My short Story นิทานที่ไม่มีเธอ
เรื่องสั้นของเจ้าลูกชายค่ะ ตัวละครจากนิยายเรื่องSecondary school สั่นหัวใจค้นหาความจริง
ผู้เข้าชมรวม
577
ผู้เข้าชมเดือนนี้
6
ผู้เข้าชมรวม
นิทานของฉันที่ไม่มีเธอ
หน้ากระดาษที่ไม่มีเรื่องเธอเขียนอยู่
ตอนจบที่ไม่ได้เขียนถึงเธอเลยแม้แต่นิด
พร้อมจะฟังหรือยังล่ะ?
---------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ ตัวข้าน้อยมีชื่อว่าเนล
เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นการนำตัวละครจากนิยายเรื่องนึงมาเขียนค่ะ
โดยเนลได้เขียนอ้างอิงตัวละครมาจากนิยายเรื่อง Secondary school สั่นหัวใจค้นหาความจริง
ซึ่งเขียนโดยกลอนซัง หรือริวซังค่ะ ทั้งนี้ขอบพระคุณเจ้าของเรื่องมากๆที่อนุญาตให้นำมาเขียน
ตัวเอกของเรื่องสั้นนี้คือ 'ชญานนท์ วรพงศ์สิริ' เด็กหนุ่มวัย14ที่เป็นฮิคิโคโมริและแฮกเกอร์มือฉมัง
เรื่องสั้นนี้เขียนถึงฉากของชญานนท์ในวัยเด็ก กับสาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นโรคตัดขาดจากสังคม
ถ้าพร้อมแล้ว...เชิญฟังนิทานได้เลยค่ะ
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
นิ้วเรียวเคาะลงบนคีย์บอร์ดก่อให้เกิดเสียงดังก๊อกแก๊กท่ามกลางความเงียบ ภายในห้องมืดมีเพียงแสงสว่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น บันทึกประจำวันกำลังจะถูกเขียนลงโปรแกรม เคาะแป้นพิมพ์อีกสองสามครั้งก่อนลงมือเขียน
‘ชญานนท์ วรพงศ์สิริ’ เรื่องราวของเขากำลังถูกเขียนลงไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ใหญ่ยักษ์ที่ตัวเด็กหนุ่มแสนจะภูมิใจ ใบหน้าเฉยชาต่อทุกสิ่งถูกแสงจากหน้าจอทาบแต่ก็ไร้ความรู้สึกใดๆ เด็กหนุ่มยังพิมพ์บันทึกประจำวันของวันนี้ต่อไปเรื่อยๆ นิ้วเรียวกดไปตามตัวอักษรต่างๆบนแป้นพิมพ์จนเกิดเป็นคำขึ้นมา
วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
วันนี้ที่ชมรมก็ยังวุ่นวายอีกอย่างเคย
|
ดวงตายังคงจดจู่อยู่กับสิ่งตรงหน้า เคาะ enter อีกครั้งแล้วเริ่มพิมพ์ประโยคต่อมา
วันนี้ที่ชมรมก็ยังวุ่นวายอีกอย่างเคย
ฉันบังเอิญไปแฮกได้ข้อมูลสำคัญเข้า ถูกใจเจ้าพวกนั้นมากด้วย
ข้อมูลของโรงเรียนที่ถูกเก็บไว้เป็นความลับขั้นสุดยอด แต่ระบบของมันแฮกง่ายยิ่งกว่าอะไรเสียอีก
น่าเบื่อ…พรุ่งนี้จะโดดเรียนดีไหมนะ แกล้งป่วยจะได้ไม่ต้องเข้าชมรม หรือจะแกล้งหายตัวไปให้พวกนั้นตามหา |
มือชะงักค้างไปแวบหนึ่ง แต่ก็ลงมือพิมพ์ต่อ
หรือว่า…จะหายไปจริงๆเลย?
|
“หายไป…งั้นหรอ” ปากพึมพำกับประโยคที่พิมพ์ลงไปเมื่อครู่ แวบหนึ่งที่แววตาสะท้อนภาพอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่แค่กระพริบตาก็หายไป ชญานนท์ไม่ยอมพิมพ์ต่อ บางทีบันทึกประจำวันที่7 พฤษภาคม ควรจะจบลงแค่นี้…มือของเด็กหนุ่มเลื่อนขยับเมาส์ให้กดเครื่องหมายกากบาทที่มุมขวา รูปของโปรแกรม Microsoft Office Wordหายไป ความเงียบก่อขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่มีเสียงก๊อกแก๊กเปาะแปะยามเคาะแป้นพิมพ์ เสียงลมหายใจของตัวเด็กหนุ่มเองก็แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
ชญานนท์ถอนหายใจ กดชัตดาวน์เครื่อง ลุกออกจากเก้าอี้และตรงปี่ไปยังเตียงของตัวเอง เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอน ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกเหนื่อยอ่อนนี่มันอะไร… ชญานนท์ยกมือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก หรี่ตาลงมองเพดานห้อง ในห้องของเขาตอนนี้มืดสนิท ดวงตาค่อยๆปิดลงอย่างแช่มช้า ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
.
.
.
.
.
.
“วันนี้เรียนสนุกไหมลูก”
นั่นคือคำถามระดับสามัญที่ผู้เป็นพ่อหรือแม่ชอบถามบุตรของตัวเองหลังพวกเขากลับมาจากโรงเรียน แต่จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่ทำเป็นไม่เห็นใบหน้าบูดบึ้งของลูกแล้วถามคำถามพรรค์นั้นออกมา
“ครับ” ชญานนท์ในวัยเด็กตอบ ทั้งที่ใบหน้าไม่มีอารมณ์จะตอบคำถามใดๆ “สนุกดี…”
“คุณครูเล่าให้ฟังว่าหนูตอบคำถามของครูถูกด้วย…เก่งมากๆเลยจ๊ะ” ผู้เป็นแม่ชมด้วยรอยยิ้ม
แต่ลูกชายกลับไม่มีรอยยิ้มตามคำชมนั้น
คำถามโจทย์เลขของเด็กประถมที่เขาเห็นผ่านตามาไม่รู้กี่ร้อยครั้ง ใครตอบไม่ได้ก็บ้าแล้ว
“นนท์ต้องตั้งใจเรียนนะครับ โตขึ้นจะได้ช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงาน” พ่อบอก
“แต่อย่าหักโหมไปนะลูก นานๆทีก็ออกไปเล่นกับเพื่อนๆบ้าง” แม่บอก
“………” ชญานน์เงียบ
เด็กน้อยวัย9ขวบเหม่อมองทิวทัศน์ผ่านกระจกรถ นึกทวนคำพูดของผู้เป็นแม่
เพื่อน…
ชญานนท์ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเขาทราบหรือเปล่า ไม่รู้คุณครูจะเล่าให้พวกท่านฟังหรือไม่ ว่าตัวเด็กชายนั้นไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ทั้งเพื่อนในห้องและเพื่อนร่วมชั้นต่างก็ไม่มีใครเคยเล่นกับเขาซักคน เพราะว่าเขาเป็นเด็กที่เงียบขรึม…ไม่ยุ่งกับใครและไม่เปิดปากพูดจากับใคร เวลาว่างก็ชอบอยู่คนเดียว พวกเพื่อนๆเลยไม่ค่อยสนิทด้วย
ช่างมัน…ไม่มีเพื่อนก็ไม่ตาย เด็กชายส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไป เขาเคยได้ยินว่านอกจากสมองแล้ว อย่างอื่นน่ะช่างมันเถอะ นั่นหมายความว่าเขาจะต้องพึ่งพาแต่สมองตนเอง คนอื่นๆน่ะไม่จำเป็น…
แน่นอน ไอ้สิ่งที่เรียกว่าเพื่อนด้วย…
เช้าวันต่อพ่อแม่ของเขาก็ขับรถพาไปส่งที่โรงเรียนเหมือนอย่างเคย เด็กชายยกมือไหว้สวัสดีคุณครูที่หน้าโรงเรียนและพ่อแม่ เขาเดินเข้าห้องเรียนด้วยสีหน้านิ่งเฉยขัดกับวัยตนสุดๆ เพื่อนในห้องไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรมากเมื่อชญานนท์ก้าวเข้ามาในห้อง
ชญานนท์วางกระเป๋าเป้ลงและนั่งลงบนเก้าอี้ ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆจับกลุ่มคุยและเล่นกัน เด็กชายนั่งเท้าคางเหม่อมองกระดานดำที่ยังไม่ได้เขียนอะไรเลย เสียงดังรอบตัวไม่ได้เข้าโสตประสาทหูของเด็กชายแต่อย่างใด แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งมาดังข้างๆหู
“แบร่!”
เฮือก!! ชญานนท์สะดุ้ง เผลอแสดงสีหน้าตกใจออกไป เด็กชายหน้าซีดเล็กน้อยถอยหลังชิดพนักเก้าอี้ เสียงหวานใสเมื่อครู่หัวเราะเมื่อเห็นปฏิกิริยาตกใจเกินคาดของเด็กชายผู้เงียบขรึม
“ฮะๆ ตกใจขนาดนั้นเลยหรอ”
“………” ชญานนท์ไม่ตอบ เม้มปากแน่น ไม่อยากยอมรับว่าตกใจมากจริงๆ
“อ๊ะ โกรธหรอ” เด็กหญิงเจ้าของเสียงหวานถาม ชญานนท์จ้องหน้าเด็กหญิง ไม่คุ้นหน้า…หรืออาจเคยเห็นแต่เขาไม่ได้จำ ที่สำคัญคือเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใคร… เด็กสาวพอเห็นชญานนท์จ้องตนก็หัวเราะอีกครั้งก่อนฉีกยิ้ม ชูนิ้วก้อยขึ้นมาทำให้ชญานนท์ผงะไปและงุนงงเป็นอย่างมาก “ฉันชื่อธัญ…เธอชื่อนนท์ใช่ไหม เมื่อกี้ต้องขอโทษจริงๆนะ”
ธัญงั้นหรอ…ชยานนท์มองนิ้วก้อยของอีกฝ่าย…เด็กหญิงที่ชื่อธัญเอียงคอด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นอะไร
“นี่น่ะเป็นสัญลักษณ์แห่งการคืนดี ถ้าเกี่ยวก้อยกลับมาก็เป็นอันว่าหายกัน” ธัญอธิบายอย่างกระตือรือร้นและไร้เดียงสา ชญานนท์ขมวดคิ้ว เขาไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ธัญบอกเสียเท่าไหร่ เพราะเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้
เกี่ยวก้อยแล้วหายกัน ไม่เข้าใจหรอก แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเขาเป็นเด็กขี้งอน … ชญานนท์ยื่นมาเข้าไปเกี่ยวก้อยด้วย แต่ยังเก้ๆกังๆเพราะไม่เคยทำจึงได้แค่แตะนิ้วก้อยของอีกฝ่ายเบาๆ เด็กชายรู้สึกประหม่าบอกไม่ถูกขณะที่เด็กหญิงฉีกยิ้มน่ารักมาให้ตน
นั่น…คือการจุดเริ่มต้นของนิทานไม่รู้จบ
ชญานนท์ได้รู้จักกับเด็กหญิงผู้ร่าเริงและสดใสตลอดเวลาที่ชื่อว่าธัญ เธอเป็นมิตรกับคนทั่วไป ทั้งเพื่อนในห้องและคุณครูต่างก็รักและรู้จักเธอเป็นอย่างดี ชื่อจริงคือ ธัญญาพร กมลวรรธ เป็นเรื่องบังเอิญที่จู่ๆเด็กหญิงก็ย้ายมานั่งใกล้โต๊ะเรียนเขา ทั้งที่ไม่ใครอยากจะมานั่ง ธัญญาพรร่าเริงตลอดเวลา แทบไม่มีเวลาไหนเลยที่เธอจะไม่ยิ้มไม่หัวเราะ
จากที่ชญานนท์ทราบมาจากครูประจำชั้น ธัญญาพรแก่กว่าเขา2ปี เพราะเธอเข้าเรียนช้ากว่าเพื่อน1ปี และผลการเรียนสมัยเด็กไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยทำให้เคยเรียนซ้ำชั้น หมายความว่าเธออายุมากกว่าใครในชั้น เพื่อนๆทุกคนรักเธอและเรียกเธอว่าพี่…คงจะมีแต่เขาเท่านั้นที่ไม่เรียก
ธัญญาพรเริ่มสนิทกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ จากนั่งข้างกันกลายเป็นเดินตามกันไปทุกที่ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชญานนท์ยอมให้เด็กหญิงมาอยู่ข้างๆ เขาเริ่มจะปริปากพูดกับคนอื่นมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะธัญญาพรที่คะยั้นคะยอให้เขาเริ่มผูกมิตรกับเพื่อนคนอื่นในห้อง ใครซักคนบอกเขา ว่าตอนนี้เขากลายเป็นเพื่อนสนิทกับธัญญาพรไปแล้ว เขาไม่ได้สนใจคำพูดนั้นเท่าไหร่ แต่ก็เริ่มจะรู้อะไรขึ้นมาบ้าง
สิ่งนี้ที่เรียกว่าเพื่อน…
ชญานนท์รู้แค่ว่าธัญญาพรชอบท้องฟ้า ชอบทุ่งหญ้า และชอบบรรยากาศที่อบอุ่น ตัวเด็กหญิงมักจะพาเขาขึ้นมาที่ชั้นดาดฟ้าของโรงเรียนบ่อยๆ เธอบอกว่าเพราะมันทำให้เห็นท้องฟ้าชัดดี เขารู้เกื่ยวกับธัญญาพรไม่กี่อย่าง ต่างกับธัญญาพรที่เหมือนจะรู้ไปหมดว่าเขาชอบอะไร เกลียดอะไร เป็นอย่างไร
“ชื่อเธอเหมือนเด็กผู้หญิงเลยนะนนท์” ธัญญาพรหัวเราะ เขาทำหน้าบึ้งขึ้นมานิดหน่อย
“ไม่เห็นจะเหมือนตรงไหนเลย” เขาเถียงกลับ
“ตัวเธอก็เล็กเหมือนเด็กผู้หญิง”
“นั่นเป็นเพราะว่าเธอสูงกว่าฉันต่างหาก”
“จ๊ะๆ ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน”
ธัญญาพรหัวเราะ เขาไม่เคยเห็นเธอคนนี้ร้องไห้เลยซักครั้ง…แม้แต่ตอนโกรธตอนหงุดหงิดก็ไม่ยักเคยเห็น แต่เขาก็ยอมรับว่าไม่อยากเห็นธัญร้องไห้เสียน้ำตาหรือโกรธเกรี้ยว ชอบเวลาเธอมีรอยยิ้ม ชอบเสียงหัวเราะของเธอ ชอบใบหน้าที่น่ารักของเธอ ชอบวันเวลาที่ได้อยู่กับเธอ
ชอบ…อะไรอีกล่ะ
“มา! เกี่ยวก้อยกัน!”
จู่ๆเด็กหญิงก็ยื่นนิ้วก้อยให้เขาเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน ชยานนท์ก็มองอย่างงุนงงเหมือนครั้งแรก
“อะไรน่ะ”
“เกี่ยวก้อยไง” ธัญญาพรหัวเราะคิกคิกน่ารัก
“แต่ฉันไม่ได้โกรธเธอนะ”
“ไม่หรอก การเกี่ยวก้อยไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งการคืนดีเสมอไปนะ แต่หมายถึงการสัญญาด้วย”
สัญญาหรอ…เรื่องอะไร
“สัญญาเรื่องอะไร?”
“สัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป!”
ธัญญาพรตอบอย่างฉะฉาน ชญานนท์ผงะไปก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ธัญญาพรมองอย่างงุนงง เขากุมท้องเพราะจุกแต่ยังไม่หยุดหัวเราะ ยื่นมืออีกข้างไปข้างหน้า
“ฮะๆ ก็ได้ สัญญา” ชญานนท์หยุดหัวเราะแล้วยิ้มให้ “จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”
“เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป!”
“เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”
นิ้วก้อยของทั้งคู่ชนกัน แต่ครั้งนี้ชญานนท์กล้าที่จะเกี่ยวก้อยอีกฝ่ายไว้ด้วยความเชื่อมั่นจากใจจริง ธัญญาพรยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง สายลมที่พัดมาทำให้ผมยาวสีดำของเธอปลิวไสว ความอบอุ่นที่สื่อถึงกันผ่านนิ้วเล็กๆทำให้เขา…
รู้สึก…อยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้
นิทานไม่รู้จบเดินมาถึงกลางเรื่องแล้ว
ครั้งหนึ่งชญานนท์เคยได้ยินธัญญาพรบอกเอาไว้ว่าชีวิตของคนแต่ละคนก็คือนิทานเรื่องหนึ่ง แต่ละเรื่องจะมีผู้เล่าที่ต่างกันไป ผู้เล่าที่อยากเล่าให้นิทานจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง หรือเล่าให้จบอย่างไม่มีความสุข และผู้คนที่อยู่รอบตัวเราก็คือตัวละครในนิทานที่มีบทบาทสำคัญมากมาย ธัญญาพรเป็นคนช่างคิดช่างฝัน ฝันของเธอช่างไร้เดียงสา แต่เขาก็แอบอมยิ้มทุกครั้งเมื่อนึกภาพตามฝันของเธอ
เขาเคยคิดว่าอยากจะให้ทุกวันไปเช่นนี้ตลอดไป เมื่อพลิกหน้ากระดาษหน้าต่อไปนิทานเรื่องนี้จะมีแต่เธอ…มีแต่เรื่องของเธอ จะเป็นนิทานไม่รู้จบที่มีเธอเป็นตัวละคร จะมีแต่เรื่องของเธอจนหน้าสุดท้ายของนิทาน…
แต่แล้ววันหนึ่งทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป
กลางเดือนพฤศจิการยน ธัญญาพรหายหน้าไปเป็นอาทิตย์ และกลับมาเรียนตามปกติหลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ก่อนหน้านั้นเขาพยายามติดต่อเธอแต่ก็ไม่ได้ผล ชญานนท์ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างเผลอตัวและดีใจเมื่อเห็นว่าใครที่เดินเข้ามาในห้องเรียน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใบหน้านั้น
ใบหน้าที่มัวหมองไม่มีความสุขนั้นคืออะไร
“ธัญ…เป็นอะไรหรือเปล่า” เขารู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าเศร้าหมองของเธอนี่มันคืออะไร แล้วความรู้สึกกังวลในใจนี่มันคืออะไร ลางสังหรณ์บางอย่างในตัวบอกให้ชญานนท์รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติ
ธัญญาพรเงียบไปก่อนจะฉีกยิ้มให้เหมือนเดิม “เปล่าจ๊ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ไป…ไหนมาน่ะ” ทำไมถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นไม่ใช่รอยยิ้มที่ร่าเริงเหมือนเคย
“อ๋อ ไปเที่ยวกับครอบครัวที่ต่างจังหวัดมาน่ะ ฉันซื้อของฝากมาให้นนท์ด้วยนะ”
มือที่อบอุ่นคว้ามือเขาไปแล้วนำอะไรบางอย่างวางไว้บนนั้น ชญานนท์มองตาไม่กระพริบ “เป็นสร้อยคอนำโชคน่ะ ขอโทษนะที่หาได้แต่ของแบบนี้ ฉันรู้ว่าเด็กผู้ชายอย่างนนท์คงไม่ชอบหรอก แต่ถ้าพกติดตัวเอาไว้ตลอดจะทำให้โชคดีนะ”
ชญานนท์เม้มปากแน่นเมื่อมองสร้อยรูปกางเขนทำจากไม้ ความรู้สึกบางอย่างจากธัญญาพรถ่ายทอดมาที่ตัวเขาผ่านสร้อยนี่ “ขอบคุณนะ…”
“ฉันอยากขอโทษที่หายไปไม่บอกเธอนะ…” เขาคว้ามือธัญญาพรมาเกี่ยวก้อยก่อนเธอจะพูดจบ เด็กหญิงตกใจเล็กน้อย ชญานนท์พูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ฉันไม่โกรธเธอแล้ว หายกันนะ” ขอร้องล่ะ ได้โปรดอย่าทำเสียงเศร้าแบบนั้นเลย…
ธัญญาพรมองอย่างตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา แล้วเกี่ยวก้อยตอบ
“นนท์ วันนี้หลังเลิกเรียนขึ้นไปบนดาดฟ้ากัน” ธัญยาพรเอ่ยชวนเหมือนปกติ เขาพยักหน้าตอบ และนั่งลงเตรียมตัวพร้อมกับคาบเรียนแรกที่จะเริ่ม นั่งฟังที่ครูสอนไปโดยเหลือบมองร่างที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะ
เป็นห่วง…
กังวล…
ใจหาย…
ความรู้สึกที่เด็กป.3อย่างเขาเพิ่งเคยเป็น ความรู้สึกมากมายพวกนี้คืออะไร ทำไมถึงเป็นอย่างนี้
เพราะเธอหรือเปล่า…
หลังเลิกเรียน นักเรียนคนอื่นๆกลับกันไปเกือบหมดแล้ว ยังมีส่วนหนึ่งที่อยู่ที่โรงเรียนแต่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กโตมากกว่า เด็กประถมต้นอย่างชญานนท์ก้าวขึ้นบันไดช้าๆตามหลังธัญญาพร เขาคิดไปว่าเด็กหญิงหายไปนานคงจะคิดถึงภาพบรรยากาศท้องฟ้ายามเย็นที่มักเฝ้ามองจากที่แห่งนี้
ธัญญาพรไม่พูดอะไรเลยขณะเดินขึ้นมายังดาดฟ้าชั้นบนสุด เงียบผิดปกติ…ทั้งๆที่อยากจะเห็นใบหน้ายิ้มแย้มแล้วก็อยากได้ยินเสียงหัวเราะของเธอแท้ๆ…
“ธัญ…” ร้องเรียกออกไปเสียงเบา แต่ร่างนั้นก็ไม่หันกลับมา เมื่อถึงที่หมาย เด็กหญิงเปิดประตูขึ้น ภาพดาดฟ้าที่คุ้นเคยปรากฏแก่สายตา ทั้งเด็กชายและเด็กหญิงก้าวเข้าไป สายลมยามเย็นพัดมาทำให้เส้นผมปลิวตามลม
ยามนี้ใบหน้าของเด็กหญิงนิ่งสงบ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เดินตรงเข้าไปที่ระเบียงยิ่งทำให้สายลมพัดผมที่ปลิวไสวมากยิ่งขึ้น ธัญญาพรเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วหัวเราะเสียงเบา “วันนี้ท้องฟ้าก็สวยเหมือนเดิมเลยนะ”
“………” ชญานนท์ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ เด็กชายยังหยุดอยู่ที่เดิมเว้นระยะห่างจากเพื่อนสนิท เงยหน้ามองท้องฟ้าเช่นกัน
“แปลกเนอะ ไม่รู้ว่าทำไม…” เสียงพึมพำแผ่วเบา “ท้องฟ้าที่น่าเบื่อนี่ยังเป็นสีฟ้า”
“………”
“อาทิตย์ก่อนฉันไปเที่ยวกับพ่อแม่แล้วก็ญาติคนอื่นๆที่ต่างจังหวัด ตอนตกเย็นพวกผู้ใหญ่ตั้งวงกินเหล้ากัน พวกเขาคุยกันเรื่องลูกพี่น้องคนนึงของฉันเรื่องผลการเรียนของเขา เป็นที่หนึ่งของโรงเรียนเลยล่ะ แล้วพ่อก็เริ่มเมา ทุบตีฉันต่อหน้าพวกญาติๆ ด่าทอฉันว่าเป็นตัวไร้ประโยชน์ ไม่มีใครห้ามเขาสักคน พ่อบอกว่าฉันเป็นเด็กเวรไม่น่าเกิดมา…”
น้ำเสียงเด็กหญิงสั่นลง ชญานนท์ได้แต่ยืนฟังเงียบๆ
“พอมาคิดดูดีๆแล้วก็มันก็เป็นเรื่องจริงน่ะนะ…ตอนไปรับผลสอบแล้วปรากฏว่าไม่ผ่านต้องซ้ำชั้นน่ะ…พ่อกับแม่ขายหน้ามากเลยล่ะ ลูกสาวตัวเองเรียนช้าไม่พอยังต้องซ้ำชั้น อยู่แค่ชั้นป.3ทั้งที่ควรจะไปเรียนประถมปลายได้แล้ว…”
มือบางเกาะราวระเบียงแน่น ชญานนท์ได้ยินเสียงสะอื้นและเสียงเปาะเปะเหมือนหยดน้ำตกลงกระทบอะไรสักอย่าง หากแต่ตัวเขายังอยู่เฉย ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนดู
“ตอนเกิดมาฉันสุขภาพไม่ค่อยดีเลยต้องเข้าห้องไอซียู…แต่มันถูกเสียที่ไหนล่ะ หนำซ้ำเป็นโรคอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายเลยต้องอยู่โรงพยาบาลยาว พ่อกับแม่เสียเงินไปหลายแสนเลย พอต้องอยู่โรงพยาบาลเลยเข้าเรียนได้ช้ากว่าเพื่อน เคยได้ยินแม่พูดเหมือนกัน…ว่าทำไมฉันต้องมาตั้งท้องเด็กอย่างแก ทำไมจะต้องมาเสียเงินเพื่อให้แกอยู่รอดด้วย”
ธัญญาพรหันหลังกลับมา ใบหน้าของเธอเปื้อนน้ำตา เธอยิ้มให้ชญานนท์อีกครั้ง “จำได้ไหมที่เคยบอกว่าชีวิตคนเราเป็นเหมือนนิทานน่ะ? นิทานของฉันมันเริ่มได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แถมตัวละครยังไม่ให้ความร่วมมือแสดงด้วย” เม้มปากแน่นปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “น้ำตา…มันเลอะจนทำให้อ่านหน้าต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ”
ราวกับรู้ความคิดของธัญญาพร ทำให้ชญานนท์เผลอตวาดเสียงดัง “ไม่ได้นะ!! เล่าต่อไปสิ!! นิทานของเธอน่ะ ฉัน…ฉัน…ยังมีฉันเป็นผู้ชมอยู่นะ…”
ธัญญาพรส่ายหน้า ยกมือขึ้นปาดน้ำตาและเส้นผมที่บังตา “ไม่ล่ะ…นิทานจบแล้วเด็กน้อย ไม่มีหน้าต่อไปแล้ว”
“มันยังไม่จบนะ!!”
“มันจบแล้ว” ว่าพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า “บนโลกนี้ยังมีนิทานน่าสนใจกว่านิทานของฉันอีกมากมายเลยนะนนท์ แถมอาจจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งกว่าของฉันด้วยก็ได้ สักวันเธอจะเจอนิทานที่ถูกใจ แล้วก็ต้องลืมนิทานเก่าๆไป นิทานเรื่องใหม่ของเธอจะถูกเขียนขึ้น บนหน้าต่อไป…ที่ไม่มีฉัน”
“ไม่มีนิทานเรื่องไหนสนุกเท่าเธออีกแล้ว” ทั้งขาและเสียงตัวเองเริ่มสั่น แต่ก็ยังคงพูดต่อไป “นิทานที่สนุก ทำให้ยิ้ม ทำให้หลับฝันดี ให้ข้อคิดดีๆ…เขียนมันขึ้นมาใหม่สิ ต่อหน้ากระดาษนั้นใหม่ เขียนตอนจบจนกว่าจะพอใจจนกว่าจะไม่มีกระดาษให้แทรกเข้าไปอีกแล้ว เขียนนิทานไม่รู้จบด้วยกันสิ!”
“…น่าเสียดายที่นิทานไม่รู้จบของฉันมันจบลงเร็วกว่าที่คิด…”
“ไม่เอานะ!!!” ร่างทั้งร่างทรุดลงกับพื้น “ไหนว่าสัญญากันไว้แล้วไง ไหนล่ะคำว่าตลอดไปของเธอ จะทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวงั้นหรอ จะทิ้งฉันไปไหนน่ะ”
เขาก้มหน้ามองพื้น เม้มปากแน่น กลั้นหยาดน้ำที่เริ่มเอ่อล้นจนทำให้ขอบตาร้อนผ่าว เสียงหวานใสเงียบไปทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง “ธัญ…”
“…วันนี้…ท้องฟ้าสวยจังเลยเนอะ…”
มือบางเอื้อมขึ้นเหมือนพยายามไขว่คว้าท้องฟ้า ที่ราวกับอยู่ใกล้มือแต่ก็เอื้อมไปไม่ถึง
“…รู้ไหม ฉันเคยฝันว่าอยากบินได้ล่ะ”
มือนั้นลดลงแนบลำตัว หลับตารับสายลมเย็นๆที่พัดมาทำให้คราบน้ำตาแห้งไป
“…เคยมีคนบอกเอาไว้ ว่าถ้าอยากจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็จะต้องดิ่งลงสู่พื้นเสียก่อน…”
ดวงตาสีดำของชญานนท์เบิกกว้าง เอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายแต่กลับถูกเสียงลมกลบจนทำให้ไม่ได้ยิน หลังของเด็กหญิงชิดขอบระเบียง อ้าแขนกว้างแล้วคลี่ยิ้มบางๆ
“…ฉันจะ…บินไปบนท้องฟ้าให้เธอดูนะนนท์…”
เอนร่างไปด้านหลัง แรงโน้มถ่วงดึงทำให้ร่างทั้งร่างตกลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว ชญานนท์นิ่งอยู่กับที่ ลมหายใจกระตุกเฮือกยามได้ยินเสียงดังปึงเหมือนของบางอย่างตกลงพื้นดินและเสียงกรีดร้องจากด้านล่าง ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายที่เปียกเหงื่อใต้ชุดนักเรียนสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ ยกมือทั้งสองข้างปิดหูและเริ่มกรีดร้อง
“ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”
วินาทีนั้น…ที่รู้ว่านิทานไม่รู้จบได้จบลงแล้ว
.
.
.
.
.
.
เฮือก…
ดวงตาเบิกกว้างท่ามกลางความมืด เสียงหอบหายใจรัวพร้อมเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ ร่างทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ชญานนท์เด้งตัวขึ้นจากเตียงยกมือขั้นปัดปอยผมที่รกหน้า
ฝัน…
หัวใจที่เต้นเร็วผิดจังหวะค่อยๆกลับไปเต้นตามปกติ ชญานนท์หลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน ปาดมือเช็ดเหงื่อที่ใบหน้า แกะกระดุมเสื้อนักเรียนเม็ดบนเพื่อให้หายใจได้คล่องขึ้น
เหลือบมองนาฬิกาข้างเตียง บอกเวลาตี3กว่า นี่เขาเผลอตื่นขึ้นมากลางดึกหรือนี่ จะให้หลับต่อก็หลับไม่ลงเสียด้วยสิ แล้วจะทำอย่างไรล่ะทีนี้
เมื่อไม่มีทางเลือก ชญานนท์จึงลุกขึ้นจากเตียงกลับไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์อีกครั้ง กดเปิดเครื่องหลับตารอคอมพิวเตอร์ที่กำลังเริ่มทำงาน เผลอพ่นลมหายใจแรง ยกมือขึ้นสูงและเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้า
ถ้าตอนนั้น คว้าเอาไว้…
จะเป็นยังไงนะ…
“จะเป็นยังไง…” เอ่ยทวนความคิดตน เสียงของคอมพิวเตอร์ที่เปิดเครื่องแล้วทำให้ชญานนท์ได้สติ เลื่อนเมาส์คลิกเปิดโปรแกรม Microsoft Office Word ขึ้นมา บันทึกประจำที่เขียนไว้ล่าสุดปรากฏต่อสายตา เด็กหนุ่มกดปุ่มแก้ไขและเริ่มพิมพ์ต่อ เสียงก๊อกแก๊กจากคีย์บอร์ดดังขึ้นอีกครั้ง
หรือว่า…จะหายไปจริงๆเลย?
ไม่เอาหรอก ใครจะยอมให้นิทานเล่มโปรดหายไปได้ง่ายๆ
นิทานของฉัน ฉันจะเขียนมันต่อให้จบ จะเขียนไปเรื่อยๆแม้หน้ากระดาษจะหมด
จะไม่ยอมให้หน้ากระดาษฉีกหายหรือเปียกน้ำจนอ่านไม่ได้ไปแม้แต่แผ่นเดียว
วันพรุ่งนี้จะเล่านิทาน…ต่อแล้วนะ
|
เคาะแป้นพิมพ์อีกสองสามครั้ง บันทึกประจำวันนี้เสร็จสมบูรณ์ แม้จะเพิ่งได้มาเขียนในวันใหม่ แต่สนใจเสียเมื่อไหร่กันเล่า ชญานนท์คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างไม่มีสาเหตุ เอนหลังชิดพนักเก้าอี้ หลับตาทวนความฝันหรือก็คือเหตุการณ์ในอดีต
นิทานของฉันที่ไม่มีเธอ
หน้ากระดาษที่ไม่มีเรื่องเธอเขียนอยู่
ตอนจบที่ไม่ได้เขียนถึงเธอเลยแม้แต่นิด
นาฬิกาบอกเวลาตี4 หมายความว่าเหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมงในการเล่นนู่นเล่นนี่ เด็กหนุ่มเปิดเว็บบอร์ดของโรงเรียน ไม่ได้สนใจพวกคอมเม้นบ้าๆที่แลดูไร้สาระของนักเรียนที่คุยเล่นกันในเว็บบอร์ด นิ้วเรียวกดปุ่มบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วและเชี่ยวชาญ พริบตาเดียวก็ได้ของเล่นใหม่มา ชญานนท์จ้องมองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
“เจอแล้ว…” เลื่อนเมาส์แล้วกดเซฟข้อมูลเอาไว้ ข้อความหลายบรรทัดถูกย้ายเข้าไปในไฟล์ลับส่วนตัวของแฮกเกอร์มือฉมัง ใส่ชื่อไฟล์สำคัญลงไปก่อนมองดูผลงานตัวเอง
‘คดีปริศนาการตายของเด็กนักเรียนดานาซัส’
นิทานที่จะเล่าต่อจากนี้
เธอพร้อมจะฟังหรือยังล่ะ?
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
· ขอกรี๊ดดังๆลั่น(หมู่)บ้านเจ้าค่ะ เอร๊ยยยยย เขียนเสร็จจนได้ เรื่องสั้นเรื่องแรกในชีวิต!(ปกติแต่งเรื่องยาว แต่ไม่จบซักเรื่อง)
· เรื่องสั้นเรื่องนี้เนลได้ไปยืมตัวละครมาจากนิยายเรื่อง Secondary school สั่นหัวใจค้นหาความจริง ของท่าน Queens of wretched ชญานนท์ วรพงศ์สิริคือลูกชายคนล่าสุด(?)ของเนลที่ไปกรอกใบสมัครมากค่ะ -..- ตอนกรอกเกิดอยากแต่งเรื่องสั้นของลูกชายขึ้นมาเลยไปขออนุญาตเจ้าของเรื่องเขา ทั้งนี้ก็ต้องชอบคุณกลอนซังเจ้าของเรื่องที่อนุญาตให้นำมาเขียนเป็นเรื่องสั้น และมุกซังที่สนับสนุนนะคะ ถ้าสนใจก็สามารถกดลิ้งค์ข้างบนไปอ่านนิยายของกลอนซังได้เลยค่ะ^^!
· มาคุยเรื่องลูกชายดีกว่า เป็นลูกที่รักมากถึงขนาดไปค้นชื่อดีๆมาจากหนังสือตั้งชื่อเด็กเลยนะนั่น!(ลงทุนม๊ากกกกก ชื่อชญานนท์แปลว่าพึงใจในความรู้ค่ะ แต่ไม่ใช่ชื่อผู้หญิงนะน่อ) เรื่องนี้เหมือนจะสื่อความเป็นฮิคิโคโมริแล้วก็แฮกเกอร์ยุ่งเรื่องชาวบ้านของเจ้าลูกชายได้ไม่ดีพอ เพราะตั้งใจจะเขียนแค่ฉากในวัยเด็ก (. . ) และจากที่ไปนั่งคิดนอนคิดอยู่ตั้งนานก็ทำให้เกิดเป็น ธัญญาพร กมลววรธ เด็กหญิงผู้ร่าเริงแต่ดันมาโดดตึกตายไปเสียก่อนนี่
· อยากจะเขียนในแนวมิตรภาพ แต่เขียนไปเขียนมากลับรู้สึกว่าเจ้านนท์เหมือนจะชอบหนูธัญนะ? 555+ สื่อความได้ไม่ดี ขออภัยค่ะ…
· ว่าแต่เรื่องสั้นนี่เขาเขียนกันกี่หน้าอ่ะคะ เนลเขียนเพลิน16หน้าเวิร์ดเลย=_=เท่าหนึ่งตอนของเรื่องยาวเนลเลยนะ
· สิ้นคิดกับประโยคสุดท้าย เอาเรื่องนิทานมาอ้างจนได้ กร๊ากกกกกก แอบสงสัยว่านิทานมันเกี่ยวอะไรกับฮิคิโคโมริวะ?
· จริงๆอยากคุยยาวแต่กลัวทุกคนรำคาญ งั้นจบโซนพล่ามไว้เพียงเท่านี้ละกันค่ะ สวัสดีค่ะ;w;
ผลงานอื่นๆ ของ nel-nail ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ nel-nail
ความคิดเห็น