื่องการมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์
พร้อมกันนั้นยังอยากเล่าถึงตัวละครที่ผูกพันมาหลายปีผ่านมุมมองของ “มิญช์” ผู้เฝ้ามองคนรอบข้างด้วยความพยายามที่จะเข้าอกเข้าใจพวกเขามาตลอด
มิญช์เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทเอแคลร์ที่เคยหักหลังเอแคลร์มาก่อน
แต่แท้จริงแล้วเธอทำไปเพียงเพราะต้องการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเพื่อนและเพื่อหาคำตอบให้กับปัญหาของตัวเอง
แม้เธอจะเป็นคนที่มีบุคลิกเก็บตัวจนมักถูกหาว่ามืดมน แต่แท้จริงแล้วเธอคอยสังเกตและพยายามที่จะทำความเข้าใจคนอื่นอยู่ตลอดเวลา
พี่เลี้ยงของวีวินได้เลือกเธอมาช่วยสังเกตการณ์คนรอบตัววีวินเพื่อจะได้เข้าใจปัญหาที่รบกวนจิตใจวีวินอยู่ในตอนนี้
จนทำให้มิญช์ได้มีโอกาสเข้าไปพัวพันกับ ‘เหล่าผู้หลงผิด’ รอบตัววีวินและเฝ้ามองพวกเขาด้วยสายตาของ ‘คนนอก’
12 นับถอยหลัง
ตอนนี้เขียนในช่วงที่เราเริ่มหาคำตอบให้ชีวิตตัวเองได้แล้วว่าจะไปทางไหนต่อ
ดังนั้นจึงกลับมาสะสางเกี่ยวกับโลกในเรื่องราวนี้ทั้งหมด ถ้าเป็นนิยายก็คงคล้าย ๆ
ตอนคลายปมหรือตอนที่เฉลยเรื่องราวทุกอย่าง ทำไมหลาย ๆ
อย่างในเรื่องนี้ถึงได้ดูผิดสามัญสำนึก ทำไมตัวละครบางคนถึงผูกพันกันทั้ง ๆ
ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ภาพและเสียงบางอย่างที่ผุดขึ้นในหัวตัวละครบางคนมาตลอดทั้งเรื่อง
แท้จริงคืออะไรกันแน่ โดยผู้ดำเนินเรื่องหลักในตอนนี้คือ “น้องชายของซอล”
เอาเป็นว่าเป็นตอนที่ไม่รู้จะเล่าเรื่องย่อยังไงดีเหมือนกัน
แต่คิดว่าเป็นตอนที่คล้าย ๆ ตอนจบของเรื่องราวทั้งหมดนี้
เพียงแต่มันไม่จบบริบูรณ์เพราะเรายังต้องการใช้พื้นที่ในเรื่องราวนี้อยู่ แค่เปลี่ยนจากพื้นที่ระบายความอัดอั้นมาเป็นพื้นที่หาความบันเทิงคลายเครียดแทน
ประเด็นที่อยากเขียนถึงก็ยังมีอีกเยอะแยะ ทำให้หลังจากนี้ยังมีตอน 13
14 เป็นคล้าย ๆ ตอนแถมที่น่าจะแถมต่อไปเรื่อย ๆ
ตราบใดที่เรายังอยากเขียนอยู่
โดยที่บรรยากาศในเรื่องน่าจะมีแนวโน้มผ่อนคลายลงและมีชีวิตชีวามากขึ้น
13 สโนว์ไวท์ โดโรธี และแอปเปิ้ลพิษของเจ้าหญิงนิทรา
เรื่องราวที่เก็บตกความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหญิงนิทราผู้ไม่มีวันหลับได้อีกแล้วอย่าง
“ซอล” กับ “ไวท์” และ “ธีร์” ผู้ซึ่งต่างก็มองว่าซอลเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิต
ด้วยความที่ทั้งไวท์และธีร์ผูกพันกับซอลมากในโลกที่ซอลกลายเจ้าหญิงนิทราไป
ทั้งสองจึงเป็นเป็นหนึ่งในไม่กี่คนของโลกนี้ที่เริ่มนึกถึงความทรงจำของตนเองอีกคนออกทีละน้อย
พวกเขาจึงมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความทรงจำที่ทั้งสองมีต่อซอลคนนั้น เพื่อที่ต่างฝ่ายต่างจะได้นึกเรื่องของซอลออกมากขึ้น
อีกด้าน วีวินรับไม่ได้เรื่องที่โลกนี้เป็นโลกในหัวของคนคนเดียว เธอจึงดึงดันทำทุกทางเพื่อจะหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลให้กับโลกใบนี้ เพื่อจะได้นำมาหักล้างว่าโลกนี้ไม่ใช่แค่โลกในหัวของใคร แต่เป็นโลกจริง ๆ ที่เธอเชื่อว่าควรจะเป็น นั่นเป็นเหตุให้เธอส่ง ‘คนใน’ ของตนเองไปอยู่รอบตัวซอลเพื่อจะได้หาทางอธิบายเรื่องของซอลในแบบที่เธอยอมรับได้ เพราะเธอมองว่าตัวตนของซอลคือเหตุผลสำคัญที่สุดที่ทำให้โลกนี้ไม่สมเหตุสมผล ไวท์และธีร์เองก็เป็นหนึ่งใน ‘คนใน’ นั้น
นอกจากนี้ ตอนนี้ยังเป็นตอนที่เฉลยย้อนหลังเพิ่มเติมอีกว่าวีวินเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องราวของยูในตอน
“อุดมคติ” ยังไง และเป็นการตอบคำถามว่าแจกันที่เพิ่มมาในชั้นเรียนและหายไปในจังหวะที่เหมาะเจาะที่สุดนั้นมีความหมายยังไงกันแน่
14 O N E I R O P H O B I A
เรื่องราวตอนนี้เขียนขึ้นหลังจากที่ชีวิตเราเริ่มลงตัวมาก ๆ แล้ว นับตั้งแต่ตอนนี้ไปจะใช้เป็นพื้นที่เล่นสนุกของเราล้วน
ๆ เลยประเดิมตอนแรกที่ “แฟร์” และ “ภีม”
ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวโยงกับตัวเรื่องหลักมากนัก
แต่มีประเด็นที่เราอยากเขียนถึงอยู่เต็มไปหมด
ตอนนี้เริ่มมาจากความสนใจในสาขาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น
รวมถึงจิตวิทยาพัฒนาการ จึงอยากเล่าเกี่ยวกับความปรารถนาดีของผู้ปกครองที่บางครั้งก็แสดงออกในทางที่จะทำร้ายเด็กคนหนึ่งในระยะยาว
แต่ถึงจะพูดแบบนั้น
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คงจะเป็นแค่ว่าเราอยากเขียนเพื่อความสนุกของตัวเองเท่านั้น
บวกกับความอยากเห็นชีวิตประจำวันของเด็ก ๆ
ในเรื่องที่ตึงเครียดกันมาตลอดสิบกว่าปีในแบบที่ผ่อนคลายลงด้วย
สุดท้าย
เราค่อนข้างมั่นใจว่าหลังจากนี้เรื่องราวนี้ก็น่าจะยังคงดำเนินต่อไปอีกเรื่อย ๆ
เพียงแต่บางช่วงอาจจะเขียนได้ช้าลงบ้าง เพราะเราดันเลือกมาทำตามความต้องการตลอดสิบกว่าปีของตัวเอง
ซึ่งคงจะทำให้ชีวิตเรายุ่งมาก ๆ ไปอีกพักใหญ่ แต่มันเป็นเส้นทางที่เราเลือกเองและเป็นทางที่จะช่วยเติมเต็มความหมายให้ชีวิตเราได้
อย่างที่บอกไปข้างต้นเลยว่าเบื้องหลังการเลือกนั้น เรื่องราวนี้นี่แหละที่มีส่วนสำคัญมากในการช่วยผลักดันให้เราค้นพบความต้องการของตัวเอง
มั่นใจในทางเลือกของตัวเอง และกล้าเลือกที่จะทำตามความต้องการนั้น
เอาเป็นว่าไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี ถ้าสนใจก็ลองไปพบกันในเรื่องดูนะคะ
ผลงานอื่นๆ ของ ฉันมองเห็นแอปเปิ้ลเป็นสีขาว ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ฉันมองเห็นแอปเปิ้ลเป็นสีขาว
ความคิดเห็น