ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะลุยแดนหรรษา

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 คณะเดินทางพิลึกพิลั่น

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 36
      0
      29 พ.ค. 48

    บทที่ 1 คณะเดินทางพิลึกพิลั่น







    กุบกับๆๆ  กุบกับๆ

           เสียงฝีเท้าม้าลากเกวียนสองตัวดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอวิ่งไปตามถนนดินสีแดงด้วยความเร็วพอสมควรแต่ไม่เร่งรีบมากนัก  

    ใต้แสงจันทร์เต็มดวงที่สว่างไสว  บริเวณสองข้างทางนั้นเป็นป่าทึบ ยิ่งเพ่งมองดูก็ยิ่งเห็นเงาดำของร่มไม้ซุกซ่อนอยู่ตรงนั้นตรงนี้

    ทั้งดูลึกลับ ทั้งดูน่ากลัว

          เส้นทางเปล่าเปลี่ยวยาวไกลนี้มีเกวียนวิ่งเพียง..(เกวียนเขาเรียกเป็นอะไรอ่ะ คันรึเปล่า????)เดียวช่างน่าวังเวงเสียนี่กระไร



          สำหรับนักเดินทางทั่วไป คืนนี้ช่างเป็นคืนที่โชคร้ายที่ต้องมานั่งหวาดระแวงคนเดียวว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาไหม? ความคิดแรกย่อมเป็นการหาทางไปให้พ้นแนวป่าเพื่อที่จะได้พักผ่อนอย่างสบายใจในโรงเตี๊ยมของเมืองที่ใกล้ที่สุด



          แต่สำหรับบรรดาเจ้าของดวงตาสีแดงเหมือนสัตว์ร้ายกระหายเลือดที่แฝงตัวในเงามืดนั้นรู้สึกรื่นรมณ์เป็นที่สุดพลางจินตนาการถึงเลือดสดๆที่ไหลทะลักจากเหยื่อที่กำลังมาให้กินถึงที่



    เงาดำของสัตว์ร้ายที่อยู่ใกล้เกวียนที่สุดไม่รอช้ากระโจนออกจากที่แฝงกาย ไปหาเหยื่อที่มันอยากกินจนน้ำลายสออย่างรวยเร็วจนมองตามแทบไม่ทันและร่างในชุดผ้าคลุมสีน้ำตาลมอๆผู้ขับเกวียนอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง คืออาหารออเดิร์ฟจานแรก

    กรงเล็บยาวและแหลมคมถูกกางรอไว้ก่อนแล้วและไม่รีรอที่จะเสียบมันทะลุร่างในผ้าคลุม ในใจหวังถึงเนื้อสดๆที่น้ำสีแดงของโลหิตไหลพราก



    แต่สิ่งที่มันพบใต้ผ้าคลุมนั้น……..คือความว่างเปล่า



    กี๊!!! กี๊ๆๆ

    มันร้องอย่างตกใจพลางหันรีหันขวางหาเยื่อที่หายไปชั่วเสี้ยววินาทีด้วยความงุนงงปนตกใจ



    “มองไปทางไหน เจ้าตัวประหลาด….”



    เสียงพูดนั้นเรียกให้มันเงยหน้าหันไปมองด้านบนที่มาของเสียงนั้นถึงแม้มันจะไม่รู้ภาษามนุษย์ก็เถอะ ร่างของชายหนุ่มผมสีทอง ยืนตระหง่านบนหลังคาเกวียนโดยมีจันทราดวงกลมโตกลางฟ้ากว้างสีน้ำเงินเข้มเป็นฉากหลัง



    “ฉันอยู่นี่”



    ภาพสุดท้ายก่อนสิ้นลม คือ เนตรสีอำพันเย็นชาไร้แววปราณี



          เมื่อเห็นร่างของพวกพ้องตนล้มลงเป็นดังสัญญาณให้เหล่าสัตว์ร้ายเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่งด้วยความโกรธแค้น หากตัวแล้วตัวเล่านั้นถูกดาบที่ไม่อาจมองเห็นฟาดฝันเฉือนเนื้อ ตัดกระดูกจนได้ลิ้มรสเลือดของตัวมันเป็นครั้งแรก ร่างของชายหนุ่มพริ้วหลบการจู่โจมอย่างสวยงามราวกำลังร่ายระบำอยู่ หากมองไกลๆคงเหมือนเห็นเทพบุตรลงมาจุติ แต่หากเข้ามามองใกล้เกินไปคงหวาดหวั่นจับจิตด้วยร่างนั้นระบำเหนือร่างโชกเลือดของสัตว์ร้ายที่เจ้าตัวสังหารไปนับหลายสิบตัว



    แต่กระนั้น จำนวนที่เหลือก็ยังมากเกินไปอยู่ดีสำหรับผู้ต่อกรเพียงคนเดียวกับหมาหมู่เกือบ 200 ตัว กำลังจึงค่อยๆลดน้อยถอยลงไป แม้ไม่มากนักแต่ก็ทำให้เกิดรอยแผลเล็กๆจากกรงเล็บที่เฉี่ยวแก้มไป



    “ต๊าย ตาย ใบหน้าหล่อๆของนายมีรอยแผลซะแล้ว จะให้ช่วยไหมจ๊ะพ่อหนุ่ม? รับรองแป๊บเดียวก็เรียบร้อย”



    เสียงดัดแหลมๆดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของหญิงสาวผมสีส้มแสบตาดัดเป็นลอนทั้งศีรษะ เจ้าตัวคงเห็นว่าสวยดี แต่คนอื่นมาเห็นเข้าคงคิดว่ายัยคนนี้เพิ่งออกจากโรงพยาบาลรักษาคนบ้า



    ร่างอวบอัดที่ใส่ชุดสีรัดรูปกระชับทั่วเรือนร่างถูกพรางภายใต้เสื้อคลุมสีแดงตัวยาวอย่างหรูเหมือนพวกลูกคุณหนูชั้นขุนนาง ดูแล้วน่าจะมาเป็นตัวถ่วงช่วยให้ยุ่งยิ่งกว่าเดิมมากกว่าจะมาช่วยให้สถานการณ์มันดีขึ้นอย่างที่เจ้าหล่อนว่าเลย



    “อย่าดีกว่า แค่สวะชั้นต่ำฉันจัดการเองได้”



    “แหมๆ แล้วใครกันละจะที่โดนสวะชั้นต่ำแบบนั้นฝากรอยแผลไว้ให้นะ” ระหว่างที่เจ้าหล่อนพูดพล่ามอย่างเผลอตัว กรงเล็บยาวก็ถือโอกาศหันกรงเล็บยาวเข้าใส่พุ่งตรงมาหมายฉีกกระชากเนื้อ





    ฟิ้ว…..ฉึก!!

    เลือดสาดกระจาย  หากกลับเป็นเจ้าตัวสัตว์ร้ายตัวนั้นเองที่กลายเป็นชิ้นๆโดยมีหญิงสาวทรงเสน่ห์มองดูผลงานของตนอย่างพึงพอใจ



    “อีกอย่างนั่งนานๆ เมื่อยจะตาย ข้าก็อยากเล่นด้วยบ้าง เรื่องอะไรจะปล่อยให้นายสนุกคนเดียวกันละ”

    คราวสัตว์ร้ายถูกลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วด้วยฤทธิ์ของอาวุธที่ตวัดฟาดฟันจนตามองไม่ทันเห็น หากเป็นผู้อื่นคงดีใจที่ได้เบาแรงของตนลง แต่ไม่ใช่กับเขาคนนี้



    “บอกแล้วว่าอย่ายุ่ง แก่แล้วก็ไปนั่งในเกวียนเฉยๆให้เจียมตัวสมเป็นคนแก่เถอะ คุณป้า”

    รอยยิ้มระรื่นของหล่อนพลันหายไปในสายลมทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น



    “ตะกี๊ว่าไงนะ เจ้าเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม แกว่าใครเป็นป้าห๊า” เสียงที่แหลมแสบแก้วหูอยู่แล้วยิ่งสูงแหลมยิ่งกว่าเดิมจนสัตว์ร้ายหลายตัวลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้น  ต้นไม้ใกล้ๆแตกเปรี๊ยะเป็นรอยร้าวหลายต้น รังสีอำมหิตที่ไม่เคยปรากฏออกมาให้เห็นเลยตั้งแต่ต่อสู้มากระจายไปทั่วบริเวณ สะกดเหล่าสัตว์ร้ายยามราตรี(ที่ยังเหลือรอดอยู่)สั่นสะท้านด้วยความกลัวอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิตคาวเลือดของพวกมัน



    “แล้วมันมีใครแถวนี้ให้ว่าอีกละ ไม่น่าเชื่อว่านอกจากตีนกาจะเต็มหน้าแล้วยังหูหนวกอีก สงสัยต้องเปลี่ยนจากคุณป้าเป็นยายทวด”หน้าหล่อๆที่ล้อมกรอบด้วยผมเส้นเล็กสีทองดุจใยไหมกล่าวเยาะด้วยสีหน้ากวนๆและดูถูกอย่างไม่คิดจะปิดสักนิด



    “ตายซะเถอะไอ้เด็กเวร!!!!!!!!”

    “ถ้าคิดว่าทำได้ก็ลองทำดูซิ!”



    พลังที่เคยใช้จัดการเหล่าสัตว์ร้าย บัดนี้ถูกหันมาใช้ปะทะกับพวกเดียวกันด้วยพลังที่มากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จนเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว กลุ่มก้อนพลังงานมรณะดูดกลืนสิ่งมีชีวิตในรัศมี 1 เมตรโดยรอบไปจนหมด ไม่ว่าจะเป็นเหล่าสัตว์ร้ายหรือต้นไม้ใบหญ้าก็ต่างแห้งเหี่ยวกลายเป็นผงธุลี เหลือเพียงพื้นที่โล่งๆกับรอยเลือดเป็นหย่อมๆอยู่ประปรายเท่านั้น หากกลางพื้นที่โล่งนั้นนอกจากจะมีร่างสองร่างที่ยังเขม่นกันอยู่นั้นก็ยังมีเกวียนคันเดิมอยู่ในสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลงยกเว้นแค่ไม่มีม้าสองตัวที่เคยเทียมอยู่เท่านั้นเอง





    “ฮึ!  บอกไว้ก่อนว่าฉันใช้พลังไม่ถึง 1 ใน 10 “

    “เชอะ! ฉันเองก็เหมือนกันย่ะ ใช้พลังไปเท่าปลายเล็บแค่นั้นเอง”



    ร่างของทั้งสองพุ่งเข้าหากันอีกรอบหมายจะปะทะกันอีกครั้งด้วยพลังที่มากกว่าเดิมเพิ่อตัดสินแพ้ชนะ

    และผลที่ออกมาคือ……



    โป๊ก! ! ! ! !

    กำปั้นใครที่ไหน มาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้แจกมะเหงกให้ทั้งสองคนเต็มแรง เสียงตะโกนดังลั่นดังขึ้นพร้อมๆกับการปรากฏตัวของบุคคลที่สาม



    “ทำบ้าอะไรของพวกแกว่ะ!!”



    คนๆนั้นคือบุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีดำแบบนักเวทย์สวมคลุมทับด้วยผ้าคลุมสีน้ำตาลเก่าๆที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานักต่อนักแล้ว ในหน้าคมเข้มล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีดำสนิทดุจรัตติกาลนั้นเต็มไปด้วยความโกรธและหงุดหงิดอย่างที่สุด



    “ง่า….ก็แค่เล่น..”หญิงสาวเอามือคลำหัวด้วยความเจ็บแล้วหันไปตอบผู้มาใหม่อย่างเกรงๆ



    “แค่เล่นเนี่ยนะ” ดวงตาสีซิลเวอร์เกรย์จ้องมองไปทางหล่อนอย่างถมึงทึง ส่วนชายหนุ่มอีกคนแม้จะไม่มีอาการออกไปทางเกรงกลัว แต่ก็มีท่าทีสงบเสงี่ยมลงด้วยความเกรงใจแทน



    “นิดเดียวเองน่า ทำโกรธไปได้” แต่ก็ไม่วายที่จะบ่นอุบอิบกับตัวเองเบาๆไม่ได้ ซึ่งโชคร้ายที่อีกฝ่ายดันได้ยิน

    “นิดเดียวบ้านแกนะสิ พังเป็นแถบ ถ้าฉันไม่กางบาเรียไว้มีหวังตายหมู่ทั้งเกวียน”



    “เอาน่าๆ อย่าโมโหโทโสไปเลย ไม่มีใครเป็นอะไรสักหน่อย“

    เสียงหนึ่งแทรกขึ้นระหว่างการพิพากษาจำเลยทั้งสองคน จากบุรุษอีกคนที่ก้าวลงมาจากเกวียน ผมสีน้ำตาลยาวสยายถูกมัดรวบสูงไว้ด้วยเส้นหนังสีน้ำตาล หากมิได้ฟังเสียงที่ออกทุ้มเล็กน้อย กับร่างที่ถอดเสื้อคลุมออกนั้นเรียบแบบไม่มีหน้าอก ใครๆคงนึกว่าเขาเป็นสตรีเพศเป็นแน่



    “ใช่คะ พวกเราโดนแค่นี้คงไม่ตายกันง่ายๆหรอก”

    เจ้าของเสียงคราวนี้เป็นของสาวน้อยเพียงคนเดียวในกลุ่ม ร่างสมส่วนอรชร ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างร่าเริงอยู่เป็นนิจ ผมสีทองยาวของเธอถูกมัดเป็นแกละสองข้างดูน่ารัก เปรียบเหมือนดอกกุหลาบขาวที่งดงามบริสุทธิ์ น่าทะนุถนอม เพียงดอกเดียวท่ามกลางหญ้าคาที่ขึ้นรกวุ่นวายทั้ง 5 กอ ไม่สิต้อง 4 เพราะคนๆนั้นเหมาะกับลิลลี่สีขาวมากกว่า ถึงแม้จะเป็นผู้ชายก็เถอะ



    “แต่เราไม่มีม้าแล้วนะฮะ แล้วจะไปยังไง “เสียงของเด็กหนุ่มผมสีเงินซอยสั้นระต้นคอ ที่ยืนสำรวจบริเวณที่เคยมีม้าเทียมไว้อยู่ ซึ่งบัดนี้ม้าเหล่านั้นถุกย่อยสลายหายไปกับสายลมเรียบร้อยแล้ว ทำเอาผู้ต้องคดีได้ดีใจประเดี๋ยวประด๋าวแล้วต้องกลับมาคอตกเหมือนเดิมเมื่อมีคดีใหม่เพิ่มเข้ามา



    “ให้ไลก้าลากไปสิ” ชายหนุ่มผมทองเสนออย่างปัดความรับผิดชอบ แต่เล่นเอาเด็กหนุ่มผมเงินสะดุ้งโหยงเมื่อคนพิพากษาจำเลยเดินตรงมาหาตนเหมือนตั้งใจจะทำตามที่จำเลยคนที่ 1 เสนอจริงๆ



    “เดี๋ยว เราเดินกันไปบ้างดีไหม?” เสียงสวรรค์ดังช่วยชีวิตเด็กน้อยที่น่าสงสารได้พอดีก่อนที่จะถูกใช้ให้ไปทำหน้าที่แทนม้า

    “ นั่งมาตั้งนาน ฉันว่าทุกคนคงอยากยืดเส้นยืดสายบ้าง ใช่ไหม?” ประโยคสุดท้ายเจ้าของร่างที่ละม้ายคล้ายสตรีเพศนั้นหันไปถามความเห็นจากพวกพ้อง



    “ก็ดี”

    “ว้ายๆ รอคำนี้มานานแล้วจ๊ะ”

    “หนูยังไงก็ได้”

    “ดีที่สุดเลยครับ!”



    ชายหนุ่มผมดำกวาดตามองคนในคณะอย่างครุ่นคิด โดยมีเด็กหนุ่มผมเงินมองอย่างลุ้นระทึก ในเมื่อเสียงลงมติเป็นเอกฉันท์แบบนี้ หัวหน้าคณะอย่างเขาก็คง……

    “ก็ได้ เดินก็เดิน แต่แบกของ ของใครของมันนะ” พูดจบเขาก็เดินนำไปหยิบสัมภาระของตนในเกวียนเป็นคนแรกโดยมีชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเดินตามไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ



    “เดี๋ยว! ฉันก็แย่นะสิ ของๆฉันมีเยอะจะตาย สาวสวยอย่างฉันแบกไปไม่ไหวหรอก” คนมีปัญหาคนเดียวภายในกลุ่มโวยวาย แต่สาวน้อยผมทองเดินตัดหน้าหล่อนอย่างไม่สนใจ พร้อมชายหนุ่มคู่อริที่ปรายตามองอย่างเย้อยหยันแล้วทำปากขมุบขมิบโดยไม่มีเสียงให้อ่านได้ว่า ‘สมน้ำหน้า’ จนเนื้อตัวของสาวเจ้าได้สั่นระริกด้วยความโกรธ ก่อนพยายามปรับอารมณ์อย่างสุดความสามารถแล้วหันไปยิ้มหวานให้ทางเลือกสุดท้าย



    “ไลก์จ๋า ช่วยขนของให้ริลูสุดสวยคนนี้ให้หน่อยได้ไหมจ๊ะ” หล่อนพูดด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานพร้อยรอยยิ้มกว้าง แต่ดูน่ากลัวเพราะตาสีเขียวเหมือนมรกตของเจ้าหล่อนไม่ได้ยิ้มไปด้วย



    “อ่า…..คือผม…ไม่..”เด็กหนุ่มอึกอัก ทำท่าจะปฏิเสธ



    “ ไลก้า…..” เสียงนั้นคาดคั้นมากขึ้น  มันเหมือนมีเงาดำๆค่อยๆแพร่กระจายอยู่ข้างหลังตัวหล่อน ถ้าจะเปรียบเทียบก็เหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ เจอกับหมีควายขนาดบิ๊กไซต์  ทำให้ในที่สุดเด็กน้อยผมเงินต้องเดินคอตกไปหาด้วยความจำใจ



    ‘เอาก็เอาเหอะ! ดีกว่าลากคนกับสัมภาระอีกทั้งเกวียน’





    “เร็วๆกันหน่อย จะไปกันแล้วนะ” หัวหน้าทีมตะโกนเร่ง



    “จ้าๆ เสร็จแล้วๆ”

    2 คนรั้งท้ายรีบเดินมาเข้ากลุ่มเมื่อทุกคนมากันครบก็ได้ฤกษ์เคลื่อนขบวน



    “อย่าเดินให้มันชักช้านักละ โดนทิ้งไม่รู้ด้วย”



    “รู้แล้วน่า”



    เพียงพริบตา

    ร่างสีหายวับไปไม่เหลือร่องรอยว่าเคยมีคนอยู่



    แม้แต่เด็กหนุ่มน้อยผมเงินที่แบกหีบใหญ่ใบเบ้อเร้อถึง 4 หีบด้วยกันก็ตาม





    *-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×