My short Story นิทานที่ไม่มีเธอ - My short Story นิทานที่ไม่มีเธอ นิยาย My short Story นิทานที่ไม่มีเธอ : Dek-D.com - Writer

    My short Story นิทานที่ไม่มีเธอ

    โดย nel-nail

    เรื่องสั้นของเจ้าลูกชายค่ะ ตัวละครจากนิยายเรื่องSecondary school สั่นหัวใจค้นหาความจริง

    ผู้เข้าชมรวม

    528

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    10

    ผู้เข้าชมรวม


    528

    ความคิดเห็น


    4

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  22 ต.ค. 55 / 11:07 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

     

     


    นิทานของฉันที่ไม่มีเธอ

    หน้ากระดาษที่ไม่มีเรื่องเธอเขียนอยู่

    ตอนจบที่ไม่ได้เขียนถึงเธอเลยแม้แต่นิด

    พร้อมจะฟังหรือยังล่ะ?




     

    ---------------------------------------------------------

    สวัสดีค่ะ ตัวข้าน้อยมีชื่อว่าเนล
    เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นการนำตัวละครจากนิยายเรื่องนึงมาเขียนค่ะ
    โดยเนลได้เขียนอ้างอิงตัวละครมาจากนิยายเรื่อง Secondary school สั่นหัวใจค้นหาความจริง
    ซึ่งเขียนโดยกลอนซัง หรือริวซังค่ะ ทั้งนี้ขอบพระคุณเจ้าของเรื่องมากๆที่อนุญาตให้นำมาเขียน

    ตัวเอกของเรื่องสั้นนี้คือ 'ชญานนท์ วรพงศ์สิริ' เด็กหนุ่มวัย14ที่เป็นฮิคิโคโมริและแฮกเกอร์มือฉมัง
    เรื่องสั้นนี้เขียนถึงฉากของชญานนท์ในวัยเด็ก กับสาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นโรคตัดขาดจากสังคม
    ถ้าพร้อมแล้ว...เชิญฟังนิทานได้เลยค่ะ










     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

                นิ้วเรียวเคาะลงบนคีย์บอร์ดก่อให้เกิดเสียงดังก๊อกแก๊กท่ามกลางความเงียบ ภายในห้องมืดมีเพียงแสงสว่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น  บันทึกประจำวันกำลังจะถูกเขียนลงโปรแกรม เคาะแป้นพิมพ์อีกสองสามครั้งก่อนลงมือเขียน

                ชญานนท์ วรพงศ์สิริเรื่องราวของเขากำลังถูกเขียนลงไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ใหญ่ยักษ์ที่ตัวเด็กหนุ่มแสนจะภูมิใจ  ใบหน้าเฉยชาต่อทุกสิ่งถูกแสงจากหน้าจอทาบแต่ก็ไร้ความรู้สึกใดๆ  เด็กหนุ่มยังพิมพ์บันทึกประจำวันของวันนี้ต่อไปเรื่อยๆ  นิ้วเรียวกดไปตามตัวอักษรต่างๆบนแป้นพิมพ์จนเกิดเป็นคำขึ้นมา

       

       

       

      วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

       

       

      วันนี้ที่ชมรมก็ยังวุ่นวายอีกอย่างเคย

       

       

       

                ดวงตายังคงจดจู่อยู่กับสิ่งตรงหน้า   เคาะ enter อีกครั้งแล้วเริ่มพิมพ์ประโยคต่อมา

       

       

       

      วันนี้ที่ชมรมก็ยังวุ่นวายอีกอย่างเคย

       

      ฉันบังเอิญไปแฮกได้ข้อมูลสำคัญเข้า ถูกใจเจ้าพวกนั้นมากด้วย

       

      ข้อมูลของโรงเรียนที่ถูกเก็บไว้เป็นความลับขั้นสุดยอด แต่ระบบของมันแฮกง่ายยิ่งกว่าอะไรเสียอีก

       

      น่าเบื่อพรุ่งนี้จะโดดเรียนดีไหมนะ  แกล้งป่วยจะได้ไม่ต้องเข้าชมรม  หรือจะแกล้งหายตัวไปให้พวกนั้นตามหา

       

       

                มือชะงักค้างไปแวบหนึ่ง แต่ก็ลงมือพิมพ์ต่อ

       

       

       

       

       

      หรือว่าจะหายไปจริงๆเลย?

       

       

       

       

       

                “หายไปงั้นหรอ” ปากพึมพำกับประโยคที่พิมพ์ลงไปเมื่อครู่ แวบหนึ่งที่แววตาสะท้อนภาพอะไรบางอย่างขึ้นมา แต่แค่กระพริบตาก็หายไป ชญานนท์ไม่ยอมพิมพ์ต่อ  บางทีบันทึกประจำวันที่7 พฤษภาคม ควรจะจบลงแค่นี้มือของเด็กหนุ่มเลื่อนขยับเมาส์ให้กดเครื่องหมายกากบาทที่มุมขวา รูปของโปรแกรม Microsoft Office Wordหายไป ความเงียบก่อขึ้นอีกครั้งเมื่อไม่มีเสียงก๊อกแก๊กเปาะแปะยามเคาะแป้นพิมพ์ เสียงลมหายใจของตัวเด็กหนุ่มเองก็แผ่วเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน

                ชญานนท์ถอนหายใจ กดชัตดาวน์เครื่อง  ลุกออกจากเก้าอี้และตรงปี่ไปยังเตียงของตัวเอง เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอน  ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกเหนื่อยอ่อนนี่มันอะไร ชญานนท์ยกมือข้างหนึ่งก่ายหน้าผาก หรี่ตาลงมองเพดานห้อง ในห้องของเขาตอนนี้มืดสนิท ดวงตาค่อยๆปิดลงอย่างแช่มช้า ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

       

                .

                .

                .

                .

                .

                .

       

       

                “วันนี้เรียนสนุกไหมลูก”

       

      นั่นคือคำถามระดับสามัญที่ผู้เป็นพ่อหรือแม่ชอบถามบุตรของตัวเองหลังพวกเขากลับมาจากโรงเรียน  แต่จะมีพ่อแม่สักกี่คนที่ทำเป็นไม่เห็นใบหน้าบูดบึ้งของลูกแล้วถามคำถามพรรค์นั้นออกมา

       

      “ครับ” ชญานนท์ในวัยเด็กตอบ ทั้งที่ใบหน้าไม่มีอารมณ์จะตอบคำถามใดๆ “สนุกดี

      “คุณครูเล่าให้ฟังว่าหนูตอบคำถามของครูถูกด้วยเก่งมากๆเลยจ๊ะ” ผู้เป็นแม่ชมด้วยรอยยิ้ม

      แต่ลูกชายกลับไม่มีรอยยิ้มตามคำชมนั้น

       

      คำถามโจทย์เลขของเด็กประถมที่เขาเห็นผ่านตามาไม่รู้กี่ร้อยครั้ง ใครตอบไม่ได้ก็บ้าแล้ว

       

      “นนท์ต้องตั้งใจเรียนนะครับ โตขึ้นจะได้ช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงาน” พ่อบอก

      “แต่อย่าหักโหมไปนะลูก นานๆทีก็ออกไปเล่นกับเพื่อนๆบ้าง” แม่บอก

      ………” ชญานน์เงียบ

       

      เด็กน้อยวัย9ขวบเหม่อมองทิวทัศน์ผ่านกระจกรถ นึกทวนคำพูดของผู้เป็นแม่

       

      เพื่อน

       

      ชญานนท์ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเขาทราบหรือเปล่า ไม่รู้คุณครูจะเล่าให้พวกท่านฟังหรือไม่ ว่าตัวเด็กชายนั้นไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียว ทั้งเพื่อนในห้องและเพื่อนร่วมชั้นต่างก็ไม่มีใครเคยเล่นกับเขาซักคน เพราะว่าเขาเป็นเด็กที่เงียบขรึมไม่ยุ่งกับใครและไม่เปิดปากพูดจากับใคร เวลาว่างก็ชอบอยู่คนเดียว พวกเพื่อนๆเลยไม่ค่อยสนิทด้วย

      ช่างมันไม่มีเพื่อนก็ไม่ตาย  เด็กชายส่ายหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไป  เขาเคยได้ยินว่านอกจากสมองแล้ว อย่างอื่นน่ะช่างมันเถอะ  นั่นหมายความว่าเขาจะต้องพึ่งพาแต่สมองตนเอง  คนอื่นๆน่ะไม่จำเป็น

      แน่นอน ไอ้สิ่งที่เรียกว่าเพื่อนด้วย

       

       

       

       

       

       

      เช้าวันต่อพ่อแม่ของเขาก็ขับรถพาไปส่งที่โรงเรียนเหมือนอย่างเคย เด็กชายยกมือไหว้สวัสดีคุณครูที่หน้าโรงเรียนและพ่อแม่ เขาเดินเข้าห้องเรียนด้วยสีหน้านิ่งเฉยขัดกับวัยตนสุดๆ เพื่อนในห้องไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรมากเมื่อชญานนท์ก้าวเข้ามาในห้อง

      ชญานนท์วางกระเป๋าเป้ลงและนั่งลงบนเก้าอี้  ในขณะที่เพื่อนคนอื่นๆจับกลุ่มคุยและเล่นกัน  เด็กชายนั่งเท้าคางเหม่อมองกระดานดำที่ยังไม่ได้เขียนอะไรเลย  เสียงดังรอบตัวไม่ได้เข้าโสตประสาทหูของเด็กชายแต่อย่างใด แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งมาดังข้างๆหู

       

      “แบร่!

       

      เฮือก!!  ชญานนท์สะดุ้ง เผลอแสดงสีหน้าตกใจออกไป เด็กชายหน้าซีดเล็กน้อยถอยหลังชิดพนักเก้าอี้  เสียงหวานใสเมื่อครู่หัวเราะเมื่อเห็นปฏิกิริยาตกใจเกินคาดของเด็กชายผู้เงียบขรึม

       

      “ฮะๆ ตกใจขนาดนั้นเลยหรอ”

      ………” ชญานนท์ไม่ตอบ เม้มปากแน่น ไม่อยากยอมรับว่าตกใจมากจริงๆ

      “อ๊ะ โกรธหรอ” เด็กหญิงเจ้าของเสียงหวานถาม  ชญานนท์จ้องหน้าเด็กหญิง  ไม่คุ้นหน้าหรืออาจเคยเห็นแต่เขาไม่ได้จำ  ที่สำคัญคือเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นใคร เด็กสาวพอเห็นชญานนท์จ้องตนก็หัวเราะอีกครั้งก่อนฉีกยิ้ม ชูนิ้วก้อยขึ้นมาทำให้ชญานนท์ผงะไปและงุนงงเป็นอย่างมาก “ฉันชื่อธัญเธอชื่อนนท์ใช่ไหม เมื่อกี้ต้องขอโทษจริงๆนะ”

      ธัญงั้นหรอชยานนท์มองนิ้วก้อยของอีกฝ่ายเด็กหญิงที่ชื่อธัญเอียงคอด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นอะไร

      “นี่น่ะเป็นสัญลักษณ์แห่งการคืนดี ถ้าเกี่ยวก้อยกลับมาก็เป็นอันว่าหายกัน” ธัญอธิบายอย่างกระตือรือร้นและไร้เดียงสา ชญานนท์ขมวดคิ้ว เขาไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ธัญบอกเสียเท่าไหร่ เพราะเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้

      เกี่ยวก้อยแล้วหายกัน ไม่เข้าใจหรอก แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดว่าเขาเป็นเด็กขี้งอน ชญานนท์ยื่นมาเข้าไปเกี่ยวก้อยด้วย แต่ยังเก้ๆกังๆเพราะไม่เคยทำจึงได้แค่แตะนิ้วก้อยของอีกฝ่ายเบาๆ  เด็กชายรู้สึกประหม่าบอกไม่ถูกขณะที่เด็กหญิงฉีกยิ้มน่ารักมาให้ตน

       

      นั่นคือการจุดเริ่มต้นของนิทานไม่รู้จบ

       

       

       

       

      ชญานนท์ได้รู้จักกับเด็กหญิงผู้ร่าเริงและสดใสตลอดเวลาที่ชื่อว่าธัญ  เธอเป็นมิตรกับคนทั่วไป ทั้งเพื่อนในห้องและคุณครูต่างก็รักและรู้จักเธอเป็นอย่างดี ชื่อจริงคือ ธัญญาพร กมลวรรธ  เป็นเรื่องบังเอิญที่จู่ๆเด็กหญิงก็ย้ายมานั่งใกล้โต๊ะเรียนเขา ทั้งที่ไม่ใครอยากจะมานั่ง  ธัญญาพรร่าเริงตลอดเวลา แทบไม่มีเวลาไหนเลยที่เธอจะไม่ยิ้มไม่หัวเราะ

      จากที่ชญานนท์ทราบมาจากครูประจำชั้น ธัญญาพรแก่กว่าเขา2ปี เพราะเธอเข้าเรียนช้ากว่าเพื่อน1ปี และผลการเรียนสมัยเด็กไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยทำให้เคยเรียนซ้ำชั้น หมายความว่าเธออายุมากกว่าใครในชั้น เพื่อนๆทุกคนรักเธอและเรียกเธอว่าพี่คงจะมีแต่เขาเท่านั้นที่ไม่เรียก

       

      ธัญญาพรเริ่มสนิทกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ จากนั่งข้างกันกลายเป็นเดินตามกันไปทุกที่ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ชญานนท์ยอมให้เด็กหญิงมาอยู่ข้างๆ เขาเริ่มจะปริปากพูดกับคนอื่นมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะธัญญาพรที่คะยั้นคะยอให้เขาเริ่มผูกมิตรกับเพื่อนคนอื่นในห้อง   ใครซักคนบอกเขา ว่าตอนนี้เขากลายเป็นเพื่อนสนิทกับธัญญาพรไปแล้ว  เขาไม่ได้สนใจคำพูดนั้นเท่าไหร่ แต่ก็เริ่มจะรู้อะไรขึ้นมาบ้าง

      สิ่งนี้ที่เรียกว่าเพื่อน

       

                ชญานนท์รู้แค่ว่าธัญญาพรชอบท้องฟ้า ชอบทุ่งหญ้า และชอบบรรยากาศที่อบอุ่น ตัวเด็กหญิงมักจะพาเขาขึ้นมาที่ชั้นดาดฟ้าของโรงเรียนบ่อยๆ เธอบอกว่าเพราะมันทำให้เห็นท้องฟ้าชัดดี  เขารู้เกื่ยวกับธัญญาพรไม่กี่อย่าง ต่างกับธัญญาพรที่เหมือนจะรู้ไปหมดว่าเขาชอบอะไร เกลียดอะไร เป็นอย่างไร

       

                “ชื่อเธอเหมือนเด็กผู้หญิงเลยนะนนท์” ธัญญาพรหัวเราะ เขาทำหน้าบึ้งขึ้นมานิดหน่อย

                “ไม่เห็นจะเหมือนตรงไหนเลย” เขาเถียงกลับ

                “ตัวเธอก็เล็กเหมือนเด็กผู้หญิง”

                “นั่นเป็นเพราะว่าเธอสูงกว่าฉันต่างหาก”

                “จ๊ะๆ ไม่เหมือนก็ไม่เหมือน”

       

                ธัญญาพรหัวเราะ เขาไม่เคยเห็นเธอคนนี้ร้องไห้เลยซักครั้งแม้แต่ตอนโกรธตอนหงุดหงิดก็ไม่ยักเคยเห็น  แต่เขาก็ยอมรับว่าไม่อยากเห็นธัญร้องไห้เสียน้ำตาหรือโกรธเกรี้ยว ชอบเวลาเธอมีรอยยิ้ม ชอบเสียงหัวเราะของเธอ ชอบใบหน้าที่น่ารักของเธอ ชอบวันเวลาที่ได้อยู่กับเธอ

                ชอบอะไรอีกล่ะ

       

                “มา! เกี่ยวก้อยกัน!

               

      จู่ๆเด็กหญิงก็ยื่นนิ้วก้อยให้เขาเหมือนครั้งแรกที่เจอกัน  ชยานนท์ก็มองอย่างงุนงงเหมือนครั้งแรก

       

      “อะไรน่ะ”

      “เกี่ยวก้อยไง” ธัญญาพรหัวเราะคิกคิกน่ารัก

      “แต่ฉันไม่ได้โกรธเธอนะ”

      “ไม่หรอก การเกี่ยวก้อยไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งการคืนดีเสมอไปนะ แต่หมายถึงการสัญญาด้วย”

      สัญญาหรอเรื่องอะไร

      “สัญญาเรื่องอะไร?”

      “สัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป!

       

      ธัญญาพรตอบอย่างฉะฉาน ชญานนท์ผงะไปก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา ธัญญาพรมองอย่างงุนงง เขากุมท้องเพราะจุกแต่ยังไม่หยุดหัวเราะ ยื่นมืออีกข้างไปข้างหน้า

       

      “ฮะๆ ก็ได้ สัญญา” ชญานนท์หยุดหัวเราะแล้วยิ้มให้ “จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

      “เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป!

      “เราจะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

       

      นิ้วก้อยของทั้งคู่ชนกัน แต่ครั้งนี้ชญานนท์กล้าที่จะเกี่ยวก้อยอีกฝ่ายไว้ด้วยความเชื่อมั่นจากใจจริง ธัญญาพรยิ้มให้เหมือนทุกครั้ง  สายลมที่พัดมาทำให้ผมยาวสีดำของเธอปลิวไสว  ความอบอุ่นที่สื่อถึงกันผ่านนิ้วเล็กๆทำให้เขา

      รู้สึกอยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้

       

       

      นิทานไม่รู้จบเดินมาถึงกลางเรื่องแล้ว

       

       

      ครั้งหนึ่งชญานนท์เคยได้ยินธัญญาพรบอกเอาไว้ว่าชีวิตของคนแต่ละคนก็คือนิทานเรื่องหนึ่ง แต่ละเรื่องจะมีผู้เล่าที่ต่างกันไป ผู้เล่าที่อยากเล่าให้นิทานจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง หรือเล่าให้จบอย่างไม่มีความสุข และผู้คนที่อยู่รอบตัวเราก็คือตัวละครในนิทานที่มีบทบาทสำคัญมากมาย ธัญญาพรเป็นคนช่างคิดช่างฝัน ฝันของเธอช่างไร้เดียงสา แต่เขาก็แอบอมยิ้มทุกครั้งเมื่อนึกภาพตามฝันของเธอ

      เขาเคยคิดว่าอยากจะให้ทุกวันไปเช่นนี้ตลอดไป เมื่อพลิกหน้ากระดาษหน้าต่อไปนิทานเรื่องนี้จะมีแต่เธอมีแต่เรื่องของเธอ จะเป็นนิทานไม่รู้จบที่มีเธอเป็นตัวละคร จะมีแต่เรื่องของเธอจนหน้าสุดท้ายของนิทาน

      แต่แล้ววันหนึ่งทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป

      กลางเดือนพฤศจิการยน ธัญญาพรหายหน้าไปเป็นอาทิตย์ และกลับมาเรียนตามปกติหลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ ก่อนหน้านั้นเขาพยายามติดต่อเธอแต่ก็ไม่ได้ผล  ชญานนท์ลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างเผลอตัวและดีใจเมื่อเห็นว่าใครที่เดินเข้ามาในห้องเรียน  แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใบหน้านั้น

      ใบหน้าที่มัวหมองไม่มีความสุขนั้นคืออะไร

       

      “ธัญเป็นอะไรหรือเปล่า” เขารู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ใบหน้าเศร้าหมองของเธอนี่มันคืออะไร แล้วความรู้สึกกังวลในใจนี่มันคืออะไร ลางสังหรณ์บางอย่างในตัวบอกให้ชญานนท์รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติ

      ธัญญาพรเงียบไปก่อนจะฉีกยิ้มให้เหมือนเดิม “เปล่าจ๊ะ ไม่มีอะไรหรอก”

      “ไปไหนมาน่ะ” ทำไมถึงรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นไม่ใช่รอยยิ้มที่ร่าเริงเหมือนเคย

      “อ๋อ ไปเที่ยวกับครอบครัวที่ต่างจังหวัดมาน่ะ ฉันซื้อของฝากมาให้นนท์ด้วยนะ”

      มือที่อบอุ่นคว้ามือเขาไปแล้วนำอะไรบางอย่างวางไว้บนนั้น ชญานนท์มองตาไม่กระพริบ “เป็นสร้อยคอนำโชคน่ะ ขอโทษนะที่หาได้แต่ของแบบนี้ ฉันรู้ว่าเด็กผู้ชายอย่างนนท์คงไม่ชอบหรอก แต่ถ้าพกติดตัวเอาไว้ตลอดจะทำให้โชคดีนะ”

      ชญานนท์เม้มปากแน่นเมื่อมองสร้อยรูปกางเขนทำจากไม้ ความรู้สึกบางอย่างจากธัญญาพรถ่ายทอดมาที่ตัวเขาผ่านสร้อยนี่ “ขอบคุณนะ

      “ฉันอยากขอโทษที่หายไปไม่บอกเธอนะ” เขาคว้ามือธัญญาพรมาเกี่ยวก้อยก่อนเธอจะพูดจบ เด็กหญิงตกใจเล็กน้อย ชญานนท์พูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

      “ฉันไม่โกรธเธอแล้ว หายกันนะ” ขอร้องล่ะ ได้โปรดอย่าทำเสียงเศร้าแบบนั้นเลย

      ธัญญาพรมองอย่างตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะออกมา แล้วเกี่ยวก้อยตอบ

       

      “นนท์ วันนี้หลังเลิกเรียนขึ้นไปบนดาดฟ้ากัน” ธัญยาพรเอ่ยชวนเหมือนปกติ เขาพยักหน้าตอบ และนั่งลงเตรียมตัวพร้อมกับคาบเรียนแรกที่จะเริ่ม นั่งฟังที่ครูสอนไปโดยเหลือบมองร่างที่นั่งอยู่ข้างๆเป็นระยะ

      เป็นห่วง

      กังวล

      ใจหาย

      ความรู้สึกที่เด็กป.3อย่างเขาเพิ่งเคยเป็น ความรู้สึกมากมายพวกนี้คืออะไร ทำไมถึงเป็นอย่างนี้

      เพราะเธอหรือเปล่า

       

       

       

       

       

       

      หลังเลิกเรียน  นักเรียนคนอื่นๆกลับกันไปเกือบหมดแล้ว ยังมีส่วนหนึ่งที่อยู่ที่โรงเรียนแต่ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กโตมากกว่า เด็กประถมต้นอย่างชญานนท์ก้าวขึ้นบันไดช้าๆตามหลังธัญญาพร  เขาคิดไปว่าเด็กหญิงหายไปนานคงจะคิดถึงภาพบรรยากาศท้องฟ้ายามเย็นที่มักเฝ้ามองจากที่แห่งนี้

      ธัญญาพรไม่พูดอะไรเลยขณะเดินขึ้นมายังดาดฟ้าชั้นบนสุด เงียบผิดปกติทั้งๆที่อยากจะเห็นใบหน้ายิ้มแย้มแล้วก็อยากได้ยินเสียงหัวเราะของเธอแท้ๆ

       

      “ธัญ” ร้องเรียกออกไปเสียงเบา แต่ร่างนั้นก็ไม่หันกลับมา  เมื่อถึงที่หมาย เด็กหญิงเปิดประตูขึ้น ภาพดาดฟ้าที่คุ้นเคยปรากฏแก่สายตา ทั้งเด็กชายและเด็กหญิงก้าวเข้าไป สายลมยามเย็นพัดมาทำให้เส้นผมปลิวตามลม

       

      ยามนี้ใบหน้าของเด็กหญิงนิ่งสงบ ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เดินตรงเข้าไปที่ระเบียงยิ่งทำให้สายลมพัดผมที่ปลิวไสวมากยิ่งขึ้น ธัญญาพรเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วหัวเราะเสียงเบา “วันนี้ท้องฟ้าก็สวยเหมือนเดิมเลยนะ”

      ………” ชญานนท์ไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ เด็กชายยังหยุดอยู่ที่เดิมเว้นระยะห่างจากเพื่อนสนิท เงยหน้ามองท้องฟ้าเช่นกัน

       

      “แปลกเนอะ ไม่รู้ว่าทำไม” เสียงพึมพำแผ่วเบา “ท้องฟ้าที่น่าเบื่อนี่ยังเป็นสีฟ้า”

      ………

      “อาทิตย์ก่อนฉันไปเที่ยวกับพ่อแม่แล้วก็ญาติคนอื่นๆที่ต่างจังหวัด  ตอนตกเย็นพวกผู้ใหญ่ตั้งวงกินเหล้ากัน พวกเขาคุยกันเรื่องลูกพี่น้องคนนึงของฉันเรื่องผลการเรียนของเขา เป็นที่หนึ่งของโรงเรียนเลยล่ะ  แล้วพ่อก็เริ่มเมา ทุบตีฉันต่อหน้าพวกญาติๆ ด่าทอฉันว่าเป็นตัวไร้ประโยชน์  ไม่มีใครห้ามเขาสักคน พ่อบอกว่าฉันเป็นเด็กเวรไม่น่าเกิดมา

      น้ำเสียงเด็กหญิงสั่นลง ชญานนท์ได้แต่ยืนฟังเงียบๆ

      “พอมาคิดดูดีๆแล้วก็มันก็เป็นเรื่องจริงน่ะนะตอนไปรับผลสอบแล้วปรากฏว่าไม่ผ่านต้องซ้ำชั้นน่ะพ่อกับแม่ขายหน้ามากเลยล่ะ ลูกสาวตัวเองเรียนช้าไม่พอยังต้องซ้ำชั้น อยู่แค่ชั้นป.3ทั้งที่ควรจะไปเรียนประถมปลายได้แล้ว

      มือบางเกาะราวระเบียงแน่น  ชญานนท์ได้ยินเสียงสะอื้นและเสียงเปาะเปะเหมือนหยดน้ำตกลงกระทบอะไรสักอย่าง หากแต่ตัวเขายังอยู่เฉย ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนดู

       

      “ตอนเกิดมาฉันสุขภาพไม่ค่อยดีเลยต้องเข้าห้องไอซียูแต่มันถูกเสียที่ไหนล่ะ หนำซ้ำเป็นโรคอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายเลยต้องอยู่โรงพยาบาลยาว พ่อกับแม่เสียเงินไปหลายแสนเลย พอต้องอยู่โรงพยาบาลเลยเข้าเรียนได้ช้ากว่าเพื่อน  เคยได้ยินแม่พูดเหมือนกันว่าทำไมฉันต้องมาตั้งท้องเด็กอย่างแก ทำไมจะต้องมาเสียเงินเพื่อให้แกอยู่รอดด้วย”

      ธัญญาพรหันหลังกลับมา ใบหน้าของเธอเปื้อนน้ำตา เธอยิ้มให้ชญานนท์อีกครั้ง “จำได้ไหมที่เคยบอกว่าชีวิตคนเราเป็นเหมือนนิทานน่ะ? นิทานของฉันมันเริ่มได้ไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แถมตัวละครยังไม่ให้ความร่วมมือแสดงด้วย” เม้มปากแน่นปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “น้ำตามันเลอะจนทำให้อ่านหน้าต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ”

      ราวกับรู้ความคิดของธัญญาพร ทำให้ชญานนท์เผลอตวาดเสียงดัง “ไม่ได้นะ!! เล่าต่อไปสิ!! นิทานของเธอน่ะ ฉันฉันยังมีฉันเป็นผู้ชมอยู่นะ

      ธัญญาพรส่ายหน้า ยกมือขึ้นปาดน้ำตาและเส้นผมที่บังตา “ไม่ล่ะนิทานจบแล้วเด็กน้อย ไม่มีหน้าต่อไปแล้ว”

      “มันยังไม่จบนะ!!

      “มันจบแล้ว” ว่าพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า “บนโลกนี้ยังมีนิทานน่าสนใจกว่านิทานของฉันอีกมากมายเลยนะนนท์ แถมอาจจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งกว่าของฉันด้วยก็ได้ สักวันเธอจะเจอนิทานที่ถูกใจ แล้วก็ต้องลืมนิทานเก่าๆไป นิทานเรื่องใหม่ของเธอจะถูกเขียนขึ้น บนหน้าต่อไปที่ไม่มีฉัน”

      “ไม่มีนิทานเรื่องไหนสนุกเท่าเธออีกแล้ว” ทั้งขาและเสียงตัวเองเริ่มสั่น แต่ก็ยังคงพูดต่อไป “นิทานที่สนุก ทำให้ยิ้ม ทำให้หลับฝันดี ให้ข้อคิดดีๆเขียนมันขึ้นมาใหม่สิ ต่อหน้ากระดาษนั้นใหม่ เขียนตอนจบจนกว่าจะพอใจจนกว่าจะไม่มีกระดาษให้แทรกเข้าไปอีกแล้ว เขียนนิทานไม่รู้จบด้วยกันสิ!

      น่าเสียดายที่นิทานไม่รู้จบของฉันมันจบลงเร็วกว่าที่คิด

      “ไม่เอานะ!!!” ร่างทั้งร่างทรุดลงกับพื้น “ไหนว่าสัญญากันไว้แล้วไง ไหนล่ะคำว่าตลอดไปของเธอ จะทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวงั้นหรอ จะทิ้งฉันไปไหนน่ะ”

      เขาก้มหน้ามองพื้น เม้มปากแน่น กลั้นหยาดน้ำที่เริ่มเอ่อล้นจนทำให้ขอบตาร้อนผ่าว เสียงหวานใสเงียบไปทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมอง “ธัญ

       

      วันนี้ท้องฟ้าสวยจังเลยเนอะ

       

      มือบางเอื้อมขึ้นเหมือนพยายามไขว่คว้าท้องฟ้า ที่ราวกับอยู่ใกล้มือแต่ก็เอื้อมไปไม่ถึง

       

      รู้ไหม ฉันเคยฝันว่าอยากบินได้ล่ะ”

       

      มือนั้นลดลงแนบลำตัว หลับตารับสายลมเย็นๆที่พัดมาทำให้คราบน้ำตาแห้งไป

       

      เคยมีคนบอกเอาไว้ ว่าถ้าอยากจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็จะต้องดิ่งลงสู่พื้นเสียก่อน

       

      ดวงตาสีดำของชญานนท์เบิกกว้าง เอ่ยเรียกชื่อของอีกฝ่ายแต่กลับถูกเสียงลมกลบจนทำให้ไม่ได้ยิน หลังของเด็กหญิงชิดขอบระเบียง อ้าแขนกว้างแล้วคลี่ยิ้มบางๆ

       

      ฉันจะบินไปบนท้องฟ้าให้เธอดูนะนนท์

       

      เอนร่างไปด้านหลัง แรงโน้มถ่วงดึงทำให้ร่างทั้งร่างตกลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว  ชญานนท์นิ่งอยู่กับที่ ลมหายใจกระตุกเฮือกยามได้ยินเสียงดังปึงเหมือนของบางอย่างตกลงพื้นดินและเสียงกรีดร้องจากด้านล่าง  ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายที่เปียกเหงื่อใต้ชุดนักเรียนสั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ ยกมือทั้งสองข้างปิดหูและเริ่มกรีดร้อง

       

      “ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย”

       

       

       

      วินาทีนั้นที่รู้ว่านิทานไม่รู้จบได้จบลงแล้ว

       

       

       

      .

                .

                .

                .

                .

                .

       

       

       

       

      เฮือก

       

       

      ดวงตาเบิกกว้างท่ามกลางความมืด เสียงหอบหายใจรัวพร้อมเสียงจังหวะการเต้นของหัวใจ ร่างทั้งร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ชญานนท์เด้งตัวขึ้นจากเตียงยกมือขั้นปัดปอยผมที่รกหน้า

       

      ฝัน

       

      หัวใจที่เต้นเร็วผิดจังหวะค่อยๆกลับไปเต้นตามปกติ ชญานนท์หลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน ปาดมือเช็ดเหงื่อที่ใบหน้า แกะกระดุมเสื้อนักเรียนเม็ดบนเพื่อให้หายใจได้คล่องขึ้น

      เหลือบมองนาฬิกาข้างเตียง บอกเวลาตี3กว่า  นี่เขาเผลอตื่นขึ้นมากลางดึกหรือนี่ จะให้หลับต่อก็หลับไม่ลงเสียด้วยสิ แล้วจะทำอย่างไรล่ะทีนี้

      เมื่อไม่มีทางเลือก ชญานนท์จึงลุกขึ้นจากเตียงกลับไปที่โต๊ะคอมพิวเตอร์อีกครั้ง กดเปิดเครื่องหลับตารอคอมพิวเตอร์ที่กำลังเริ่มทำงาน เผลอพ่นลมหายใจแรง ยกมือขึ้นสูงและเคลื่อนเข้ามาใกล้ใบหน้า

       

      ถ้าตอนนั้น คว้าเอาไว้

      จะเป็นยังไงนะ

       

      “จะเป็นยังไง” เอ่ยทวนความคิดตน เสียงของคอมพิวเตอร์ที่เปิดเครื่องแล้วทำให้ชญานนท์ได้สติ เลื่อนเมาส์คลิกเปิดโปรแกรม Microsoft Office Word ขึ้นมา  บันทึกประจำที่เขียนไว้ล่าสุดปรากฏต่อสายตา เด็กหนุ่มกดปุ่มแก้ไขและเริ่มพิมพ์ต่อ เสียงก๊อกแก๊กจากคีย์บอร์ดดังขึ้นอีกครั้ง

       

       

       

       

      หรือว่าจะหายไปจริงๆเลย?

       

      ไม่เอาหรอก ใครจะยอมให้นิทานเล่มโปรดหายไปได้ง่ายๆ

       

      นิทานของฉัน ฉันจะเขียนมันต่อให้จบ จะเขียนไปเรื่อยๆแม้หน้ากระดาษจะหมด

       

      จะไม่ยอมให้หน้ากระดาษฉีกหายหรือเปียกน้ำจนอ่านไม่ได้ไปแม้แต่แผ่นเดียว

       

      วันพรุ่งนี้จะเล่านิทานต่อแล้วนะ

       

       

       

       

       

                เคาะแป้นพิมพ์อีกสองสามครั้ง  บันทึกประจำวันนี้เสร็จสมบูรณ์ แม้จะเพิ่งได้มาเขียนในวันใหม่ แต่สนใจเสียเมื่อไหร่กันเล่า  ชญานนท์คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยอย่างไม่มีสาเหตุ เอนหลังชิดพนักเก้าอี้ หลับตาทวนความฝันหรือก็คือเหตุการณ์ในอดีต

       

                นิทานของฉันที่ไม่มีเธอ

                หน้ากระดาษที่ไม่มีเรื่องเธอเขียนอยู่

                ตอนจบที่ไม่ได้เขียนถึงเธอเลยแม้แต่นิด

       

                นาฬิกาบอกเวลาตี4 หมายความว่าเหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมงในการเล่นนู่นเล่นนี่  เด็กหนุ่มเปิดเว็บบอร์ดของโรงเรียน ไม่ได้สนใจพวกคอมเม้นบ้าๆที่แลดูไร้สาระของนักเรียนที่คุยเล่นกันในเว็บบอร์ด นิ้วเรียวกดปุ่มบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็วและเชี่ยวชาญ พริบตาเดียวก็ได้ของเล่นใหม่มา ชญานนท์จ้องมองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์

       

                “เจอแล้ว” เลื่อนเมาส์แล้วกดเซฟข้อมูลเอาไว้ ข้อความหลายบรรทัดถูกย้ายเข้าไปในไฟล์ลับส่วนตัวของแฮกเกอร์มือฉมัง  ใส่ชื่อไฟล์สำคัญลงไปก่อนมองดูผลงานตัวเอง

       

                คดีปริศนาการตายของเด็กนักเรียนดานาซัส

       

       

       

       

       

                นิทานที่จะเล่าต่อจากนี้

      เธอพร้อมจะฟังหรือยังล่ะ?

       






      -----------------------------------------------------------------------------------------------------

      ·         ขอกรี๊ดดังๆลั่น(หมู่)บ้านเจ้าค่ะ เอร๊ยยยยย เขียนเสร็จจนได้ เรื่องสั้นเรื่องแรกในชีวิต!(ปกติแต่งเรื่องยาว แต่ไม่จบซักเรื่อง)

      ·         เรื่องสั้นเรื่องนี้เนลได้ไปยืมตัวละครมาจากนิยายเรื่อง Secondary school สั่นหัวใจค้นหาความจริง ของท่าน  Queens of wretched ชญานนท์ วรพงศ์สิริคือลูกชายคนล่าสุด(?)ของเนลที่ไปกรอกใบสมัครมากค่ะ -..- ตอนกรอกเกิดอยากแต่งเรื่องสั้นของลูกชายขึ้นมาเลยไปขออนุญาตเจ้าของเรื่องเขา ทั้งนี้ก็ต้องชอบคุณกลอนซังเจ้าของเรื่องที่อนุญาตให้นำมาเขียนเป็นเรื่องสั้น และมุกซังที่สนับสนุนนะคะ  ถ้าสนใจก็สามารถกดลิ้งค์ข้างบนไปอ่านนิยายของกลอนซังได้เลยค่ะ^^!

      ·         มาคุยเรื่องลูกชายดีกว่า เป็นลูกที่รักมากถึงขนาดไปค้นชื่อดีๆมาจากหนังสือตั้งชื่อเด็กเลยนะนั่น!(ลงทุนม๊ากกกกก ชื่อชญานนท์แปลว่าพึงใจในความรู้ค่ะ แต่ไม่ใช่ชื่อผู้หญิงนะน่อ) เรื่องนี้เหมือนจะสื่อความเป็นฮิคิโคโมริแล้วก็แฮกเกอร์ยุ่งเรื่องชาวบ้านของเจ้าลูกชายได้ไม่ดีพอ เพราะตั้งใจจะเขียนแค่ฉากในวัยเด็ก (.  . ) และจากที่ไปนั่งคิดนอนคิดอยู่ตั้งนานก็ทำให้เกิดเป็น ธัญญาพร กมลววรธ เด็กหญิงผู้ร่าเริงแต่ดันมาโดดตึกตายไปเสียก่อนนี่

      ·         อยากจะเขียนในแนวมิตรภาพ แต่เขียนไปเขียนมากลับรู้สึกว่าเจ้านนท์เหมือนจะชอบหนูธัญนะ? 555+ สื่อความได้ไม่ดี ขออภัยค่ะ

      ·         ว่าแต่เรื่องสั้นนี่เขาเขียนกันกี่หน้าอ่ะคะ เนลเขียนเพลิน16หน้าเวิร์ดเลย=_=เท่าหนึ่งตอนของเรื่องยาวเนลเลยนะ

      ·         สิ้นคิดกับประโยคสุดท้าย เอาเรื่องนิทานมาอ้างจนได้ กร๊ากกกกกก แอบสงสัยว่านิทานมันเกี่ยวอะไรกับฮิคิโคโมริวะ?

      ·         จริงๆอยากคุยยาวแต่กลัวทุกคนรำคาญ งั้นจบโซนพล่ามไว้เพียงเท่านี้ละกันค่ะ สวัสดีค่ะ;w;

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×