การเดินทางกับความรัก
เรื่องสั้นครับ
ผู้เข้าชมรวม
154
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ ขณะนี้ท่านใดที่ต้องการที่จะเดินทางไปกับขบวนรถเร็ว กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขณะนี้เหลือเวลาอีกประมาณ 5 นาที ท่านใดที่มีตั๋วโดยสารแล้ว กรุณา ไปขึ้นรถที่ชานชาลาที่ 12 ” เสียงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นรถดังขึ้น นลินีบิดตัวอย่างปวดเมื่อย ในอีกไม่นาน เธอก็จะได้ไปแสดงความยินดีกับเพื่อนของเธอที่เรียนจบ
ไม่นานนัก รถไฟก็เปิดเสียงวู๊ดดังสนั่น นลินีหันออกไปมองนอกหน้าต่างของขบวนรถ ชั้นสามที่เธอโดยสารอยู่ โบกมือให้กับผู้คนที่เดินไปเดินมา ทำให้คนที่เดินไปเดินมาก็งงว่าเธอทำไมโบกมือให้เขา ขณะที่คนโบกพึมพำว่า
“ลาก่อนกรุงเทพฯ เดี๋ยวอีก 2 วันฉันจะกลับมานะ”
หลังจากที่โบกมือเสร็จเรียบร้อย เธอก็กลับมานั่งที่นั่งของเธอ ซึ่งเป็นที่นั่งทางขวามือ นั่งหันหลังให้กับขบวนรถ ขบวนที่เธอนั่งเป็นขบวนชั้นสามซึ่งหลายๆ คนเมื่อรู้ว่าเธอจะมารถไฟชั้นสามต่างเบ้หน้าแล้วถามว่า
‘แกนั่งได้หรือว่ะ ที่นั่งแข็งยังกับอะไรดี’ ธาริณีถามเพื่อนสาว
นลินียิ้ม แล้วพูดว่า
‘นั่งได้ สบายมาก ที่ฉันเลือกที่นั่งชั้นสามเพราะว่าฉันอยากชมวิว แถมลมก็โกรกสบาย นอกจากนั้นราคายังถูกด้วย’
เพื่อนๆ จึงได้แต่ส่ายหน้ากับคำพูดของเธอ คร้านที่จะเอาชนะแล้ว
ความจริงแล้ว นลินีกับเพื่อนๆ ในกลุ่ม “เด็กวิทย์หนึ่ง” ต่างเดินทางไปแสดงความยินดีกับ วศิน เพื่อนสนิทในกลุ่มนักเรียนสายวิทย์ คณิต ที่โรงเรียนเพิ่งเปิดใหม่ และมีพวกเธอกับเพื่อนๆเพียงแค่ 10 คนเท่านั้น เป็นรุ่นแรกของโรงเรียน เพราะคนอื่นๆ ต่างเลือกที่จะเรียน สายศิลป์ ภาษา หรือศิลป์ คำนวณกันหมด และพวกเธอ 10 คนก็เป็นนักเรียนที่สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน ด้วยการสอบเอ็นท์ทรานซ์ติดมหาวิทยาลัยชั้นนำสาขาวิทยาศาสตร์ได้สำเร็จเป็นกลุ่มแรกของโรงเรียนตั้งแต่เปิดทำการเรียนการสอนมา เพราะว่ายังไม่มีใครสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สักคน ยกเว้นพวกที่ออกไปเรียน ม. ปลาย ที่อื่น
หลังจากที่สอบเอ็นทรานซ์เสร็จ “กลุ่มเด็กวิทย์หนึ่ง” ก็มีโอกาสเจอกันน้อยลง เพราะว่าบางคนไปเรียนถึงเชียงใหม่ บางคนไปเรียนถึงสงขลา จะเจอกันก็ตอนปิดเทอมเล็กเท่านั้น โดยเฉพาะวศินที่เรียนหมอ แทบจะไม่ได้เจอกันเลย
ในที่สุด เมื่อทั้งหมดจบการศึกษา จึงได้มีโอกาสเจอหน้ากันบ่อยขึ้น เพราะว่าต่างคนต่างกลับมาทำงานในกรุงเทพฯ กันหมด และทุกคนต่างคว้าเกียรตินิยมติดมือมาด้วย
ตอนนี้ทั้งหมดรับปริญญากันหมดแล้ว เหลือแต่วศินคนเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ได้รับ เพราะว่าต้องมารับตอนต้นปีของอีกปีหนึ่ง ซึ่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เป็นมหาวิทยาลัยที่เกือบๆ สุดท้ายที่จะพระราชทานปริญญาบัตรในรอบปีหนึ่ง
ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่กลุ่ม “เด็กวิทย์หนึ่ง” จะได้มาเจอกัน
เมื่อรถแล่นออกจากสถานีรถไฟหัวลำโพงแล้ว นลินีก็ได้แต่อ่านหนังสือ โดยไม่ทันสังเกตถึงชายหนุ่มคนที่นั่งตรงข้ามกับเธอที่กำลังนั่งอมยิ้มให้กับท่าทีที่เธอโบกมือที่สถานีเมื่อกี้
และเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมา ก็พบกับรอยยิ้มพิมพ์ใจของชายหนุ่มคนนั้นเสียแล้ว
นลินีผู้ไม่เคยกลัวใครอยู่แล้ว เลยแกล้งมองตาขวาง
“ยิ้มอะไรไม่ทราบค่ะคุณ”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอยักไหล่
“เปล่านี่ ผมไม่ได้ยิ้มอะไร”
หลังจากจบประโยคนั้น นลินีก็มองสำรวจคนร่างสูงตรงหน้า แม้ใจจะเต้นตึกตัก แต่ก็อยากจะมอง
เพราะความหล่อ ความหน้าใส ความสูงของรูปร่างของเขาหรือเปล่า ที่ทำให้เราใจเต้นไม่เป็นระส่ำขนาดนี้ นลินีนึกในใจที่กำลังเต้นไปเป็นระส่ำของเธอ
ฝ่ายที่นั่งตรงหน้า มองอาการพินิจพิจารณาของนลินี
“เป็นไง ตะลึงในความหล่อของผมใช่เปล่า”
ถ้าไม่เสียดายของเก่า นลินีคงจะอวกออกมาทันที คนอะไรจะขี้โอ่ได้ขนาดนี้
“โห พูดได้หน้าไม่อายเลยนะคุณ ใครจะไปตะลึงในความหล่อของคุณกัน” นลินีพูดพร้อมกับขว้างค้อนมาให้หนึ่งควับ
ชายหนุ่มตรงหน้าหัวเราะ และถามว่า
“เอาล่ะ ผมไม่ยั่วคุณแล้วก็ได้ ผมจะถามว่าคุณจะไปไหนหรือครับ”
“คือฉันจะไปงานรับปริญญาของเพื่อนที่เชียงใหม่น่ะค่ะ ความจริงเพื่อนๆ ของฉันเขาเดินทางไปกันหมดแล้ว แต่ติดที่ว่าฉันยังลางานไม่ได้ เลยให้เขาไปกันก่อน แล้วฉันค่อยตามขึ้นไปวันรับ” นลินีพูด
“ผมก็เหมือนกันครับ จะไปงานรับปริญญาของเพื่อนที่ มช.” อีกฝ่ายหนึ่งพูด
“เพื่อนคุณจบคณะอะไรหรือค่ะ”
“คณะเกษตรครับ แล้วคุณล่ะ”
“คณะแพทย์ค่ะ เขาเป็นคนสุดท้ายในกลุ่มที่รับปริญญาช้ากว่าชาวบ้าน”
“ก็แหงล่ะ เพราะว่า มช. ก็รับอย่างนี้ทุกปี ว่าแต่ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
“ฉันชื่อนลินีค่ะ เรียกนีก็ได้ แล้วคุณล่ะค่ะ”
“ผมชื่ออภิวัฒน์ครับ เรียกผมว่าวัฒน์ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“เช่นกันค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
หลังจากที่ทั้งสองคนนั่งคุยเป็นเพื่อนกันไป รถก็แล่นมาเรื่อยๆ จนถึงลพบุรี อภิวัฒน์มองหญิงสาวร่างป้อมที่นั่งหลับพิงพนักตรงหน้าเขาที่ตอนนี้ผลอยหลับไปแล้ว
นอนหลับก็ยังสวยแฮะ อภิวัฒน์นึกในใจ
การเดินทาง ครั้งนี้ อาจจะนำพาเขาให้มาพบกับใครสักคนหนึ่งก็ได้
เมื่อรถแล่นมาถึงที่พิจิตร นลินีที่รู้สึกตัวแล้วเห็นผู้คนเดินควักไขว่พร้อมกับทิวทัศน์บ้านเมืองที่แปลกตา เธอก็คว้ากล้องดิจิตอลที่อยู่ในกระเป๋าทันที เพื่อที่จะถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก
หลังจากที่รถแล่นออกจากสถานีรถไฟพิจิตรแล้ว อภิวัฒน์ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงหน้าก็ละสายตาจากหนังสือ ยิงคำถามใส่เธอทันที
“คุณเดินทางคนเดียวไม่กลัวหรอ”
“ฉันเดินทางคนเดียวเป็นประจำค่ะ ฉันชอบนั่งรถไฟไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ไปมาเลเซียยังเคยมาแล้วด้วยนะค่ะ” นลินีบอกอย่างโอ่ๆ
“เมื่อกี้คนรู้ไหม ตอนที่คุณหลับมันอันตรายแค่ไหน ถ้าเกิดคนที่ไม่ประสงค์ดีมานั่งข้างๆ หรือว่ามาทำร้ายคุณจะว่ายังไง”
เออ...เราไม่ได้คิดในแง่นี้เลยนะ นลินีนึกในใจ
อภิวัฒน์สังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย แล้วก็พูดว่า
“แสดงว่าคุณไม่ได้นึกถึงในแง่นี้เลยสิ ความจริงถึงแม้ว่าคุณคิดว่า การที่คุณเดินทางคนเดียว ไม่ว่าจะนั่งรถไฟชั้นไหน มันก็ต้องระวังไว้บ้าง ถึงแม้ว่าผมจะดูน่าไว้ใจก็เถอะ บางทีผมอาจจะเกิดอาการหื่นกามขึ้นมา ” อภิวัฒน์มองอีกฝ่ายด้วยสายตาลูกแกะในกำมือ “คุณไม่รอดแน่”
“ตาบ้า คุณนี่บ้าที่สุดเลย คิดอกุศล” นลินีพูดพร้อมกับขว้างค้อนให้อีก “ถ้าคุณลองทำอะไรอย่างที่คุณว่า ฉันจะตะโกนให้ลั่นรถเลย คอยดู”
“ผมขอโทษ ผมแค่อยากจะเตือนคุณไว้เฉยๆ ให้คุณระวังตัวเอาไว้บ้าง เดินทางคนเดียว คนเราเดี๋ยวนี้ ไว้ใจกันได้ที่ไหน ถึงแม้บางครั้งจะไว้ใจได้ แต่คุณก็ต้องระวังตัวไว้บ้าง” อภิวัฒน์ ร่ายยาวราวกับครูสอนนักเรียน
“ขอบคุณมากๆ นะค่ะที่เป็นห่วง คราวหน้าฉันจะระวังตัวค่ะ” นลินีพูดพร้อมด้วยใบหน้าที่แดงเล็กน้อย ไม่เคยมีใครเป็นห่วงเราขนาดนี้เลย
“นี ตอนนี้คุณทำงานอะไรครับ” อภิวัฒน์ถาม
“ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ที่องค์การเภสัชกรรมค่ะ เป็นนักวิจัยทางเภสัชเคมี แล้วคุณล่ะ”
“ผมกำลังเรียนต่อปริญญาโทวิศวะคอมพิวเตอร์อยู่ที่จุฬาฯ”
“งั้นเราก็ลูกพระเกี้ยวเหมือนกัน ฉันจบเคมีที่จุฬาฯ ค่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จักเด็กพระเกี้ยวเหมือนกันครับ” อภิวัฒน์พูดยิ้มๆ จากนั้นก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไป นลินีแอบมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาที่แอบปลื้มเล็กๆ
เอะ หรือว่าเราจะชอบเขาแล้วนะ
รถแล่นไปเรื่อยๆ ท่ามกลางป่าที่อยู่ตามภูเขาที่ทางรถไฟตัดผ่าน นลินีพยายามที่จะชะโงกหน้าไปถ่ายรูปทิวทัศน์ที่สวยงามด้านนอกหน้าต่าง โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า รถไฟที่กำลังแล่นอยู่น่ะ กำลังแล่นอยู่บนเหว ถ้าตกลงไป ยังไม่ทันถึงหมู่บ้านด้านล่าง ก็คงขาดใจตายเพราะความเจ็บ
อภิวัฒน์มองหญิงสาวร่างป้อมที่ตั้งหน้าตั้งตาถ่ายรูปจนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรพยายามที่จะชะโงกหน้าไปถ่ายรูปจนรำคาญตากระมัง ทั้งๆ ที่เวลาหล่อนหันมามอง เขาก็ทำสายตาแบบโหดๆ ให้ดูแล้ว
ชายหนุ่มลุกขึ้นไปสะกิดตรงแขนของเธออย่างเบาๆ แล้วพูดว่า
“นี่คุณ เวลาคุณถ่ายรูป คุณไม่รู้เลยหรือว่าคุณกำลังอยู่ตรงปากเหวพอดี ถ้าคุณตกลงไป คงไม่ต้องให้ผมบอกนะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
นลินีหันหน้ามาเผชิญกับอภิวัฒน์ เห็นแววตาที่อ่อนโยนของอภิวัฒน์แล้ว ทำให้ปากที่ขยับจะวีนใส่ก็วีนไม่ลง
“ผมแค่อยากให้คุณระวังตัวเอาไว้บ้าง คุณจะถ่ายรูปผมไม่ว่าหรอก แต่ว่าให้ระวังๆ หน่อย”
หญิงสาวได้แต่พยักหน้า พร้อมกับความอบอุ่นในหัวใจที่เพิ่มขึ้น เธอพยักหน้าขอบคุณเขาแล้วก็มานั่งลงตรงที่นั่งของเธอ
หลังจากที่รถแล่นมาเรื่อยๆ เข้าสู่เวลากลางคืน แม้ว่าวิวจะสวยสักแค่ไหน แต่ว่าถ่ายไปก็คงมองไม่เห็นเพราะว่ามันมืด ตอนที่ลอดถ้ำขุนตาลนั้น หลังจากที่ลอดแล้ว นลินีก็เริ่มออกอาการเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง อภิวัฒน์ดูท่าทางหญิงสาวแล้วก็เลยบอกให้เธอหลับไป เขาจะคอยดูเธอเอง
อภิวัฒน์มองใบหน้าของนลินี พยายามที่จะข่มความรู้สึกของตน ไม่ให้รู้สึกอะไรเกินเลยกับหญิงสาวตรงหน้า พยายามที่จะบอกในใจว่า เขาเป็นเพียงแค่คนที่เดินทางมากับเรา แล้วเขาคงจะผ่านไป
อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ ตามฤดูกาล หญิงสาวร่างป้อมตรงหน้าเริ่มห่อตัวมากขึ้น เพราะแค่ผ้าคลุมไหล่ผืนเดียว คงไม่สามารถบรรเทาความหนาวของอากาศในเวลานี้ได้
อภิวัฒน์หยิบเสื้อกันหนาวของเขาจากกระเป๋าขึ้นมา อากาศหนาวประมาณนี้เขาสามารถ อยู่ได้โดยไม่ต้องใช้เสื้อกันหนาว แต่ก่อนที่จะเอาไปคลุมให้หญิงสาว เขาก็หยิบกระดาษโน้ต แผ่นเล็กๆ เขียนอะไรบางอย่างลงไป แล้วก็นำไปห่มคลุมให้หญิงสาวร่างป้อมคนนั้น
หวังว่ากระดาษแผ่นน้อย คงจะช่วยให้ความรู้สึกที่เขาอยากจะพิสูจน์ความรู้สึกของ หญิงสาว ว่าเขาจะรู้สึกเช่นกันหรือไม่
นลินีรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงประกาศของนายสถานีให้ผู้โดยสารขึ้นรถ หญิงสาวงัวเงียขึ้นมา มองที่ตัวของหล่อนที่ตอนนี้มีเสื้อกันหนาวของใครบางคนคลุมอยู่
เธอหันไปมองที่นั่งฝั่งตรงข้ามเธอ ไม่เห็นมีชายหนุ่มผู้นั้นนั่งอยู่เสียแล้ว
ความรู้สึกงัวเงียจากการตื่นนอนหายเป็นปลิดทิ้ง นลินีรีบคว้ากระเป๋าเสื้อผ้าพยายามเดินแกมวิ่งตามหาคนๆ นั้น ทั้งในขบวนรถและในบริเวณสถานี แต่ก็ไม่เห็นเขาแม้แต่เงา
อยู่ดีๆ น้ำที่ไหนก็ไม่รู้ ก็ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเธอ ความรู้สึกสูญเสียประเดประดังเข้ามา
พระพรหมเจ้าขา ทำไมไม่ดลใจให้เขาชอบลูกเหมือนดังที่ลูกชอบเขาเลย
ไม่นานนัก เธอก็เห็นเพื่อนๆ ในกลุ่มมารับครบทั้ง 9 คน ศรายุทธ์ กอบกิจ จักรินทร์ สินีนาถ ภัทรนินท์ สิราพร ธาริณี ณภัทร และก็วศินที่มาในชุดครุย
“เป็นไงบ้างสบายดีหรือเปล่า เดินทางเป็นไง ปลอดภัยไหม ....” สินีนาถและภัทรนินท์วิ่งไปกอดเพื่อนพร้อมน้ำตา จากนั้นที่เหลือก็ค่อยๆ ทยอยเดินเข้ามารวมกลุ่ม
“ไม่เป็นไร เดินทางสบายมากๆ” นลินีกอดเพื่อน
หลังจากที่ทักทายกันเป็นที่เรียบร้อย เธอก็ตรงไปกอดวศินที่วันนี้กลายเป็นบัณฑิต แล้วพูดว่า
“ยินดีด้วยนะว่าที่บัณฑิตใหม่ ดีใจด้วยนะศิน” นลินีพูด
“ขอบใจมากจะนี ขอบใจที่เธอเดินทางมางานของฉัน”
นลินีกอดกับวศินอบู่นานพอสมควร แล้วก็เดินออกจากสถานีรถไฟไป โดยไม่รู้ว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งแอบมองอยู่ด้วยหัวใจแตกสลาย
“เอานี่ เธอพักกับนาถและก็นินท์นะ” วศินพาพูดพร้อมยื่นกุญแจให้ เมื่อมาถึงโรงแรม เขาจัดการจองโรงแรมที่ใกล้หอประชุมของมหาวิทยาลัยให้เพื่อน เพราะจะได้เดินทางสะดวก
“แล้วพรุ่งนี้แกเข้ารับกี่โมง” นลินีที่มาถึงเป็นคนสุดท้ายถาม
“ตอนบ่าย ไม่ต้องไปเช้าก็ได้”
“เออ ดีเหมือนกัน คืนนี้ฉันอยากไปเที่ยวไนท์บาร์ซาร์จัง” นลินีพูด
“จะไปหรือเปล่า เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน” ภัทรนินท์ที่อยู่ห้องเดียวกันกับเพื่อนถาม
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันไปคนเดียวได้ เห็นด้านหน้าโรงแรมมีรถสามล้อไม่ใช่หรือ” นลินีพูด
“เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อนแกดีกว่า แกยังไม่เคยมาที่เชียงใหม่เลยนี่ ไป เดี๋ยวฉันพาเที่ยว” วศินพูด
“เฮ้ย แกไปดูแลแฟนแกเถอะ เดี๋ยวเขาจะว่าเอา” นลินีว่า พร้อมกับหันหน้าเดินเข้าห้องไปเตรียมของ วศิน ภัทรนินท์ และสินีนาถส่ายหน้ากับความดื้อของนลินีแล้วพูดว่า
“ยัยคนนี้นี่ดื้อไปเปลี่ยนเลยจริงๆ ไป เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนชุดครุยก่อน พวกแกพยายามรั้งยัยนีไว้ล่ะ ฉันจะพาแฟนฉันไปด้วย แล้วเดี๋ยวมาเจอกันที่หน้าห้อง”
ในที่สุด จากที่นลินีจะไปคนเดียว กลับกลายเป็นการไปเดินกันทั้งกลุ่ม วศินอาสาขับรถไปกับศรายุทธ์ที่เอารถมาจากรุงเทพฯ นลินีส่ายหน้ากับความเป็นห่วงของกลุ่มเพื่อน ในใจก็กระวัดไปนึกถึงใครบ้างคน
‘เมื่อกี้คนรู้ไหม ตอนที่คุณหลับมันอันตรายแค่ไหน . การที่คุณเดินทางคนเดียว มันก็ต้องระวังไว้บ้าง........’
นึกถึงแล้วน้ำตาก็พานจะไหล ทำไมคนที่เข้ามาเขาถึงจากเราไปง่ายดายอย่างนี้นะ
“เป็นอะไรหรือเปล่านี่ ทำไมตาแดงๆ” สินีนาถที่นั่งข้างๆ ถาม
“เปล่าหรอก ไม่ได้เป็นอะไร แค่คิดถึงคนที่บ้านนิดหน่อย” นลินีตอบ พร้อมๆ กับล้วงกระเป๋าเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหูเช็ดตา โดยที่ไม่ทันสังเกตสายตาจับผิดของเพื่อน
“ถามจริงๆ วันนี้แกเป็นอะไรหรือเปล่า” สินีนาถถามอีกครั้ง
“เปล่านี่ ไม่ได้เป็นอะไร” นลินีส่ายหน้าแล้วหยักไหล่ แสดงท่าทางความ ‘ไม่เป็นไร’
สินีนาถส่ายหน้ากับความเกรงใจของเพื่อน
“ช่างมันเถอะ ไม่อยากเล่าก็ตามใจ แต่ถ้ามีอะไรอยากจะเล่าอยากจะระบาย ก็บอกได้นะ”
เพื่อนสาวพยักหน้า แล้วก็ต่างคนต่างสนทนาเรื่องต่างๆ
“แล้วนี่แกลางานได้กี่วันล่ะ”
“เราลาได้ 2 วัน พวกแกคงลาได้เป็นอาทิตย์แหง เพราะว่าทำงานบริษัทกันนี่” นลินีพูด เพราะว่ามีเธอคนเดียวในกลุ่มที่เลือกทำงานราชการ
“อ่ะ แน่นอน ก็แกอยากทำงานราชการทำไม เปลี่ยนมาทำงานบริษัทแบบพวกเราได้แล้ว”
“เรื่องอะไร ตอนนี้ทำงานราชการก็สบายอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปทำงานบริษัทแบบ พวกแกหรอก ถึงแม้ว่ามันจะเงินเดือนน้อย แต่ว่ามันก็สบายกว่าพวกแกที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ”
“โธ่ แล้วแกอย่าบอกนะ ว่าที่แกทำงานไม่หามรุ่งหามค่ำ เห็นทำแล็บทีนี่นอนอยู่ที่ห้องแล็บเลยไม่ใช่หรอ”
“เออ รู้ว่าฉันเถียงไปก็มีแต่จะจนแต้มพวกแกอยู่ดี เปลี่ยนเรื่องพูดกันดีกว่า” นลินีพูด พาเอาทุกคนที่นั่งในรถนั้นหัวเราะคิก
หลังจากหาที่จอดรถแล้ว ทุกคนก็พากันเดินจับจ่ายซื้อของ บางคนในกลุ่มที่มาเดินแล้วก็ยังมีบางอย่างที่ยังอยากซื้ออยู่
สินีนาถจับคู่กันเดินกับนลินี และภัทรนินท์ วศินเดินคู่กับแฟนของเขา ศรายุทธ์ กอบกิจ จักรินทร์ ส่วนสามสาวสุดสวยที่เหลือ ธาริณี สิราพร และณภัทรก็จับคู่กันเดิน หลังจากที่เดิน ซื้อของเสร็จก็นัดกันมาทานอาหารที่ร้านขันโตกแห่งหนึ่ง แถวๆ ไนท์บาร์ซ่า แล้วก็ต่างพากันกลับโรงแรม เพราะว่าวศินจะต้องตื่นขึ้นมาแต่งหน้าแต่เช้า
เช้าขึ้นมา ทุกคนในกลุ่ม “เด็กวิทย์หนึ่ง” ต่างโกลาหล เพราะต่างคนต่างเลือกชุดที่จะเลือกที่ดีที่สุด สวยที่สุด หล่อที่สุด ใส่ไปงานรับปริญญาของเพื่อน
นลินีที่เป็นเหมือน “ลูกแกะดำ” ในกลุ่ม ต่างส่ายหน้ากับอาการ ‘ห่วงสวย’ เพราะมีเธอคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ชอบแต่งหน้ามากที่สุด
หลังจากที่เพื่อนๆ อาบน้ำเสร็จ นลินีก็คว้าเสื้อยืดสีเขียวกับกระโปรงสีชมพูอ่อนตัวโปรดของเธอเข้าห้องน้ำไป
ไม่นานนักประมาณ 10 นาที นลินีก็อาบน้ำเสร็จ เพื่อนๆ ที่เห็นนลินีแต่งตัวด้วยเสื้อสีเขียวกับกระโปรงสีชมพูอ่อน ต่างตะลึงในชุดที่นลินีใส่
“เฮ้ย เป็นอะไรกันว่ะ ทำไมเอาแต่จ้องฉันตาเขม็ง”
ภัทรนินท์เดินเข้ามาหาแล้วพูดว่า
“ยัยนี เดี๋ยวนี้แกหัดแต่งตัวแบบนี้หแล้วหรอ เออ สวยว่ะแก มานี่เดี๋ยวฉันแต่งหน้าให้ เอาบ้างๆ แล้วกัน เพราะว่าหน้าแกแพ้เครื่องสำอางง่าย” ภัทรนินท์พูด แล้วก็จัดการลากเพื่อนสาวร่างป้อมมาแต่งหน้ารองพื้นบางๆ
ไม่นานนักหลังจากที่แต่งตัวเสร็จ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
“นินท์ นาถ นี เสร็จกันหรือยัง” เสียงวศินดังแว่วอยู่หน้าห้อง
“เสร็จแล้วจ้ะ กำลังจะออกไป คอยเดี๋ยวนะ” ภัทรนินท์พูด สองสาวที่เหลือเดินมาคว้ากระเป๋าสะพายใบย่อมของแต่ละคน นลินีถือกระเป๋าให้กับภัทรนินท์ที่กำลังยืนคุยกับคนข้างนอกห้องอยู่ที่หน้าประตูห้องด้วย
เมื่อออกมาจากห้องพัก วศินที่ยืนอยู่หน้าห้องก็มองมาทางนลินี แล้วถามว่า
“ใครแปลงโฉม ‘ลูกแกะดำ’ ของเราหรือนี่”
นลินีเห็นเพื่อนแซวก็ยิ้มๆ ส่วนภัทรนินท์ที่อดปากไม่อยู่ก็แซวกลับบ้าง
“มีแฟนแต่งสวยไม่ได้แล้วมาอิจฉาพวกเราล่ะซิ”
“พูดแค่นี้เล่นถึงแฟน พูดไปแกจะหาได้อย่างฉันหรือเปล่าเถอะ ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงด้วยแล้ว ไปกันดีกว่า ” วศินพูด
พอทุกคนในกลุ่ม “เด็กวิทย์หนึ่ง” เห็นภาพ ‘ลูกแกะดำ’ ในวันนี้ ต่างก็พากันงงพอสมควร
“โอโห้ วันนี้ลูกแกะดำแปลงร่าง” ศรายุทธ์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เบากับนลินีส่วเสียงแซว ส่วนคนอื่นๆ ก็ได้แต่ยืนงง เพราะทุกทีเวลาไปไหนด้วยกัน เธอจะแต่งเสื้อยืดแบบสีแจ๊ดๆ แล้วก็ กางเกงยีนส์ลีวายสีเจ็บๆ
นลินีเลยขว้างค้อนไปให้หนึ่งควับ ก่อนที่ทั้งหมดจะทยอยกันขึ้นรถไปยังหอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยเสียงคุยที่ดังสนั่นลั่นรถทีเดียว
ภาพบรรยากาศของหอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในวันนี้ เต็มไปด้วยญาติที่มาแสดงความยินดีกับผู้ที่สำเร็จการศึกษา ที่จะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร เป็นบัณฑิต เป็นมหาบัณฑิต เป็นดุษฎีบัณฑิต สมความตั้งใจที่ได้เรียนจบสำเร็จการศึกษา
ด้านหนึ่งของหอประชุม มีนักศึกษาใส่เสื้อสีขาว กางเกงแสลคสีขาว ผูกเน็คไทสีม่วงในฟอร์มชุดพิธีการ ตั้งแถวรอรับองค์ประธานในพิธีที่เสด็จแทนพระองค์ในวันนี้
บรรยากาศในวันนี้มีแต่ความยินดียิ่งนัก
หลังจากที่หาที่จอดรถได้แล้ว ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดนตรีไทยบรรเลงเพลงสรรเสริญ พระบารมี ทุกคนยืนตรงถวายความเคารพ เมื่อเพลงจบ ใครที่มีบุตรหลานรับปริญญาในช่วงเช้า ก็พากันไปหาที่นั่งในเต้นท์ที่ทางมหาวิทยาลัยจัดไว้ให้เพื่อดูบุตรหลานของตนรับพระราชทานปริญญาจากพระหัตถ์ ทางโทรทัศน์วงจรปิดที่มหาวิทยาลัยถ่ายทอดสดออกอากาศ
ส่วนกลุ่ม “เด็กวิทย์หนึ่ง” เมื่อเสร็จพิธี ก็พากันไปถ่ายรูปตามบริเวณคณะที่อยู่ฝั่งสวนดอกซึ่งเป็นคณะที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้งหมด โดยไปถ่ายที่สวนสมุนไพรที่ติดกับหอประชุม คณะเภสัชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ ฯลฯ
ในระหว่างที่ถ่ายรูป นลินีดูเหมอลอยและสายตาเหมือนจะมองหาใครสักคนหนึ่งที่เธอเจอบนรถไฟเมื่อวาน
จนกระทั่งประมาณเก้าโมงตามที่มหาวิทยาลัยนัดเอาไว้ กลุ่ม “เด็กวิทย์หนึ่ง” ได้พาวศิน ว่าที่บัณฑิตรอตั้งแถวรอที่ห้องประชุม
เมื่อเสร็จพิธีในภาคเช้าแล้ว บัณฑิตที่จะเข้ารับพระราชทานปริญญาในภาคบ่ายก็ค่อยๆ เดินแถวเข้าไปในหอประชุม เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างขอตัวพากันไปเดินดูและถ่ายรูปตามสถานที่ต่างๆ นลินีได้ขอตัวไปถ่ายรูปตรงบริเวณสวยสมุนไพร ซึ่งเธอเห็นว่าสวยงามมาก ตลอดจนบรรยากาศในหอประชุมที่มีต้นไม้น้อยใหญ่ ใบและดอกกำลังทยอยร่วงหล่นลงตามสายลม
ระหว่างที่เธอกำลังถ่ายรูปอยู่ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาชนกับเธอเข้า
“ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” นลินีกำลังสำรวจตัวเองอยู่ ไม่ทันได้สังเกตคนที่มาชนกับเธอเข้า แต่เธอก็รู้สึกคุ้นในน้ำเสียงของคนที่พูดออกมา
ชายหนุ่มสังเกตหญิงสาวที่เขาเดินไปชนเขาก็ยิ้มกว้างขึ้นทันที จากวันนี้ที่เขาแทบไม่ยิ้มเลย
“เจอกันอีกแล้วนะครับ”
นลินีเงยหน้าขึ้นไปมองก็ตกใจ และเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่กว้างขึ้น จากนั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปีติก็ค่อยๆ ไหลออกมา
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” อภิวัฒน์ค่อยๆ ไปประคองหญิงสาว
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ แค่ดีใจเท่านั้นเอง ฉันดีใจที่ได้เจอคุณ”
“คุณดีใจที่ได้เจอผมหรอ ?” อภิวัฒน์ทวนคำพูด
“ค่ะ ฉันดีใจที่ได้เจอคุณ”
“ผมเองก็ดีใจเหมือนกันครับ ที่ได้เจอคุณอีกครั้งเหมือนกัน ว่าแต่คุณหากระดาษโน๊ตที่ผมเขียนเบอร์โทรศัพท์สอดไว้ในกระเป๋าเสื้อกันหนาวคุณหรือเปล่าครับ”
“ฉันหาไม่เจอค่ะ คือ ฉันไม่ได้ล้วงกระเป๋า” ว่าแล้วหญิงสาวก็เอามือล้วงกระเป๋าทันที ก็เจอกระดาษโน๊ตใบเล็กๆ แผ่นหนึ่งสอดอยู่ในกระเป๋า เธอล้วงหยิบออกมา
“ฉันขอโทษจริงๆ นะค่ะที่ไม่ได้ล้วงมันออกมา”
“ไม่เป็นไรครับ แล้วแฟนคุณล่ะ เข้ารับปริญญาไปแล้วหรอ” อภิวัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงสะบัดเล็กๆ แววตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
นลินีมองชายหนุ่มตรงหน้าแล้วก็ซ่อนยิ้มเล็กๆ พูดว่า
“แฟนหรอค่ะ ถ้าเป็นแฟนฉันจริง แฟนตัวจริงของเขาคงจะมาต่อยฉันล่ะค่ะ”
“อะไรนะครับ”
“คือเพื่อนฉัน ที่คุณเห็นฉันวิ่งเข้าไปกอดเมื่อวานนี้ เขาเป็นเกย์ค่ะ และเขาก็มีแฟนแล้วด้วย”
“หรอครับ ผมขอโทษนะครับที่ผมเข้าใจคุณผิดไป”
“ไม่เป็นไรค่ะ” นลินีกำลังจะเดินถอยออกไป แต่อภิวัฒน์จับมือหญิงสาวไว้ก่อน
“คุณจะหนีผมไปไหนหรอ”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่จะเดินไปถ่ายรูปเฉยๆ คุณจะไปถ่ายรูปกับฉันไหมค่ะ”
“ไปครับ” ว่าแล้วเขาก็เดินตามหญิงสาวไปถ่ายรูป แต่ยังไม่ทันไร หญิงสาวก็เสียหลักลื่นล้ม อภิวัฒน์รีบเข้าไปประคองรับทันที
“นี คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่าค่ะ” ว่าแล้วหญิงสาวก็หน้าแดง และกำลังจะเดินหนีไปด้วยความปั่นป่วนในใจ แต่อภิวัฒน์รั้งเธอไว้ด้วยการจับข้อมือเบาๆ
นลินีหันมาเผชิญหน้าชายหนุ่ม สายตาของเขาดูแน่วแน่และหวานไหวเหลือเกิน
“นี คุณรู้ไหม ว่าผมคิดถึงคุณ”
“ฉัน ก็คิดถึงคุณเหมือนกันค่ะ”
ทั้งสองคนเกี่ยวมือกันเดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุข ต้องขอขอบคุณรถไฟคันนั้นที่ทำให้เขาและเธอพบกัน และทำให้ต่อจากนี้ ทั้งสองคนจะได้เป็นคู่กัน ตลอดไป
ผลงานอื่นๆ ของ ดวงตะวันในแรมหนาว ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ดวงตะวันในแรมหนาว
ความคิดเห็น