ตำนานหินทิเบต - ตำนานหินทิเบต นิยาย ตำนานหินทิเบต : Dek-D.com - Writer

    ตำนานหินทิเบต

    ผู้เข้าชมรวม

    1,847

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    9

    ผู้เข้าชมรวม


    1.84K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 มิ.ย. 54 / 00:28 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
                      มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่าเป็นตำนานว่าครั้งหนึ่ง องค์ศิวะเทพเสด็จผ่านมาประทับเหนือน่านฟ้าทิเบต แล้วเครื่องประดับอันงดงามที่กายได้ร่วงหล่นลงมา เมื่อมาถึงพื้นธรณี ของทิเบตก็ได้กลายเป็นตัวหนอนทีมีขนาดกว้างยาวเท่านิ้วหัวแม่มือ โดยมีหัวมนช่วงกลางลำตัวเป็นเส้นขนานกับพื้นและด้านปลายก็มนกำลังคลานอยู่ ที่พื้น ด้วยองค์ ลามะไม่เคยเห็นหนอนชนิดนี้มาก่อน จึงใช้จิตที่สำเร็จจากการฝึกกสิณไฟ เพ่งลงไปจึงทราบด้วยฤทธิ์ว่ามิใช่หนอนธรรมดาเสียแล้ว จึงเอาแป้งฝุ่นจากในย่ามใส่กำมือ ว่าคาถามนตราแล้วเสกแป้งเป่าลงไปที่ตัวหนอน เจ้าหนอนตัวนั้นเลยแข็งกลายเป็นหิน พร้อมกับมีผงแป้งขาวๆ เกาะติดอยู่ทั่วทั้งตัว และเป็นลวดลายต่างๆ ที่ปรากฏบนหินทิเบต

      ต่อมาเครื่องประดับขององค์พระศิวะไม่เคยร่วงมาอีกเลย ลามะจึงได้นำเอาหินชนิดหนึ่ง ที่เป็นต้นตระกูลของหยก เรียกว่า หยกฟ้า แต่ฝรั่งเรียกว่า "อะเกต" นำเอามาฝนให้มีลักษษะมนเรียวยาวแล้วเขียนลวดลายลงไปบนหิน การเขียนด้วยสีลงไปไม่ทราบแน่ชัดว่า เอาสีขาวของอะไรมาเขียน จึงได้ฝังลงไปที่เนื้อหินไม่หลุดลอกออก แม้ผ่านกาลเวลามานานนับหลายร้อยหลายพันปี

      แม้แต่การเจาะรูนั้นก็ยังไม่ทราบว่าเขาทำกันอย่างไรที่รู ทั้งสองจึงได้มาทะลุถึงกันได้ ชวาตะวันตกเคยนำไปพิจารณาศึกษา แล้วมีความเชื่อว่าสีที่เขียนนั้นน่าจะเป็น
      สีที่น่าจะเกิดจากการนำเอา หลายสิ่งจากธรรมชาติมาผสมผสานกันแต่ก็ยังไม่สามารถแยกแยะได้ว่าคืออะไร ผลที่ได้จากห้องทดลองเป็นสีที่มีความคล้ายคาร์บอน ที่นำเอาไปทำนิวเคลียร์ แต่สิ่งหนึ่งที่สั่งเกต คือการเจาะรูจะไม่ตรงกันสามารถหยิบขึ้นมาดูแล้วส่งทะลุไม่ถึงกันเป็นเส้นตรง กลับกันรูจะมองเห็นกันแต่ไม่ตรงกันนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าต้องเจาะรูทีละ ข้างแล้วให้ทั้งสองมาทะลุกัน

      หินทิเบตจึงเป็นเครื่องรางของขลัง และเครื่องประดับขององค์ลามะไปในตัวลามะนิยมการสวดมนต์เป็นอย่างมาก การที่ลามะสวดมนต์ไปนั้นหินทิเบตที่อยู่ตามร่างกาย ที่ประดับอยู่นั้นจะได้รับพลังมนต์นั้นไปด้วย เป็นการปลุกเสกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีวันหยุด

      การที่จะนำเอาหินในแต่ละเม็ดมาทำการสร้างนั้งจะต้องมีการวัดค่าของพลังในตัวหินนั้นก่อนด้วย หากหินมีพลังมาก ก็ จะนำไปสร้างเป็น หินที่มีตามาก เช่น 10 ตา 12 ตา 13 ตา 15 ตา เป็นต้น ส่วนคนสมัยก่อนเค้า ใช้อะไรมาวัดนั้นไม่ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่อย่าไปดูถูกภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนเชียวนะ บางอย่างปัจจุบันนี้ยังทำอย่างเค้าไม่ได้เลย บางอย่างเค้าค้นพบมาก่อนคนสมัยนี้อีก ดูอย่างพิระมิด ซิเค้าทำกันยังไงคนในปัจจุบันยังงงเป็นไก่ตาแตกเลย มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า หินที่นำเอามาทำนั้นได้มาจากภูเขาหิมาลัยทั้งในบริเวณเทือกเขา และบริเวณโดยรอบ ชาวฮินดูเชื่อว่าต้นทางแห่งแม่น้ำคงคา ไหลมาจากเขาหิมาลัย แม่น้ำคงคาจึงเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ชาวฮินดูเชื่อว่าภูเขาหิมาลัย เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่สถิตของ แหล่งทวยเทพทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ลามะจึงได้เอาหินจากภูเขาหิมาลัย มาทำเครื่องราง

      ในทางวิทยาศาสตร์ได้นำเอาหินทิเบตไปตรวจเช็กปรากฏว่า หินแต่ละก้อนมีค่าในการวัดของทางวิทยาศาสตร์แกร่งและแข็งมาก ราวๆ 7-8.5 เชื่อว่าเป็นหินอุกกาบาต จากดาวพระอังคาร ตกลงมายังพื้นโลกกระแทก กับเทือกเขาหิมาลัยอย่างแรง ทำให้เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ และเกิดแร่ธาตุ 14 ชนิด ของสะเก็ดดาว และพบว่าส่วนผสม ของแร่ธาตุที่มีมากสุด คือ Ytterbium ( ฮีทเรียม ) และมีสวนผสมของ สารแมงกานิสและสารแมกนีเซี่ยมอยู่ หลังจากน้ำจากภูเขาไฟแห้งและแข็งตัวเป็นหิน ชาวธิเบตจึงนำมาทำเป็นเครื่องประดับต่างๆ สวมใส่บูชาเพื่อขจัดสิ่ง ชั่วร้าย และยังใช้ในการแก้โรคเกี่ยวกับโลหิต , บำบัด โรคชัก , เพิ่มพลังต้านทาน แก่ร่างกาย

      หลาย คนสงสัยว่ามันจะรักษาโรคได้อย่างไร นั่นเป็นความเชื่อที่ผู้คนเชื่อถือกันมานาน เค้าว่าไว้อย่างนั้น แต่ถ้าจะเอาหลักทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงให้เป็นเหตุเป็นผลแล้วละก็ น่าจะเป็นสาเหตุจากที่ หินธิเบตมีคุณสมบัติพิเศษ มีพลังสนามแม่เหล็กมากกว่าหินประเภทคริสตัลถึง 3 เท่า ซึ่งเป็นผลจากการทดลองในห้องวิทยาศาสตร์ แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับว่า จะมีแรงดูดเหมือนเราเอา แม่เหล็กมาดูดกันเล่นตอนเด็กๆ มันจะเป็นเพียงแม่เหล็กอ่อนๆ เท่านั้น เป็นแม่เหล็กธรรมชาติ เหมือนที่เวลาเราใช้เข็มทิศ เข็ม N มันก็จะชี้ไปทางทิศเหนือตลอดแต่ว่าเราไม่เห็นรู้สึกเลย นาฬิกาเราไม่เห็นโดนดูไปเลย ลักษณะของแม่เหล็กธรรมชาตินั้นไม่ได้แบ่งคั่ว + N คั่ว - S อย่างชัดเจนเหมือนแม่เล็กที่เรารู้จัก ด้านหนึ่งเป็น + N อีกด้านเป็น - S แต่ภายในก้อนหินจะมีทั้ง + N และ - S ในก้อนเดียวกันบางตำแหน่งอาจจะเป็น + พอไปอีกหน่อยเป็น - ซะงั้น แล้วมันแก้โรคได้ไงกันละ เคยเห็นผลิตภัณฑ์ พวก หมอนแม่เหล็ก เตียงแม่เหล็ก หรือพื้นรองเท้าแม่เหล็กบ้างไหมครับ นั่นแหละ หลักการเดียวกัน ทางการแพทย์ก็นำเอาพลังแม่เหล็กนี้มาช่วยในการรักษาเหมือนกัน ทีนี้พอจะเห็นภาพหรือยังละครับว่าคนสมัยก่อน เค้ามีความเชื่อที่ว่าใส่แล้วช่วยแก้โรคต่างๆได้ ผมว่าอันนี้ก็น่าจะเป็นเหตุผลรองรับทางวิทยาศาสตร์ได้ ไม่ใช่ความเชื่องมงาย หินยิ่งแข็งมากจะมีค่าของแม่เหล็กยิ่งแรง

      ลามะ จะยึดถือเรื่องฤกษ์ยาม และพิธีกรรมเป็นอย่างมากด้วยฤกษ์ยามการสร้างที่ดีจึงทำให้หินทิเบตมีความ ขลังศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับพระเครื่อง หินทิเบตทุกเม็ดมีพลังชี่ พลังนี้เกิดจากการสวดมนต์การสร้างด้วยจิตอันแน่วแน่บริสุทธิ์ และเนื้อหินมีความศักดิ์สิทธิ์ พลังซึ่งเป็นพลังที่มีอานุภาพสูงมาก สามารถบันดาลโชคลาภ การเงินการงาน และบำบัดโรคได้อย่างอัศจรรย์

      ใครที่เคยเรียนเรื่องของศาสตร์ฮวงจุ้ย จะต้องรู้จักพลังชี่นี้เป็นอย่าดีจึงไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอีกต่อไป ว่า ทำไมเมื่อได้บูชาสักการะหินทิเบต แล้วย่อมจะมีแต่ความเป็น สิริมงคล และความเจริญโภคทรัพย์มาสู่ในชีวิตของเรา
      ส่วน วิธีเขียนลายและขั้นตอนต่างๆนั้นไม่ทราบเหมือนกันว่าขั้นตอนวิธีการทำนั้นทำ กันอย่างไรทราบเพียงแต่ว่าวิธีการทำได้เปลี่ยนไป ตามยุคตามสมัยวิธีการทำในปัจจุบันก็ไม่เหมือนวิธีโบราณ ตัวอย่างเช่นการเจาะรู ยุคหลังๆมานี้ไม่ได้ใช้การเจาะรูทีละข้าง เหมือนเมื่อก่อนแล้วเพราะมีเครื่องมือทันสมัยมากมายขึ้น ส่วนสีที่ใช้เขียนก็มีส่วนผสมที่แตกต่างกันออกไป

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×