คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : [SF] I give my first love to you {Khun ♥ Dong} ,, 01
I Give My First Love to You
มันจะมีซักกี่เรื่องที่คนเราจะจำได้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ...
ยังจำรักของเราได้ไหม ?
... ฉันจำมันได้ดี
แล้วจำความรู้สึกตอนนั้นได้หรือเปล่า ?
... ถึงมันจะผ่านมานาน แต่ฉันไม่มีวันลืม
ความทรงจำทุกอย่างของนาย ฉันไม่มีทางลืมและไม่สามารถลบมันออกจากใจได้เลย
รักครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ... ฉันได้ให้มันไว้กับนาย
.
.
.
ประตูไม้เก่า ๆ บานใหญ่ถูกเปิดออกเผยให้เห็นภายในห้องที่ว่างเปล่า
เสี้ยวหน้าคมหันซ้ายขวามองรอบ ๆ ห้องอย่างชั่งใจก่อนจะเดินเข้าไปช้า ๆ
ห้องนอนโทนสีขาวเรียบง่ายให้ความรู้สึกสบายแก่ผู้มาเยือน หากแต่กลิ่นอับภายในห้องนั้นทำให้แขกที่มาใหม่ไม่ค่อยจะยินดีนัก
นานแล้วที่เขาไม่ได้เข้ามาในนี้ ...
เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างวางอยู่ในตำแหน่งเดิมเหมือนกับครั้งสุดท้ายที่ได้เข้ามา
ชายหนุ่มถอดชุดกราวน์ที่ใส่คลุมอยู่ออกและพาดมันไว้บนหัวเตียง ขยับเก้าอี้และนั่งลงข้าง ๆ โต๊ะไม้สีขาวที่บัดนี้เริ่มซีดและถลอกไปตามกาลเวลา
ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิมจริง ๆ เพียงแต่ของเหล่านี้ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหนาและหยากไย่ บ่งบอกได้ดีว่าห้องถูกปล่อยให้รกร้างมานานตั้งแต่ที่เจ้าของห้องไม่อยู่
นิชคุณเลื่อนเปิดลิ้นชักโต๊ะไม้ออกมา ในลิ้นชักที่เกือบจะว่างเปล่ามีบางสิ่งนอนแน่นิ่งอยู่ในนั้นราวกับกำลังรอให้ใครบางคนมาเปิดมันดู
อัลบั้มภาพเก่า ๆ กับเรื่องราวในวันวานซึ่งยากที่จะลืม ...
ถือวิสาสะไม่ขออนุญาตเจ้าของห้อง มือใหญ่ปัดฝุ่นที่จับหนาอยู่บนปกอัลบั้มก่อนจะเลื่อนเปิดดูภายใน
รูปถ่ายขนาดโปสการ์ดหลายใบอยู่ในนั้น สีที่ซีดจางของภาพบ่งบอกถึงอายุของมันได้เป็นอย่างดี
ตาคมจับจ้องที่ภาพแรกในอัลบั้ม ... คนสองคนในภาพยืนกอดคอกัน ชูสองนิ้วและทำหน้าทะเล้น ถึงสีของภาพจะถูกเวลากัดกินจนภาพเกือบจะใกล้กับคำว่าซีเปียเข้าไปทุกทีแต่เมื่อมองก็รู้ทันทีว่าคนแก้มยุ้ยซึ่งยืนอยู่ฝั่งซ้ายและกำลังโดนขโมยหอมแก้มนั้นกำลังหน้าแดงด้วยความเขิน
ด้วยตำแหน่งที่ใกล้ชิดกันทำให้เดาความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของคนทั้งคู่ได้ไม่ยาก
คนฝั่งซ้ายที่ถูกหอมแก้มคือจางอูยอง และคนฝั่งขวาหรือผู้กระทำนั้นคือเขาเอง ... นิชคุณ
ริมฝีปากยกยิ้มเล็กน้อยก่อนที่นิ้วจะจับพลิกภาพถัดไปเรื่อย ๆ จนมาถึงภาพสุดท้าย
หนุ่มหน้าหวานกำลังยิ้มให้กับกล้อง แก้มแดงที่อวบอิ่มเมื่อยกยิ้มยิ่งทำให้เจ้าของพวงแก้มดูน่ารัก ตาเรียวเล็กหยีจากการยิ้มกว้างจนแทบจะเป็นขีดเดียว
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสของคนในภาพ ...
... เกือบสี่ปีแล้วสินะ ที่ฉันได้ยินเสียงหัวเราะและเห็นรอยยิ้มของนายแค่ในฝัน อูยอง
นิ้วเรียวลูบเบา ๆ บนภาพด้วยความคิดถึงและโหยหา ความรู้สึกว่างเปล่าหากแต่เจ็บปวดถาโถมเข้ามาในใจ
เรื่องราวที่ผ่านไปแล้วเริ่มประติดประต่อก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างและค่อย ๆ ปรากฏในห้วงความคิด
พยายามสกัดกลั้นอารมณ์ต่าง ๆ ที่ประเดประดังเข้ามา
... ตอนนี้ทำได้เพียงร้องไห้ไปกับความทรงจำในอดีต
น้ำตาไหลลงอาบแก้มช้า ๆ ทับกับรอยเดิมที่แห้งเหือดเป็นเวลานานกว่าสี่ปี
นิชคุณหลับตาลงนึกถึงความหลังซึ่งเมื่อนึกถึงกี่ครั้งก็อดจะเจ็บปวดไปกับมันไม่ได้
ความทรงจำเกี่ยวกับรักครั้งแรก ...
ความทรงจำ ...
ที่มีแต่อูยอง
.
.
.
I Give My First Love to You
ผมรู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก ...
อูยองไม่เหมือนคนทั่ว ๆ ไป
ในวัยเด็กเท่าที่จำได้ เขาไม่เคยเล่น วิ่ง หรือทำในสิ่งต่าง ๆ ที่เด็กควรจะทำ
ไม่เคยทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยเลยซักครั้ง
ผู้ใหญ่ทุกคนคอยสั่งผมเสมอให้ห้ามอูยองหากเห็นเขาเล่นอะไรบางอย่างที่ต้องใช้พลังงานมาก ๆ และคอยดูแลทุกฝีเก้าไม่ให้คลาดสายตา
ถึงในตอนนั้นจะยังไม่เข้าใจว่าทำไมก็ตามที ...
ดังนั้น ชีวิตในวัยเด็กของอูยองเลยเหมือนกับว่าเขาถูกกักกันจากความมันส์ทั้งหลายในโลก
นั่นก็แค่มุมมองในสายตาคนอื่นที่ว่า อูยองไม่เหมือนคนทั่ว ๆ ไป
แต่ ... ในสายตาผม กลับคิดว่าอูยองคนนี้พิเศษกว่าคนทั่ว ๆ ไป ต่างหาก
ใบหน้าขาวเนียนที่ดูเด็กกว่าคนในวัยเดียวกันนั่นพิเศษกว่าใคร
...เพราะครั้งแรกที่ผมได้มอง ผมเผลอใจเต้นไปกับมัน
แก้มอูมสีเลือดฝาดนั่นก็พิเศษกว่าใคร
...เพราะนอกจากมันจะดูเป็นธรรมชาติกว่าแก้มผู้หญิงแล้ว มันยังนิ่มกว่าแก้มแม่เวลาผมหอมอีกอ่ะ !
ไหนจะดวงตาคู่นั้นที่ทอประกายอยู่ตลอดเวลาอีก
...สิ่งที่สะท้อนออกมานอกจากความเปล่งประกายแล้ว ยังมีภาพของผมอยู่ในนั้น
เราต่างอยู่ในสายตาของกันและกัน นั่นคือสิ่งที่ผมเชื่อ ...
ทุกอย่างที่เป็นจางอูยองนั้นพิเศษกว่าใคร คงไม่ต้องหาคำอะไรมาบรรยายความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาแล้วล่ะ
เราต่างรักกัน ... และผมรู้แค่ว่าผมรู้สึกรักอูยอง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
สาเหตุที่ทำให้เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นเพราะอูยองเป็นคนไข้คนพิเศษของพ่อ
พ่อของผมทำงานเป็นหมอในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในปูซาน ส่วนแม่ของผมนั้นจากเราไปด้วยโรคร้ายเมื่อปีที่แล้ว
คุณพ่อของผม ท่านเริ่มรักษาอูยองครั้งแรกเมื่อเรายังเด็ก
พ่อแม่ของอูยองพาเขามาที่นี่ และหลังจากนั้นทุก ๆ อาทิตย์ผมจะได้เจออูยอง
.
.
โรงพยาบาลวันนี้แน่นขนัดไปด้วยผู้คนเหมือนเคย ผมกับอูยองในชุดนักเรียนมัธยมปลายสะพายเป้คนละใบเดินขึ้นลิฟท์มาถึงชั้นที่พ่อทำงานอยู่
เป้าหมายคือห้องตรวจทางด้านซ้ายมือแต่คนตัวเล็กพยายามเดินเลี่ยงไปทางขวาด้วยความเร็วสูง
"จะไปไหน~" ผมวิ่งตามไปคว้าสายเป้ของอูยองได้สำเร็จ
"วันนี้นายมีนัดกับพ่อฉัน ไม่ใช่เรอะ !" เน้นเสียงเข้มที่สามพยางค์หลังทำให้หน้ากลม ๆ นั่นซีดไปเลย
"ก็ผม .. ผม ไม่อยากกินยาขม ๆ นั่นแล้วนี่" ไม่สนใจน้ำเสียงออดอ้อนเกินจริง ผมรวบแขนทั้งสองข้างของอูยองแล้วลากเขาเข้ามาในห้องได้ในที่สุด
ถึงเจ้าตัวจะพยายามสะบัดอย่างไร แต่แรงของผมก็เยอะกว่าอยู่ดี
"นี่ไง ตัวยุ่งมาแล้วพ่อ" ผมว่าพลางบุ้ยปากไปยังคนที่ทำหน้าจะอังอังอยู่มะรอมมะร่อ
ให้ตายสิ นายอยู่มอปลายปีสองแล้ว ปีหน้าก็จะเตรียมเอ็นท์แล้วยังทำตัวเป็นเด็ก ๆ ไปได้
พ่อเดินออกมาจากห้องด้านในที่มีฉากกั้นแบ่งโซนเอาไว้และถือแฟ้มประวัติของอูยองออกมาด้วย
"โถ เจอหน้ากันทีไรก็จะร้องไห้ทุกที ฉันไม่ใช่คนใจร้ายอะไรเลยนะอูยอง" ชายวัยกลางคนยิ้มแหย่ชายหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายอย่างสนิทสนม หนวดหนาบนริมฝีปากขยับไปตามรอยยิ้ม
สายตาทีเริ่มพร่ามัวของพ่อมองลอดแว่นไปที่อูยองก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
"ก็รู้นี่ครับว่าผมไม่ชอบตรวจ" อูยองเริ่มทำหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อพ่อจับหูฟังที่คล้องคอทับกับชุดกราวน์มาเสียบข้างหูก่อนจะยื่นปลายไปจ่อตรงหน้าอกของคนไข้
อูยองดึงเนคไทออกและปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ดอย่างรู้งาน แต่การกระทำนั้นกลับต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นผมยืนมองการตรวจอยู่ใกล้ ๆ
"มองอะไร" สีหน้ากระอักกระอ่วนในทีแรกเปลี่ยนเป็นค้อนวงใหญ่ใส่ผม
"ก็อยากมอง ... ไม่ได้หรือไง ?" ส่งรอยยิ้มยียวนกลับไป นั่นยิ่งเรียกความหงุดหงิดจากเจ้าของพวงแก้มพองลมได้เป็นอย่างดี
"คุณ ! แกก็รู้นี่ .. !" เสียงพ่อแทรกขึ้น "ไป ๆ ออกไปก่อน"
ไม่วายโดนอาจารย์หมอดุจนได้ ผมจำใจเดินออกมาจากห้องตรวจในที่สุด
ทิ้งตัวลงบนโซฟาใหญ่ในห้องพักหลังฉากกั้น
อูยองมักจะอายเวลาที่ต้องถอดเสื้อ ดังนั้นทุกครั้งที่เขาตรวจผมเลยต้องระเห็จมานั่งที่นี่ รอจนกว่าการตรวจจะสิ้นสุดลง ...
ผมเคยถามพ่อว่าอูยองเป็นโรคอะไร และพ่อตอบผมว่า เป็นแค่หอบธรรมดา
แต่มันน่าแปลกเหลือเกินที่โรคหอบธรรมดา ๆ จะใช้เวลารักษาหลายปี นี่อูยองได้รับการตรวจและรักษามาสิบเจ็ดปีแล้วยังไม่มีทีท่าว่ามันจะดีขึ้นเลยหรือ ?
พอเซ้าซี้ถามพ่อมาก ๆ เข้า พ่อมักจะแก้ปัญหาด้วยการตัดบท ...
'แกไม่ใช่หมอ ไม่ต้องมารู้ดีกว่าฉัน'
ตลอด ประโยคนี้ตลอด ... กลายเป็นว่าผมไปดูถูกความสามารถของพ่อซะงั้น
อะไรฟะ มันผิดมากเหรอ อูยองไม่ใช่คนอื่นคนไกลนะ แฟนผมชัด ๆ ! เป็นห่วงแฟนมันผิดมากมั้ยถามหน่อย !
----------------------------------------------------
------------------------------------------
---------------------------------
-------------------------
"ไอคุณณณณ !!!! !!!~"
ขนาดในห้องสมุดโรงเรียนที่แสนเงียบสงบก็ยังมีเสียงตะโกนโหวกเหวกเข้ามาจนได้
ผมเงยหน้ามองก็พบร่างใหญ่ของไอแทคที่เข้ามาเขย่าไหล่ผมจนหัวสั่นด๊อกแด๊กแทบจะหลุดออกจากคอ
"อะไรมึงงงง ~ เบา ๆ สิวะเขามองกันหมดแล้ว" ผมล่ะอายจริง ๆ อยากทำเป็นไม่รู้จักไอเพื่อนร่างยักษ์นี่ให้รู้แล้วรู้รอด บรรดาคณาจารย์ทั้งหลายในห้องสมุดเขามองมาที่กูเป็นตาเดียวแล้วจ้าา !! ToT
"แย่แล้วเว่ย เด็กมึงอ่ะ !!" เหมือนที่ปรามมันไปก่อนหน้านี้จะไม่ช่วยอะไรเลยเพราะมันยังตะโกนใส่หน้าผมด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
ยังไม่ทันที่ผมจะอ้าปากด่าสมองก็ประมวลประโยคที่ได้ยินอย่างรวดเร็ว ...
"อูยองทำไม ?!"
"อย่าเพิ่งถาม ตามกูมาก่อน !"
.
.
ชายร่างใหญ่สามคนย่างสามขุมเข้ามาช้า ๆ ต้อนอูยองเป็นวงล้อมจนคนถอยหนีแผ่นหลังกระทบกับกำแพง
"ไอคุณมายุ่งกับเด็กกู มึงจะเอายังไงบอกมาซิ"
เสียงต่ำตวาดก้องโรงยิมที่ไร้ผู้คน ถึงนี่จะเป็นกลางวันแสก ๆ แต่โรงยิมหลังโรงเรียนแห่งนี้ปิดไปแล้วจึงไม่มีใครผ่านมาได้ยิน
"จะเคลียก็ไปเคลียกับเจ้าตัว มายุ่งกับฉันทำไม !" เสียงเล็กถามกลับ แววตาท้าทายไม่กลัวคนตรงหน้า
"ไม่รู้จริง ๆ เหรอว่าทำไมกูถึงมายุ่งกับมึง" เจ้าของมือใหญ่ตรงเข้ามาบีบคางของอูยองด้วยอารมณ์ที่กำลังปะทุ
"ที่จริงกะจะซัดไอคุณมันซักหมัดสองหมัด แต่คิดไปคิดมา ..." มืออีกข้างของร่างใหญ่ไล้ไปตามแผ่นหลังของร่างบางที่จนมุม
อูยองเบี่ยงตัวหลบสัมผัสหยาบกร้านและตวัดสายตามองผู้ล่วงเกินอย่างถือดี ก่อนที่ปากจะขยับเพื่อตะโกนถ้อยคำหยาบคาย อูยองก็โดนล็อกและตรึงแขนทั้งสองข้างไว้กับกำแพง
ร่างใหญ่โน้มตัวลงมาใกล้จนอูยองรู้สึกถึงจุดที่อันตราย
อูยองต่อต้าน ใช้ฟันกัดลงไปบนไหล่ใหญ่เต็มแรงทำให้มือที่ถูกพันธนาการเมื่อครู่เป็นอิสระ แต่อีกสองร่างที่ยืนอยู่ใกล้กันนั้นไวกว่าจะปล่อยให้เหยื่ออย่างอูยองหนีไป พวกมันตรงเข้ามาจับตัวอูยองแล้วล็อกไว้
"แสบนักนะมึง !!" มือหยาบง้างออกเตรียมจะฟาดลงบนแก้มของอูยอง แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นร่างใหญ่กลับกระเด็นล้มลงกับพื้น
"ยุ่งกับแฟนกูพอรึยัง !" เสียงของนิชคุณตะโกนก้องตามด้วยเสียงหมัดหนัก ๆ หลายครั้งจนนับไม่ถ้วน
แทคยอนเข้ามาเสยคางอีกสองร่างเรียงตัวก่อนจะต่อยซ้ำอีกหลายที
อูยองที่หลุดจากพันธนาการแล้ววิ่งไปหลบอยู่อีกฟากหนึ่งของโรงยิม ตัดสินใจวิ่งไปตามคนมาช่วยแต่แล้วก็ทรุดลงอย่างกระทันหัน
มือขาวกุมที่ตำแหน่งของหัวใจเมื่อความรู้สึกเจ็บแปลบเข้ามากัดกิน ร่างเล็กนอนขดอยู่บนพื้นซีเมนต์ ความรู้สึกปวดหนึบที่อกข้างซ้ายยิ่งทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามจำนวนครั้งของการหายใจที่หอบถี่
หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมา มือทั้งสองข้างชื้นไปด้วยเหงื่อ อูยองเผยอปากเพื่อสูดอากาศหายใจเข้าลึก ๆ หวังจะให้อาการทุรนทุรายบรรเทาลง
หากแต่สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นคือนิชคุณกำลังวิ่งตรงมายังเขา ช้อนร่างของตนแล้วรีบพาไปที่ไหนสักแห่งก่อนที่สติจะดับวูบ
**********
"โรคหอบกำเริบน่ะ" สรุปสั้น ๆ จากครูห้องพยาบาล หล่อนลอบมองอูยองที่กำลังมองตาของเธออยู่
"ฉันอยากให้อูยองพัก เธอออกไปก่อน" เสียงห้วน ๆ ตัดบท หล่อนโบกมือไล่นิชคุณให้ออกไปจากห้องพยาบาลอย่างไม่ใยดี เขารับคำสั้น ๆ ก่อนจะเหลือบมองอูยองที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความอ่อนล้า
ใจจริงจะให้เขาอยู่เฝ้าอูยองตอนหลับเลยยังได้หากแต่เสียงแหลมของครูพยาบาลสั่งเตือนอีกครั้งทำให้ต้องเผ่นออกจากบริเวณนั้นอย่างจำใจ
"ตอนเย็นจะมารับนะ"
ร่างสูงกล่าวอีกประโยคทิ้งท้ายก่อนที่จะเปิดประตูออกไป
อูยองมองตามแผ่นหลังกว้างที่วิ่งออกไปช้า ๆ ...
... เกือบแล้วไหมล่ะ ...
"คิดดีแล้วหรือ ไปปิดเขาแบบนั้น" หญิงสาวนั่งลงข้างเตียงมองลึกไปยังดวงตาที่เหม่อลอยของอูยอง
"สักวันเขาก็ต้องรู้ ..." เงียบเพื่อรอคำตอบจากคนที่นอนอยู่บนเตียง
"ถ้าพร้อมแล้วผมจะบอกเขาทันทีครับ" ตอบก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ และเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด
------------------------------------------
--------------------------------
ผมขออาจารย์ออกจากห้องก่อนเวลาเลิกเรียน คงไม่ต้องบอกเหตุผลหรอกนะครับว่าทำไม
ห้องพยาบาลไม่มีใครอยู่เลยนอกจากอูยอง ครูพยาบาลคงมีธุระเลยปล่อยให้อูยองอยู่เฝ้าห้องแทน
อูยองนั่งเอาหลังพิงกับหัวเตียงในอารมณ์เหม่อ ๆ เมื่อเห็นผมเข้ามานั่งลงบนเตียงเข้าก็หลุดจากภวังค์ทันที
"นิคคุณ ..." เรียกผมเบา ๆ แล้วก็ยิ้มกว้าง
"อืม ทำอะไรลงไปน่ะรู้ตัวบ้างมั้ย" หากน้ำเสียงจริงจังของผมทำให้รอยยิ้มค่อย ๆ หายไปจากใบหน้าของอูยอง
พอนึกถึงเหตุการณ์ตอนกลางวันทำให้หงุดหงิดขึ้นมาทันที
"ก็รู้ไม่ใช่เหรอว่าห้ามวิ่ง" ผมพูดด้วยเสียงเรียบ ๆ ตำหนิคนตรงหน้า
"ไม่วิ่งก็โดนต้อนจนมุมสิ"
"หมายถึงหลังจากนั้นต่างหาก"
"ก็จะตามคนมาช่วย" ปากแดงขมุบขมิบพึมพำตอบเบา ๆ
"ทีหลังมีอะไรนายอยู่เฉย ๆ เลยอูยอง ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ฉันจะจัดการเอง"
"จะบ้าเหรอ ! เกิดมันเรียกพวกมารุมจะว่ายังไง ?! ผมทนยืนดูเฉย ๆ ไม่ได้หรอกนะ" เริ่มขึ้นเสียงและชักสีหน้าไม่พอใจใส่
ถึงผมจะรู้อยู่เต็มอกว่าอุยองเองก็ห่วงผมไม่น้อยไปกว่าที่ผมเป็นห่วงเขาแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเคืองอยู่ดี
ตัวเองไม่สบายแท้ ๆ ยังจะมาห่วงคนอื่นอีก ...
"รู้ว่านายเป็นห่วงฉันแต่ช่วยดูสังขารตัวเองหน่อยได้มั้ย เกิดนายเป็นอะไรร้ายแรงขึ้นมาฉันกับพ่อจะไปบอกแม่นายว่ายังไง !"
ผมรอดูปฏิกิริยานิ่ง ๆ ของอูยอง เจ้านั่นเงียบไปเพราะไม่รู้จะเถียงอะไรแต่สีหน้าก็ยังไม่สำนึกผิดอยู่ดี
"ต้นเหตุคือนิคคุณนั่นแหล่ะ เที่ยวไปยุ่งกับแฟนชาวบ้านเค้า ผมเลยซวยด้วยเห็นมะ" แล้วก็ยังจะหาเรื่องมาเถียงอีกจนได้ ดื้อจริง ๆ
"อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ฉันยังโกรธนายอยู่นะ"
"งั้นผมก็ต้องโกรธที่นิคคุณเที่ยวคบใครต่อใครไม่ซ้ำหน้าเหมือนกัน !" ให้ตาย นายมันโคตรดื้อ จางอูยอง
"จะบอกว่านายกำลังหึงฉัน อย่างนั้นใช่มะ ?" เจอไม้ตายของผมทำเอาเจ้านั้นอึกอักไปเลย ผมยิ้มอย่างมีชัย ทำหน้าทะเล้นเป็นเชิงล้อว่าเขาพลาดซะแล้ว
"ไม่ได้หึง ! อย่ามามั่วเลย นิคคุณมันตัวต้นเรื่องจริง ๆ นี่" ถึงไฟในห้องจะปิดทวงดวงแต่ผมแน่ใจว่ากำลังเห็นอูยองหน้าแดงอยู่ สายตาที่จ้องผมอย่างไม่ยอมแพ้ในทีแรกหลุบต่ำลงช้า ๆ
กำลังเขินอยู่จริง ๆ ด้วย ....
"นายน่าจะเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่าเสน่ห์ของฉัน ลำพังนายยังต้านไม่ไหว .... แล้วมันนับประสาอะไรกับผู้หญิงพวกนั้น ..."
"....."
"นายก็รู้ว่าฉันคบนายแค่คนเดียว"
นิชคุณไม่ใช่คนเจ้าชู้เที่ยวคบใครต่อใครหลายคน ข้อนี้อูยองรู้ดี
จะมีก็แต่ฝ่ายหญิงเองที่เข้ามาหา แต่พวกเธอกลับโดนปฏิเสธไปทุกราย
... ทั้งหมดนี่มัน เพราะใคร ?
ตอนนี้หน้าของอูยองแดงมากขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโกรธที่ตัวเองเสียหน้าหรือเพราะกำลังเขินอยู่กันแน่ ยิ่งเห็นเขาก้มหน้าหลบตาผมแบบนั้นยิ่งอยากแกล้งเข้าไปใหญ่
"มองฉันสิ ..." แซวยิ้ม ๆ และก้มหน้ามองตามอูยองที่เสมองไปทางอื่น ผมเชยคางอูยองช้า ๆ เพื่อให้ตาเราสบกันแต่เจ้าตัวกลับสะบัดหน้าออกก่อนจะส่งเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ
"โกรธที่ฉันทำนายเขินใช่ม้า ~" เอานิ้วสะกิดแก้มอูมสองสามที ตาเรียวตวัดมองผมค้อน ๆ
"เออ เขิน ... มากด้วย" จงใจเน้นให้ชัดถ้อยชัดคำทุกพยางค์ สีหน้าที่เก็กขรึมมานานเปลี่ยนเป็นอมยิ้มอย่างรวดเร็ว อูยองมองผมนิ่ง ๆ ก่อนที่เราจะหัวเราะออกมาพร้อม ๆ กัน
ผมยิ้มกว้างอย่างเอ็นดูคนตรงหน้า หน้าตาไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ ทำให้ผมอดหมั่นเขี้ยวไม่ได้ ผมกระเถิบเข้าไปใกล้ เอามือลูบผมอูยองอย่างอ่อนโยน
ไม่ว่าอูยองจะอยู่ในอารมณ์ไหนเขาก็ทำให้ผมตกหลุมรักได้ทุกครั้งไป
"นายมันน่ารัก" ... อย่ายิ้มแบบนี้ให้ใครเห็นเด็ดขาดรู้ไหม
"น่ารักนักก็รักเลยสิครับ" ยิ้มยั่วก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนที่ผมไม่สามารถละสายตาจากคนตรงหน้าได้เลย รู้ตัวอีกทีเมื่อหน้าของเราค่อย ๆ โน้มเข้าหากันเรื่อย ๆ
สัมผัสอุ่นที่ริมฝีปากยังทำให้หัวใจของเราทั้งคู่เต้นแรงทุกครั้งไป อูยองหลับตาพริ้มรับสัมผัสอย่างเต็มใจ มือของผมเอื้อมไปจับมือของอูยองไว้
จูบครั้งนี้หวานกว่าครั้งไหน ๆ ...
และผมมั่นใจว่ามันจะหวานขึ้นเรื่อย ๆ
*****************
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวผมกับอูยองก็อยู่มัธยมปลายปีสามแล้ว
อูยอง นายโตขึ้นอีกปีแล้วแต่ทำไมพฤติกรรมของนายมันยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลย ?
อูยองเป็นคนขี้เกียจ แล้วยิ่งในคาบภาษาอังกฤษที่แสนน่าเบื่อมีหรือที่อูยองจะอยู่ทนฟัง นี่ครับ คนข้าง ๆ ผมแอบหลับไปเรียบร้อย - -
"วันนี้มีหลายคนไม่เอาหนังสือมา ฉันจะเดินตรวจตามโต๊ะแล้วตัดคะแนนคนที่เอาเปรียบเพื่อน !"
ปาร์คจินยองคุณครูมหาโหดโคตรกดคะแนนเด็กบอกว่ากำลังจะตัดคะแนนล่ะ !
ผมไม่เดือดร้อนอะไรทั้งสิ้นในเมื่อตัวเองแบกหนังสือมาเรียนทุกคาบ แต่ที่นั่งกระวนกระวายแบบนี้เพราะไอคนข้าง ๆ ที่มัวหลับไม่รู้เรื่องนี่ไม่ได้แบกอะไรมาเลย !
จางอูยอง ~ ลำพังคะแนนนายก็น้อยเต็มที ฉันไม่รู้ว่าในใบรายชื่อนายมันจะมีคะแนนให้ตัดด้วยรึเปล่าน่ะสิ >O<
"อูยอง ๆ" ผมกระซิบและใช้เท้าเตะเก้าอี้เพื่อให้คนข้าง ๆ ตื่นแต่ไม่เป็นผล อูยองยังคงนอนกลางวันฝันหวานถึงผม(?)ราวกับคนไม่ได้นอนมาทั้งคืน
เฮยยยย !! ช่วยตื่นขึ้นมารับรู้อะไรมั่งเหอะ !
"จินยองมาแล้ว~" ผมสะกิดอูยองพัลวัน ถ้าครูจอมโหดนั่นเดินมาถึงโต๊ะอูยองแล้วพบว่าเขากำลังหลับต้องโดนเพิ่มอีกกระทงแน่
"ตื่นอูยอง"
เท้าผมทั้งเตะทั้งถีบเก้าอี้ของอูยอง แต่เจ้าตัวทำเพียงแค่งึมงำพึมพำไม่ได้ดั่งใจผม ส่วนจินยองอยู่แค่โต๊ะข้างหน้าแล้วนะ !!
เอาวะ เป็นไงเป็นกัน
"เธอไม่ได้เอาหนังสือมางั้นเหรอ !!!" จินยองตะโดนเสียงดังจนอูยองสะดุ้งตื่นทันที เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ลุกพรวดขึ้นมาและตะโกน "ขอโทษครับ !!!"
ปาร์คจินยองทั้งตกใจและงงที่จู่ ๆ อูยองตะโกนดังลั่น เขามองอูยองหัวจรดเท้าแสยะปากบอกเป็นนัย ๆ ว่า -มึงเป็นบ้าอะไร ?-
นั่นยิ่งทำให้อูยองยิ่งงงที่ตัวเองไม่โดนว่าเรื่องหนังสือ
"นิชคุณ เธอไม่ได้เอาหนังสือมา ?" เมื่อส่ายหน้าให้กับท่าทางประหลาด ๆ ของอูยองเขาก็หันมาถามผมต่อ
"ครับ" ตอบรับสั้น ๆ พร้อมกับสำรวมกิริยา จินยองติ๊กชื่อผมไว้ในใบรายชื่อก่อนจะเดินไปตรวจโต๊ะแถวข้าง ๆ
"น.. นิคคุณ" อูยองที่เพิ่งประติดประต่อเรื่องราวมองหน้าผมสลับกับหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเอง
อะไรกัน จะตกใจทำไมขนาดนั้น ผมก็แค่รีบโยนหนังสือของตัวเองไปไว้บนโต๊ะอูยองก่อนที่จินยองจะเดินมาถึง เท่านั้นเอง
"ไง หลับสบายเลยนะ" ผมยักคิ้วกวน ๆ ให้คนข้าง ๆ อูยองอ้าปากเหวอจนพูดอะไรไม่ออก
ให้ครูจอมโหดนั่นตัดคะแนนผมยังดีกว่าตัดคะแนนหมอนั่นละกัน ...
ใบหน้าหวานหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด เหมือนอูยองจะรู้สึกแย่ที่ทำให้คะแนนของผมต้องหดลง
"ขำ ๆ น่ะ" ว่าพลางดันหัวอูยองเบา ๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นอูยองก็ยิ้มออกมาบ้าง
"ขอบคุณ ที่ไม่โกรธ" หลุบตาต่ำลงก่อนจะพูดเสียงอู้อี้ คำพูดของเขาเมื่อกี้ทำให้ผมยิ้มอีกครั้ง
ฉันจะไปโกรธนายลงได้ยังไง ถ้าไม่ทำแบบนั้นฉันคงโกรธตัวเองมากกว่า ....
.
.
.
ฤดูฝนที่ชื้นแฉะผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นลมแรกแห่งฤดูหนาวเข้ามาแทนที่ ฤดูหนาวปีนี้ค่อนข้างหนาวกว่าปีก่อน ๆ ที่ผ่านมาแต่สิ่งนึงที่ผมสัมผัสได้จากความหนาวเหน็บในครั้งนี้ ...
ลมกำลังบอกอะไรบางอย่างกับผม ...
... บางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น และนั่นคือจุดเปลี่ยนของอะไรหลาย ๆ อย่าง ...
โรคหอบของอูยองกำเริบอีกครั้งหากแต่ครั้งนี้กลับเลวร้ายกว่าที่เคยเป็นมา
ช่วงหลัง ๆ เขาเหนื่อยง่ายมาก แค่เดินขึ้นบันไดขั้นเดียวก็ถึงกับลมจับ ในเย็นวันหนึ่งระหว่างที่เราเดินกลับบ้านด้วยกัน จู่ ๆ อูยองก็ล้มลงและหมดสติไปโดยไม่ทราบสาเหตุและถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลในเวลาต่อมา
พ่อบอกว่า เป็นเพราะโรคที่สะสมนานปีทำให้อาการของเขาทรุดลง แต่เรื่องแย่ ๆ ยังไม่จบเพียงเท่านั้นเพราะอาการกำเริบในครั้งนี้เป็นเหตุให้อูยองต้องลาออกจากโรงเรียนกลางคันระหว่างช่วงภาคเรียนที่สอง
เขาถูกสั่งให้เก็บตัวอยู่แต่ในโรงพยาบาล อาจจะออกไปข้างนอกได้แต่ต้องอยู่ในความดูแลของหมอหรือพยาบาลอย่างใกล้ชิด
ดังนั้น ในวัน ๆ หนึ่งอูยองต้องอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยมห้องเดิม อยู่กับบรรยากาศเดิม ๆ ราวกับว่าถูกกักขังจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง
ในทุก ๆ วันที่ผมไปโรงเรียน ผมได้แต่นั่งภาวนาขอให้เวลาแต่ละคาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะทนนั่งเรียนไปก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดีเพราะในหัวผมคิดถึงแต่อูยอง
หากจะรอให้ถึงเวลาเลิกเรียนก็ดูท่าจะไม่ทันใจจึงมีบ่อยครั้งที่ผมแอบโดดออกไป
ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากพักกลางวันผมก็เก็บข้าวของและออกนอกโรงเรียนไปเลย
ให้ตายสิ ชีวิตม.6ที่ไม่มีนายอยู่ด้วยมันจืดชืดแบบนี้นี่เอง ...
"อูยอง ฉันมาแล้ว" วิ่งจากโรงเรียนมาถึงโรงพยาบาลก็ทำเอาเหนื่อยอยู่ ทันทีที่ผลักประตูห้องเข้ามาผมก็วิ่งถลาเข้าไปหาอูยอง
"ยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเหมือนกันล่ะสิ นี่ วันนี้ฉันซื้อไก่ทอดมาฝากด้วย" ผมว่าพลางจัดเรียงไก่ทอดลงบนจานก่อนจะเทซุปร้อน ๆ ที่หิ้วติดมือมาด้วย
ถึงแม้กลิ่นหอมของอาหารจะฟุ้งไปทั่วห้องแต่อูยองก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เขาเอาแต่นั่งเหม่อเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรเลยตั้งแต่ผมเข้ามา
ผมถือชามซุปและนั่งลงข้างเตียง อูยองเหล่ตามองซุปในมือผมแว้บเดียวแล้วเบนสายตากลับไปยังตำแหน่งเดิมจนกระทั่งผมตักซุปขึ้นมาและเอาช้อนจ่อปาก
"....." อูยองมองตามด้วยสีหน้าหน่าย ๆ
"ผมไม่หิว"
"ไม่หิวก็ต้องกิน นายต้องกินยาหลังอาหารให้ตรงเวลานะ"
"ก็บอกว่าไม่อยากกิน" อูยองบอกปัดเสียงเขียว
"ถ้าไม่กินยาแล้วเมื่อไหร่จะหาย นายไม่อยากหายหรือไง ?!" ไม่ยอมลดให้กับความดื้อรั้นของคนตรงหน้าเช่นกัน ผมยื่นช้อนจ่อปากอูยองอีกครั้ง
"กินเข้าไป ..." โดยที่หารู้ไม่ว่านั่นคือสาเหตุทำให้อูยองทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด มือเล็กนั่นออกแรงปัดชามในมือผมจนกระเด็นแตกคาพื้นห้อง เสียงกระเบื้องที่แตกออกจากกันยังไม่ดังเท่าเสียงของอูยองที่ตวาดใส่ในเวลาต่อมา
"ไม่ อยาก กิน !!!!!" อูยองจ้องผมอย่างไม่วางตา แววตาแข็งกร้าวคู่นั้นสั่นระริกและถ้าดูไม่ผิด ราวกับว่ามีน้ำตามาหล่อเลี้ยงอยู่ในนั้นมากเกินกว่าปกติ
มาจนถึงตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอารมณ์ของคนตรงหน้ากำลังพุ่งถึงขีดสุด ผมเลือกที่จะไม่โต้ตอบ
ถึงจะยืนอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นซักพักแต่ผมก็ยิ้มบาง ๆ ออกมาและพยายามพูดให้คนตรงหน้าเย็นลง
"ถ้าไม่อยากกินซุป งั้นกินไก่ทอดมั้ย กำลังร้อน ๆ เลย"
"เลิกทำเหมือนผมเป็นเด็ก ๆ ซักที นิชคุณ !" แต่เสียงเย็นเยียบที่ตอบกลับมาทำให้ผมรู้ว่าไม่ควรจะเซ้าซี้ต่อ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อูยองเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่อูยองโมโหโวยวายใส่ผมและนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อูยองทำตัวไม่น่ารักกับผม ...
เพราะต้องเผชิญกับอาการของโรคที่แย่ลง วัน ๆ ไม่ได้ออกไปพบใคร ต้องอยู่แต่ในสถานที่ที่จำกัด ผมเข้าใจว่ามันน่าหงุดหงิดแค่ไหน
ถึงผมจะไม่ได้เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้อูยองต้องเป็นแบบนี้แต่ก็ไม่เคยนึกโกรธเวลาที่เขามาลงกับผมเลยซักครั้ง
คิดว่าเป็นการดีที่จะช่วยให้เขาระบายออกมาบ้าง
"มันจะดีขึ้นเองอูยอง มันจะต้องดีกว่านี้ ฉันเชื่อ"
หลังจากเก็บเศษชามกระเบื้องให้เข้าที่แล้วผมพูดเบา ๆ กับอูยองด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม กุมมือเล็กที่วางอยู่บนตักของอูยอง
หากแต่คนตรงหน้ากลับปฏิเสธกำลังใจจากผม อูยองชักมือกลับและเบนหน้าไปทางหน้าต่างก่อนจะออกปากไล่ผม
"ผมอยากอยู่คนเดียว ..." เพียงแค่อูยองบอกมาว่าต้องการอะไรผมยอมทำทุกอย่าง
ผมลุกออกจากบริเวณนั้นแล้วเดินออกจากห้องตรวจของพ่อไป
... แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ผมเชื่อว่าอีกไม่นานอูยองที่น่ารักของผมคนเดิมจะกลับมา
.
.
.
หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนอูยองไม่ค่อยอยากให้ผมเข้าหาเท่าที่ควร เขาเอาแต่สาดประโยคพวกนี้ใส่หน้าผม
'เลิกวุ่นวายกับผมซักที'
'ผมเบื่อ'
'อย่ามายุ่ง'
'ออกไปเถอะ'
แต่ที่แย่กว่าการพูดประโยคเหล่านั้นคือการไม่พูดอะไรเลย เดิมผมคิดว่ามันจะดีขึ้นแต่กลับกลายเป็นว่าแย่ลงกว่าเดิมอีก
ถึงแม้ปฏิสัมพันธ์ของอูยองจะแย่ลงแต่ผมก็ไม่ยอมลดละความพยายาม ผมก็ยังเป็นนิชคุณคนเดิมที่ร่าเริงและมอบความสุขให้คนตรงหน้าอย่างสม่ำเสมอ
ถึงอยากถามจากปากเจ้าตัวเกี่ยวกับสาเหตุที่เขาเปลี่ยนไปมากขนาดนี้แต่พอเห็นสีหน้าไร้อารมณ์และแววตาที่เฉยชาแบบนั้นแล้วทำให้ผมล้มเลิกความตั้งใจทุกที
พายุจะก่อตัวเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ... ตั้งแต่คบกันมาผมรู้ดีว่าเวลาอูยองโกรธมาก ๆ นั้นไม่ควรเข้าไปยุ่งเลย
เมื่อมีอะไรอยู่ในใจ เป็นการยากที่จะซักไซร้เพราะเจ้าตัวเลือกที่จะเก็บมันไว้เสมอ ... ถามไปก็ไร้ประโยชน์
----------------------------------------------------------------
---------------------------------------------
--------------------------------
-------------------
หลังพิธีจบการศึกษาสองอาทิตย์ เหตุการณ์ที่ผมไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในวันเกิดของอูยอง
ผมเลือกของขวัญวันเกิดให้เขาเป็นแหวนคู่ อูยองเคยบอกว่าเขาชอบมุมที่โรแมนติกของผม ดังนั้นแหวนคู่ที่ว่าคงจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเซอร์ไพรส์และยิ้มออกมาได้
... โดยที่หารู้ไม่ว่า สุดท้ายแล้วกลับเป็นผมที่เป็นฝ่ายเซอร์ไพรส์เอง
"อูยอง ..." ผมเดินเข้าไปใกล้กับเตียงคนป่วยแล้วนั่งลงข้าง ๆ อูยองหันมาตามเสียงด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์เหมือนกับทุกที
"มีอะไรจะให้น่ะ" ผมยิ้มกว้างพลางล้วงของขวัญที่เตรียมมาในกระเป๋ากางเกงตัวเอง ไม่ได้สังเกตเลยว่าสีหน้าของอูยองกำลังฝืนมากเพียงใด
ผมจับมือของอูยองและค่อย ๆ ใช้มืออีกข้างสวมแหวนให้อูยอง แต่เจ้าตัวชักมือกลับก่อนที่แหวนจะแตะโดนปลายนิ้ว
"นิคคุณ ..."
"วันนี้วันเกิดนาย สุขสันต์วันเกิดนะ" ผมยิ้มกว้างเท่าที่จะกว้างได้ถึงแม้ว่าสีหน้าที่ไม่สู้ดีของอูยองจะทำให้ผมเริ่มใจแป้วก็ตาม
ในที่สุดผมก็สวมแหวนวงนั้นที่นิ้วของอูยอง เขามองตามแหวนที่ผมสวมให้ ใบหน้านิ่ง ๆ ของเขายังทำให้ผมจับอารมณ์คนตรงหน้าไม่ถูกอยู่ดี
"ฉันรักนายนะ ..." ผมเลือกที่จะพูดมันออกมา เผื่อว่าอูยองจะระบายยิ้มออกมาบ้าง
แต่ไม่เลย เพราะนั่นยิ่งทำให้อูยองก้มหน้าไม่ยอมสบตาผม
"ฉันรู้ว่าทุก ๆ ปีในวันเกิดนายฉันจะพูดแต่ประโยคนี้เสมอ ... ถือซะว่ามันเป็นของขวัญวันเกิดสำหรับนายละกัน"
"....."
"ฉันรักนาย อูยอ .."
"พอเถอะ" อูยองเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมตรง ๆ ดวงตาคู่นั้นกำลังคลอไปด้วยน้ำตา
"แหวนนี่ ผมรับไว้ไม่ได้หรอก ..." อูยองค่อย ๆ ถอดแหวนที่เพิ่งใส่ให้กับผม
"นายไม่ชอบเหรอ ... ?" สิ้นคำถามของผม น้ำตาที่คนตรงหน้าพยายามกลั้นไว้ก็พรั่งพรูออกมา สิ่งนี้สร้างความตกใจและสงสัยให้ผมในเวลาเดียวกัน
... อูยองกำลังร้องไห้ ?!
ผมที่เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้อูยองกลับต้องหยุดชะงักลงเมื่อเขาจงใจเบือนหน้าหนี ... ตอนนี้ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลย อูยองเป็นอะไรกันแน่
ทนมองอูยองที่สะอื้นและปาดน้ำตาลวก ๆ ด้วยหัวใจที่เจ็บปวด ผมต้องบังคับตัวเองไม่ให้เดินไปและพยายามกัดปากเพื่อห้ามตัวเองไม่ให้พูดคำปลอบใจใด ๆ ออกไปทั้งที่ต้องการจะดึงอูยองมากอดแทบขาดใจ
แต่เห็นทีท่าปฏิเสธของอูยองในตอนแรกผมจึงเหมือนถูกสาปให้ยืนดูอูยองร้องไห้เงียบ ๆ
"อูยอง .... นาย ... ?" นายเป็นอะไร
"ผมยังแสดงออกไม่พอเหรอ ..." เสียงแหบพร่าของอูยองพูดแข่งกับเสียงสะอื้นของตัวเอง "ที่ทำไปทั้งหมดนิคคุณไม่รู้สึกอะไรเลยเหรอ"
"... ฉันไม่เข้าใจว่านายกำลังจะพูดอะไร"
อูยองเงียบไปอึดใจก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เบาหวิว
"ทำไมถึงเข้าใจอะไรยากจัง ? ..."
เหมือนจะเป็นคำถาม แต่ผมก็ไม่สามารถหาคำตอบมาได้ว่าทำไม เพราะในตอนนี้ผมไม่เข้าใจอะไรเลย
อูยองเสมองไปทางอื่น เขานิ่งไปซักพักก่อนจะหลับตาลงปล่อยให้น้ำตาที่คลออยู่ไหลลงมาอีกระลอก
เม้มปากเข้าหากันเพื่อจะพูดบางอย่างที่ทำให้ลมหายใจของผมแทบขาดห้วง
"เราเลิกกันเถอะ ..."
"....."
แม้เสียงจะเบาจะแทบกระซิบแต่กลับดังก้องในมโนนึก
สมองผมกำลังปั่นป่วนราวกับพายุที่โหมกระหน่ำ แม้แต่เสียงที่ต้องการจะเปล่งและถามว่า -ทำไม- ยังไม่มี
"อ .. อูยอง ..." ทำไม .. ?
ครางแผ่วด้วยเสียงที่แตกพร่า ราวกับพายุแห่งความเจ็บปวดกำลังกลืนกินร่างกายและหัวใจของผมอย่างช้า ๆ
"... เพราะผมไม่ได้รักนิคคุณแล้ว"
ราวกับมีดที่กรีดแทงหัวใจจนเป็นแผลเหวอะหวะ ตัวของผมชาหนึบไปทั้งร่าง
... ไม่จริงหรอก ผมไม่เชื่อว่าอูยองจะไม่รักผมแล้ว
"นายโกหก ..." ปากของผมขยับแต่กลับไม่มีเสียงใดเล็กลอดออกไปเลย
อูยองเม้มปากกำลังจะร้องไห้อีกครั้ง เขาพูดในขณะที่กำลังสะอื้น
"ของขวัญวันเกิดที่นิคคุณให้ผมทุกปี ผมชอบและพอใจกับมันมาก ..."
"แต่รู้อะไรไหม ... สำหรับปีนี้ ของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดสำหรับผมคือการที่เราเลิกกัน"
.......
หัวใจของผมจากที่มันเจ็บปวดเพราะกรีดแทงกลับมีความรู้สึกว่ามันกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ ยง ๆ เจ็บเป็นทวีคูณเมื่อฟังประโยคสุดท้ายที่อูยองพูด
...เลิกกัน เพื่อเป็นของขวัญวันเกิด ...
ผมกำลังร้องไห้ รู้สึกว่าตัวเองกำลังร้องไห้ แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาซักหยด
"... ผมขอร้อง" เสียงเล็กวิงวอนต่อผม
"....."
ในเมื่อมันเป็นความต้องการของอูยอง ...
"ได้"
... ผมก็ยินดีที่จะทำโดยไม่ปฏิเสธอะไรทั้งสิ้น
ผมหันหลังให้กับคนที่ตัวเองรักมากที่สุด เดินออกมาจากห้องนั้นโดยไม่หันกลับไปมองร่างเล็กที่นั่งกอดเข่าและฟุบหน้าลง
ทันทีที่ได้ยินเสียงประตูปิด อูยองก็ปลดปล่อยอารมณ์ต่าง ๆ ออกมาโดยการสะอื้นและร้องไห้อย่างหนัก
ถ้าเลือกได้ ... อูยองไม่ต้องการให้เป็นแบบนี้
ถ้าเลือกได้ ... เขาไม่อยากเห็นนิชคุณต้องเดินจากไป
... ไม่เลยจริง ๆ
.
.
TBC.
-------------------------
+TALK
เราเตือนคุณแล้ว 555555555
แต่นี่ยังแค่ไม่เท่าไหร่เพราะตอนหน้ามันจะหนักกว่านี้ -*-
บางคนเคยอ่านเรื่องนี้มาแล้วในบอร์ดเคเค ฮี่ ๆๆ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาก ๆ เลยจ้า
Qreaz. 10
ความคิดเห็น