ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic BTS] Law of The Jungle (kookmin, namjin)

    ลำดับตอนที่ #14 : CHAPTER 12 l ตึกตัก (รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.83K
      132
      13 ธ.ค. 60



     

     

    CHAPTER 12

    When you are missing someone, time seems to move slower,

    And when I'm falling in love with someone, time seems to be moving faster.

    (Taylor Swift)

     

     

     

     

                “ครอบครัวของมินยุนกิไม่เหมือนกับครอบครัวอื่น แม่ของยุนกิเป็นโรคปฏิเสธการตั้งครรภ์

     

                “พ่อหมายความว่ายังไง โฮซอกทำหน้างงสุดขีด ชื่อโรคที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนทำให้เขารู้สึกสงสัย

     

                แม่ยุนกิมีภาวะทางจิตที่ไม่ปกติ อย่างที่บอกไปนั่นแหละ เธอเป็นโรคปฏิเสธการตั้งครรภ์ สภาพจิตใจของเธออยู่ในขั้นรุนแรงระดับที่เรียกว่าโรคจิตหลังคลอด จริงๆ แล้วโรคนี้มันเกิดได้ไม่บ่อยหรอก มีโอกาสเกิดแค่ 0.2% ด้วยซ้ำไป ส่วนอาการก็มักจะหงุดหงิดง่าย อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ คิดว่าไม่ใช่ลูกของตัวเอง บางคนถึงขั้นทำร้ายร่างกายลูกตัวเองก็มี

     

                แล้วทำไมเขาถึงได้คิดแบบนั้นล่ะ คลอดออกมาแล้วจะไม่ใช่ลูกของตัวเองได้ยังไง

     

                ที่แม่ของยุนกิไม่ยอมรับเด็กคนนั้นเป็นลูกก็เพราะว่ายุนกิเป็นลูกของเธอกับพ่อเลี้ยง

     

                เฮ้ย ถูกข่มขืนเหรอ แล้วทำไมเขาถึงไม่แจ้งความล่ะโฮซอกเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เขาแทบสำลักข้าวที่อยู่ในปากเมื่อได้ยินสิ่งที่พ่อพูด โฮซอกขมวดคิ้ว เขาวางช้อนในมือลง เลิกสนใจข้าวที่อยู่ตรงหน้าแล้วหันมาจริงจังกับบทสนทนาแทน เขาเคยคิดว่าเรื่องพวกนี้มันเกิดแค่ในละครหรือหนังที่เคยดูเท่านั้น ไม่คิดเลยว่ามันจะเกิดขึ้นในชีวิตจริงของใครคนหนึ่ง

     

                ตอนนั้นแม่ของยุนกิกำลังจะแต่งงาน เธอกลัวว่าถ้าเขารู้ว่าเธอถูกพ่อเลี้ยงตัวเองข่มขืน งานแต่งจะถูกยกเลิก เธอเลยไม่กล้าบอกใคร แต่สุดท้ายแล้วเขาก็รู้อยู่ดี อย่างที่แกเห็นนั่นแหละ ฉันเองก็สงสัยพฤติกรรมของเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะทำกับยุนกิขนาดนั้น

                                                                                         

                พ่อของโฮซอกนั่งตัวตรง กอดอก นึกเห็นใจยุนกิที่ต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ทั้งๆ ที่เป็นปัญหาของผู้ใหญ่แต่กลับไม่ช่วยกันแก้ ไม่ช่วยกันหาทางออก เอาแต่โยนทุกสิ่งให้เด็กคนหนึ่งตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งรอยแผล ทั้งความเกลียดชัง

     

                แล้วพ่อรู้เรื่องนี้ได้ยังไง

     

                แม่ของยุนกิเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยของฉัน แล้วตอนคลอดยุนกิ ฉันก็อยู่ในห้องทำคลอดด้วย

     

                มิน่าล่ะ แล้วพ่อจะเอาไงต่อโฮซอกมองพ่อของตัวเองที่นั่งทำหน้าตาเคร่งเครียด

     

                ก็คงทำอะไรไม่ได้หรอก ฝั่งนั้นเขาเป็นถึงพ่อแม่ เราจะไปทำอะไรได้ ถ้าจะทำก็คงกลายเป็นเรื่องใหญ่โต ขึ้นโรงขึ้นศาล ฉันก็แค่อยากให้แกคอยจับตาดูยุนกิไว้ เพราะสงสัยว่าเด็กคนนั้นจะมีอาการของโรคซึมเศร้า

     

                นี่มันครอบครัวจิตไม่ปกติชัดๆร่างโปร่งพูดในสิ่งที่ตนคิด แต่แล้วก็ต้องหุบปากฉับเมื่อเจอสายตาพิฆาตที่ถูกส่งมาจากพ่อของตน

     

                ใครสั่งใครสอนให้แกพูดจาแบบนั้น ดุเสียงเข้ม ทำหน้าจริงจังจนโฮซอกนั่งหงอย

     

                ผมไม่ได้ตั้งใจ...

     

                วันหลังก็คิดก่อนพูดซะบ้าง แกอาจจะพูดออกมาพล่อยๆ แบบไม่คิด แต่คนฟังเขาไม่ตลกกับแกหรอกนะ โฮซอกนั่งนิ่ง หลังจากนั้นเขาก็โดนพ่อสวดอีกยกใหญ่ แต่โฮซอกก็เข้าใจ เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เขาผิดเองที่พูดไม่รู้จักคิด จะโดนพ่อดุคงไม่แปลก แต่นี่ยังดีที่เขาโดนแค่นี้ ไม่โดนฝ่ามืออรหันต์เหมือนที่เคย ไม่งั้นคงได้กินน้ำตาแทนข้าวแน่ๆ

     

                คืนนั้นโฮซอกนอนไม่หลับ เขาเอาแต่คิดเรื่องของยุนกิ ยิ่งนึกถึงรอยแผลเป็นที่ได้เห็นวันนี้ก็ยิ่งข่มตาหลับไม่ลง มือเรียวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เปิดหน้าจอโปรแกรมแชทสีเหลือง กดเข้าชื่อคนที่ตัวเองตั้งไว้ในรายชื่อคนโปรด

     

                ไอ้ตูดแทฮยอง

     

                นิ้วเรียวพิมพ์เรื่องราวที่ได้เจอในวันนี้ลงในกล่องแชท แต่สุดท้ายเขาก็ลบออก เมื่อนึกไปถึงคำพูดของพ่อที่ว่าห้ามบอกใคร โฮซอกพลิกตัวนอนตะแคง เขามองหน้าจอโทรศัพท์อยู่นาน รู้สึกอึดอัดใจที่ไม่สามารถบอกสิ่งที่อยู่ในใจให้ใครฟังได้

     

    HobiHope

    มึง

    ไอ้ตูดแทฮยอง

    ไร

    HobiHope

    นอนยังวะ

    ไอ้ตูดแทฮยอง

    นอนแล้ว

    HobiHope

    นอนแล้วจะตอบกูได้ไง หมาที่ไหนตอบ

    ไอ้ตูดแทฮยอง

    กวนตีน มีไร

    HobiHope

    ตอนแรกมีแต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว

    ไอ้ตูดแทฮยอง

    เอ้า ไอ้เชี่ยนี่

    HobiHope

    พรุ่งนี้มาไวๆ ด้วยกูจะยืมหนังสือคณิตฯ

    ไอ้ตูดแทฮยอง

    เออๆ

    HobiHope

    ฝันดีนะ

    HobiHope

    เฮ้ย ส่งผิด

    ไอ้ตูดแทฮยอง

    ตั้งใจส่งให้ก็บอก กิ๊วๆ

    HobiHope

    กิ๊วพ่อง กูไปนอนละ

    ไอ้ตูดแทฮยอง

    ฝันดีนะจ๊ะ โฮซอกของพี่

     

     

     

                ฝันดีนะจ๊ะ โฮซอกของพี่ข้อความกวนๆ แต่ก็ทำให้คนอ่านยกยิ้มได้

     

                โฮซอกนอนอมยิ้ม เขาจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์อยู่แบบนั้นจนกระทั่งมันดับลงไปเอง หัวใจเต้นแรงเหมือนจะหลุดออกมาจากอก กลัวเหมือนกันว่าแทฮยองจะรู้ แต่พอมาคิดอีกที โง่ๆ แบบนั้นคงไม่น่ารู้ทัน เพราะแบบนั้นโฮซอกเลยพอเบาใจไปได้บ้างว่าอย่างน้อยความลับของเขามันก็ยังคงเป็นความลับอยู่

     

     

     

     

    --------------------Law of the Jungle--------------------

     

     

     

     

                ทางเดินของโรงเรียนในยามเช้าของวันนี้วุ่นวายไม่แพ้วันไหนๆ ไม่ว่าจะนักเรียนเดินสวนกันไปมา หรือกลุ่มเพื่อนที่วิ่งไล่กันเสียงดังบนทางเดิน แต่ท่ามกลางความวุ่นวายนั้น มีหนึ่งชีวิตกำลังยืนนิ่ง จีมินยืนอยู่หน้าประตูห้อง สูดลมหายใจลึกเข้าปอดเฮือกใหญ่ เขาเปิดประตู หลับตาปี๋เพื่อกันฝุ่นชอล์กปลิวเข้าตา

     

                แต่ก็ไม่... วันนี้เจ้าแปรงลบกระดานถูกวางไว้ที่เดิมของมัน ไม่ใช่บนขอบประตู จีมินเดินไปที่นั่งของตัวเองด้วยความสับสน ถ้าเป็นปกติเขาจะต้องยืนสะบัดเอาผงชอล์กออกท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ในห้องไปแล้ว แต่หลายวันมานี้กลับไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเลย อีกทั้งคนที่เคยมาแกล้งก็หายหน้าไปกันหมด ทำให้เขาได้กลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนตอนก่อนจะเกิดเรื่อง จีมินคิดว่าการที่ไม่ถูกแกล้งมันก็น่าดีใจอยู่หรอก แต่เขาก็อดที่จะสงสัยไม่ได้เหมือนกัน

     

                หรือว่าจองกุก...

     

                สะบัดหัวเมื่อคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นไม่มีทางเป็นจริงได้ จีมินหยิบหนังสือเรียนออกมาวาง เขาเปิดอ่านบทเรียนที่จะต้องเรียนวันนี้ล่วงหน้าซ้ำอีกครั้งเพื่อเป็นการทบทวน ในจังหวะนั้นเองยุนกิก็เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ คนตัวขาววางกระเป๋าลง หยิบหนังสือเรียนของตนออกมาบ้าง

     

                ไง

     

                อืม

     

                บทสนาสั้นๆ ง่ายๆ เหมือนเดิมในทุกเช้าเป็นไปอย่างปกติ จีมินหันกลับมาอ่านหนังสือของตัวเองต่อ แต่แรงสะกิดเบาๆ จากคนข้างตัวทำให้เขาหันไปมอง

     

                นายช่วยสอนการบ้านข้อนี้ให้ฉันทีสิพูดพลางเลียปากด้วยความประหม่า ยุนกิมองจีมินที่ดูจะอึ้งไปนิดๆ แล้วก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือเปล่า เพื่อนตัวเล็กถึงได้ทำหน้าเหมือนเห็นผีแบบนั้น เพราะสูญเสียความมั่นใจ มือขาวจึงเลื่อนหนังสือคณิตศาสตร์กลับมาที่โต๊ะตัวเอง

     

                แต่จีมินก็ตะปบมันไว้ได้ทัน มาสิ เดี๋ยวฉันดูให้

     

                อือ

     

                จีมินยกยิ้ม เขารู้สึกดีใจที่เหมือนว่าความพยายามของตัวเองในหลายเดือนที่ผ่านมานั้นมันจะได้ผล ยุนกิเป็นฝ่ายชวนเขาคุยก่อนแบบนี้ เป็นเรื่องที่น่ายินดีสุดๆ แถมยังขอให้ช่วยติวหนังสือให้อีก นี่คงเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่ายุนกิเปิดใจให้จีมินแล้ว

     

                สูตรนี้นายต้องแก้ตรงนี้ก่อน แล้วค่อยยกในวงเล็บมาคิด เสียงหวานอธิบายสูตรเลขด้วยความตั้งใจ ทั้งสองคนอยู่ในโลกของตัวเองจนไม่ทันได้เห็นว่ามีใครคนหนึ่งเดินมายืนอยู่ข้างโต๊ะ

     

                ฟึ่บ

     

                สอนการบ้านเพื่อนอยู่เหรอ ขอโทษที่รบกวนนะ จองกุกพูดหลังจากที่ดึงหนังสือออกมา เขากางหนังสือ พลิกหน้ากระดาษไปมา พลางทำหน้ากวนคนที่นั่งอยู่เสียเต็มที่

     

                ซึ่งมันก็ได้ผล จีมินส่งสายตาไม่พอใจให้จองกุก เขาคิดว่าจะดึงหนังสือกลับคืนมา แต่เหมือนว่ายุนกินั้นจะไวกว่า มือขาวแย่งมันมาจากจองกุก หนังสือคณิตศาสตร์กลับคืนสู่มือเจ้าของที่แท้จริงในที่สุด

     

                จีมิน

     

                มีอะไรตอบรับด้วยความไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก แต่ก็พยายามควบคุมน้ำเสียงของตนไม่ให้อีกฝ่ายได้รู้

     

                สอนคณิตฯ ให้ฉันหน่อย

     

                หา?” ไม่ทันได้ถามอะไร แขนเล็กก็ถูกฉุดดึงให้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้าวขาตามเจ้าของแผ่นหลังตรงหน้าอย่างทุลักทุเล จีมินทำหน้าตาเลิกลั่ก ครั้นจะหันไปขอความช่วยเหลือจากยุนกิก็ดูท่าจะไม่มีประโยชน์ เพราะดูเหมือนว่าตอนนี้เพื่อนตัวขาวก็กำลังถูกแทฮยองก่อกวนอยู่เช่นกัน

     

                เดี๋ยวสิ! นายจะพาฉันไปไหน!?” โวยวายดังลั่นทางเดิน จีมินพยายามแกะมือที่เกาะกุมข้อมือเขาออก นี่ก็ใกล้จะได้เวลาเรียนแล้วถ้าหายตัวไปคงไม่ดีแน่ๆ แต่ดูเหมือนจองกุกจะไม่เข้าใจเอาซะเลย เพราะเอาแต่เดินมุ่งหน้าไปไหนสักแห่ง

     

                อยู่นิ่งๆ จะตายหรือไง

     

                แต่อีกไม่กี่นาทีก็จะเข้าเรียนแล้วนะ

     

                ใครสนกันล่ะ

     

                เป็นคำตอบที่เห็นแก่ตัวสิ้นดี

     

                สำหรับจองกุกนั้นต่อให้ไม่เข้าเรียนก็คงไม่ส่งผลอะไร แต่กับจีมินแล้วไม่ใช่ นักเรียนทุนอย่างเขาหากขาดเรียนโดยไม่มีเหตุผลจะส่งผลต่อการพิจารณาทุนในเทอมต่อไป ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีเลย ถ้าไม่มีทุน จีมินก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะให้ไปกู้เงินมาเรียนก็ไม่กล้า เขาได้ยินข่าวอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับกู้เงินนอกระบบแล้วถูกเจ้าหนี้ตามไล่ล่า มันน่ากลัวเกินไป

     

                เมื่อคิดได้ดังนั้น คนตัวเล็กจึงสะบัดมือของตัวเองออก และก็เป็นจองกุกที่หันมามองอย่างอึ้งๆ

     

                เก่งนี่ เดี๋ยวนี้กล้าขัดขืนแล้วเหรอ

     

                “…ไว้เย็นนี้ได้มั้ย

     

                หืม?” เลิกคิ้วมองคนที่ยืนก้มหน้ามองพื้น เสียงของจีมินแผ่วเบาและติดขัดจนเขาต้องก้มหน้าลงไปฟังใกล้ๆ

     

                ฉันโดดเรียนไม่ได้จริงๆ มันจะมีผลกับทุนของฉัน เพราะงั้น... ไว้เย็นนี้—” เสียงขาดหายไปเมื่อเงยหน้ามาเจอหน้าจองกุกในระยะใกล้

     

                กลางทางเดินของชั้นเรียนที่เงียบสงบเพราะนักเรียนคนอื่นเข้าห้องเรียนไปหมดแล้วนั้น มีเพียงสองคนที่ยืนนิ่งอยู่กับที่ ทั้งคู่ประสานสายตากันในระยะใกล้ ก่อนจะเป็นจีมินที่หันหน้าหลบ จองกุกที่เห็นแบบนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความชอบใจ

     

                เขาขยับเข้าใกล้จีมินมากยิ่งขึ้น โน้มตัวลงจนริมฝีปากชิดกับหูเล็ก แล้วเจอกันเย็นนี้ อย่าหนีไปไหนซะล่ะ

     

                อืม...

     

                จีมินยืนมองจองกุกที่เดินผิวปากจากไป เขายกมือขึ้นทาบที่ตำแหน่งหัวใจของตัวเอง รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงตึกตักดังทะลุออกมาจากอก หัวใจมันเต้นเร็วกว่าที่เคย อีกทั้งยังรู้สึกหน้าร้อนแปลกๆ จีมินคิดว่าอาการที่ตัวเองเป็นอยู่นี้มันไม่ปกติ เขาคิดว่าตัวเองกำลังไม่สบาย เพราะฉะนั้นก่อนกลับห้องเรียน สงสัยว่าเขาคงต้องไปขอยาแก้ไข้กับอาจารย์ซอกจินซะแล้วล่ะ

     

     

     


     

                ตอนเย็นหลังเลิกเรียน จองกุกดึงตัวจีมินออกมาทันทีที่อีกคนเก็บกระเป๋าเสร็จ เขาไม่ปล่อยให้คนตัวเล็กได้พูดอะไร ทำเพียงจับมืออีกฝ่ายมาจนถึงหน้าโรงเรียน เรียกแท็กซี่ให้จอดแล้วผลักคนตัวเล็กเข้าไปนั่ง บอกจุดหมายปลายทางเสร็จสรรพชนิดที่ไม่มีช่องว่างให้จีมินได้พูดสักคำ

     

                ระหว่างทางจีมินได้แต่นั่งนิ่ง ไม่กล้าขยับตัว เขาหันมองคนที่หันหน้ามองวิวนอกหน้าต่างรถ แล้วก็ก้มลงมองมือตัวเองที่วางอยู่บนตัก ทำแบบนั้นอยู่ซ้ำๆ โดยไม่รู้ตัวว่าจองกุกนั้นมองเห็นการกระทำของจีมินทุกอย่างจากภาพที่สะท้อนบนกระจกรถ

     

                มีอะไรจองกุกหันหน้ามาถามคนข้างกาย หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน คล้ายๆ จะหงุดหงิดกับท่าทางแปลกประหลาดของคนตัวเล็ก

     

                ไม่มี

     

                แล้วมองหน้าฉันทำไม

     

                ไม่ได้มองนะเอ่ยปฏิเสธ ใบหน้าน่ารักขึ้นริ้วสีแดงด้วยความเขินอายเนื่องจากถูกจับได้

     

                จองกุกหัวเราะขึ้นจมูก เขาหันกลับไปมองวิวภายนอกตัวรถอีกครั้ง ทำให้จีมินไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มที่ถูกจุดขึ้นตรงริมฝีปากหยักได้รูป

     

                ใช้เวลาเพียงไม่นานนัก ตัวรถก็จอดลงหน้าบ้านหลังใหญ่ จองกุกจ่ายเงินให้กับคนขับ เขากระตุกมือของจีมินให้ลงจากรถ ดึงให้คนตัวเล็กเดินตาม นิ้วเรียวกดกริ่งตรงหน้าประตู ผ่านไปสักพักจึงมีแม่บ้านมาเปิดประตูให้

     

                สวัสดีครับจีมินรีบก้มหัวลงทักทายทันที ต่างจากจองกุกที่เดินลิ่วเข้าบ้านของตัวเองไปโดยไม่หันหลังมอง

     

                เพื่อนของคุณจองกุกเหรอคะน้ำเสียงใจดีของคุณป้าแม่บ้านเอ่ยถามระหว่างที่เดินเข้าไปในตัวบ้านพร้อมๆ กัน เธอยื่นมือมาเพื่อจะรับกระเป๋าของจีมินไปถือ แต่จีมินก็ปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจ

     

                มัวแต่ยืนบื้ออยู่ได้ ตามมาสิ จองกุกที่ยืนอยู่ตรงขั้นบันไดพูดขึ้น

     

                จีมินรีบก้มหัวให้กับแม่บ้าน ก่อนจะเดินตามจองกุกขึ้นบันได ในตอนนั้นเองที่เขาสังเกตเห็นว่าบ้านของจองกุกนั้นถือว่าใหญ่มากเลยทีเดียว เทียบกับห้องเช่าของเขาแล้วต่างกันราวฟ้ากับเหว ข้าวของบางอย่างในบ้านก็ดูแพงซะจนไม่กล้าแตะ แต่ท่ามกลางความหรูหรากลับไร้ซึ่งไออุ่น บ้านทั้งหลังเงียบงัน มีเพียงเสียงเดินของพวกเขาเท่านั้นที่ดังให้ได้ยิน

     

                เข้าไปสิ เปิดประตูรอให้คนที่ยืนทำตัวไม่ถูกได้เดินเข้าไป จองกุกเดินตามหลังจีมิน มองอีกคนที่ยืนกระสับกระส่ายแล้วก็นึกขำ เพราะรู้ดีว่าจีมินคงจะประหม่าน่าดูที่ได้อยู่กับเขาสองคน ไปนั่งตรงนั้นก่อนไป

     

                จีมินเดินไปนั่งตรงที่จองกุกชี้อย่างว่าง่าย เมื่อเห็นว่าจองกุกเดินเข้าห้องน้ำไปแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้เกร็งขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เคยอยู่ในห้องนอนที่บ้านตัวเองกับจองกุกแค่สองคนก็ทำมาแล้ว แต่พอได้มาบ้านจองกุกกลับรู้สึกทำตัวไม่ถูก

               

                คนตัวเล็กนั่งตั้งสติอยู่สักพัก จากนั้นจึงหยิบหนังสือคณิตศาสตร์ของตัวเองออกมาวางบนโต๊ะ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดนึกถึงคนในห้องน้ำไม่ได้ จีมินนั่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจองกุกถึงได้เปลี่ยนไป อีกทั้งยังชอบทำตัวแปลกๆ บางวันก็มากินข้าว มานอนที่บ้านเขาราวกับเป็นเรื่องปกติ แต่วันนี้แปลกยิ่งกว่า อยู่ๆ ก็มาขอให้ช่วยสอนหนังสือให้ ถามยังพามาที่บ้านอีก จีมินไม่ชินกับจองกุกเวอร์ชั่นนี้เลยจริงๆ ให้อีกฝ่ายมายืนด่าหรือแกล้งเขายังจะรู้สึกโล่งใจมากกว่า

     

                แอ๊ด

               

                เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกเรียกให้คนที่นั่งเหม่อลอยกลับมามีสติ นั่งหลังตรง ตัวเกร็งจนคนมองรู้สึกได้

     

                กลัวฉันขนาดนั้นเลยรึไง

     

                เปล่า...ตอบเสียงแผ่ว ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือเรียน

     

                จองกุกลากเก้าอี้อีกตัวเข้ามาใกล้ วางหน้าของตนลงบนมือที่ตั้งฉากขึ้นมาจากโต๊ะ ดวงตากลมโตมีเสน่ห์จ้องมองคนที่เอาแต่ก้มหน้าอยู่ท่าเดียว ริมฝีปากหนาขยับปากเปล่งเสียง นี่... ไม่เงยหน้าแล้วจะสอนฉันได้ยังไงล่ะ

     

                อ๊ะ โทษที นายไม่เข้าใจตรงไหนล่ะ

     

                ทุกอย่างตอบเสียงนิ่ง จนจีมินต้องขมวดคิ้ว เพราะไม่รู้ว่าที่ตอบมานั้นจองกุกจงใจจะกวนประสาทเขาหรือพูดจริงกันแน่

     

                นี่นายตั้งใจจะกวนฉันเหรอ

     

                เปล่า ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ไม่อย่างนั้นจะบอกให้นายมาสอนทำไม หยิบหนังสือของตัวเองขึ้นมาวางบนโต๊ะบ้าง เอ้า สอนสิ

     

                “…ถ้าอย่างนั้นเริ่มจากบทแรกเลยก็แล้วกัน

     

                เสียงของดินสอที่ขีดเขียนลงบนหนังสือยังคงดังให้ได้ยิน ทั้งคู่ใช้เวลากับการติวหนังสือมาได้เกือบชั่วโมงแล้ว จีมินมองคนที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด แก้โจทย์อยู่ข้างตนๆ เขาแอบอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักของจองกุก และคิดว่าคงมีแค่เขาคนเดียวที่ได้เห็นภาพแบบนี้

     

                ยิ้มอะไรและดูเหมือนว่าคนที่ตกเป็นเป้าสายตาจะรู้ตัว เขาหันขวับมาจนคนตัวเล็กสะดุ้ง

     

                ฉันเปล่าก้มหลบตาอีกฝ่าย หลบซ่อนใบหน้าของตน จริงๆนะ...

     

                ช่างเหอะ ไปหาอะไรกินกัน ฉันหิว

     

                คนอะไรเอาแต่ใจชะมัด

     

                ถึงจะคิดแบบนั้นแต่ก็ยังเดินตามอีกฝ่ายไปอยู่ดี จีมินเดินทำหน้าบูดมา ปากขมุบขมิบใส่คนที่เดินนำหน้าตนอยู่ ถึงแม้จีมินจะบอกอยากจะกลับบ้านมากกว่า แต่เขาก็ถูกจองกุกฉุดข้อมือให้เดินตามอยู่ดี ก็แน่ล่ะ เขาเคยปฏิเสธจองกุกได้ที่ไหนกัน

     

                ตอนที่พวกเขาลงมาที่ห้องครัวป้าแม่บ้านก็ไม่อยู่แล้ว จองกุกเดินหารอบๆ บ้านก็ไม่เจอ เขาคิดว่าเธอคงจะกลับไปแล้ว คนตัวสูงเดินกลับเข้ามาในห้องครัวอีกครั้ง บนโต๊ะมีอาหารที่ถูกห่อไว้อย่างดี พร้อมสำหรับนำเข้าไมโครเวฟตั้งอยู่ จองกุกบอกให้จีมินนั่งรอที่โต๊ะ จากนั้นจึงจัดการอุ่นอาหารเองทั้งหมดจนเสร็จสรรพ ทั้งคู่นั่งทานข้าวกันอยู่สักพักจึงขึ้นไปอ่านหนังสือต่อ

     

                เวลาผ่านไปจนจีมินมองนาฬิกาอีกทีก็พบว่าเข็มสั้นชี้ไปที่เลขสิบแล้ว และเขาควรจะกลับบ้านเสียที จีมินมองจองกุกที่กำลังแก้โจทย์สลับกับนาฬิกาที่อยู่บนผนัง

     

                นี่มันก็ดึกแล้ว ฉันกลับก่อนนะ

     

                ไม่ต้อง นอนนี่แหละพูดทั้งๆ ที่สายตายังไม่ละไปจากหนังสือตรงหน้า

     

                ไม่เป็นไร ฉันเกรงใจนาย อีกอย่าง เดี๋ยวคุณยายจะเป็นห่วงด้วย

     

                บอกว่าไม่ก็ไม่สิ อยากเจ็บตัวหรือไง จองกุกจ้องคนที่นั่งเกร็งเขม็ง เขาถอนหายใจใส่จีมิน หยิบโทรศัพท์ของอีกฝ่ายขึ้นมา กดปลดล็อคเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์คุณยาย จัดการขออนุญาตโดยที่จีมินไม่ทันได้พูดอะไรสักคำ

     

                ฉันบอกยายนายให้แล้ว คืนนี้นอนที่นี่ซะ แล้วก็โทรศัพท์น่ะ หัดล็อคซะบ้างยื่นโทรศัพท์คืนใส่มือเล็ก จองกุกลุกขึ้นจากเก้าอี้ เขาเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว จากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำไปทิ้งให้จีมินอยู่เพียงลำพัง

     

                ภายในห้องน้ำกว้าง จองกุกผิวปากอย่างอารมณ์ดี นึกถึงใบหน้าของคนตัวเล็กที่ทำหน้าไม่พอใจตอนที่เขาบอกให้นอนที่นี่แล้วก็หลุดยิ้มออกมา ใบหน้าเล็กที่ยู่ลงเมื่อโดนขัดใจนั่นมันน่ารักซะจนเขาอยากจะดึงแก้มกลมๆ ให้ยืด แต่เมื่อหันมาเจอกระจกบานใหญ่ จองกุกเห็นว่าตัวเองกำลังยิ้มอยู่ก็รีบหุบยิ้มทันที พลางก่นด่าตัวเองว่ากำลังคิดเรื่องไร้สาระ การที่เขาคิดว่าจีมินน่ารักมันต้องเป็นผลข้างเคียงของการทำโจทย์เลขมากเกินไปแน่ๆ

     

                หลังจากอาบน้ำเสร็จ จองกุกก็ให้จีมินเข้าไปอาบต่อ เขาโยนเสื้อผ้าของตัวเองในตู้ให้คนตัวเล็ก แล้วจึงเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียงหลังใหญ่ ในตอนที่เคลิ้มจะหลับก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง

     

                เอ่อ จองกุก นายมีฟูกบ้างมั้ย

     

                จะเอาไปทำไมตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงีย รู้สึกหงุดหงิดไม่ใช่น้อยที่ถูกรบกวนตอนนอน

     

                ฉันจะเอาไปปูนอนที่พื้น

     

                ไม่ต้อง มานอนบนเตียงนี่ พูดพลางตบเตียงดังปุๆ

     

                แต่อ๊ะ!—” ข้อมือเล็กถูกดึงให้ล้มตัวลงนอนบนเตียงข้างๆ กับจองกุก วงแขนของจองกุกดึงคนตัวเล็กเข้าไปกอดจนจีมินทำหน้าตาเหรอหรา พยายามจะผละออก ปล่อย...

     

                อยู่เฉยๆ น่าพูดทั้งที่ตายังปิด จองกุกดึงตัวของจีมินเข้ามากอดไว้แน่นกว่าเดิม เมื่ออีกฝ่ายพยายามจะดิ้นหนี ถ้านายยังขยับอีก คืนนี้อย่าหวังเลยว่าจะได้นอน

     

                ได้ผล จีมินหยุดขยับทันที คนตัวเล็กใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ ลามไปถึงหู เขานอนนิ่ง มองคนที่นอนหลับไปแล้วด้วยใจที่เต้นระรัว รู้สึกได้ว่ามันดังจนกลัวว่าคนที่นอนอยู่จะได้ยิน

     

                สุดท้ายแล้วจีมินก็ต้องทำใจยอมนอนนิ่งๆ อยู่ในอ้อมกอดแข็งแรง พยายามข่มตาหลับโดยไม่รู้เลยว่าจองกุกยังคงตื่นอยู่ เจ้าของอ้อมแขนแข็งแรงที่กอดรัดคนตัวเล็กอาศัยจังหวะที่คิดว่าจีมินหลับไปแล้วนั้นก้มลงสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ จากผิวนุ่ม

     

                จองกุกคิดว่ามันแปลก ทั้งๆ ที่จีมินก็ใช้สบู่ของเขา แต่ไม่รู้ทำไมจองกุกถึงได้คิดว่าวันนี้สบู่ของเขามันหอมเป็นพิเศษ

     

     

     

     

    ------------------------------------------------------

    KataeBum Talk

    อุต๊ะ มีแอบดมกลิ่นเขาด้วย แม่คะ แถวนี้มีคนโรคจิ——

    ว่าแต่... ทำไมมีแต่คนระแวงจองกุกล่ะ 5555555555555555

    หลังจากนี้จะไม่มีความรุนแรงแล้วค่ะ มั้งนะ....

    เออใช่ เพิ่งเห็นว่าฟิคครบรอบหนึ่งปีไปเมื่อสิ้นเดือนที่ผ่านมา

    หนึ่งปีแล้ว แต่ยังไม่ถึงครึ่งเรื่องเหลย 5555555555555555

    ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ เยิ๊ฟ

    #ฟิคป่า







     
    ♔THE ORA♔




     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×