คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : >
<< Chapter 4 >>
Part 1
“แท่แด๊น~ ฉันมารายงานตัวตรงเวลาพอดีเลยใช่ไหม”
“…….”
“ฉันทำครบตามคำสั่งที่นายบอกว่าห้ามลา ห้ามขาด ห้ามสาย ทีนี้เราจะไปกันได้หรือยัง”
“เดี๋ยว”
ผมรู้สึกคล้ายถูกปลายคมมีดแฝงมากับดวงตาคมตรงหน้าค่อยๆแล่เนื้อไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า อี้ป๋อใช้สายตาไล่พิจารณาบุคคลผู้เป็นเจ้าของรอยยิ้มสดใสในเช้าแรกของวันอย่างเงียบเชียบ คนร่างบางเลือกสวมใส่เสื้อเชิร์ตลายเสือดาวผ่าอกลงมากว่าครึ่งเผยผิวกายสีนวลชวนให้คนจ้องต่างพากันรู้สึกวาบหวามใจคล้ายกำลังจะถูกไอ้เสือตัวนี้ล่อลวงเข้ากรงในไม่ช้า เท่านั้นยังไม่พอแต่เสื้อทางด้านหลังก็ยังเป็นซีทรูตัวบางยามแสงส่องสามารถเห็นทะลุปรุโปร่งลึกไปถึงไหนต่อไหน
“ใครอนุญาตให้นายแต่งตัวแบบนี้”เจ้าของน้ำเสียงคมเข้มเอ่ยถามพลางถอนลมหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
“ฉันก็อนุญาตตัวเองน่ะสิ นายไม่ได้สั่งว่าห้ามใส่ชุดลายเสือนี่นา”
นิ้วเรียวยกขึ้นกุมขมับแทบจะในทันทีเพราะขนาดผู้เป็นเจ้าของฉายาโรบอทจอมเย็นชาอย่างเขายังแอบไหวหวั่นกับภาพตรงหน้า นับประสาอะไรกับสายตาของบุคคลอื่นล่ะ
รู้ตัวว่ามีเสน่ห์ก็ขยันโปรยซะเหลือเกินนะคุณเซียวจ้าน
ไม่ก่อกวนหัวใจคนอื่นสักวันข้าวจะติดคอหรือไง
“วันนี้เราจะไปทำธุระเรื่องสำคัญ นายควรแต่งตัวให้สุภาพเพื่อเคารพสถานที่”
“ก็แล้วชุดนี้มันไม่สุภาพยังไงมิทราบ”ผมพยายามหมุนตัวไปมาพร้อมกับมองหาข้อบกพร่องของตัวเองไปด้วย
“ใส่ชุดแหวกอกลึกไปจนจะถึงสะดืออยู่แล้ว นายยังมีหน้ามาถามอีกเหรอ”
“นายนี่เรื่องมากจัง ลำพังแค่ต้องตื่นเช้าก็ง่วงจะตาย นายยังมาบังคับให้ฉันใส่ชุดโน้นชุดนี้อีก ฉันเสียเวลาแต่งตัวตั้งครึ่งค่อนชั่วโมงคงไม่ไล่ให้กลับไปเปลี่ยนใหม่หรอกนะ อ้อ..หรือนายกลัวว่าฉันแต่งตัวแบบนี้จะดูหล่อระทวยใจสาวมากเกินไปก็เลยขัดขากันตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน อ่ะแน่ะ..นายกลัวว่าจะหว่านเสน่ห์แพ้ฉันอ่ะเด้~”
“เรากำลังจะไปทำธุระไม่ใช่เที่ยวเล่นหว่านเสน่ห์ใส่ใคร แค่นี้ก็ต้องให้ฉันคอยบอกหรือไง นายอายุปูนนี้แล้วหัดจริงจังสักเรื่องบ้างได้ไหม”
“อายุปูนนี้หมายถึงอะไร ประโยคนั้นกำลังด่าว่าฉันแก่ทางอ้อมงั้นเรอะ!!”
“นายคิดว่าไงล่ะ คุณ-เซียว-จ้าน-สาม-สิบ-ขวบ”ท้ายประโยคเจ้าตัวยกยิ้มมุมปากด้วยความรู้สึกเหนือกว่า ไอ้เลขสามเนี่ยพูดเบาๆก็เจ็บ ไม่รู้จะคอยพูดย้ำชัดถ้อยชัดคำกันไปถึงไหน ผมรู้สึกเหมือนเห็นเลขสามกับเลขศูนย์อันใหญ่เท่าฝาบ้านลอยเด้งออกจากนัยน์ตาคู่นั้นพุ่งตรงมาปักอกคล้ายเป็นการตอกย้ำให้ผมรู้ว่า..
เซียวจ้านเอ้ย
ชีวิตวัยหนุ่มของเจ้ากำลังจะหมดไป
ต่อจากนี้ตีนกากับวัยชราใกล้มาเยือนเต็มทน
อนิจจา~
สังขารคนเราช่างไม่เที่ยงแท้หนอ
“เหอะ!! นายอายุเท่าไหร่แล้วฉันอายุเท่าไหร่ แค่ฉันใช้เลขสามมันไม่ได้หมายความว่าฉันเริ่มแก่สักหน่อย หัวใจของฉันยังวัยรุ่นอยู่เสมอนะ เด็กน้อยอย่างนายมีสิทธิ์อะไรมาพูดจาแบบนี้กับผู้ใหญ่ฮะ ฉันทั้งโตกว่าแล้วก็สูงกว่านายด้วย หัดเคารพกันบ้างก็ดี นายควรเรียกฉันว่าพี่ด้วยซ้ำไป”
“ไม่เรียก”
“นี่!!”
“ก็ไหนบอกว่าหัวใจยังวัยรุ่นอยู่แล้วจะให้ฉันเรียกพี่ไปทำไม ส่วนเรื่องที่ว่าแก่ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นแต่นายพูดเองเออเองอยู่คนเดียว ฉันแค่อยากให้นายหัดจริงจังกับชีวิตวัยสามสิบซะบ้างไม่ใช่เอาแต่ติดเล่น อีกอย่างทำไมฉันต้องเคารพแค่เพราะนายอายุมากกว่า เอาเข้าจริงๆถ้าว่ากันตามอายุสมองแล้วฉันโตกว่านายตั้งเยอะ”
“ว่าไงนะ!!”
“อยากรู้ไหมว่าในสายตาฉันอายุสมองของนายโตสักเท่าไหร่”
“เท่าไหร่”
“อืม..”
“.......”
“คงโตได้เท่านี้”
“.......”
“สูงแค่ประมาณต้นหญ้าล่ะมั้ง”
“อี้ป๋อ!!”
เมื่อจบบทสนทนาผมก็พยายามจะเข้าไปประเคนหมัดใส่อีกคนฐานยั่วโมโหกันแต่เช้า ดูเหมือนอี้ป๋อจะไม่สะทกสะท้านกับท่าทีหัวฟัดหัวเหวี่ยงของผมเลยสักนิด เขาออกแรงเพียงนิดเดียวก็สามารถเอื้อมมือมาดันศรีษะผมเอาไว้จนสุดแขนพร้อมกับหัวเราะขำอย่างอารมณ์ดี
“อ๊ากกก!! แน่จริงก็ปล่อยสิวะ!! มาสู้กันตัวตัวให้รู้ไปเลยดีกว่า”
“รู้อะไร รู้ว่ากระดูกของเรามันคนละเบอร์น่ะเหรอ เรื่องนั้นฉันรู้ตั้งแต่ได้อัดนายเมื่อแรกเจอแล้วล่ะ ไหนว่าหัวใจยังวัยรุ่นอยู่ไง ขอดูความพยายามของคนอายุสามสิบหน่อยสิ ลองใช้แรงอีกนิดเข้ามาถึงตัวฉันให้ได้”
“ก็พยายามอยู่นี่ไงโว้ยยย!!”
“เรี่ยวแรงของนายมีแค่นี้เองเหรอ อ่อนชะมัด”
“เหอะ!! อยากเห็นตอนฉันแข็งบ้างไหมล่ะ รับรองว่าถ้านายได้เจอต้องหนาวจนพูดไม่ออกแน่”
“ก็อยากเห็นอยู่นะ อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างนายกับฉันของใครจะแข็งมากกว่า”
เออแฮะ
คนเย็นชาอย่างเขาเริ่มรับส่งมุกกับคนอื่นเป็นแล้ว
พวกเราสองคนทะเลาะกันแบบย่อมๆอยู่นานสองนานจนได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากทิศทางรอบข้างนั่นเพราะภาพการต่อสู้เหมือนเด็กแย่งชิงของเล่นต่างตกอยู่ในสายตาของเหล่าลูกน้องตลอดเวลา นานเท่าไหร่แล้วนะที่พวกเขาไม่ได้เห็นเจ้านายหัวเราะและรู้สึกผ่อนคลายลงจากหน้าที่การงานเหมือนในเวลานี้ ข้อมือหนาออกแรงดันเบาๆเป็นสัญญาณให้ผมยอมสงบศึกเพื่อจะได้ไปทำธุระกันจริงๆสักที ผมจึงต้องจำยอมยกธงขาวแต่ยังไม่วายแอบแลบลิ้นใส่อีกคนเป็นการส่งสัญญาณกลับไปในเชิงว่า..
ฝากไว้ก่อนเถอะแล้ววันหน้าจะมาเอาคืน
“แบร่~”
“หึ นายว่าใครกันแน่ที่เป็นเด็กน้อยน่ะ..เซียวจ้าน”
“เพราะฉันเหนื่อยเถียงกับนายหรอกนะ วันนี้ยอมให้ก่อนหนึ่งวันละกัน”
“รู้ว่าจะแพ้ก็เลยยอมง่ายซะงั้น”
“คอยดูเถอะ คราวหน้าฉันจะพิสูจน์ให้นายเห็นว่าอายุสมองของฉันสูงกว่าต้นหญ้าแน่นอน”
“แทบอดใจรอดูการเจริญเติบโตของต้นหญ้าต้นนี้ไม่ไหวแล้วล่ะ”
“คำก็ต้นหญ้าสองคำก็ต้นหญ้า ฉันจะซื้อกรรไกรมาตัดให้แหว่งทั้งสวนไปเลยนายจะได้มาดูถูกอายุสมองกันไม่ได้อีก ฉันไม่อยากเถียงกับนายแล้ว ไหนบอกว่าห้ามสายไง เรารีบไปทำตราพันธะบ้าบออะไรนั่นให้จบๆสักที”
“เดี๋ยวสิอย่าเพิ่งขึ้นรถ ดูเหมือนนายจะลืมอะไรบางอย่าง”
“อะไรอีกล่ะ”
“ชุดของนายยังไม่เรียบร้อย”
หมับ
ขณะที่ผมเตรียมจะก้าวขึ้นรถก็ต้องหยุดชะงักไปทันทีเพราะคนร่างสูงดึงตัวผมเข้าชิดซะก่อน อี้ป๋อถอดชุดคลุมสีดำบนร่างออกเพื่อนำมันมาใส่ให้กับผมด้วยความรวดเร็ว ลายสิงโตสีทองปักประดับตรงคอปกบ่งบอกถึงตราประจำตระกูลของเขาอย่างชัดเจน ผมจำได้ว่าเสื้อคลุมตัวนี้คล้ายตัวเดิมกับที่เขาเพิ่งใส่เมื่อวานต่างแค่สีที่เปลี่ยนไปเท่านั้น เขาคงชอบสะสมเสื้อผ้าเป็นคอลเลคชั่นสามร้อยหกสิบห้าเฉดสีล่ะมั้ง ผมเริ่มสัมผัสได้ถึงเสียงซุบซิบนินทาดังมาจากบุคคลรอบข้างเพราะความใกล้ชิดระหว่างเรา สายตาผู้คนที่ต่างเฝ้าจับจ้องนั้นตีความหมายกันไปในทิศทางใดก็ไม่อาจทราบได้ การที่เห็นเจ้านายยอมยกชุดคลุมของตนซึ่งถือเป็นเครื่องหมายสำคัญให้คนนอกใส่ บางคนอาจตีความหมายไปถึงเรื่องการแสดงความเป็นเจ้าของ
ตำแหน่งต้าซ้อมีผมเป็นได้คนเดียวหรือไงถึงเอาแต่นินทากันสนุกปาก
ผมไม่มีวันยอมตกเป็นเมียเจ้าพ่อหรอกนะจะบอกให้
ขณะที่ผมคิดฟุ้งซ่านในหัวเรื่อยเปื่อยข้อมือหนาก็จัดแจงเสื้อคลุมบนตัวให้กระชับรับเข้ากับสรีระของผมพอดี กลิ่นกายหอมอ่อนจากคนตรงหน้าลอยโชยแตะจมูกจนอดไม่ได้ต้องแอบสูดรับเอาไว้ ผมเคยภูมิใจกับส่วนสูงตัวเองมาโดยตลอดจนกระทั่งวินาทีที่เราสองเคลื่อนกายเข้าใกล้ในระยะห่างเพียงลมหายใจรินรด เขาเป็นผู้เดียวที่ทำให้ผมรู้สึกว่าทั่วทั้งร่างเริ่มค่อยๆเล็กลงภายในชั่วพริบตา และแล้วผมก็ต้องตกอยู่ภายใต้อ้อมกอดของสิงโตหนุ่มผู้แสนองอาจอย่างไม่มีหนทางหลีกเลี่ยง
“กะ..ใกล้ไปแล้ว จะทำอะไรน่ะ”
“เสร็จเรียบร้อย ฉันขี้เกียจรอนายเปลี่ยนชุดใหม่ เอาเสื้อคลุมของฉันไปใส่ก่อนแล้วกัน”
“แค่ใส่เสื้อคลุมมันจะช่วยให้ชุดฉันดูสุภาพขึ้นหรือไง”
“ถึงช่วยไม่มากแต่ก็ดีกว่าปล่อยให้นายเดินโชว์เนื้อหนังมังสาไปมา”
“ขนาดเจ้าของร่างยังไม่หวงแล้วนายเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาหวงแทน”
“การกระทำของฉันไม่ได้เรียกว่าหวงแต่เรียกว่ามารยาทต่างหากล่ะ”
“โอ้โหแฮะ คุณหวังอี้ป๋อผู้มีมารยาทอันสูงส่งแถมยังใจดียกชุดให้ใส่ฟรีอีกต่างหาก”
“ใครบอกว่าฉันจะยกให้นาย ฉันแค่ให้ยืมใส่ชั่วคราว อย่าริอาจได้ใจไปเชียว”
“ชิ”ไอ้เราก็นึกว่าจะใจป๋ากว่านี้ซะอีกแต่ก็ช่างเถอะ ผมไม่ได้รู้สึกพิศวาสชุดเจ้าพ่อของเขาเท่าไหร่นักหรอก
“ใส่ชุดที่มีตราประจำตระกูลของฉันเอาไว้และห้ามถอดมันออกเด็ดขาด เวลาไปเดินเพ่นพ่านที่ไหนคนอื่นจะได้รู้..”
“รู้อะไร”
“รู้ว่านายมีเจ้าของแล้วและเจ้าของนายก็คือฉัน”
ตึกตัก!!
อยู่ดีๆผมก็หน้าร้อนวูบวาบพวงแก้มเปลี่ยนสีเป็นสุกจัดใกล้ระเบิดเต็มทน ผมพยายามเบือนหน้าหนีจากสายตาคู่นั้นรวมถึงรอยยิ้มเล็กๆบนมุมปากที่อีกคนจงใจยั่วแหย่มา อันที่จริงเขาน่ะช่างมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไม่เบาแต่ช่างน่าเสียดายที่คนเย็นชาอย่างเขาคงไม่มีโอกาสได้นำมันไปใช้กับสาวที่ไหน
ตอนยิ้มดูดีกว่าตอนทำหน้าบึ้งเยอะเลยแฮะ
ตึกตัก!!
อืม..แต่ไม่ค่อยดีกับใจผมสักเท่าไหร่
“แหมม..ขยันเล่นมุกนะนายเนี่ย ถ้าฉันเป็นสาววัยแรกแย้มก็คงหลงเสน่ห์คารมนายไปแล้ว”
หากไม่ใช่สาวแต่เปลี่ยนเป็นหนุ่มแทนจะนึกหลงเสน่ห์กันไม่ได้หรือไง..เซียวจ้าน
“อืมม ถ้านายคิดว่าฉันแค่เล่นมุกล่ะก็..”
“.......”
“ขึ้นรถสิ เราเสียเวลามามากแล้ว”
“อะ..โอเค”
ผมเผลอพูดตะกุกตะกักขณะที่ข้อมือบางแอบเกาะกุมหัวใจตัวเองพลางออกคำสั่งไม่ให้เต้นรัวจนเกินไปนัก ปกติแล้วเขามักจะแสดงความเป็นเจ้าของกับลูกน้องที่รับเข้ามาอยู่ในตระกูลทุกคนเลยหรือเปล่า ทำไมประโยคเมื่อครู่ถึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังชอบกลแถมยังแฝงความหมายสองแง่สองง่ามให้คนฟังใจสั่นเล่นอีกต่างหาก ผมบอกแล้วไงว่าไม่ชอบเป็นฝ่ายถูกรุกเพราะมันจะดูเสียเชิงชายโดยเฉพาะคนที่เป็นเพศเดียวกันยิ่งแล้วใหญ่ ถึงแม้เราสองคนเปรียบเสมือนสัตว์นักล่าทั้งคู่แต่ผมจะไม่มีวันยอมอยู่ใต้ห่วงโซ่อาหารของเขาเป็นอันขาด คนอย่างเซียวจ้านจะต้องเป็นฝ่ายอยู่ออนท็อปเท่านั้นโปรดจำเอาไว้
ปึง!!
“อวี๋ปิน”
“ครับเหล่าต้า”
“ชุดของคนนั้นยังอยู่ในตู้เดิมเหรอ”
หลังจากอี้ป๋อจัดแจงส่งอีกคนเข้าไปในตัวรถเสร็จเรียบร้อยเขาก็ปิดประตูก่อนจะเริ่มหันไปทำหน้าเครียดใส่ลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างกาย คนถูกถามแน่นิ่งไปชั่วขณะยามนึกถึงใบหน้าของ ‘คนนั้น’ ที่ปรากฏในบทสนทนา
“ชุดของ..เอ่อ..”
“ฉันหมายถึงชุดที่เซียวจ้านเอามาใส่ มันเป็นชุดของเขาคนนั้น”
“ครับเหล่าต้า ผมคิดว่าคุณชายคงไปค้นตู้ในห้องพักรับรองจนบังเอิญเจอเสื้อผ้าของคนนั้นเข้า ดูเหมือนคุณชายเองก็คงจะชอบแต่งตัวคล้ายๆกัน ไม่แปลกที่คุณชายจะเอามาใส่ด้วยความไม่รู้ว่ามันเคยมีเจ้าของมาก่อน”
“จัดการเอาเสื้อผ้าที่เหลือในตู้ทิ้งไปซะ อย่าให้เซียวจ้านมาค้นเจออีก”
“เอ่อ..แต่..ถ้าเผื่อว่า..”
“นายจะยังเผื่ออะไรอีก นี่มันก็หกปีแล้วนะ”
“.......”
“เวลาผ่านไปตั้งหกปี เขาคนนั้นไม่กลับมาหรอก”
“เหล่าต้า ก็ไหนเคยบอกว่า..”
“ฉันเคยบอกให้เก็บเอาไว้แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้ว อย่าเก็บสิ่งของที่เจ้าของจะไม่มีวันกลับมาเอาคืนอีกเลย ทุกสิ่งที่เหลืออยู่ทิ้งมันไปให้หมด อย่าให้หลงเหลือแม้แต่ร่องรอย”
“แต่..”
“นี่เป็นคำสั่ง”
“ถ้าเหล่าต้ายืนยันอย่างงั้น ผมจะสั่งคนจัดการให้เรียบร้อยทันทีครับ”
“อืมม ไปได้แล้ว”
อวี๋ปินลอบถอนหายใจหลังจากผู้เป็นนายขึ้นรถ แม้เวลาจะผ่านไปนานถึงหกปีแล้วแต่ลึกๆเขารู้ว่าเหล่าต้ายังคงเฝ้ารอ ‘ใครคนนั้น’ อยู่เสมอ เพิ่งจะมีนาทีเมื่อครู่ที่เหล่าต้าตัดสินใจออกคำสั่งให้กำจัดข้าวของซึ่งหลงเหลืออยู่ในห้อง เดิมทีมันเคยเป็นห้องที่มีความทรงจำมากมายจากในวันวาน ดูเหมือนเหล่าต้าของเขาคงไม่ต้องการให้คุณชายค้นเจอความลับที่ซ่อนอยู่ในห้องนั้นอีกรวมถึงเหล่าต้าเองก็คงต้องการลบภาพ ‘ใครคนนั้น’ ออกจากใจจริงๆสักที
ตลอดการเดินทางเช้านี้ผมเอาแต่เฝ้ามองทิวทัศน์ด้านนอกกระจกรถด้วยความตื่นตาตื่นใจ คงเพราะขามาผมก่อเรื่องวุ่นวายนิดหน่อยก็เลยไม่มีโอกาสสำรวจพื้นที่โดยรอบมากนัก ธรรมชาติสรรค์สร้างป่าไม้อันเขียวขจีพร้อมด้วยกลิ่นไออากาศอันแสนบริสุทธิ์เสมือนก่อเกิดเป็นโลกใบใหม่ขึ้นมา ไร่องุ่นถูกปลูกเรียงรายเต็มสองข้างทางของถนนกินพื้นที่กว้างไกลไปจนสุดลูกหูลูกตากลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับภูเขาลูกโต
“นานแล้วที่ฉันไม่ได้มาพักผ่อนใกล้ชิดกับธรรมชาติ ต้องขอบคุณเหล่าต้าของนายนะเนี่ยที่ฉวยโอกาสลักพาตัวฉันมา”
ผมพูดกับอวี๋ปินซึ่งกำลังขับรถอยู่ด้วยน้ำเสียงเริงร่าขณะที่แอบชำเลืองสายตามองคนข้างกายไปในเวลาเดียวกัน ร่างสูงใช้ข้อศอกพิงขอบกระจกพลางเอนศรีษะตัวเองวางบนฝ่ามือพร้อมทั้งปิดเปลือกตาลง แสงแดดรำไรยามเช้าสาดส่องบานกระจกเข้ามาพาดผ่านสันจมูกโด่งเกิดประกายระยิบระยับช่วยขับให้ใบหน้าที่เปรียบดั่งเทพปั้นดูหล่อเหลาขึ้นอีกเป็นกอง ไหนจะเสื้อเชิร์ตสีขาวที่เขาใส่อยู่ก็ช่วยส่งออร่าสีขาวรอบตัวทำให้ภาพการงีบหลับธรรมดากลายเป็นภาพเจ้าชายกำลังเข้าสู่ห้วงนิทราไปโดยพลัน ผมอดทึ่งไม่ได้กับความสง่างามทุกท่วงท่าที่ดูธรรมชาติของเขา กว่าจะรู้ตัวก็เผลอจับจ้องอีกคนอยู่นานจนเริ่มเป็นฝ่ายเสียอาการซะเอง
บ้าชะมัด
ทำไมผมถึงหยุดใจเต้นรัวไม่ได้เลยนะ
ทั้งที่แน่ใจว่าตัวเองชื่นชอบแม่สาวเนื้อนมไข่มาโดยตลอด
ทำไมต้องเสียอาการให้กับภูเขาน้ำแข็งทื่อๆลูกนี้ด้วย
ไม่ใช่หรอก..เป็นไปไม่ได้
ผมไม่ได้หวั่นไหวให้กับผู้ชายแมนๆอย่างเขา
ผมคงแค่นึกอิจฉาที่เขาดูดีจนเกินหน้าเกินตาเท่านั้นแหละ
คิดเอาไว้ว่าใช่..ต้องใช่แน่ๆ
“คุณชายครับ”
“หะ..หืออ ว่าไงปินปินอา~”
“เหม่ออะไรอยู่เหรอครับ เมื่อกี้ผมเรียกแต่เหมือนคุณชายจะไม่ได้ยิน”
อ้อ..ฉันกำลังลวนลามลูกพี่นายผ่านทางสายตาอยู่น่ะ
“อ้อ..โทษทีนะ ฉันแค่สงสัยว่าทำไมลูกพี่นายขี้เซาจัง”
“เหล่าต้าคงมีเรื่องให้คิดเยอะน่ะครับ หรือไม่เมื่อคืนก็คงจะทำงานดึกไปหน่อย”
“ในเมื่อเขาเผลอหลับแบบนี้ ถ้าพวกเราแอบนินทาหรือแอบทำอะไรกันก็คงไม่รู้สินะ”
“อ๊ะๆ หยุดเลยครับคุณชาย เหล่าต้าสั่งผมเอาไว้แล้วว่าถ้าคุณชายชวนเล่นซนให้ผมปฏิเสธทันที”
“ชวนเล่นซนอะไรเล่า เห็นฉันเป็นเด็กหรือไง”
“ในสายตาผมมองเห็นคุณชายเป็นต้าซ้..”
“หยุดเลย อย่าได้คิดพูดคำนั้นออกมา พวกนายนี่เป็นอะไรกันไปหมดนะ แค่ฉันยอมประทับตราพันธะเข้ามาเป็นคนในตระกูลไม่ได้หมายความว่าฉันจะได้ไปอยู่ในตำแหน่งนั้นสักหน่อย ฉันก็ถือเป็นลูกน้องคนหนึ่งเหมือนกันกับนายนั่นแหละ”
“เอ..นี่คุณชายยังไม่รู้หรอกเหรอครับ การประทับตราพันธะระหว่างคุณชายกับเหล่าต้าในวันนี้ไม่ใช่การประทับตราแบบธรรมดาแต่เป็นตราพิเศษ”
“พิเศษเหรอ มันหมายถึงฉันจะได้กลายเป็นมือขวาของเจ้าพ่ออะไรทำนองนั้นหรือเปล่า”
“ผมว่าคุณชายยังไม่ได้อ่านเอกสารข้อตกลงทั้งหมดแน่เลย”
“มีอะไรที่ฉันควรรู้หรือไง”
“มีสิครับ มีเรื่องที่คุณชายยังไม่รู้อีกมากเลยล่ะ”
“ยุ่งยากจังนะการประทับตราพันธะบ้าบออะไรเนี่ย ช่างเถอะ ขอแค่ให้ฉันกับครอบครัวปลอดภัยจากนายอี้โจวก็พอ เอาไว้จบเรื่องฉันค่อยกลับไปอ่านเอกสารนั่นก็แล้วกัน”
หวังว่าคงไม่มีข้อตกลงไหนในเอกสารที่ทำให้ผมอยากปฏิเสธภายหลังหรอกนะ
ผมเลือกขี่หลังสิงโตมาจนครึ่งทาง
สิงโตตัวนี้ก็ต้องพาผมไปส่งถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพให้ได้
“จริงสิครับคุณชาย ผมเกือบลืมไปซะสนิท”
“อะไรเหรอ”
“ผมว่าจะเล่าเกี่ยวกับประวัติตระกูลของเหล่าต้าให้คุณชายฟังอยู่พอดี ระหว่างทางก่อนถึงที่หมายคุณชายจะได้ไม่เบื่อ ไหนๆคุณชายก็ต้องพักหลบภัยชั่วคราวอยู่ที่เมืองชิรัณย์กับพวกเราแล้ว คุณชายควรได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้เอาไว้”
ผมทำทีพยักหน้ายินยอมให้อวี๋ปินเป็นผู้บรรยายสารคดีตระกูลสิงโตไปตลอดทางขณะที่ตัวเองเริ่มเอนกายพิงเบาะหลังพลางเหม่อมองทิวทัศน์โดยรอบ ผมเพิ่งรู้ว่าไร่องุ่นที่ปลูกเต็มสองข้างทางนั้นเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจของอี้ป๋อ เมืองชิรัณย์ถูกสภากลางตั้งกฎอย่างเข้มงวดว่าห้ามทำธุรกิจผิดกฏหมายเป็นอันขาด เขตแปดห้าผู้ซึ่งได้ครอบครองสิทธิ์ในพื้นที่บริเวณภูเขาเลือกใช้ความงามจากธรรมชาติให้เกิดประโยชน์ด้วยการสร้างไร่องุ่นทำโรงบ่มไวน์ของตัวเองขึ้นมาและสานต่อธุรกิจส่งออกไวน์ไปยังนานาประเทศ ผมรับฟังข้อมูลใหม่พลันในหัวก็คิดขึ้นได้ว่าสาเหตุที่อี้ป๋อต้องมาสร้างบ้านอยู่บนภูเขาก็เพราะต้องคอยเก็บเกี่ยวผลผลิตนั่นเอง
ใช่แล้วล่ะ
เมื่อลองคิดดูดีๆตระกูลอี้โจวทำธุรกิจเกี่ยวกับสถานบันเทิง
อี้โจวถึงได้หลอกเชิญผมไปร่วมปาร์ตี้ที่คลับของเขา
แถมยังคิดแผนมอมยาเพื่อบังคับให้ผมประทับตราพันธะด้วยหวังในผลประโยชน์บางอย่าง
ส่วนตระกูลของอี้ป๋อก็ทำธุรกิจเกี่ยวกับการส่งออกไวน์
สองธุรกิจนี้จึงมีความเชื่อมโยงกันอยู่เนืองๆ
พวกเขาสองตระกูลเคยเป็นคู่ค้าทางธุรกิจก่อนจะแตกหักในภายหลัง
ผมชักอยากรู้แล้วสิว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนในครั้งนั้นกันแน่
แม้จะนึกสงสัยแต่ผมก็เลือกเก็บงำคำถามเอาไว้ในใจไปก่อน อวี๋ปินชี้ชวนให้ผมดูการตกแต่งของพื้นที่โดยรอบพลางบรรยายต่อไม่มีหยุด ผมได้ทราบคร่าวๆเพิ่มเติมว่ามีภูเขาอีกลูกหนึ่งซึ่งเป็นสมบัติที่แม่ของอี้ป๋อมอบไว้ให้ก่อนท่านจะจากไป เขาหวงแหนพื้นที่ตรงนั้นมากจึงปิดตายเอาไว้พร้อมสั่งให้เป็นพื้นที่ลับห้ามบุคคลนอกเข้าไปยุ่งโดยเด็ดขาด ขณะที่ผมรับฟังข้อมูลส่วนตัวของเขาก็แอบหันมองเจ้าตัวไปด้วย อี้ป๋อคงเติบโตอย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางภาระมากมายที่เขาต้องแบกรับเพียงลำพัง โชคดีที่แม่ของเขายังมอบของขวัญเอาไว้ให้คลายความคิดถึงได้บ้าง
“นอกจากภูเขาลูกนั้นแล้วคุณหญิงก็ยังทิ้งสมบัติเอาไว้อีกชิ้นหนึ่งให้เหล่าต้าด้วยนะครับ”
นายชักจะร่ำรวยมหาศาลเกินไปแล้ว คนๆเดียวคิดจะปกครองโลกทั้งใบหรือไงกัน
“สมบัติอีกชิ้นคืออะไรเหรอ”
“คุณหญิงได้มอบชีวิตให้กับเหล่าต้าครับ ตอนที่ผมนึกถึงช่วงเวลาอดีตก็พาลจะน้ำตาไหลเพราะสงสารเหล่าต้าทุกที”
“หืมม อะไรคือการมอบชีวิตน่ะ”ผมทำคิ้วขมวดเป็นปมเพราะนึกสงสัย
“คุณชายรู้ไหมว่าแต่ก่อนคุณหญิงท่านเคยเลี้ยงฝูงสิงโตเพราะพื้นที่โดยรอบเป็นภูเขาและติดกับชายป่า คุณหญิงเป็นคนจิตใจอ่อนโยน รักสัตว์ มีความเมตตาอารี ท่านเติบโตมากับฝูงสิงโตตั้งแต่เด็กก็เลยมีทักษะฝึกให้สิงโตเชื่อง แถมท่านยังได้ถ่ายทอดวิชาให้กับเหล่าต้าด้วย”
มิน่าล่ะ
ได้เชื้อแม่มาแรงนี่เอง
“แฮะๆ ตระกูลของลูกพี่นายมีงานอดิเรกที่แปลกดีนะ ถ้างั้นทำไมตอนนี้ถึงเหลือแค่เลอากับธีออนล่ะ ฝูงสิงโตที่ว่าหายไปไหนหมด”
“ในครั้งนั้นมีเหล่านายพรานแอบลักลอบเข้ามาล่าสัตว์แบบผิดกฏหมาย ฝูงสิงโตทั้งหมดจึงล้มตายแต่ถือว่าโชคดีที่ลูกสิงโตจากในฝูงนั้นเหลือรอดมาได้ถึงสองตัว คุณหญิงเชื่อว่าพวกมันเปรียบเสมือนเครื่องรางนำโชคก็เลยมอบชีวิตเจ้าตัวน้อยทั้งสองฝากไว้ให้เหล่าต้าดูแลนับแต่นั้นเป็นต้นมา น่าเสียดายนะครับที่คุณหญิงไม่มีโอกาสได้เฝ้ามองพวกมันเติบโต”
“ฉันเข้าใจแล้ว เลอากับธีออนเป็นสมบัติล้ำค่าที่ยังมีชีวิตนี่เอง พวกมันคือของขวัญจากคุณหญิงทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า อี้ป๋อคงรักพวกมันมากสินะ ตอนที่เขาเห็นพวกมันเริ่มสนิทสนมกับคนอื่นก็เลยเกิดอาการหวงขึ้นมา”
“สำหรับเหล่าต้าแล้วเจ้าสิงโตสองตัวก็เปรียบเสมือนครอบครัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ ผมคิดว่าชีวิตของเหล่าต้าน่าสงสาร นอกจากเลอากับธีออนเหล่าต้าก็ไม่เหลือใครอื่นแล้ว คุณชายรู้สึกเหมือนกันไหมครับ”
“อืมม ก็เริ่มรู้สึกบ้างแล้วล่ะ ชีวิตของเขาน่าสงสารจริงๆ”
“ถ้างั้นคุณชายก็ต้องช่วยเติมเต็มครอบครัวใหม่ให้เหล่าต้านะครับ”
เอ๊ะ..เดี๋ยวนะ
ทำไมรู้สึกเหมือนกำลังโดนล่อลวงแปลกๆ
“เติมเต็มยังไงล่ะ”
“เติมเต็มด้วยการที่คุณชายยอมมาเป็นครอบครัวเดียวกับเหล่าต้า ยอมมาเป็นต้าซ้..”
“อวี๋ปิน ฉันว่าฉันรู้สึกเหนื่อยแล้ว เราพักการบรรยายสารคดีตระกูลสิงโตเอาไว้เท่านี้ดีไหม”
“เอ่อ..แต่ผมยังพูดไม่ทันจบ”
“หยุดเถอะ หยุดสักที หยุดได้แล้ว”
หยุดยัดเยียดคำว่าต้าซ้อให้กันสักทีโว้ยยยย!!
ถ้ายังไม่หยุดผมจะเริ่มสงสารตัวเองแล้วนะ
“เอ่อ..งั้นก็ได้ครับคุณชาย”
“ขอบคุณ เรียกฉันอีกทีเมื่อถึงที่หมายนะ”
อวี๋ปินเห็นผมยกมือขึ้นทำเครื่องหมายปางห้ามพูดก็ยอมเงียบเสียงแต่โดยดีคืนโลกอันแสนสงบกลับมาให้ผม พวกเราต่างปล่อยความคิดออกไป ณ ที่แสนไกลไม่มีบทสนทนาใดๆถูกสานต่ออีก ผมยอมรับว่าการได้รู้ภูมิหลังของอีกคนทำให้ผมเกิดความสงสารเพิ่มเป็นทวีคูณ เขามีโอกาสได้ครอบครองทุกสิ่งแต่มันกลับช่างดูว่างเปล่าเหลือเกิน
“.......”
“.......”
กำลังฝันถึงอดีตอยู่หรือเปล่านะ
ร่างสูงขมวดปมจนยับย่นเมื่อสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วเรียวของใครอีกคนกำลังแตะลงมากลางระหว่างคิ้วเพื่อช่วยนวดผ่อนคลายให้อย่างเบามือ อี้ป๋อยังไม่ทันได้เข้าสู่ห้วงนิทราเขาเพียงแค่พักสายตาชั่วครู่เท่านั้น แน่นอนว่าคำบอกเล่าที่ออกจากปากลูกน้องตนเขาเองก็ได้รับฟังตั้งแต่ต้นเช่นกัน เรื่องราวความลับเมื่อครั้งอดีตไม่ช้าก็เร็วอีกคนต้องรับรู้อยู่ดี เขาจึงไม่คิดเอ่ยขัดคำใดขึ้นมาปล่อยให้อวี๋ปินบรรยายอยู่เช่นนั้น หลังฟังจนจบปฏิกิริยาตอบสนองของคนด้านข้างดูจะเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา มุมอ่อนโยนที่เขาไม่เคยเห็นแต่เวลานี้กลับได้สัมผัส อีกคนคงกลัวว่าเขาจะต้องตกอยู่ในห้วงฝันร้ายตลอดไปถึงได้มีใจนึกห่วงช่วยนวดผ่อนคลายให้แก่กัน เสียงกระซิบแผ่วเบาดังขึ้นข้างใบหูอยู่ในระยะที่จะได้ยินเพียงสองคน น้ำเสียงนั้นเอ่ยออกมาเรียบๆแต่กลับแฝงความรู้สึกอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด
“ตอนที่มองตาเลอากับธีออนตลอดเวลาที่พวกมันเติบโต นายคงคิดถึงแม่มากสินะ..อี้ป๋อ”
“…….”
“เหนื่อยบ้างหรือเปล่าที่ต้องเผชิญเรื่องทุกอย่างอยู่เพียงคนเดียว”
ใช่..ฉันเหนื่อย
เหนื่อยมากๆเลย
“ต่อจากนี้นายจะมีฉันอยู่ข้างๆ ฉันจะช่วยดูแลสมบัติของแม่นายเองนะ เพราะฉันอยากให้เราสองคนมีสิ่งที่เอาไว้ดูต่างหน้าเวลาคิดถึงแม่เหมือนกัน”
“…….”
“ขอบคุณนะอี้ป๋อ ขอบคุณที่ยื่นมือมาช่วยเหลือและปกป้องครอบครัวฉัน ขอบคุณนายจริงๆที่เดินผ่านเข้ามาในชีวิต”
นิ้วเรียวเขี่ยวนรอบรอยยับย่นกึ่งกลางระหว่างคิ้วไปมาจนในที่สุดปมนั้นก็เริ่มคลาย เมื่อคิดว่าคนขี้เซาคงหลับฝันดีแล้วจึงยอมถอนสัมผัสออกอย่างเชื่องช้าไม่คิดไปรบกวนซ้ำสองอีก
ขอบคุณนายเหมือนกัน..เซียวจ้าน
ขอบคุณที่นายไว้ใจฉัน
ขอบคุณที่นายเลือกเดินเข้ามาในชีวิตและไม่เดินผ่านไป
พวกเราใช้เวลาไม่นานนักก็เดินทางมาจนถึงที่หมาย อี้ป๋อก้าวนำเพื่อพาผมเข้าไปยังสิ่งก่อสร้างเบื้องหน้าซึ่งมีลักษณะเป็นรูปโดมทรงกลมมหึมา ตัวอาคารปูด้วยกระจกใสรอบด้านยามแสงอาทิตย์สะท้อนลงมากระทบกันก็ส่องประกายระยิบระยับสวยงาม ผมหยุดชะงักฝีเท้าชั่วขณะเพราะมัวแต่ทึ่งไปกับสถาปัตยกรรมภายใน ม่านน้ำตกขนาดย่อมตั้งอยู่ใจกลางโดมแก้วอีกทั้งยังมีพันธุ์ไม้รวมถึงสวนดอกไม้ประดับอีกมากมายถูกปลูกไว้รอบบริเวณ ดูเผินๆคล้ายเป็นสถานที่เอาไว้จำลองความงามจากธรรมชาติ ข้อมือหนาถึงกับต้องคว้าแขนผมเข้าชิดกายเพื่อบังคับให้เดินไปพร้อมกัน เนื่องจากเขาคงกลัวว่าตัวผมจะเกิดเถลไถลจนพลัดหลงระหว่างทางซะก่อน
“อย่ามัวแต่เดินซนสิ พวกเรายังมีธุระต้องจัดการ ฉันไม่ได้พามาเที่ยวชมวิวนะ”
“รู้แล้วล่ะน่า ก็แค่คิดว่าที่นี่สวยจัง สถานที่แบบนี้มีไว้ทำอะไรเหรอ”
“ที่นี่คือองค์กรภาคี เดิมทีถูกใช้เป็นคลังเก็บอาวุธลับของสภากลาง ต่อมาหลังจากปฏิรูปเมืองชิรัณย์จนกลายเป็นเมืองที่ขาวสะอาด พวกเขาก็เลยเปลี่ยนที่นี่ให้กลายเป็นฐานที่ตั้งขององค์กรภาคีแทน หน้าที่ขององค์กรภาคีคือเป็นศูนย์กลางคอยติดต่อสื่อสารกับองค์กรผู้มีอิทธิพล อีกทั้งยังมีหน้าที่คอยจัดการข้อมูลรวมถึงเก็บรวบรวมเอกสารสำคัญต่างๆในเมืองชิรัณย์คล้ายกับห้องสมุด ถ้าเปรียบกับประเทศนายองค์กรภาคีก็คงเป็นเสมือนที่ว่าการอำเภอ”
“งั้นก็คงเป็นอำเภอที่เฟี้ยวมาก ชื่อองค์กรโคตรเท่ชะมัดเหมือนในหนังเลย ฉันว่า..”
หมับ!!
“อ๊ะ!!”
“ระวัง!! นายเกือบเดินตกน้ำแล้วนะ”
“แฮะๆ พอดีรองเท้ามันลื่นนิดหน่อยน่ะ”
“นายนี่มัน..จริงๆเลยนะ คนอะไรก่อเรื่องได้ไม่เว้นวัน”
“อย่าทำหน้าดุสิ ฉันก็ยังปลอดภัยดีนี่ไง คนเราก็ต้องมีพลาดกันบ้าง”
“สำหรับนายใช้คำว่าบ้างคงไม่พอหรอก..เซียวจ้าน”ผมก้มหน้างุดเล็กน้อยหลังจากพลาดท่าเกือบทำตัวเองตกน้ำจนเป็นภาระให้อีกคนต้องมาพยุง
“เอาน่า ครั้งนี้ฉันจะตั้งใจมองทางแล้ว พวกเราจะประทับตราพันธะกันตรงไหนเหรอ ฉันมองเห็นแต่น้ำตกกับสวนดอกไม้ คนที่นี่ดูท่าจะรักธรรมชาติรักน้ำรักปลารักซากุระกันจัง”
“ตามมาสิแล้วนายก็จะรู้เอง ขอต้อนรับสู่องค์กรภาคี”
เมื่อบทสนทนาจบลงอี้ป๋อก็ลากแขนกึ่งจูงตัวผมให้เดินไปตามทางของเขตป่าจำลองจนมาถึงบริเวณที่มีไอหมอกปกคลุม สักพักหญิงสาวแปลกหน้ารูปร่างสูงเพรียวสวมชุดกระโปรงสีแดงสดรัดรูปก็เป็นฝ่ายเดินฝ่าไอหมอกเข้ามาทักทาย อี้ป๋อเพียงแค่พยักหน้ารับคำก่อนจะปล่อยให้บุคคลที่สามนำทางพวกเราทั้งคู่ไปยังบันไดวนซึ่งจะพาลงสู่อาคารใต้ดินเบื้องล่าง ระหว่างทางผมเอาแต่สะกิดเรียกคนข้างกายเพราะมัวตื่นเต้นกับการได้มาเยือนพื้นที่ลับ บรรยากาศอันเขียวขจีของหมู่มวลไม้ค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นสีอิฐของกำแพงใต้ดิน เชิงเทียนรอบข้างถูกจุดติดขึ้นพร้อมกันกำเนิดแสงไฟสีสลัวจนสุดทาง ผมอ้าปากค้างเบิกตาโพลงกับทุกสิ่งแปลกใหม่ที่ปรากฏ ณ เบื้องหน้า ห้องโถงลับซ่อนอยู่ใต้ดินครอบคลุมอาณาเขตกว้างขวางตกแต่งด้วยผนังโทนสีแดงตัดสลับดำมีป้ายบอกทางแยกไปยังโซนต่างๆ ความวังเวงและบรรยากาศว่างเปล่าคือสิ่งแรกที่ผมสัมผัสเมื่อย่างกรายเข้ามา ข้างล่างเงียบซะจนได้ยินเพียงแค่เสียงฝีเท้าของพวกเราราวกับสถานที่แห่งนี้ไร้ซึ่งผู้คน มันช่างดูลึกลับชอบกลอย่างบอกไม่ถูก
แม่สาวชุดแดงคงไม่ได้หลอกพาผมมาฆ่าหรอกใช่ไหม
ผมลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่พลางใช้สายตาสำรวจไปทั่ว ไม่นานนักเราก็เดินทางมาถึงโซนที่ดูคล้ายกับห้องสมุด ผมเห็นชั้นวางหนังสือมากมายถูกสร้างเอาไว้ให้กลมกลืนกับกำแพงสีอิฐ ไม่ใช่ทุกเล่มที่จะเปิดอ่านได้โดยง่ายเพราะล้วนมีแม่กุญแจล็อคเอาไว้อย่างแน่นหนา ผมเดาเอาว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีให้คนทั่วไปใช้งานแต่คงถูกสร้างเป็นห้องเก็บเอกสารลับซึ่งดัดแปลงให้ดูเหมือนห้องสมุดอีกทีหนึ่งมากกว่า
“หนังสือพวกนี้เป็นความลับสำคัญที่สภากลางเก็บรวบรวมไว้ อย่าเผลอซนล่ะ”
“รู้แล้วน่า นายคิดว่าฉันเป็นทอมครูซในมิชชั่นอิมพอสซิเบิ้ลหรือไง ฉันจะเอาอะไรไปไขกุญแจพวกนั้นเล่า”
เขากระซิบแผ่วเบาที่ข้างใบหูในระยะที่ได้ยินเพียงแค่สองคน อี้ป๋อทำทีเหมือนคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดีคงเพราะเขาอาจมาทำธุระที่องค์กรภาคีนับครั้งไม่ถ้วน มีแค่ผมนี่แหละที่เอาแต่ร้องอู้อ้าด้วยความตื่นตะลึงทุกครั้งยามเจออะไรแปลกใหม่
“นายดูแจกันประดับอันนี้สิ สลักลายดอกไม้ด้วย”
“อย่าแตะ”
“ก็มันสวยนี่”
“ถ้านายทำตกแตกมันก็ไม่สวยแล้ว”
จึก!!
โดนไปหนึ่งดอกเน้นๆ
ภาพจำยังชัดเจน
“แฮะๆ ไม่แตะก็ไม่แตะ มันคงแพงกว่าแจกันของนายใช่ไหม”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ ช่วยอยู่นิ่งๆและอย่าซนอีก”
ผมแอบทำหน้างอเมื่อถูกผู้ปกครองดุต่อหน้าบุคคลที่สาม ในเมื่อเขากระชับข้อมือผมเก็บไว้ข้างตัวแน่นหนาซะขนาดนั้นผมจะหนีไปซนที่ไหนได้อีกล่ะ แม่สาวชุดแดงเดินนำพวกเราผ่านห้องสมุดลับไปตามทางเรื่อยๆอย่างเงียบเชียบไม่คิดสนทนากันสักคำ สายตาที่เคยจับจ้องสิ่งของตกแต่งรอบข้างเริ่มเปลี่ยนเป้าหมายใหม่เป็นการสำรวจความงามของบุคคลแทน ผมอมยิ้มมุมปากกะคำนวณจากสายตาคร่าวๆก็สามารถระบุสัดส่วนสรีระอันอรชร พลันโหมดออกล่าของไอ้เสือก็เปิดทำงานอัตโนมัติ
จะว่าไปแม่สาวชุดแดงเซ็กซี่ขยี้ใจไม่เบาเหมาะแก่การเป็นอาหารตา
ค้นพบข้อดีของการมาที่นี่แล้วหนึ่งอย่าง
“อะแฮ่ม ขอโทษนะครับ พวกเราต้องเดินอีกไกลแค่ไหน”ผมพยายามเรียกร้องความสนใจด้วยการชวนคุยน้ำเสียงหวานหยดย้อยโดยไม่รู้เลยว่าการกระทำนั้นเผลอไปกระตุ้นความสนใจของใครคนหนึ่งแทน
“อีกไม่ไกลหรอกค่ะ พวกเราเดินตัดผ่านห้องสมุดไปจนสุดทาง ห้องที่ใช้สำหรับประทับตราพันธะจะอยู่ทางด้านริมขวา”
“ขอบคุณครับ เอ..ว่าแต่..ผมยังไม่รู้จักชื่อคุณเลย”
“คุณคงเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกสินะ”
“ใช่ครับ หากคุณไม่รังเกียจผมขอแนะนำตัว ผมชื่อเซียวจ้าน”
“เรียกฉันว่าเฉิงเซียว ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
“ชื่อเพราะกว่าที่ผมคิดไว้ซะอีก ผมไม่แน่ใจว่าเฉิงเซียวในภาษาของเมืองชิรัณย์แปลว่าอะไร แต่ที่รู้คือในภาษาของผมมันแปลว่าความงาม”
เฟี้ยวเงาะ!!
เล่นมุกเองยังขนลุกเอง
เท่ชิบหายเซียวจ้านเอ้ยย
“อันนี้เป็นมุกเอาไว้ใช้กับสาวๆเหรอคะ”
“ก็คงใช่แต่ผมไม่ได้ใช้กับทุกคน ผมเลือกใช้กับคนที่คู่ควร..เช่นคุณ”
บาจาคมคาย เอ้ย วาจาคมคายบาดใจยิ่งนัก
“คุณนี่ขยันปากหวานนะคะ”
“ก็ถ้ามันทำให้คุณยิ้มได้ผมจะขยันบ่อยๆ”
“เอ่อ..ถึงแล้วค่ะ”
“ผมต้องไปทำธุระแล้ว หวังว่าคราวหน้าถ้าผมมาที่นี่อีกคงได้คุณช่วยแนะนำ คุณเฉิงเซียว”
“ยินดีเสมอค่ะ เราแลกเบอร์ติดต่อกันไว้ดีไหมคะ”
“ดีครั..”
“ไม่จำเป็น”
“…….”
กริบ
อย่ามองผมด้วยสายตาแบบนั้นเพราะผมไม่ใช่คนที่ชอบทำร้ายจิตใจสาวๆ
เจ้าของคำพูดตัวจริงคือคนที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนท้องผูกมาสามวันผู้อยู่ข้างกายผมต่างหาก
“นายว่าอะไรนะอี้ป๋อ”
“ฉันบอกว่าไม่จำเป็นเพราะมันคงไม่มีครั้งหน้าแล้วที่พวกคุณสองคนจะได้เจอกันอีก”
“ก็ถ้าเผื่อว่าฉันมีโอกาสได้ติดตามนายมา..”
“ไม่ มันจะไม่มีโอกาสนั้น”
หงึ..คนใจร้าย!!
“หลังจากเสร็จธุระเรื่องตราพันธะฉันจะไม่พานายมาที่นี่อีก”
“ทำไมล่ะ”
“อะ..เอ่อ..”
“คุณเฉิงเซียว คนของผมไม่มีเบอร์ส่วนตัวหรอกครับ ถ้าคุณอยากติดต่อให้ผ่านทางผมโดยตรงเท่านั้นซึ่งผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นมากพอที่เราต้องติดต่อกันอีก”
“อี้ป๋อ!! ทำไมนายเสียมารยาทแบบนี้”
“ขอตัวนะครับ ผมยังมีธุระรอให้จัดการ หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
“เอ่อ..เชิญค่ะ”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้เบอร์แม่สาวชุดแดงเพื่อสานต่อเรื่องราวระหว่างเราก็ดันถูกคนข้างกายตัดบทด้วยการพาหนีเข้าห้องไปซะก่อน ผมไม่แน่ใจว่าทางโรงงานผลิตโรบอทด้วยกระบวนการอย่างไรแต่ดูเหมือนต่อมมนุษยสัมพันธ์ของเขาท่าจะเสีย คนอะไรมีสกิลผูกสัมพันธ์กับผู้อื่นติดลบสุดขั้ว นิสัยชอบส่งสายตาขวางราวกับเบื่อโลกอีกทั้งน้ำเสียงเคร่งขรึมผสานท่าทีดุดันเป็นตัวไล่แขกชั้นดีเชียวล่ะ เขาอยากเสียมารยาทก็เชิญทำไปคนเดียวสิทำไมต้องลากผมให้มาติดบ่วงด้วย ผมโคตรเข้าใจว่าเพราะเหตุใดลูกน้องของเขาถึงได้พยายามชูป้ายไฟเชียร์ให้ผมกลายมาเป็นต้าซ้อกันใหญ่ทั้งที่ผมเป็นผู้ชายแมนๆอกสามศอก นอกจากเลอาแล้วทั้งชีวิตนี้ก็ไม่น่ามีสาวคนไหนหน้ามืดตามัวหลงมาติดพันผู้ชายห่ามๆทื่อๆอย่างนายอี้ป๋อได้ลงคอหรอก
“นายนี่ใจร้ายชะมัด เพราะแบบนี้เองคุณเฉิงเซียวเลยนิ่งเงียบมาตลอดทาง เธอรู้ว่าถ้าคุยกับนายแล้วต้องโดนเมินใส่ นายเคยเจอกับเธอมาก่อนใช่ไหม”
“เราเจอกันตลอดแทบทุกครั้งเวลาที่ฉันมาทำธุระ เธอเป็นคนขององค์กรภาคี หน้าที่ของเธอคือผู้ส่งสาร เรียกให้เข้าใจง่ายๆในภาษาของนายก็คงเป็นรีเซฟชั่น”
“ฉันไม่ได้อยากรู้หรอกว่าเธอทำหน้าที่อะไรแต่ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมนายดูเย็นชากับเธอชอบกล เธอไปเผลอทำอะไรให้นายไม่พอใจงั้นเหรอ”
“นาย”
“หืออ”
“ไม่ใช่เธอ”
“…….”
“แต่เป็นนายต่างหากที่ฉันไม่พอใจ”
หรือเขาคิดว่าผมพยายามติดสินบนเธอเพราะวางแผนหลบหนีอีกล่ะ
“ห๊ะ..นี่นายคงไม่ได้คิดว่าฉันจะติดสินบนคนขององค์กรภาคีหรอกนะ ฉันจะทำแบบนั้นไปทำไมในเมื่อฉันรับปากยินยอมประทับตราพันธะไปแล้ว ฉันไม่คิดหนีหรอกน่า(ไขว้นิ้ว)”
ก็..แอบเผื่อไว้นิดนึงล่ะนะ
“นายนี่ดูเหมือนฉลาดแต่สมองยังโตเท่าต้นหญ้าจริงๆ มันไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้นสักหน่อยที่ฉันไม่พอใจ”
“อะไรของนายเนี่ย เอะอะก็ว่าฉันสมองเท่าต้นหญ้าท่าเดียว เคยคิดจะพูดจาดีๆกับคนอื่นบ้างไหมนอกจากทำหน้ามุ่ยเหมือนท้องผูกตลอดเวลา แค่ยืนข้างนายก็รู้สึกอุณหภูมิร่างกายติดลบราวกับอยู่ขั้วโลกเหนือ นิสัยแบบนี้ไงพวกสาวๆถึงพากันหนีหมด ขืนอยู่ใกล้นายนานกว่านี้พาลต้องถูกสาวๆเกลียดขี้หน้าไปด้วยแหงๆ”
“อืม ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี”
“เหอะ ตัวเองดึงดูดสาวๆเข้าหาไม่ได้ก็เลยอิจฉากันสินะ นายทำให้ฉันชวดเบอร์แม่สาวชุดแดง จำเอาไว้ด้วย ฉันไม่อยากคุยกับนายแล้ว นายมันคนอันธพาล แบร่~”
ผมแลบลิ้นยั่วแหย่คนตรงหน้าก่อนจะเดินผละออกไปอีกทางด้วยอารมณ์หัวฟัดหัวเหวี่ยงเชิงทีเล่นทีจริงทิ้งให้อี้ป๋อได้แต่ยืนครุ่นคิดกับตัวเองอยู่เพียงลำพัง
ถ้าการที่เขารู้สึกไม่ชอบให้คนของตัวเองไปผูกสัมพันธ์กับใครเรียกว่าอันธพาลเขาก็ยอมรับ
สามีจะนึกหวงว่าที่ภรรยาแล้วมันผิดมากนักหรือไง
ดูเหมือนนายไม่ฉลาดพอที่จะรับรู้ถึงเหตุผลนั้นเลย..เซียวจ้าน
เมื่อเข้าสู่ห้องประทับตราพันธะพวกเราก็เจอกับชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคนหนึ่งยืนรออยู่ซึ่งคงมีตำแหน่งคล้ายแม่สาวชุดแดงเมื่อครู่ ผมได้ยินอี้ป๋อเรียกบุคคลเหล่านี้ว่าผู้ส่งสาร หน้าที่ของพวกเขาคงคล้ายกับพนักงานต้อนรับตามโรงแรมทั่วไปเพียงแต่ตั้งชื่อให้ดูเก๋ไก๋ไปอย่างงั้น นอกจากองค์กรภาคีจะเป็นสถานที่อันแสนลึกลับด้านบนถูกสร้างให้กลมกลืนกับธรรมชาติแต่พื้นที่ด้านล่างซุกซ่อนห้องใต้ดินขนาดใหญ่แบ่งแยกอาณาเขตออกไปตามการใช้งาน ผู้คนของที่นี่ก็ทำตัวลึกลับไม่ต่างกับสถานที่สักเท่าไหร่ ผมไม่เข้าใจจริงๆว่าสไตล์การต้อนรับประเภทที่ว่าเดี๋ยวก็ผลุบเดี๋ยวก็โผล่มันจะช่วยเพิ่มความตื่นเต้นให้กับแขกหรืออย่างไร นี่พวกผมมาทำธุระนะไม่ใช่มาเข้าสวนสนุกเพื่อเล่นบ้านผีสิง เมื่อกี้ผมตกใจแทบหงายหลังเพราะอยู่ดีๆก็มีชายแปลกหน้าคนที่สองขยับกายออกจากความมืดอีกฝั่งแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง
“เฮ้ย!! คะ..คุณมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!!”
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจนะครับ ผมกำลังรอพวกคุณอยู่”ผู้ส่งสารคนที่สองโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อขอโทษจากนั้นก็หันมาพูดประโยคสุดท้ายกับคนที่อยู่ข้างกายผม อี้ป๋อไม่รอช้ารีบตรงเข้าสู่ประเด็นสำคัญทันที
“เราเริ่มประทับตราได้หรือยัง”
“จิตรกรของเราพร้อมแล้วครับ”
จิตรกรคืออะไร?
เราจะเรียนคลาสวาดรูปกันเหรอพี่ชาย?
“ใช้เวลาเท่าไหร่”
“สัญลักษณ์ตระกูลสิงโตลวดลายไม่ได้ซับซ้อนคงใช้เวลาแค่ชั่วครู่ไม่นานนัก แต่ถึงยังไงทางเราก็ได้เตรียมยาชาไว้ให้พวกคุณ”
“อืม”
เริ่มทะแม่งๆแล้วแฮะ
ได้ยินอะไรชาๆนะ
ใช่ชาไข่มุกหรือเปล่า
“ตัดสินใจเลือกตำแหน่งระหว่างคุณทั้งคู่แล้วใช่ไหม”
“ใช่ ทุกอย่างระบุอยู่ในเอกสาร”
“ผมขอเอกสารยืนยันด้วย”
“ต้องส่งให้ใคร”
“ผมจะเป็นคนจัดการยื่นเรื่องต่อสภากลางเอง”
“อืม”
เอ..พวกเราดูหนังม้วนเดียวกันอยู่หรือเปล่าน้าพี่ชาย
อย่าพูดแต่สิ่งที่เข้าใจกันสองสามคนสิ
ผมยกคิ้วขมวดพยายามคิดหาความหมายของบทสนทนาเมื่อครู่ ต่อให้เอานิ้วนวดขมับเหมือนเณรน้อยเจ้าปัญหา เอ้ย เจ้าปัญญานามว่าอิคคิวซังก็ยังคิดไม่ออก
“เฮ้..พี่ชาย ใช้รหัสมอสคุยกันอยู่เหรอ”
“...….”
“เอ่อ..มีใครพอจะอธิบายให้ผมฟังได้ไหม”
“หึ”
อี้ป๋อส่งเสียงเล็กน้อยในลำคอคล้ายกำลังจะบอกเป็นนัยว่าที่ผมไม่รู้เรื่องก็เพราะไม่ยอมอ่านหนังสือก่อนมาสอบ แหงสิใครจะไปฉลาดหลักแหลมขยันอ่านหนังสือเหมือนเด็กห้องคิงอย่างเขาล่ะ
รู้งี้ยอมแหกขี้ตานั่งอ่านเอกสารที่เขาให้มาเมื่อคืนก็ดีหรอก
ผมได้แต่ทำหน้าหงิกงอเป็นอากาศอยู่ข้างๆวงสนทนาเพราะไม่มีใครคิดอธิบายให้ฟังสักคน จนกระทั่งอี้ป๋อเพิ่งนึกได้ว่าเอกสารสำคัญที่ถูกพูดถึงเมื่อครู่ดันซ่อนในเสื้อคลุมบนตัวผม ข้อมือหนาฉวยโอกาสละลาบละล้วงเข้ามาควานหาสิ่งของขณะที่ผมไม่ทันระวังจึงถูกลวนลามโดยไม่มีโอกาสตั้งรับ ปลายนิ้วเรียวเคลื่อนผ่านจุดยุทธศาสตร์สำคัญพลันเม็ดลูกเกดสองข้างก็เต่งตึงขึ้นอัตโนมัติทันที
ดึ๋งดั๋ง~ (เสียงดีดนม)
ชิบ-หาย-แล้ว!!
“นี่นาย!!”
“อะไร”
“นายทำให้ฉัน..”
“หืมม”
นายทำให้ฉันเต่ง..
ไอ้บ้าเอ้ยย!!
ใครจะกล้าสารภาพออกไปให้อับอายล่ะ!!
ทำไมลูกเกดของผมต้องมาตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นผู้ชายด้วยวะเนี่ย!!
ผมเลือกที่จะนิ่งเงียบเอาแต่ก้มหน้างุดพยายามปกปิดอาการไม่ให้อีกคนเห็น เกิดมาตั้งสามสิบกว่าปีเพิ่งมีครั้งนี้ครั้งแรกที่ลูกเกดของผมต้องมาเต่งตึงตื่นตัวเด้งดึ๋งดั๋งไปกับสัมผัสชาย
ขอให้เขาไม่รู้ทีเถอะไม่งั้นไอ้เสือเซียวจ้านตัวนี้ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดที่ไหน
หลังจากอี้ป๋อส่งมอบเอกสารยืนยันต่อผู้ส่งสารเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็นำทางเราทั้งคู่ไปยังห้องประทับตราพันธะซึ่งเป็นห้องที่ซ่อนตัวอยู่ลึกเข้าไปอีกทางด้านในสุด ความซับซ้อนของฐานลับใต้ดินในองค์กรภาคีทำให้ผมเกิดรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาผสมกับบรรยากาศมืดสลัวชวนเอารู้สึกอึดอัดได้ง่ายๆ ปฏิกิริยาที่เริ่มเปลี่ยนไปนั้นตกอยู่ในสายตาของคนข้างกายตลอดเวลา เมื่อถึงที่หมายผู้ส่งสารคนที่หนึ่งก็เป็นฝ่ายพาผมเข้าไปในห้องทางฝั่งซ้ายส่วนอี้ป๋อถูกผู้ส่งสารคนที่สองพาเข้าไปในห้องทางด้านฝั่งขวานั่นเท่ากับว่าพวกเราต้องแยกกันไปประทับตราคนละห้อง
ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่กลัวแต่ตอนนี้ชักกลัวหน่อยๆแล้วแฮะ
“เซียวจ้าน”
“หืออ”
“ไม่ต้องกลัว”
“.......”
“ถ้านายเผลอรู้สึกขึ้นมาให้หลับตาเอาไว้แล้วจินตนาการว่ามีฉันอยู่ข้างกาย”
“ทำแบบนั้นมันจะช่วยให้หายกลัวหรือไง”
“แค่นึกว่ามีฉันก็พอ แค่เท่านั้นนายก็ไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใดอีก”
“ฉันว่ามีแต่จะฝันร้ายหนักกว่าเดิมน่ะสิ”
“หรืออยากจะนึกถึงหน้าสาวๆในคลังของนายก็ตามใจ แต่จงจำเอาไว้ว่าอีกไม่นานนายก็จะกลายเป็นคนของฉันแล้ว อิสระที่ยังมีอยู่ใช้มันซะให้พอก่อนไม่มีโอกาสได้ใช้อีกเลย”
ฮิย๊า~
ม้าสองตัวออกแรงวิ่งขนาบกันในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัย จั๋วเฉิงที่อยู่บนอานม้าสีดำเอ่ยปากแซวเพื่อนรักอย่างอวี้เฉินผู้เป็นเจ้าของม้าตัวสีขาวตลอดทาง เพราะไม่ทันระวังจึงถูกอวี้เฉินแซงตัดหน้าคว้าเอาชัยชนะไปครองในวินาทีสุดท้ายอย่างหวุดหวิด
“อะไรว้า ฉันแพ้นายได้ไงเนี่ย”
“ก็นายมันอ่อนหัดจั๋วเฉิง แถมยังพูดมากอีกต่างหาก ม้ามันไม่ชอบคนขี้โม้หรอกนะจะบอกให้”
“มาดวลกันอีกตาเลยดีกว่า”
“ขี้แพ้ชวนตีหรือไง สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาดิวะ คืนนี้ตานายเลี้ยง”
“ฉันว่าม้าตัวที่ฉันขี่ต้องพักผ่อนไม่เพียงพอแน่ เรามาแข่งอีกครั้งแล้วเปลี่ยนม้ากัน”
“ได้ไงล่ะ ฉันก็รักเจ้านวลของฉัน นายเป็นคนเลือกขี่เจ้านิลเองมาโวยวายทีหลังได้ไง”
จั๋วเฉิงออกอาการอารมณ์เสียที่ตนต้องเป็นพ่ายแพ้เพราะดันเลือกม้าผิดในทีแรกแต่ถึงอย่างนั้นข้อมือหนาก็ลูบปลอบโยนเจ้านิลไปด้วย คนทั้งคู่ทะเลาะเล็กน้อยพอเป็นพิธีก่อนจะพากันมาที่ขอบสนามเพื่อเชิญชวนใครอีกคนซึ่งทำหน้าที่เป็นคนดูอยู่นานแล้ว
“ไงจี้หยาง นายอยากขี่ม้าแทนฉันหรือเปล่า นั่งดูอย่างเดียวนายคงเบื่อแย่”
“ฉันไม่ค่อยสันทัดสักเท่าไหร่ ขอเป็นผู้ชมก็แล้วกัน”ชายหนุ่มหน้าหวานเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มสดใสก่อนจะถือโอกาสลูบหัวเจ้าม้าทั้งสองอย่างนึกเอ็นดู
“เอาน่า อุตส่าห์ได้มาถึงองค์กรภาคีทั้งที ไม่บ่อยนะที่พวกเขาจะเปิดให้แขกเข้ามาเที่ยวเล่นในสโมสรฝึกม้าส่วนตัวน่ะ กว่าอี้ป๋อจะทำเรื่องประทับตราพันธะเสร็จคงอีกสักพัก พวกเราแค่รอเซ็นเอกสารเป็นพยานรับรู้ในขั้นตอนสุดท้าย กว่าจะถึงเวลานั้นเรามาหาอะไรทำฆ่าเวลากันเถอะ”
“หรือว่าลูกคุณหนูอย่างนายกลัวตากแดดแล้วผิวจะเสีย”
“นายก็รู้นี่จั๋วเฉิง พ่อเลี้ยงดูจี้หยางมาอย่างกับไข่ในหิน มดไม่ให้ไต่ไรแทบไม่ให้ตอม คุณหนูของเราถึงได้โตมาพร้อมความสง่างามราวกับเจ้าหญิงในปราสาทก็ไม่ปาน”
“ฮะฮ่า..นายก็พูดไป”
“ล้อกันสนุกมากไหม ฉันไม่ใช่คุณหนูแล้วก็ไม่ใช่เจ้าหญิงในปราสาทสักหน่อย”
“ดูท่าคนสวยของเราจะเริ่มหงุดหงิดแล้วว่ะ”
“ถ้านายคิดว่าตัวเองไม่ใช่คุณหนูจริงๆก็ลองขี่ม้าด้วยกันสักตาสิ อ๊ะๆ หรือต้องให้พวกฉันช่วยปูเบาะรอบสนามเผื่อนายตกจากหลังม้าแล้วผิวจะเป็นรอย”
“พูดมาก คอยดูเถอะฉันแข่งชนะพวกนายแน่”
ท้ายที่สุดแล้วจี้หยางก็ทนคำเสียดสีไม่ไหวจึงเป็นฝ่ายลุกออกจากที่นั่งเพื่อขึ้นไปบนหลังม้าเตรียมพร้อมแข่งอย่างเต็มที่ จั๋วเฉิงกับอวี้เฉินหัวเราะขำกับท่าทีเอาจริงเอาจังที่มักไม่ได้เห็นบ่อยนัก ในกลุ่มพันธมิตรรู้กันดีกว่าพ่อของจี้หยางทั้งรักและหวงลูกชายมากแค่ไหน ถึงขนาดปืนสักกระบอกยังไม่กล้าให้แตะต้อง จี้หยางจึงมักปรากฏตัวในงานเลี้ยงแวดวงสังคมมากกว่าจะทำกิจกรรมผาดโผนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเหมือนคนอื่นๆ หากสู้กันด้วยเรื่องสมองจี้หยางก็คงชนะอยู่หรอกแต่ความฉลาดที่อีกคนมีคงใช้ไม่ได้กับเรื่องนี้
ฮิย๊า~
“แน่จริงก็ตามมาให้ทัน!!”
“อวี้เฉิน ฉันว่าจี้หยางเอาจริงนะ”
“เอาจริงก็ดีอยู่หรอกแต่กระหายชัยชนะมากไปไม่ดีแน่”
ด้วยความอยากเอาชนะทำให้จี้หยางเร่งรีบบังคับม้าออกจากสนามพร้อมกระตุ้นให้มันวิ่งเร็วกว่าม้าตัวอื่นตลอดทางไม่เหลือช่องว่างให้มันได้ผ่อนแรง ผลจากการไม่ได้ฝึกวอร์มร่างกายและออกตัวเร็วเกินไปทำให้ม้าเกิดอาการล้าง่ายกว่าปกติ สักพักพอเริ่มคุมไม่อยู่ม้าจึงพยายามสะบัดคนที่บังคับตัวเองให้หลุดออกแม้อีกคนจะเกาะกุมไว้แน่นแค่ไหนก็ไม่เป็นผล ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งตลอดเวลาโดยที่จี้หยางแทบไม่รู้ตัว
“เฮ้ย!! จี้หยาง!!”
“ระวัง!!”
“อ๊ะ!!”
ตุบ!!
ร่างบางถูกสลัดออกจากหลังม้าลอยละลิ่วกลางอากาศก่อนที่จะเริ่มตกลงสู่พื้นเบื้องล่าง อันที่จริงเขาควรรู้สึกเจ็บมากกว่านี้แต่เพราะท่อนแขนอันแข็งแรงพุ่งมารับร่างเขาเอาไว้ได้ทันจึงไม่เกิดการบาดเจ็บสาหัส อ้อมกอดอุ่นอันแสนคุ้นเคยคอยปกป้องตัวเขามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนและครั้งนี้ก็เช่นกัน
“ฮะ..ฮ่าวเซวียน!!”
“อ๊าา!!”
“แขนนาย..ละ..เลือด..”
“คุณชายเจ็บมากไหมครับ”
“.......”
(*ฮ่าวเซวียนคือเซวียหยางตัวร้ายที่รักเธอในปมจ*)
นัยน์ตาหวานช้อนขึ้นสบกับเจ้าของประโยคด้วยความรู้สึกหลากหลาย ฮ่าวเซวียนแสดงอาการเป็นห่วงเป็นใยเขามากมายทั้งที่จริงแล้วตัวเองนั่นแหละกลับได้รับบาดเจ็บยิ่งกว่าใคร ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ทุกการกระทำของเขาตกอยู่ในสายตาลูกน้องผู้ซื่อสัตย์คนนี้ ยามมีภัยถึงตัวอีกคนจะรีบเข้ามาปกป้องเขาทันทีโดยไม่เคยนึกถึงความปลอดภัยของตัวเองแม้สักครั้ง
“คุณชายรู้สึกมึนหัวไหมครับ ลองขยับแขนขาดูยังใช้งานได้เหมือนเดิมหรือเปล่า”
“ละ..เลือดออกตรงแขนนาย”
“ค่อยโล่งอกหน่อยที่มีแค่รอยถลอกเล็กน้อย ทางที่ดีผมว่าไปให้คุณหมอ..”
“ฮ่าวเซวียน ฉันไม่เป็นไร”
“.......”
“คนที่เป็นคือนายมากกว่า”
“ผมก็ไม่เป็นไร”
“ยังจะพูดว่าไม่เป็นไรอีกเหรอ ดูตัวนายสิ”
“ผมไม่เจ็บครับ”
“เลือดออกขนาดนี้ยังบอกว่าไม่เจ็บ ทำไมนายต้องเอาตัวเองมารับฉัน ทำไมนายต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยฉันอีกแล้ว”
“ก็หน้าที่ของผมคือการดูแลคุณชาย คุณท่านได้สั่งผมเอาไว้”
“ที่ทำไปเพราะแค่คำสั่งเหรอ”
“.......”
“นายเคยเป็นห่วงฉันจริงๆบ้างไหม”
“ผมเป็นห่วงคุณชายนะครับ”
“จริงเหรอ”
“ก็คุณชาย..เป็นเจ้านายผม”
“แล้วในฐานะอื่นล่ะ”
“ไม่มีฐานะอื่นหรอกครับ คุณชายคือเจ้านายส่วนผมเป็นได้แค่ลูกน้อง”
“.......”
“สถานะนี้ระหว่างเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
ดวงตาคมฉายแวววูบไหวหลังจากกลั้นใจเอ่ยประโยคที่ทำให้ผู้ฟังต้องเจ็บปวดแต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยตอกย้ำให้คอยเจียมตัวเองอยู่เสมอ ข้อมือหนาค่อยๆประคองร่างบางขึ้นมายืนในระดับปกติก่อนจะเริ่มผละออกเล็กน้อยเพื่อรักษาระยะห่าง จั๋วเฉิงกับอวี้เฉินเร่งรีบขี่ม้าตามมาจนถึงจุดเกิดเหตุ นัยน์ตาคู่งามเอาแต่สำรวจบาดแผลบนตัวอีกคนจึงแทบไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าเพื่อนสนิทของเขานั้นพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังที่แสนคุ้นเคยก็ค่อยๆไกลห่างออกไปอย่างรู้หน้าที่ตน
ทำไมชอบคิดว่าตัวเองไม่สำคัญทั้งที่จริงแล้วยังคงสำคัญในสายตาเขาเสมอมา
ทำไมไม่เคยรู้ตัวบ้างเลยนะ..ฮ่าวเซวียน
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“อ้าวพี่ไห่ควาน มาตอนจบเรื่องพอดีเลยนะ พี่ไปทำอาชีพตำรวจน่าจะรุ่ง”
“นี่พวกนายเกิดอุบัติเหตุกันเหรอ”
“ไม่เชิงหรอกครับ เดี๋ยวผมจะเล่าเหตุการณ์แบบรวบรัดให้ฟัง”
ชายหนุ่มร่างสูงที่เพิ่งเดินทางมาถึงเข้าร่วมวงสนทนาด้วยความนึกสงสัย หลังจากทุกอย่างคลี่คลายจี้หยางจึงออกปากขอตัวไปพักผ่อน ไห่ควานมองไล่หลังสลับระหว่างคนทั้งสองคล้ายสามารถอ่านภาษาร่างกายที่ทั้งคู่พยายามปกปิดไว้ภายใน
“พี่ต้องได้เห็นตอนที่หมอนั่นโผล่มารับร่างของจี้หยางเอาไว้ โคตรเท่อย่างกะพระเอกในหนังแน่ะ”
“นายหมายถึงฮ่าวเซวียน องครักษ์พิทักษ์ประจำตัวจี้หยางน่ะเหรอ”
“หมอนั่นคอยดูแลเจ้านายเป็นอย่างดี ถ้าผมเป็นนายจ้างคงต้องให้โบนัสซะหน่อย”
“แต่ก็แปลกดีนะที่ชอบมาๆหายๆแอบอยู่หลังเงามืดตลอด ดูสิจะหันไปขอบคุณก็ดันหายจ้อย”
“ฮ่าวเซวียนเป็นคนที่โผล่มาถึงตัวจี้หยางก่อนพวกเราเสมอ นั่นคงเพราะในสายตาของเขาคอยจับจ้องจี้หยางอยู่ตลอดเวลา เขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์แต่น่าเสียดาย”
น่าเสียดายที่เกิดมาต่างชนชั้น
“เสียดายอะไรเหรอพี่ไห่ควาน”
“นั่นสิ”
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร พวกเราเตรียมตัวไปที่ฐานลับขององค์กรภาคีกันเถอะ ผู้ส่งสารบอกฉันว่าอี้ป๋อใกล้จะประทับตราพันธะเรียบร้อยแล้ว”
“รวดเร็วปานนั้นเชียว”
“จะว่าไปอี้ป๋อนี่ก็แปลกคน ยอมประทับตราพันธะลงบนร่างเพื่อช่วยปกป้องผู้ชายที่รู้จักกันแค่ไม่กี่วัน”
“ฉันว่าอี้ป๋อตัดสินใจมาดีแล้ว พวกเราต้องเคารพการตัดสินใจของเขา”
“ฉันเองก็อยากเสียสละเพื่อปกป้องส่วนรวมบ้าง”
“นายได้ปกป้องแน่อวี้เฉินเพราะหลังจากวันนี้ไปหากข่าวลอยเข้าหูอี้โจวเมื่อไหร่ก็เตรียมเปิดศึกได้เลย”
“เฮ้อ~ คิดแล้วปวดหัวชิบ”
“ถ้าหากเป็นอย่างงั้นจริงพวกเราก็ต้องเตรียมรับมือให้พร้อม พวกเรายื่นมือเข้าไปยุ่งกับคนที่อี้โจวหมายตา ธุรกิจมืดของมันถูกขัดขาเข้าให้แล้ว มันต้องเตรียมเล่นงานพวกเราคืนแบบเจ็บแสบแน่โดยเฉพาะคนที่กล้าท้าชนกับมันซึ่งหน้าอย่างอี้ป๋อ”
<< จบ Part1 >>
#ตราพันธนาการหัวใจ
*แนบรูปองค์กรภาคีให้นะคะ*
ความคิดเห็น