ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตราพันธนาการหัวใจ #ป๋อจ้าน #ป๋อตี้จ้านเกอ

    ลำดับตอนที่ #3 : >

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.41K
      64
      20 ต.ค. 62


    << Chapter 3 >>

     

     

     



    “อรุณสวัสดิ์ครับคุณชาย”

     

    ผมเบิกตาโพลงแทบจะในทันทีหลังจากได้ยินเสียงผู้บุกรุกเปิดประตูห้องเข้ามาทักทายเป็นคนแรกของวัน ดั่งเสียงสวรรค์มาโปรดแท้ๆ

     

    ก๊องแก๊ง

     

    “ปินอา~ ฉันอยากตาย”

     

    อวี๋ปินส่งยิ้มเฝื่อนๆมาให้เมื่อเห็นคนบนเตียงทำสีหน้าขอความเห็นใจพร้อมกับเขย่าข้อมือที่ถูกล็อคติดกับลูกกรงไปด้วย ผมรู้ว่าตอนนี้สภาพตัวเองดูน่าอนาถมากเพียงใด อากาศยามค่ำคืนยิ่งดึกก็ยิ่งหนาวผมจึงเอาผ้าห่มพันรอบกายเปลือยเปล่าไว้ประมาณสามทบเห็นจะได้เหลือแค่หัวที่โผล่พ้นออกมา เพราะไร้เรี่ยวแรงขยับเขยื้อนผมก็เลยเอาแต่นอนขลุกอยู่ในผ้าห่มจนรุ่งเช้าเหมือนดักแด้รอวันโบยบินไม่มีผิด หากคุณคิดว่าสภาพท่อนล่างที่อวี๋ปินเห็นนั่นอนาถแล้วอยากให้ลองแพลนกล้องขึ้นมาด้านบนดูสักหน่อย ผมใช้ความพยายามอย่างมากในการถอดเสื้อผ้าอันเปียกปอนออกด้วยแขนเพียงข้างเดียว กางเกงขายาวถูกวางผึ่งไว้หัวเตียงเคียงคู่มากับกางเกงในตัวโปรดคล้ายกับปลาหมึกคู่พ่อลูกผูกพันกำลังตากแห้ง เนื่องด้วยข้อมือผมถูกล็อคติดลูกกรงเอาไว้ข้างหนึ่งผมจึงถอดเสื้อเชิร์ตออกไม่ได้เลยจำใจต้องปล่อยให้มันคาท่อนแขนทั้งที่เปียกไว้อย่างนั้น ไหนจะท่านอนที่ค่อนข้างพิสดารไม่สามารถพลิกตัวไปมาต้องนอนหงายนิ่งๆพร้อมยกแขนข้างหนึ่งไว้เหนือหัวตลอดคืนจนตะคริวกินรักแร้ ลองจินตนาการภาพไอ้เสือนักท่องราตรีรูปหล่อพ่อรวยนามว่าเซียวจ้านในสภาพที่กล่าวมาข้างต้นดูสิครับ ถ้าสาวๆได้มาเห็นผมสภาพนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอาหัวไปมุดที่ไหนดี

     

    “ปินอา~ ฉันอยากตายจริงๆนะ”

    “คุณชายอย่าพูดอย่างงั้นสิครับ”

    “เพราะเหล่าต้าของนายคนเดียวฉันถึงต้องมาอยู่ในสภาพนี้ โลกต้องจารึกว่านี่คือเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันตกอับที่สุดในชีวิต เหล่าต้าของนายน่ะใจร้ายที่สุด”

    “โธ่..คุณชาย เหล่าต้าไม่เคยแสดงอาการเกรี้ยวกราดกับใครง่ายๆ นี่ต้องเป็นเพราะคุณชายไปยั่วโมโหโดยการคิดหนีจากเหล่าต้าก่อน ปกติเหล่าต้าออกจะนุ่มนวลด้วยซ้ำไป”

     

    นุ่มนวลแบบไหนกันถึงสั่งให้สิงโตล่าเหยื่อโดยไร้ความปราณี

    นุ่มนวลแบบไหนกันถึงลากคนอื่นมาขังไว้ทั้งที่ไม่เต็มใจ

     

    “สรุปว่าฉันกลายเป็นคนผิดอย่างงั้นเรอะ เหอะ!! สิ่งที่ฉันเจอไม่ใกล้เคียงกับคำว่านุ่มนวลสักนิด”

    “คุณชายอย่าโกรธเหล่าต้าเลยนะครับ”

    “ไม่โกรธหรอก”ก็แค่สาปแช่งเขาตลอดทั้งคืนเท่านั้นเอง

    “เอาไว้อยู่ไปเรื่อยๆเดี๋ยวคุณชายก็จะค้นพบความดีของเหล่าต้าเหมือนที่ผมค้นพบ เหล่าต้าไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิดนะครับ เดี๋ยวอีกหน่อยคุณชายก็จะตกหลุมรั..”

    “เอาเถอะๆ อย่ามัวมาบรรยายสรรพคุณของเขาให้ฉันฟังตอนนี้เลย ฉันโดนจับล็อคไว้ทั้งคืนเมื่อยตัวจะแย่ เขาเลิกสั่งทำโทษฉันหรือยัง”

     

    ผมถอนหายใจเพราะเหนื่อยจะเถียงกับคนที่เทิดทูนเจ้านายไว้เหนือหัวอย่างอวี๋ปิน ทางที่ดีรีบตัดบทซะก่อนจะได้ยินถ้อยคำที่ไม่เข้าหู ไม่นานนักอวี๋ปินก็จัดการปลดล็อคกุญแจให้กับผมพร้อมช่วยพยุงร่างดักแด้ขึ้นมานั่งบนเตียง ทันทีที่เป็นอิสระผมก็รีบบิดขี้เกียจเพราะรอช่วงเวลานี้มาตลอดทั้งคืน 

     

    “เมื่อยชะมัดเลย ฮึบ~”

    “ทานหน่อยสิครับ คุณชายจะได้มีแรง”ผมบิดขี้เกียจไปได้สักพักอวี๋ปินก็หยิบยื่นถ้วยใส่น้ำสีค่อนข้างพิลึกมาตรงหน้าผมจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามไป

    “นี่อะไรเหรอ”

    “ยาบำรุงครับคุณชาย”

    “โอ้โหแฮะ อี้ป๋อจะใจดีขนาดส่งยาบำรุงมาให้นักโทษของเขาเชียว แบบนี้มันตบหัวแล้วลูบหลังกันชัดๆ”

     “ไม่ใช่คำสั่งเหล่าต้าครับ เป็นบริการพิเศษจากผมเอง เผื่อคืนนี้..เอ่อ..คุณชายอาจต้องเจอศึกหนักอีก”ผมไม่ทันเห็นว่าใครอีกคนอมยิ้มกรุ้มกริ่มไปกับคำว่าศึกหนักที่หมายถึง 

    “ขอบใจนะปินปิน มันคงได้ผลดีใช่ไหม”

    “ได้ผลดีเชียวล่ะครับ”

    “งั้นฉันจะทานให้เกลี้ยงเลย”

     

    อึก

     

    ผมเอาแต่นึกถึงสรรพคุณของยาบำรุงแนวกระทิงแดงอะไรทำนองนั้นพร้อมนึกภาพตัวเองกลายเป็นจาพนมทลายฝ่าวงล้อมหนีออกไปจากเขตแปดห้าจึงไม่คิดอะไรมากจัดการยกถ้วยขึ้นดื่มรวดเดียวหมด ช่างต่างจากอีกคนที่เอาแต่อมยิ้มมุมปากพลางขึ้นสีแก้มเป็นแดงเรื่อ ดูท่าเราสองคนจะตีความคำว่ายาบำรุงต่างกันจริงๆ

     

    ต้าซ้อดื่มหมดเกลี้ยงแบบนี้แสดงว่าศึกต่อไปคงหนักหนากว่าคืนที่ผ่านมา

    เหล่าต้าของเรานี่คึกคักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

    เล่นทำทุกคืนไม่ให้ต้าซ้อได้พักแล้วจะเอาเรี่ยวเอาแรงมาจากไหน

    ไม่ได้การล่ะต้องรีบไปเตรียมยาบำรุงเพิ่มให้เหล้าต้าสักหน่อย

     

    “อ๊า~ รสชาติแปลกๆแต่ก็ถือว่าใช้ได้”

    “รู้สึกดีขึ้นไหมครับ”

    “เหมือนตรงเอวที่ปวดจะดีขึ้นนิดหน่อยล่ะ”

    “เอ่อ..คุณชายปวด..ตะ..ตรงเอวเหรอครับ”อวี๋ปินเร่งสีอุณหภูมิข้างแก้มจนใกล้เคียงคำว่าสุกจัด..ก็ตรงเอวนั่นมันจุดยุทธศาสตร์สำคัญเลยนี่นา

    “ใช่น่ะสิ ฉันปวดเอวมากเลยคงเพราะเมื่อคืนโดนแรงไปหน่อย”คือผมหมายถึงโดนอี้ป๋อทั้งเหวี่ยงทั้งทุ่มลงเตียงแรงไปหน่อยแต่ไม่รู้อะไรดลใจเลือกรวบรัดคำให้เหลือแค่นั้น

    “โดน..ระ..รุนแรงเลยเหรอครับ มิน่าล่ะคุณชายถึงปวดช่วงเอวเป็นพิเศษ”อ่า..เขียนแนบเรทฉอฉิ่งตรงนี้ได้ไหมนะ

    “ฉันเชื่อแล้วว่าเหล่าต้าของนายฝึกหนักมาตั้งแต่เด็กจริงๆ คนอะไรแรงเยอะเป็นบ้า”

    “แฮะๆ งั้นครั้งหน้าผมจะเอายาบำรุงมาให้คุณชายเพิ่มเป็นสองถ้วยเลยนะครับ”

    “นายนี่ดีกับฉันจังเลยปินปิน”

    “ด้วยความเต็มใจครับ ผมเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ให้แล้ว อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงผมจะให้คนมาพาคุณชายไปห้องอาหาร ขอให้คุณชายเตรียมตัวให้เรียบร้อยนะครับ เหล่าต้ารอที่จะพูดเรื่องสำคัญกับคุณชายอยู่”

    “เรื่องสำคัญอะไรเหรอ”

    “เอาไว้ถึงเวลาคุณชายก็จะรู้เอง”

     

    พวกเราสองคนจบบทสนทนาลงเพียงเท่านี้เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดผมจึงแกล้งรับปากส่งๆไป ก่อนปิดประตูห้องลงอวี๋ปินก็ยังไม่วายลอบส่งยิ้มมาให้ผมอีกหนึ่งที ไม่รู้เจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะหรือแอบขำกับสภาพดักแด้ของผมไม่หายล่ะมั้ง

     

     



    [แชทกลุ่ม] ตั้งมาสักชื่อมันจะตายหรือไง


     

    BinBin > แจ้งประกาศข่าวด่วน!! 

    BinBin > รีบเตรียมยาบำรุงรอบใหม่ด้วยนะ ต้าซ้อกินยาบำรุงรอบเช้ารวดเดียวหมดเกลี้ยงเลย (แนบอีโมจิเขิน)


    ‘OMG!!’

    ‘ว่าแต่สภาพต้าซ้อเช้านี้เป็นยังไงบ้าง เมื่อคืนเห็นเหล่าต้าใช้กุญแจมือด้วยนี่’

    ‘ใช่ๆ’


    BinBin > ไม่ต้องห่วงหรอก ต้าซ้อยังปลอดภัยดีทุกประการ แต่ว่า..


    ‘อย่ามาพิมพ์จุดแล้วเงียบหายนะ’

    ‘คนเขารอเผือกกันอยู่หลายชีวิต’


    BinBin > ปินจะบอกว่า..


    ‘ว่า??’


    BinBin > ถึงต้าซ้อจะปลอดภัยดีแต่ว่าบ่นปวดเอวเป็นพิเศษ อีกอย่างสภาพตอนตื่นต้าซ้อก็เอาตัวมุดอยู่ใต้ผ้าห่มท่าทางอิดโรยน่าดู


    ‘อุ๊บบบบบส์!!’

    ‘กดอีโมเขินรัวๆ’


    BinBin > และที่สำคัญร่างของต้าซ้อใต้ผ้าห่มนั้นอยู่ในสภาพเปลือยกายล่ะทุกคน (แนบอีโมจิเขิน)


    ‘กดปุ่มกรี๊ดตรงไหนคะ’

    ‘OMG!!’

    ‘OMG!!’

    ‘OMG!!’

    ‘บ้าชะมัดนี่เราหุบยิ้มไม่ได้!!’

    ‘เห็นเหล่าต้าเงียบๆไม่ยักรู้ว่าจะไวไฟขนาดนี้’

    ‘ไปทำอีท่าไหนต้าซ้อถึงปวดเอวได้น้า’

    ‘ก็เล่นใช้กุญแจมือมาเป็นอุปกรณ์ช่วยจะไม่ให้ต้าซ้ออิดโรยยังไงไหว’

    ‘ใครมีหน้าที่เตรียมยาบำรุงรีบปรุงแบบด่วนๆ’

    ‘ทางด้านนี้กลัวเหลือเกินว่าต้าซ้อจะขาดใจซะก่อนถึงวันเข้าพิธีประทับตราพันธะ’

    ‘แต่ถ้าได้ขาดใจคาอกเหล่าต้าก็คุ้มนะพวกเธอ’

    ‘อุ๊บบบบบส์!!’

    ‘อกขาวๆที่กำลังจะมีเจ้าของสินะ’

    ‘เขินแทนต้าซ้อไม่ไหวแล้ว’

    ‘ไปๆแยกย้ายกันทำงานอย่ามัวแต่อู้ ค่อยมาเผือกต่ออีกวัน’


    BinBin > ถ้ามีความคืบหน้ายังไงจะมารายงานให้รับทราบโดยทั่วกัน ขอบคุณทุกคนที่ร่วมแบ่งปันความฟิน  

    BinBin > ว่าแต่ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเปลี่ยนชื่อกลุ่มเป็นเรท20+??



     

    “ฮัดชิ้ว!!”

     

    อากาศเมื่อคืนคงเย็นเกินไปหน่อย

    หรือไม่ผมก็คงถูกใครบางคนกำลังนินทาอยู่

     

    เมื่ออวี๋ปินปิดประตูลงดักแด้เซียวจ้านก็เริ่มทำการคลี่ตัวออกจากผ้าห่มจนสำเร็จก่อนจะรีบตรงดิ่งเข้าห้องน้ำทันทีเพราะรู้สึกเหนียวตัวจะแย่ ร่างบางกระโดดแช่น้ำอุ่นในอ่างอย่างสบายใจ เมื่อจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยก็เพิ่งมีเวลาได้สังเกตข้าวของที่อวี๋ปินจัดเตรียมให้ ปกติอี้ป๋อมักจะใส่เสื้อด้านในแบบเรียบๆแล้วเน้นสวมทับด้วยชุดคลุมตัวยาว บ้างก็เป็นชุดหนังบ้างก็เป็นชุดสีแตกต่างกันแต่ที่เหมือนคือรอยปักสลักลวดลายตราประจำตระกูลอันอลังการตรงคอปกเพื่อแสดงฐานะของเจ้าตัว อีกทั้งเขายังชอบใส่กางเกงพร้อมรองเท้าหนังสุดเท่ตามสไตล์เจ้าพ่อทำให้ผมนึกถึงภาพตัวละครนีโอในหนังเดอะเมทริกซ์ยังไงอย่างงั้น(ขาดก็แต่แว่นดำกับท่าหลบกระสุนปืนในตำนานอ่ะนะ) ส่วนลูกน้องของเขามักจะใส่แค่ชุดสูทสีขาวดำธรรมดาทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษ มันช่างต่างจากสไตล์การแต่งตัวของผมซึ่งเลือกใส่กางเกงยีนส์ขาดบ้างไม่ขาดบ้างกับเสื้อเชิร์ตคอลึกสีสันสดใสลุคเซอร์ๆแต่ดูดีมีระดับ ผมเดาเอาว่าอี้ป๋อคงสั่งให้ลูกน้องคอยจัดเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่แบบที่เหมาะกับสไตล์ของผมโดยเฉพาะเพราะดูยังไงกองเสื้อที่วางตรงหน้าก็ดูไม่น่าจะมีอยู่ในตู้เสื้อผ้าของเขาเป็นแน่

     

    ใส่ใจคนอื่นเป็นเหมือนกันแฮะ

     

    ผมลอบอมยิ้มไปกับการกระทำเรียบง่ายทว่าแฝงไว้ด้วยความใส่ใจ ไม่รู้หรอกว่าเขาทำแบบนี้กับแขกที่เข้ามาพักทุกคนหรือเปล่า อันที่จริงไม่จำเป็นต้องนำเสื้อผ้ายี่ห้อแพงๆมาให้ผมเลือกก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องทนแต่งตัวเหมือนลูกน้องเจ้าพ่อผมก็พอใจไม่คิดเกี่ยง ข้อมือบางสาละวนหยิบกางเกงในยี่ห้อที่แพงสุดจากในกองมาใส่เพื่อไม่ให้เป็นการทำลายน้ำใจของเขามากนัก ขณะเดียวกันผมก็ไล่สายตาดูโทนสีของเสื้อเชิร์ตไปด้วย ใช้เวลาอยู่พักใหญ่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจหยิบเอาเสื้อเชิร์ตสีขาวตัวหนึ่งขึ้นมา ผมถูกใจมันเพราะว่าเสื้อตัวนี้แม้เป็นสีเรียบแต่กลับปักลายสิงโตสีทองตัวใหญ่พาดกลางอกข้างซ้ายดูสง่าน่าเกรงขามจึงเลือกให้มันมาเป็นชุดคู่ใจ นัยหนึ่งผมคิดเผื่อว่าสิงโตบนเสื้อที่ผมใส่อาจช่วยข่มเจ้าสิงโตลูกรักของเขาลงได้บ้าง หลังจากทุกอย่างลงตัวผมก็ลองส่องกระจกซ้ายทีขวาทีจึงได้พบความจริงว่าไม่มีมุมไหนเลยที่ความหล่อของผมนั้นลดน้อยลง

     

    ค่อยยังชั่วหน่อย

    แบบนี้ดีกว่าร่างดักแด้เซียวจ้านรอความตายบนเตียงตั้งเยอะ

    ขอบคุณห้องเสื้อหวังอี้ป๋อที่เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ในวันนี้

    หวังว่าจะไม่เรียกเก็บบิลกันทีหลังนะ

     

    ฟุบ

     

    คงเพราะเข็ดกับการคิดหนีเมื่อแต่งตัวเสร็จผมจึงเฝ้ารอเวลาให้คนของเขามาตามด้วยการนั่งๆนอนๆกลิ้งเล่นไปมาบนฟูกสัมผัสนุ่ม ผมยังไม่คิดจะทำอะไรโง่ๆในตอนนี้หรอกนะ อย่างน้อยก็จนกว่าตัวเองจะคิดแผนที่รัดกุมกว่าเมื่อคืนได้ก็แล้วกัน

     

    กุกกัก

     

    “มาแล้วเหรอ ท้องร้องเพราะโหยหาข้าวเช้าจะแย่”

     

    หลังจากผมรอจนเปื่อยในที่สุดคนของเขาก็มาสักที ความหิวทำให้ฝีเท้าหนักรีบสาวยาวๆถึงหน้าประตูก่อนที่ข้อมือบางจะออกแรงเปิดมันออก ใครจะไปรู้ล่ะว่าการกระทำนั้นถือเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์เลยทีเดียว

     

    “.......”

    “ปะ..เป็นแกอีกแล้วเหรอ!!”

     

    หลังบานประตูถูกเปิดอ้าผมก็ได้พบกับเจ้าของนัยน์ตาคมเข้มซึ่งมีดีกรีเป็นถึงลูกรักของอี้ป๋อเข้าทันที เมื่อตามองตา..สายตาก็จ้องมองกันรู้สึกเสียวซ่านในใจ ~ ผมเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึงเพราะคิดไม่ถึงว่าหมอนั่นจะกล้าเอาสิงโตมาเฝ้าถึงหน้าประตูห้องอย่างที่เคยแกล้งแหย่ไปเมื่อคืน และแล้วผมก็ได้รู้ว่าต่อให้ใส่เสื้อเชิร์ตลายสิงโตเท่าสวนสัตว์เขาดินก็ไม่อาจข่มเพื่อเอาชนะเจ้าสิงโตตัวจริงที่อยู่ตรงหน้าของผมได้

     

    มิน่าล่ะ

    ทั้งโถงทางเดินรวมถึงบานประตูทั่วคฤหาสน์ดูกว้างขวางชอบกล

    ที่แท้ก็เอาไว้รองรับเผื่อลูกๆของเขานึกอยากมาวิ่งเล่นนี่เอง

     

    หวังอี้ป๋อ!!

    ตกลงนายจะสร้างบ้านหรือสร้างสวนสัตว์กันแน่!!

     

    สัญชาตญาณเอาตัวรอดโดยอัตโนมัติสั่งการให้ผมรีบปิดประตูลงแต่ดูเหมือนความไวของเจ้าป่าจะเหนือชั้นกว่า คู่อริเก่าซึ่งเพิ่งปะทะกันไปเมื่อคืนแท้ๆทำการพุ่งกระโจนเข้ามาในห้องทันทีทั้งที่ผมยังไม่ได้ส่งบัตรเชิญ

     

    ฉับ!!

     

    “เหวออ!!”

     

    ตุบ!!

     

    ผมถูกน้ำหนักอันมหาศาลของมันล้มทับเข้าให้จนไม่อาจฝืนทรงตัวอยู่จึงหงายหลังลงไปกองกับพื้นหมดสภาพ ผมรีบหลับตาปี๋เตรียมรอรับคมเขี้ยวที่จะเกิดขึ้นบริเวณลำคอหรือไม่แน่ก็อาจจะเป็นท่อนเนื้อตำแหน่งไหนสักที่ตามแต่เจ้าสิงโตจะเลือกสรร ไม่รู้ว่าผมดันไปทำเวรทำกรรมอะไรเอาไว้ถึงได้มีจุดจบสุดอนาถใจเกินบรรยาย 

     

    หรือว่าอี้ป๋อจะลืมให้อาหารลูกๆของเขามันถึงได้โหยหาเนื้อชั้นดี

    ถ้าหากการตายของผมสามารถต่อชีวิตพวกมันได้ก็ถือว่าทำบุญให้สัตว์ผู้ยากไร้แล้วกัน

    ยังไงก็ช่างขอฝากพลิกกางเกงในที่ตากแห้งบนหัวเตียงที

    เนื้อผ้าดีขนาดนี้หากผมไม่มีโอกาสได้ใส่มันอีกก็ขอให้เขาช่วยบริจาคเผื่อแผ่ผู้ด้อยโอกาสสักคน

    หรือเขาอยากเอากางเกงในผมไปใส่เองก็ไม่ว่ากัน

    ถ้าหากเป็นเช่นนั้นผมจะได้กลายเป็นวิญญาณคอยทวงค่ากางเกงในจากเขาทุกคืนไม่ไปผุดไปเกิดเลยคอยดู

     

    หงิงๆ

     

    ระหว่างที่ผมกำลังคิดฟุ้งซ่านในหัวไปเรื่อยเปื่อยก็สัมผัสได้ถึงเสียงครางเบาๆบริเวณข้างใบหู ด้วยความแปลกใจผมจึงสะบัดหัวไล่ความคิดต่างๆพลางลืมตาขึ้นมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้า เจ้าสิงโตตัวเดิมที่ผมเคยเห็นคมเขี้ยวของมันขย้ำเหยื่อมาแล้วกลับเปลี่ยนไปราวกลายเป็นคนละตัว นอกจากมันจะไม่ได้ทำอันตรายหรือขีดข่วนร่างกายผมแม้แต่ปลายเล็บ มันยังฉวยโอกาสเลียใบหน้าของผมเสมือนเป็นแค่ลูกแมวเชื่องๆตัวหนึ่งที่กำลังเข้ามาอ้อนเจ้าของเท่านั้น

     

    หงิงๆ

     

    “แฮะๆ..นี่แกกำลังชวนฉันเล่นเหรอ”

     

    หงิงๆ

     

    “ฉันว่าสถานการณ์ตอนนี้มันแปลกมาก ถ้าแกไม่ได้เมายาก็คงอารมณ์ดีอยู่ใช่ไหมล่ะ”

     

    หงิงๆ

     

    “จะว่าไปพอแกไม่ได้แยกเขี้ยวก็ดูเชื่องดีเหมือนกันนะ”

     

    ผมลองเชิงเจ้าสิงโตอยู่พักใหญ่จึงตัดสินใจลูบหัวมันเบาๆเพื่อเจรจาขอสงบศึก มันเข้ามาคลอเคลียรอบใบหน้าของผมจนรู้สึกจั๊กจี้ขึ้นมา ใครจะเชื่อว่าผมกำลังหัวเราะให้กับสัตว์ที่เคยนึกหวาดกลัวนักหนา รู้แล้วล่ะว่าทำไมอี้ป๋อถึงได้เลี้ยงสิงโตเอาไว้ในบ้านแบบไม่ขังคงเพราะเวลาปกติตอนพวกมันไม่ได้ออกล่าเหยื่อก็ดูไม่มีพิษมีภัยกับใคร หนำซ้ำยังดูเป็นมิตรกว่าแมวที่ชอบกระโดดข่วนทีเผลอซะอีก

     

    “เอาล่ะทีนี้ออกไปจากตัวฉันได้แล้ว ถึงฉันจะเริ่มมองว่าแกน่ารักก็ไม่ได้หมายความว่าน้ำหนักตัวของแกจะลดลงนะ”

     

    หงิงๆ

     

    “ฉันแปลภาษาแกไม่ออกหรอกแต่จะเดาว่าแกกำลังบ่นเจ้าของให้ฉันฟังก็แล้วกัน ทำไมล่ะ อี้ป๋อไม่ค่อยเล่นกับแกเลยใช่ไหมถึงต้องมาหาเพื่อนใหม่ เอางี้ดีไหมถ้าฉันยอมเล่นด้วยแกต้องสัญญามาว่าจะไม่เชื่อฟังคำสั่งเจ้านายคนเก่าและไม่แยกเขี้ยวใส่ฉันเหมือนเมื่อคืนอีก”

     

    …….

     

    “ฉันมีเนื้อก้อนโตให้แกด้วยน้า รับรองว่าเนื้อที่ฉันให้ต้องแพงกว่าที่อี้ป๋อให้แกตั้งเยอะ ไม่สนใจข้อเสนอของฉันหน่อยเหรอ”

     

    …….

     

    อะไรจะเชื่อฟังเจ้าของปานนั้น

    ทำไมผมพยายามติดสินบนใครก็ไม่สำเร็จทุกที

    อี้ป๋อสั่งสอนคนของเขายังไงกันนะ

    ทั้งคน(อวี๋ปิน)ทั้งสัตว์(สิงโต)ถึงได้ภักดีต่อเขาคนเดียว

     

    “โอเคๆฉันยอมแพ้ งั้นเอาไว้ถ้าฉันดื้อเมื่อไหร่แกค่อยมาแยกเขี้ยวใส่แต่ถ้าฉันไม่ดื้อแกห้ามมาขู่กันนะ เราหนึ่งคนกับหนึ่งตัวจะต้องเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตกลงไหม”

     

    หงิงๆ

     

    เออแฮะ

    ผมค้นพบความสามารถใหม่นั่นคือการพูดคุยกับสิงโตรู้เรื่อง

    เก่งไม่เบานะเซียวจ้าน

     

    “เชื่อฟังแบบนี้น่ารักมาก ไหนขอมือหน่อยสิเจ้า..เอ่อ..เลอา”

     

     

    “นะ..นาย..ชะ..ช่วยไล่มันไปที”

    “เก่งมาก เลอา..ธีออน”

     

     

    อยู่ดีๆน้ำเสียงของอี้ป๋อยามเรียกชื่อลูกรักทั้งสองก็ลอยเข้ามาในหัวทำให้ผมนึกถึงชื่อของพวกมันได้รางๆ..เลอากับธีออนงั้นสินะ แม้ทั้งคู่จะเป็นสิงโตดุร้ายในช่วงเวลาการออกล่าเหยื่อแต่ถ้าพูดถึงความแตกต่างของพวกมันที่พอเห็นอย่างเด่นชัดนั่นคือตัวหนึ่งเป็นเพศผู้ส่วนอีกตัวคือเพศเมีย คนฉลาดอย่างผมเดาไม่ยากหรอกว่าเจ้าตัวที่กำลังอ้อนอยู่ตรงหน้าต้องมีชื่อว่าเลอาแน่นอนเพราะมันไม่มีแผงคอซึ่งเป็นลักษณะของสิงโตเพศเมีย ดูเหมือนอี้ป๋อจงใจส่งลูกรักตัวที่ดุร้ายน้อยกว่า(?)มาหาผมโดยเฉพาะและไม่แน่ว่าลูกรักอีกตัวอาจกำลังรอผมอยู่ที่ห้องอาหารก็เป็นได้

     

    “แกชื่อเลอาใช่ไหม แกเป็นตัวเมียนี่นา”

     

    หงิงๆ

     

    “ใช่ๆ” (วุ้นแปลภาษาฉบับเซียวจ้าน)

     

    “งั้นต่อจากนี้ฉันจะเรียกแกว่าเลอานะ ฉันหิวแล้วล่ะเลอา ช่วยนำทางฉันไปห้องอาหารทีสิ”

     

    โฮกก

     

    เลอาคำรามเบาๆเพียงแค่ครั้งเดียวก็ยอมลุกออกจากตัวผมเหมือนฟังภาษามนุษย์รู้เรื่อง หรือไม่งั้นก็คงเป็นผมเองนั่นแหละที่มีความสามารถในการคุยภาษาสัตว์ได้ พวกเราเดินเคียงข้างกันไปตลอดทางจนในที่สุดเลอาก็พาผมมาหยุดหน้าห้องอาหารอันคุ้นเคย บริเวณหน้าประตูนั้นผมก็ได้พบเข้ากับเจ้าสิงโตหนุ่มอีกตัวซึ่งมีแผงคออันแสนสง่าเป็นเอกลักษณ์เฝ้ารออยู่ ตัวนี้แหละคงจะเป็นธีออนไม่ผิดแน่ ดูเหมือนธีออนกำลังทำหน้าที่ฝึกลับคมเล็บด้วยการข่วนพรมบนพื้นคล้ายกิจวัตรของแมวธรรมดาทั่วไป ผมอดหัวเราะเบาๆกับตัวเองไม่ได้เพราะภาพความประทับใจแรกเจอระหว่างเรามันช่างต่างจากภาพที่เห็นตรงหน้าโดยสิ้นเชิง ใครจะไปคิดว่าเจ้าสิงโตผู้ดุร้ายกลับเชื่องขึ้นมาเหมือนลูกแมวในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน เมื่อสิงโตทั้งสองตัวได้กลับมาเจอหน้าพวกมันก็ย่ำเท้าเข้าหาเพื่อคลอเคลียซึ่งกันและกัน ที่แท้ความสัมพันธ์ของพวกมันก็เปรียบดั่งคู่สามีภรรยาไม่ใช่พี่น้องหรือสหายร่วมศึกอย่างที่ผมคิดเอาไว้ในทีแรก 

     

    แม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงยังชิงมีคู่ครองก่อนเจ้าของซะอีก

    น่าสงสารหวังอี้ป๋อจริงๆแฮะ

    ชีวิตนี้จะมีใครทำให้เขาได้ลงจากคานไหมนะ

    อยากรู้จัง

     

    ผมไม่คิดอยู่รบกวนเวลาสวีทของพวกมันนานนักหรอกจึงตัดสินใจเปิดประตูเข้าห้องอาหารปล่อยให้พวกมันได้คลอเคลียกันสองตัวจนหนำใจ กลิ่นซุปข้าวโพดหอมอ่อนลอยแตะจมูกดึงความสนใจให้ผมหันมองพร้อมกับเสียงร้องในท้องที่ดังขึ้นราวกับรอเวลานี้แสนเนิ่นนาน 

     

    ในที่สุด..

    หลังจากการต่อสู้อันหนักหน่วงเมื่อคืน

    ถึงเวลาเติมอาหารให้พุงกางสักที

     

    ใช้เพียงไม่กี่ก้าวผมก็เดินมาประจำที่ของตนกะว่าจะไม่รอเจ้าบ้านเพราะท้องของผมโหยหาอาหารมากเหลือเกิน อยู่ดีๆความคิดอันชั่วร้ายแวบหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวซะก่อน ผมอมยิ้มเจ้าเล่ห์ซุกซนพลางมองไปยังเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้ามกัน

     

    “ซุปข้าวโพดอย่างงั้นเหรอ น่าสนใจดีแฮะ”

     

    ฟุดฟิด

     

    คงเพราะเมื่อคืนอี้ป๋อลากผมขึ้นจากน้ำแถมยังปล่อยให้ผมต้องอยู่ในสภาพเปียกปอนจนถึงรุ่งเช้า ร่างกายที่เคยแข็งแรงเลยเกิดการต่อต้านเอาดื้อๆ ผมทำจมูกฟุดฟิดไปมาอยู่หลายทีเพื่อเร่งเอาสารอันเหนียวข้นหรือที่เรียกกันภาษาเข้าใจง่ายว่าน้ำมูกนั่นแหละ เมนูอาหารเช้าวันนี้ดันมีลักษณะคล้ายกันซะด้วยสิ อยากรู้นักว่าคนฉลาดแบบเขาจะสามารถแยกออกไหมระหว่างรสชาติของซุปข้าวโพดกับรสชาติน้ำมูกของผม

     

    เผลอๆอาจจะอร่อยทั้งคู่

    แค่คิดก็สนุกแล้ว

    แกล้งนิดหน่อยคงไม่ถึงตายหรอกมั้ง

    ถือว่าเอาคืนเรื่องที่ทำให้ผมปวดเอวไม่หายก็แล้วกัน

     

    ฟุดฟิด

     

    ฉับ!!

     

    ผมเกือบดีดตัวกลับมานั่งยังเก้าอี้ของตัวเองไม่ทันเพราะขณะลอบวางน้ำมูกในชามซุปข้าวโพดอยู่นั้นอี้ป๋อก็ดันเปิดประตูเข้ามาพอดี ดวงตาคมจ้องมองท่าทีพิรุธของผมด้วยความสงสัยผมจึงใช้รอยยิ้มกระต่ายน้อยกลบเกลื่อนแผนการชั่วของตัวเอง 

     

    “อรุณสวัสดิ์ยามเช้า นายมาก็ดีแล้ว เชิญนั่งสิ”ประโยคนั้นมันควรจะเป็นเจ้าบ้านพูดไม่ใช่เหรอเซียวจ้าน

    “.......”

    “เอ่อ..คือฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรเลยนะ”แล้วผมจะรีบร้อนตัวทำไมกันเนี่ย

    “.......”

    “หมายถึงฉันยังไม่ได้แตะอาหารสักคำ เราต้องรอกินพร้อมกันถูกไหมล่ะ”

    “.......”

    “แฮะๆ”

     

    อี้ป๋อไม่ได้ตอบอะไรผมเลยแต่กลับเลือกจะเดินมานั่งประจำที่ของตัวเองแบบเงียบๆทำเอาผมลอบถอนหายใจไปหนึ่งที ไม่รู้ผมนั้นคิดไปเองหรือเปล่าว่าชุดที่เขาใส่วันนี้ช่างดูคล้ายคลึงกับชุดของผมซะเหลือเกินเหมือนเดินออกมาจากตู้เสื้อผ้าเดียวกัน เสื้อคอเต่าสีขาวประกอบรับกับชุดคลุมสีอ่อนตัวยาวปักประดับลายสิงโตทองพาดตรงคอปกเสริมบุคลิกให้ดูสุขุมมากกว่าเดิม เครื่องหน้าของเขาไม่จำเป็นต้องแต่งอะไรเยอะแยะก็ยังดูหล่อราวกับรูปปั้นที่เดินได้ ผมนึกแปลกใจตัวเองอยู่หลายทีว่าทำไมชอบเผลอใจเต้นแรงเวลาได้แอบชื่นชมเขาอยู่ในใจ 

     

    “มองอะไร”

    “หืมม ห๊ะ..อ้อ..เปล่านี่”

     

    ผมรีบปฏิเสธทันควันหลังจากรู้ตัวว่าเผลอจับจ้องชามตรงหน้าเขามากเกินไปหน่อย ด้วยความกลัวจะเผยพิรุธผมจึงรีบตักซุปข้าวโพดเข้าปากไม่นึกอยากสนทนาคำใดทั้งนั้น อี้ป๋อคนช้อนในชามไปมาพลางใช้ความคิดชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นยืนและเปลี่ยนเป็นทำน้ำเสียงโอนอ่อนเล่นเอาคนฟังขนลุกวาบไปทั้งตัว

     

    “จริงสิ พวกเรายังไม่มีโอกาสได้คุยกัน”

    “คุยอะไรเหรอ”

    “ฉันอยากขอโทษนาย”

    “.......”

    “เซียวจ้านอ่า..”

     

    แค่กๆ!!

     

    ผมเกือบสำลักหลังจากได้ยินชื่อตัวเองที่หลุดออกมาจากปากของเขา อี้ป๋อส่งยิ้มหวานขณะเคลื่อนกายเดินตรงเข้าหาตัวผมจนเมื่อถึงตำแหน่งเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่เขาก็หยิบยื่นชามซุป(น้ำมูก)มาให้

     

    “ฉันอาจจะทำรุนแรงกับนายไปหน่อย ขอโทษนะ”

    “เอ่อ..”

    “ฉันขอมอบอาหารจานนี้เพื่อเป็นการแสดงความสำนึกผิดต่อเรื่องเมื่อคืน เห็นนายกินอาหารของฉันด้วยความอร่อยฉันก็ดีใจ หวังว่านายจะไม่ถือโทษโกรธกัน”

    “อ้อใช่ มันอร่อยมาก”หมายถึงชามของผมคนเดียวอ่ะนะ

    “อร่อยเหรอ งั้นก็กินให้หมดสิ”

    “ตะ..แต่..ฉันจะกล้าแย่งชามของนายได้ยังไง นายกินไปเถอะ เรื่องเมื่อคืนฉันไม่ได้ถือโทษโกรธนายเลยสักนิด แค่เราทำดีต่อกันก็พอแล้ว”

    “มันจะไปพอได้ยังไงเซียวจ้าน ถ้านายปฏิเสธก็แสดงว่านายไม่ยอมรับคำขอโทษจากฉัน”อยู่ดีๆทำไมอี้ป๋อถึงเข้าสู่โหมดอ่อนโยน มีใครไปตั้งเวลาเอาไว้หรือเปล่านะ

    “คือฉัน..นายเล่นแบบนี้ฉันตั้งตัวไม่ค่อยทัน”ผมทำทีอึกอักไม่กล้าบอกความจริง จะให้ผมพูดได้ยังไงว่าชามของเขานั้นมันมีน้ำมูกของผมซ่อนอยู่

    “หรือว่า..”ร่างสูงโน้มตัวลงมาใกล้ขณะที่ใช้มือข้างหนึ่งยันโต๊ะส่วนอีกข้างยันผนักเก้าอี้กักขังให้ผมไร้หนทางหลบหนี

    “หืออ”

    “หรือว่านายอยากให้ฉันป้อน”

     

    ผมถูกดวงตาคมสะกดเอาไว้พร้อมด้วยน้ำเสียงฉายแววจริงจังกระซิบผ่านบริเวณข้างใบหู เพียงแค่นั้นก็ทำเอาผมขนลุกชูชัน(ไอ้นั่นก็ชัน)ไปทั้งตัว ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่นึกกลัวแผนชั่วย้อนกลับมาเล่นงานจึงรีบส่ายหน้าปฏิเสธพัลวัน ดูเหมือนอี้ป๋อจะไม่ฟังคำขอร้องผ่านแววตาของผมเลยสักนิด ข้อมือหนาจัดแจงตักซุป(น้ำมูก)คำโตมาจ่ออยู่ตรงปากเตรียมท่าจะยัดมันเข้ามาในร่างกายของผมให้ได้ วินาทีนี้ต่อให้เป็นตายร้ายดียังไงผมก็จะไม่มีวันกินน้ำมูกของตัวเองเป็นอันขาด

     

    “เซียวจ้าน นายอ้าปากสิ”

    “อ้างไอ้อ้อไอ่อิน!!”(จ้างให้ก็ไม่กิน!!)

    “เมื่อกี้นายยังทำท่าอร่อยอยู่เลย อิ่มแล้วหรือไง”

    “ไอ้ๆ อันอิ่มแอ้ว”(ใช่ๆ ฉันอิ่มแล้ว)

    “แต่เมื่อคืนนายใช้พลังไปเยอะเพราะฉะนั้นนายก็ต้องกินเยอะๆเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดหาย”

    “อ้อออกอ้าไอ่อินโอ้ยยยย!!”(ก็บอกว่าไม่กินโว้ยยยย!!)

    “เซียวจ้าน”

    “อื้ออ”

    “นายจะยอมกินเองดีๆหรือต้องให้ฉันง้างปากนายออกมา”

    “ไอ้คนชั่ว!! ใครมันจะไปกล้ากินน้ำมูกตัวเองลงเล่า!!”

     

    เซียวจ้านเอ้ยย!!

    ในที่สุดก็เผลอหลุดปากจนได้

     

    ผมรีบยกสองมือขึ้นมาปิดปากเจ้ากรรมที่ดันร้อนรนจนเผลอโพล่งแผนการชั่วออกไปซึ่งหน้า พออี้ป๋อคาดคั้นความจริงจากผมเสร็จไอ้รอยยิ้มหวานเมื่อครู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มร้ายของเจ้าพ่อมือสังหารในชั่วพริบตา 

     

    “หึ..สารภาพแล้วสินะ”

    “ฉะ..ฉันขอโทษ ก็แค่ขอเอาคืนหน่อยเดียวเอง อย่าลืมสิว่านายจับขังฉันเอาไว้ ฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายโกรธ”

    “นั่นเพราะนายคิดหนีไปจากฉันก่อน นายจะเอาคืนยังไงก็ได้แต่การหลอกให้ฉันกิน..นี่มัน..”

    “เอาน่าๆ ยังไงนายก็โชคดีที่ไม่ทันได้กิน งั้นถือว่าพวกเราเสมอกัน ตกลงไหม”

    “ไม่ตกลง”

    “อี้ป๋อ ไหนเมื่อกี้นายบอกว่าอย่าถือโทษโกรธกันไงเล่า ฉันว่าเรามาเจรจาสงบศึกกันดีกว่า”

    “.......”

     

    แววตาน่าสงบด้วยมากเลย

     

    “นะนะ ฉันสัญญาว่าจากนี้จะไม่หลอกให้นายกินน้ำมูกอีกแล้ว”ผมเอานิ้วไขว้หลังเรียบร้อยถือซะว่าถ้อยคำเมื่อกี้ไม่เคยพูดไป

    “กับคนอย่างนายน่ะเหรอ ฉันคงต้องขอคิดดูอีกที”

    “คนอย่างฉันมันทำไมหวังอี้ป๋อ”

    “คนอย่างนายน่ะเซียวจ้าน”

    “.......”

    “คนอย่างนาย..”

     

    ผมรีบหลับตาปี๋เมื่อเห็นอีกคนทำท่ากำหมัดมาตรงหน้า ดูเหมือนมุกหลอกล่อด้วยวาจาจะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปเพราะอี้ป๋อคงนึกโกรธผมเข้าให้จริงๆ

     

    หมัดของเจ้าพ่อนี่จะแรงแค่ไหนกันนะ

    เซียวจ้านเอ้ยย

    ไม่น่าคิดแผนกระตุกหนวดเจ้าพ่อเลยเรา

     

    “.......”

    “ตัวซน”

     

    แหมะ~

     

    นิ้วเรียวออกแรงเพียงเล็กน้อยแปรเปลี่ยนจากท่ากำปั้นกลายมาเป็นท่าดีดเหม่งแทน ผมส่งเสียงร้องพอเป็นพิธีก่อนจะลูบหน้าผากตัวเองเบาๆเมื่อถูกอีกคนหลอกให้นึกกลัวไปไกลล่วงหน้าเกินกว่าความเป็นจริง

     

    โธ่เอ้ยย

    ที่แท้ก็แค่ดีดเหม่ง

    ทำท่าดุไปงั้นเองหรอกเหรอ

     

    “กินข้าวให้เรียบร้อย หลังมื้ออาหารเรามีเรื่องต้องพูดกันอีกยาว ในระหว่างนี้ถ้านายยังไม่หยุดซนล่ะก็..”

    “นายจะดีดเหม่งฉันอีกหรือไง”

    “ใช่”

    “เหอะ นึกว่ากลัวตายล่ะ”เจ็บเท่ามดกัดใครจะไปกลัวเล่า

    “ดีดเหม่งน่ะใช่แต่ดีดด้วยปากฉันนะ อยากลองไหม”

    “.......”

     

    ประโยคสุดท้ายเขาเอ่ยออกมาเสียงเรียบแต่กลับมีพลังทำให้ผมยอมปิดปากตัวเองแล้วจัดการอาหารตรงหน้าไม่คิดเล่นซนอีก ใครจะไปอยากท้าทายอำนาจเจ้าพ่อ(ถึงแม้จะท้ามาหลายทีแล้วก็เถอะ) อีกอย่างผมน่ะไม่ชอบเวลาที่คนอื่นมาแสดงท่าทีเหนือกว่า คนอย่างเซียวจ้านต้องเป็นฝ่ายรุกก่อนเท่านั้นไม่งั้นก็เสียเชิงชายแย่น่ะสิ

     

    ว่าแต่..เรื่องที่ถูกแกล้งเขารู้ได้ไงกันนะ

    รวมถึงเมื่อคืนที่ผมวางแผนหลบหนีก็ด้วย

    ดูเหมือนทุกการกระทำแม้เพียงเล็กน้อยของผมจะตกอยู่ในสายตาคู่นั้นตลอดเวลา

    การอยู่ใกล้ผู้ชายอย่างหวังอี้ป๋อนับเป็นเรื่องที่อันตรายจริงๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

     











     

     

     

     

     

    หลังจากมื้ออาหารเสร็จสิ้นอี้ป๋อก็นำทางผมมายังห้องทำงานส่วนตัวโดยไม่ลืมจะพกลูกรักมาเฝ้าถึงหน้าประตูเพื่อกันนักโทษคิดหลบหนี ผมลอบเบ้ปากใส่เขาฐานที่ชอบกล่าวหากันตลอดเวลา ใครจะไปคิดแผนหลบหนีตอนกลางวันแสกๆกันล่ะ ผมทำตัวน่าสงสัยขนาดนั้นเชียวเหรอเขาถึงได้คอยระแวง ก่อนเดินตามคนร่างสูงเข้าห้องไปผมจึงถือโอกาสแอบลูบหัวเจ้าเลอากับธีออนคนละทีเพื่อหวังเชื่อมความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น เผื่อวันไหนมันอยากรับใช้นายคนใหม่จะได้มีชื่อผมโผล่ขึ้นมาเป็นตัวเลือกแรก

     

    “เซียวจ้าน”อี้ป๋อส่งเสียงเรียกเบาๆเชิงตำหนิเพราะผมมัวแต่ชักช้า เขาปรายตามองมาเล็กน้อยอย่างแปลกใจ

    “รู้แล้วน่า”ไม่นานนักผมก็ต้องจำใจเดินตามคนหน้าบึ้งเข้าไปในห้องและเมื่อประตูปิดลงผมก็ถูกรัวคำถามชุดใหญ่ทันที

    “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เลอายอมให้นายลูบหัวแล้วก่อนหน้านั้นนายชวนเลอาคุยอะไรบ้าง”

    “ก็ตั้งแต่เราเจอกันหน้าประตูห้องน่ะสิ อ๊ะๆ นายจะมามองฉันแบบนั้นไม่ได้นะ ลูกสาวนายต่างหากที่เป็นฝ่ายชวนฉันคุยก่อนแถมยังกระโดดใส่เหมือนอยากเล่นด้วย ถึงฉันจะชอบสาวๆมากแค่ไหนแต่ก็ไม่โง่คิดจะจีบสิงโตผู้เปรียบดั่งลูกสาวของเจ้าพ่อหรอก”

    “เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น เลอาได้คำรามขู่นายไหม”

    “ขู่เหรอ นี่นายถามอะไรกัน เลอาเชื่องจะตายตอนไม่ได้ฟังคำสั่งนายน่ะ”

    “แปลก”

    “หืออ”

    “เลอาไม่ได้เชื่องอย่างที่นายคิด”

    “หมายความว่ายังไง”

    “ตามธรรมชาติของสิงโตแล้วเพศเมียจะดุร้ายกว่าเพศผู้”

    “อะ..อ้าว ไม่ใช่เพราะมันเชื่องกว่าเหรอนายถึงได้ส่งมาเฝ้าฉันน่ะ”ผมทำตาโตเป็นไข่ห่าน นี่สรุปว่าผมเข้าใจผิดมาตั้งแต่ต้นเลยเหรอ

    “เปล่าสักหน่อย ฉันแค่อยากกำราบนายก็เลยเลือกส่งเลอาไปหา ปกติเลอาไม่ผูกมิตรกับใครและไม่ยอมให้คนนอกลูบหัวง่ายๆหรอกนะ ดูเหมือนนายจะถูกยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ”

    “อ้อ..งั้นมันก็แปลกแบบที่นายว่า สงสัยวันนี้มันคงอารมณ์ดีน่ะ”

    “ไม่ใช่หรอก ฉันว่านายคงเผลอทำอะไรเข้าสักอย่าง”

     

    ผมยังไม่ทันได้ทำอะไรสักหน่อย

    หรือว่าเสน่ห์อันเย้ายวนใจของผมดึงดูดแม้กระทั่งสิงโตสาวอย่างงั้นเรอะ

     

    “หรือไม่ก็ต้องมีบางสิ่งที่ทำให้ลูกๆของฉันไว้ใจในตัวนาย..เซียวจ้าน”

    “อาจเป็นเพราะความหล่อก็ได้นะ นี่นายถามแบบนี้เพราะอิจฉาฉันล่ะสิ นายกลัวว่าสักวันฉันจะขโมยลูกสาวของนายมาเป็นของตัวเองใช่ไหมล่ะ”

    “คนอย่างฉันไม่ลดตัวไปอิจฉาคนอย่างนายหรอก ถึงเลอากับธีออนจะยอมให้นายลูบหัวแต่มันก็ยังคงเลือกฟังคำสั่งแค่ฉันคนเดียว”

    “นายไปเอาความมั่นใจผิดๆแบบนี้มาจากไหน ไม่มีใครอยากอยู่กับโรบอทตายด้านทางอารมณ์อย่างนายไปทั้งชีวิต สัตว์ก็มีหัวใจนะ ถ้ามันเจอเจ้านายคนใหม่ที่เอาใจใส่พวกมันมากกว่าแถมยังเป็นคนรูปหล่อใจดี มันก็มีโอกาสเลือกเจ้านายคนใหม่ได้เสมอแหละ”

    “ฉันเป็นคนเลี้ยงพวกมันมากับมือตั้งแต่วันที่มันลืมตาดูโลก ในสายตาของมันฉันเปรียบเสมือนครอบครัว มันจะไม่มีวันทรยศฉันเป็นอันขาด คนอย่างนายจะไปเข้าใจตัวตนของพวกมันได้ยังไง เลิกติดสินบนทั้งคนและก็สัตว์เลี้ยงของฉันได้แล้ว วันนี้มันอาจทำดีกับนายแต่อย่าเพิ่งได้ใจไปเชียว”

    “อี้ป๋อ นายชักจะจริงจังมากเกินไปแล้วนะ ฉันไม่ได้คิดจะติดสินบนอะไรทำนองนั้นสักหน่อย(ไขว้นิ้ว) ฉันรู้สึกเอ็นดูพวกมันเหมือนแมวบ้านเชื่องๆตัวหนึ่ง อีกอย่างเมื่อกี้ฉันก็แค่พูดจาหยอกล้อนายเล่นเท่านั้นเอง”

    “งั้นเหรอ”

    “ใช่น่ะสิ”

    “แต่ฉันรู้ว่านายคิดจริง..เซียวจ้าน แค่ฉันมองตาก็สามารถอ่านความคิดของนายอย่างทะลุปรุโปร่ง หากสบโอกาสมีเหรอที่นายจะไม่คิดหนี”

    “แหม..หวังอี้ป๋อ มองตาฉันหนเดียวทำให้นายรู้อะไรมากมายเหลือเกินนะ”

    “.......”

    “ถ้านายจะรู้ใจฉันดีขนาดนี้มาเป็นแฟนกันเลยไหมล่ะ”

     

    ผมพูดเชิงทีเล่นทีจริงพลางฉีกยิ้มกระต่ายอันแสนซุกซนซึ่งเปรียบเสมือนเอกลักษณ์ประจำตัวไปแล้ว คุณพ่อหวังอี้ป๋อจอมหวงลูกสาวถึงกับแน่นิ่งไปชั่วขณะ ผมเดาเอาว่าเขาคงใกล้จะหมดความอดทนกับผมเต็มทีเพราะไม่ว่าจะชวนคุยอะไรผมก็ทำหัวข้อสนทนาให้กลายเป็นเรื่องสนุกไปซะหมด

     

    “หากนายไม่ได้คิดจริงจังก็อย่าพูดออกมาอีก”

    “อะไรกัน ทำไมต้องทำเสียงดุ ฉันแค่ล้อ..”

    “เข้าเรื่องกันเถอะ เราอย่าเสียเวลาคุยเรื่องไร้สาระอีกเลย”และก็เป็นดังที่ผมคาดไว้ อี้ป๋อทำหน้าบูดพร้อมกับตัดบทสนทนาขาดดังฉับๆๆ เขาเริ่มหันมาสนใจกับกองเอกสารบนโต๊ะทำงานแทน

     

    ไก่อ่อนชะมัด

    แค่คุยหยอกนิดเดียวก็ต้องทำอารมณ์เสียใส่

    เพิ่งเคยถูกขอเป็นแฟนครั้งแรกหรือไงนะ

     

    “จริงสิ ฉันว่าจะถามนายอยู่พอดี สรุปว่าธุระสำคัญที่นายอยากคุยกับฉันมันคือเรื่องอะไรกั..วะ..เหวออ!!”

    “ระวัง!!”

     

    ฟึบ!!

     

    ขณะที่ผมเอ่ยถามก็เริ่มเดินออกสำรวจรอบห้องไปพร้อมกัน ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผมลองแตะแจกันประดับทรงสูงเคลือบลายสลักอันงดงามเล่นดูจึงเกือบเผลอทำมันหล่นเข้าให้ โชคดีที่อี้ป๋อตาไวกว่ารีบคว้าแจกันชิ้นนั้นก่อนมันจะร่วงลงบนพื้น ผมถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกแต่ก็ได้เพียงแค่ครู่เดียวเพราะหลังจากเหตุการณ์สงบดวงตาคมของอีกคนก็แผ่รังสีอำมหิตออกมาปกคลุมรอบบริเวณทันที

     

    “เซียว-จ้าน”ทำไมระดับเสียงถูกกดให้ต่ำลงจนน่ากลัวจังล่ะ

    “แฮะๆ ฉันแค่ลองจับดูเล่นๆน่ะ”ผมพยายามทำใจดีสู้เสือยิ้มตอบกลับไปแต่ดูเหมือนความอดทนของอี้ป๋อใกล้ขาดเต็มทน

    “สิบสามล้าน”

    “หืออ”

    “ราคาของแจกันเคลือบทองที่นายเกือบทำแตก”

    “…….”

    “แค่ลองบอกนายดูเล่นๆเหมือนกัน”

    “อะ..อะไรเล่า นายจะมาดุฉันไม่ได้นะ แจกันของนายวางตำแหน่งไม่ดีเอง ดูสิแค่ฉันแตะนิดหน่อยมันก็..อ๊ะ!!”

     

    ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง

    ผมเพียงแค่แตะแจกันอีกใบทดสอบดูเท่านั้น

    นึกไม่ถึงว่าพวกมันจะอ่อนแอปวกเปียกล้มอย่างง่ายดาย

     

    “แฮะๆ โอเค ฉันผิดเอง”

    “เซียวจ้าน นายนี่มัน..”

    “อย่าโกรธไปเลยน่า ต่อให้ฉันทำแตกจริงก็มีเงินชดใช้ให้นายอยู่แล้ว”

    “แต่ถ้าไม่ทำข้าวของพังซะตั้งแต่แรกเลยคงจะดีกว่า”

    “ก็ฉัน..”

    “นายมันตัวซนจริงๆด้วย”

    “ขอโทษ..”

    “นายซนแบบนี้แล้วมีความสุขไหม”

     

    (ส่ายหน้า)

     

     “ช่วยนั่งสงบนิ่งอย่างน้อยสักหนึ่งนาทีให้ฉันดูได้หรือเปล่า”

     

    (พยักหน้า)

     

    “ขอบคุณ”

     

    ในเมื่อสถานการณ์ที่ผ่านมาผมผิดเต็มประตูจึงไม่กล้าเอ่ยเถียงคำใดนอกจากยอมทำตามคำสั่งของเขาอย่างว่าง่ายและยอมสงบปากสงบคำชั่วคราวดีกว่า สักพักข้อมือหนาก็จัดแจงยื่นเอกสารปึกหนึ่งมาให้บุคคลที่นั่งฝั่งตรงข้าม ผมจ้องมองข้อความในกระดาษด้วยความสงสัยระคนแปลกใจ

     

    ‘ข้อตกลงในการประทับตราพันธะ’

     

    “นี่มันหมายความว่าอะไร”

    “ข้อมูลที่นายจำเป็นต้องรู้อยู่ในเอกสารตรงหน้าหมดแล้ว หากนาย..”

    “ฉันถามว่ามันหมายความว่าอะไร!!”

    “ฟังฉันก่อนเซียวจ้าน”

    “ทำไมนายพูดถึงเรื่องตราพันธะเหมือนอี้โจวไม่มีผิด นายคิดจะทำอะไรกันแน่ หรือว่านายก็เป็นอีกคนที่อยากหาผลประโยชน์จากตัวฉัน”

    “นายกำลังเข้าใจฉันผิด จุดประสงค์ที่ฉันมีไม่ได้เหมือนกับอี้โจว”

    “งั้นทำไมนายต้องการให้ฉันประทับตราพันธะบ้าบอนี่ด้วย”

    “ทุกอย่างที่ฉันทำก็เพื่อปกป้องนาย”

    “ปกป้องงั้นเหรอ การประทับตรามันจะช่วยปกป้องฉันยังไง”

    “ตราพันธะมีผลผูกพันระหว่างผู้ประทับตราทั้งสอง มันเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ตีตราจองบนร่างกาย ถ้านายยินยอมประทับตราเพื่อเข้ามาเป็นคนในตระกูล ฉันจะมีสิทธิ์ในตัวนายทุกอย่าง รวมถึงสภากลางจะคอยให้ความคุ้มครองครอบครัวนายด้วยในฐานะที่นายเป็นคนของฉัน กลุ่มพันธมิตรก็เช่นเดียวกัน พวกเขาจะมีอำนาจในการช่วยเหลือนายหรือแม้แต่กำจัดศัตรูนอกเขตโดยไม่ขัดต่อกฎของสภากลาง ไม่ว่านายจะอยู่ที่นี่หรือออกไปนอกเมืองชิรัณย์นายก็จะปลอดภัยตราบใดที่ตราพันธะระหว่างเรายังคงอยู่”

    “แล้วทำไมฉันต้องประทับตราเพื่อเข้าไปเป็นคนในตระกูลของนายเพียงเพราะเหตุผลนั้นถ้าฉันยินยอมก็เท่ากับว่าฉันต้องสูญเสียอิสรภาพไปน่ะสิ”

    “นายคิดว่าตอนนี้พวกเรามีทางเลือกมากนักเหรอ”

    “.......”

    “ถ้านายไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเองก็ลองคิดถึงความปลอดภัยของด็อกเตอร์ดูบ้าง”

    “พ่อฉัน..มาเกี่ยวอะไรด้วย”

    “อี้โจวไม่มีวันปล่อยให้นายใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างสบายใจนานนักหรอก มันจะบีบให้นายไร้ซึ่งทางเลือก ทั้งตัวนายและแม้แต่พ่อของนายเองต่างก็ตกอยู่ในอันตราย”

    “มันคงไม่ได้คิดจะจับตัวพ่อฉันไปเพื่อเอามาเป็นข้อต่อรองใช่ไหม”

    “สิ่งที่มันต้องการก็คือตัวนาย..เซียวจ้าน คนอย่างมันสามารถทำได้ทุกอย่างเกินกว่าที่นายจะจินตนาการออก หน้าที่ของฉันคือขัดขวางไม่ให้มันได้ตัวนายไป ฉันตามสืบเรื่องธุรกิจมืดของอี้โจวมานานแทบจะรู้ทุกความเคลื่อนไหวและสิ่งที่มันคิดจะทำ ฉันขาดเพียงแค่หลักฐานที่จะเอาผิดมันเท่านั้น ตอนนี้โชคชะตาส่งนายลงมาให้ฉัน นายเปรียบเสมือนกุญแจเพื่อไขเรื่องราวที่ขาดหาย ไม่ว่าต้องใช้วิธีไหนก็ตามฉันจะไม่มีวันปล่อยให้นายหลุดมือไป ยอมประทับตราพันธะเข้ามาเป็นคนในตระกูลของฉันเถอะ”

    “ใช่ว่าฉันไม่เชื่อใจนายนะ ฉันยินดีช่วยนายสืบเรื่องธุรกิจมืดของอี้โจว แต่สำหรับการประทับตรา..ฉันแค่..”

    “นายยังลังเลอะไรอยู่อีกในเมื่อเราสองคนต่างก็ได้ผลประโยชน์จากการยินยอมประทับตราพันธะด้วยกันทั้งคู่ ครอบครัวนายจะปลอดภัย ส่วนฉันก็จะได้เปิดโปงธุรกิจมืดของอี้โจวและลบล้างมลทินให้กับพ่อของฉันไปพร้อมกัน”

    “นายไม่นึกกลัวบ้างเหรอ”

    “ฉันต้องกลัวอะไร”

    “กลัวว่าตราพันธะนั้นจะมีผลผูกพันระหว่างเราสองคนตลอดไป”

    “เมื่อถึงเวลาที่เรื่องราวทุกอย่างจบลงฉันจะลบตราพันธะให้นายเอง ไม่ต้องห่วงหรอก อิสระที่นายเรียกร้องฉันก็จะมอบมันคืนให้กับนายเช่นกัน”

    “ไม่ยักรู้ว่าสามารถทำได้”

    “ทำได้สิ เมื่อมีวิธีประทับตราก็ย่อมต้องมีวิธีลบเลือน เพียงแค่..การจะลบมันอาจต้องแลกมาด้วยบางสิ่งก็เท่านั้น”

    “แลกมาด้วยอะไร”

    “นายรู้แค่เรื่องที่จำเป็นต้องรู้ก็พอ คืนนี้ฉันหวังว่านายจะใช้เวลาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการประทับตราพันธะในเอกสาร หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามอวี๋ปินได้โดยตรง เขาเปรียบเสมือนมือขวาและเป็นตัวแทนของฉัน”

    “แต่..”

    “พรุ่งนี้เรามีนัดหมายประทับตราพันธะ ห้ามลา!! ห้ามขาด!! ห้ามสาย!! เข้าใจหรือเปล่าเซียวจ้าน”

    “เดี๋ยวสิ!! ทำไมมันกะทันหันนัก ฉันยังต้องการเวลาคิดอยู่เลยนะ”

    “นายเข้าใจว่าที่ฉันพูดมาทั้งหมดคือประโยคขอร้องอย่างงั้นเหรอ”

    “ก็หรือไม่ใช่”

    “ผิดแล้วคุณเซียวจ้าน นั่นถือเป็นประโยคคำสั่งต่างหาก นายมีสองทางเลือกคือตกลงกับตกลงเท่านั้น”

    “แบบนี้มันเท่ากับมัดมือชกกันชัดๆนี่ ฉันยังไม่แน่ใจกับคำตอบด้วยซ้ำ”

    “นายจะแน่ใจเองเมื่อถึงเวลา ไปพักผ่อนเตรียมร่างกายให้พร้อมเถอะ ธุระในวันนี้ระหว่างเราหมดแล้ว”

    “อี้ป๋อ!! แต่ฉัน..”

    “อ้อ แล้วก็อย่าได้คิดที่จะหนีอีกเป็นอันขาด ถ้าไม่อยากถูกล่ามโซ่เอาไว้ตลอดคืน”

    “.......”

    “เชิญ”

     

    ร่างสูงเอนกายพิงผนักเก้าอี้พลางผายมือเป็นสัญลักษณ์เชิงไล่แขกหลังจากเสร็จสิ้นบทสนทนาอันตึงเครียด อี้ป๋อแกล้งทำทีจัดแจงเอกสารบนโต๊ะต่อแต่ในขณะเดียวกันก็แอบเหล่มองคนหน้ามุ่ยที่เพิ่งกระทืบเท้าออกไปด้วยปลายหางตา รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นตรงมุมปากอย่างไม่ทันรู้ตัว ชีวิตของเขาเคยเรียบง่ายจนแสนน่าเบื่อแต่ดูเหมือนหลังจากที่เขาได้พบกับเซียวจ้าน..พ่อเสือนักท่องราตรีจอมกะล่อน เขารู้สึกเหมือนโลกที่เคยว่างเปล่ากำลังจะถูกแต่งแต้มให้เต็มไปด้วยสีสันอีกไม่ช้า

     

    หลังจากเราสองคนเข้าพิธีประทับตราพันธะ

    โลกทั้งใบที่เขาเคยรู้จักก็คงจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกเลยตลอดกาล

    เป็นคุณหรือเปล่านะที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนโลกใบนั้น

    เซียวจ้าน

     

     

     

     

     

     

     

     

     











     

     

     

     

     

    “เฮ้ออ~”

     

    ผมนอนพลิกตัวไปมาในความมืดแม้จะพยายามข่มตาหลับสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจเข้าสู่ห้วงนิทราได้ลง เอกสารบนหัวเตียงระบุเรื่องราวเกี่ยวกับตราพันธะยังคงกองอยู่ที่เดิมของมันและผมก็ไม่คิดจะหยิบมาอ่าน ผมยังคงไม่เข้าใจว่าทำไมภายในระยะเวลาไม่กี่วันชีวิตของผมถึงได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังเท้าแค่ชั่วพริบตาเดียว ผมต้องเข้าไปพัวพันกับเหล่าเจ้าพ่อรวมถึงแผนการลับบางอย่าง แทนที่ตอนนี้ผมควรจะได้นอนอาบแดดหรือไม่ก็นอนดูดาวมีสาวข้างกายกินดื่มอิ่มหนำสำราญอยู่ที่ไหนสักแห่ง ถ้าผมรู้ตัวก่อนว่าการมาเที่ยวยังเมืองชิรัณย์ต้องพบเจอกับอะไรบ้างผมก็คงเผาสายการบินทิ้งไปนานแล้ว

     

    ตราพันธะ

    เขตแปดห้า

    ตระกูลเจ้าแห่งสิงโต

    หวังอี้ป๋อ

     

    “เฮ้ออ~ จากนี้ชีวิตจะวุ่นวายไปถึงไหนกันนะ”

     

    ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเมื่อนึกถึงสิ่งที่รออยู่ในวันข้างหน้าพร้อมกับยันกายลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจหนึ่งที ขณะนี้เข็มนาฬิกาชี้บอกว่ากำลังผ่านเข้าสู่ช่วงเวลาตีสอง ไหนๆผมก็นอนไม่หลับขอถือโอกาสออกไปสูดอากาศยามค่ำคืนเล่นก็แล้วกัน

     

    แอ๊ด..

     

    “เลอา..ธีออน พวกแกก็นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ”ผมเอ่ยทักผู้เฝ้ายามทั้งสองหน้าห้องที่เริ่มขยับตัวลุกนั่งแทบจะทันทีเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู พวกมันสังเกตท่าทีของผมอยู่ชั่วครู่จนเมื่อแน่ใจว่าผมไม่ได้คิดหนีไปไหนจึงเข้ามาคลอเคลียเหมือนอย่างเคย

     

    หงิงๆ

     

    “ขอโทษทีนะ ฉันคงปลุกให้พวกแกตื่นใช่ไหม ฉันจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักพัก อยากไปด้วยกันหรือเปล่า”

     

    เลอาตอบคำถามผมด้วยการเดินนำไปหนึ่งก้าวอย่างรู้หน้าที่ว่าควรเป็นฝ่ายพาทัวร์คฤหาสน์ ขณะที่ธีออนกลับเป็นฝ่ายเดินผละออกไปอีกทางและค่อยๆจางหายไปในความมืดมิด ผมยกข้อมือขึ้นเกาหัวเพราะไม่สามารถอ่านท่าทีของเจ้าสิงโตหนุ่มได้ หรือเหตุผลที่มันไม่อยากไปเดินเล่นด้วยกันคงเพราะคิดว่าตัวผมสนิทกับเลอามากกว่าล่ะมั้ง

     

    “นี่เลอา นายไม่ได้เล่าให้ธีออนฟังถึงความสัมพันธ์ของพวกเราเหรอ”

     

    หงิงๆ

     

    “แปลว่าอะไรนะ เฮ้ออ..แต่ก็ช่างเถอะ เอาไว้ค่อยทำความรู้จักกับธีออนให้มากขึ้นกว่านี้วันหลังก็ได้”

     

    ข้อมือบางลูบหัวสิงโตสาวข้างกายเชิงหยอกล้อพร้อมกับชวนมันคุยเล่นไปตลอดทาง ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันฟังภาษามนุษย์ออกไหมหรือแค่อ่านทุกอย่างผ่านอากัปกิริยาของผม ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็เดินมาหยุดอยู่ที่ระเบียงชมวิวด้านในสุดของคฤหาสน์ มองจากมุมนี้ผมสามารถชื่นชมความงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มตา ภูเขาสูงตั้งตระหง่านเบื้องหน้าภายใต้แสงเงาจันทร์คอยส่งมอบอากาศอันบริสุทธิ์ ผมนึกซนปีนขึ้นยืนบนขอบระเบียงจากนั้นจึงกางแขนออกพร้อมกับหลับตาปล่อยใจให้ไม่ต้องกังวลถึงสิ่งใดอีก

     

     

    “สักวันลูกจะต้องโตขึ้นเป็นคนที่พ่อภูมิใจ”

    “ถึงเวลานั้นพ่อจะอยู่ชื่นชมความสำเร็จของผมใช่ไหมฮะ”

    “แน่นอนเซียวจ้าน พ่อรักลูกมากนะ ลูกรู้ใช่ไหม”

    “ผมรักพ่อมากกว่าอีก รักเท่าท้องฟ้าชุบแป้งทอดเลย” 

     

     

    ผมปลดปล่อยให้หยดน้ำตาสีใสไหลรินลงมาอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้อยู่ ทุกครั้งที่ผมนึกถึงใบหน้าของพ่อพร้อมกับความอบอุ่นในวันวานมันทำให้ผมอยากลืมความสัมพันธ์ในปัจจุบันของพวกเรา เมื่อเติบโตขึ้นผมก็ได้รู้ว่าถ้อยคำหลอกเด็กจะไม่มีวันเป็นจริง พ่อไม่ใช่บุคคลที่อยู่เคียงข้างผมในเวลาที่ต้องการอีกแล้ว หลังจากสูญเสียแม่ไปพ่อก็ใช้เวลาทั้งหมดคอยทุ่มเทให้กับงานวิจัยที่แสนรัก แม้กระทั่งในวันรับปริญญา..วันที่เปรียบดั่งความสำเร็จก้าวแรกของผมเริ่มต้นขึ้น คนที่อยู่ชื่นชมความสำเร็จนั้นกลับพบเพียงแค่เงาของตัวเองไร้ซึ่งเงาของบุคคลผู้เป็นพ่อเคียงข้างกาย ผมเคยนึกอยากเกลียดเขาให้มากเท่าที่เคยร้องหาความรักจากเขาดูบ้าง แต่พอถึงเวลาเข้าจริงๆสิ่งที่รอให้เราเผชิญต่อจากนี้มันก็ทำให้ผมรู้สึกอดเป็นห่วงพ่อขึ้นมาไม่ได้

     

     

    “ทั้งตัวนายและแม้แต่พ่อของนายเองต่างก็ตกอยู่ในอันตราย”

    “มันคงไม่ได้คิดจะจับตัวพ่อฉันไปเพื่อเอามาเป็นข้อต่อรองใช่ไหม”

    “คนอย่างมันสามารถทำได้ทุกอย่างเกินกว่าที่นายจะจินตนาการออก”

     

     

    และผมก็รู้สึกเกลียดตัวเองมากเหลือเกินที่จำต้องยินยอมประทับตราพันธะ ยอมสูญเสียซึ่งอิสระในชีวิตเพื่อปกป้องคนที่ไม่แม้แต่จะแสดงความรักให้ผมได้เห็นเลยสักครั้ง

     

    กึก

     

    เปลือกตาที่เคยปิดสนิทเปิดอ้าออกอย่างเชื่องช้าเผยให้เห็นถึงหยดน้ำสีใสซึ่งถูกซ่อนอยู่ภายใน ผมค่อยๆหันกลับมามองเจ้าของเสียงฝีเท้าปริศนาทางด้านหลังก่อนจะพบใครคนหนึ่งเข้า อี้ป๋อยืนแฝงกายอยู่ในความมืดโดยมีเจ้าธีออนคลอเคลียไม่ห่าง ผมค้นพบว่าเราทั้งสองคนยังคงใส่ชุดสีขาวปักสลักลายสิงโตทองเข้าคู่กันเหมือนเดิม แม้ใจอยากเอ่ยแซวว่าเขาเองก็ขี้เกียจอาบน้ำเหมือนกันกับผมแต่เพราะความรู้สึกหน่วง ณ ขณะนี้มันทำให้ผมพูดไม่ออก ดวงตาคมคู่นั้นช้อนขึ้นสบกันจึงได้เห็นว่าผมเพิ่งผ่านการร้องไห้มาเมื่อไม่นาน เขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะคล้ายกำลังนึกแปลกใจ ผมรีบปาดน้ำตาตัวเองออกทันทีและเริ่มเป็นฝ่ายชวนสนทนาก่อน

     

    “นายรู้ได้ไงว่าฉันอยู่ที่นี่”

    “ธีออนมาปลุกฉัน”

    “อ้อ แล้วมันบอกนายว่าฉันหนีมาเดินเล่นด้วยเหรอ”

    “ใช่”

     

    ที่แท้ธีออนก็แอบไปบอกเจ้านายนี่เอง

    เจ้าสิงโตขี้ฟ้อง

     

    “เพิ่งรู้ว่านายจบการศึกษาจากฮอกวอตส์ถึงได้คุยภาษาสัตว์รู้เรื่อง”

    “ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้มนต์วิเศษ ฉันแค่อ่านความหมายจากปฏิกิริยาของมัน อีกอย่างมันก็เดาไม่ยากนักหรอก นายคงนอนไม่หลับเพราะเป็นกังวลเรื่องการประทับตราพันธะใช่ไหม”

    “แสนรู้มากอี้ป๋อ ทำไมนายถึงเดาเก่งจัง”

    “เพราะว่าฉัน..”

    “.......”

    “ก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”

     

    ผมที่กำลังเดินเล่นไปมาบนขอบระเบียงถึงกับหยุดชะงักฝีเท้าลงชั่วขณะ ผมคิดไปเองหรือเปล่านะว่าสีหน้าของเขาแฝงไว้ด้วยความกลุ้มใจจนปิดไม่มิด ลูกน้องแต่ละคนที่เขายอมรับเข้าตระกูลคงต้องเป็นผู้มีฝีมือหรือไม่ก็ฉลาดเป็นกรด เทียบกับตัวผมที่แทบไม่มีอะไรดีเลย(นอกจากหน้าตากับคารมมัดใจสาว) หากผมเป็นผู้นำตระกูลก็ควรรู้สึกกลุ้มใจอยู่หรอก

     

    “นายได้อ่านข้อตกลงทั้งหมดแล้วหรือยัง”

    “อ่านกับไม่อ่านผลลัพธ์มันแตกต่างกันด้วยเหรอ ยังไงฉันก็ต้องประทับตราพันธะอยู่ดี”

    “ถ้านายไม่คิดหนีไปจากฉันก่อน ฉันก็คงเหลือเวลาให้นายได้คิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปอีกสักพัก”

    “นายจะมาโทษฉันอีกแล้วเหรอ ลองมาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันดูบ้างสิ เป็นใครก็ทำแบบฉันทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะคืนนี้นายสั่งลูกๆของนายให้มานอนเฝ้าเอาไว้ฉันก็คงจะคิดหนีไปอีกนั่นแหละ”

    “เพราะนายเอาแต่ดื้อดึงอยู่แบบนี้ฉันถึงต้องใช้วิธีขั้นเด็ดขาด”

    “เอาเถอะ นายอยากจะทำอะไรก็ทำ ไม่ว่าฉันจะอยู่ที่นี่หรือหนีออกไปข้างนอกก็ถูกประทับตราอยู่ดี สรุปคือค่าเท่ากัน”

    “เซียวจ้าน ฉันอยากให้นายยินยอมรับความหวังดีจากฉันด้วยความเต็มใจ”

    “จนถึงตอนนี้ฉันมีสิทธิ์เลือกด้วยเหรอ”

    “นายจะรู้สึกดีขึ้นไหมถ้าฉันบอกนายก่อน”

    “บอกเรื่องอะไร”

    “เกี่ยวกับพ่อของนาย”

    “.......”

    “และวันเกิดที่กำลังจะมาถึง”

     

    นัยน์ตาประกายฉายแววหม่นลงเมื่อชื่อบุคคลที่สามปรากฏในบทสนทนา อี้ป๋อครุ่นคิดอยู่พักใหญ่เพราะสิ่งที่เขารู้มาไม่ควรเปิดเผยออกไปก่อนจะถึงเวลาอันสมควร

     

    “นายพูดถึงอะไร”

    “เดิมทีฉันคอยให้คนตามสืบทั้งเรื่องงานและชีวิตส่วนตัวของพ่อนาย ฉันเลยได้ค้นพบเรื่องราวบางอย่าง ฉันไม่คิดที่จะก้าวก่ายเรื่องของด็อกเตอร์แต่ถ้ามันช่วยให้นายตัดสินใจง่ายขึ้น ฉันคงจำเป็นต้องบอกให้นายรู้”

    “พูดมาสิ”

    “ด็อกเตอร์ตั้งใจจะมอบนาฬิกาเป็นของขวัญวันเกิดให้ลูกของเขา”

    “.......”

    “นาฬิกาเรือนนั้นที่เคยเป็นของแม่นาย”

    “.......”

    “ตอนนี้ด็อกเตอร์หาวิธีซ่อมจนมันกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมแล้วนะ นั่นคือสิ่งที่ฉันไม่ควรบอกแต่ฉันคิดว่านายควรจะได้รับรู้มัน”

     

    ผมนึกย้อนกลับไปในวันวานก่อนที่ครอบครัวของเราจะถูกทำให้แยกจาก มีของสิ่งหนึ่งผมปรารถนาอยากครอบครองมันมากมายเหลือเกิน นาฬิกาที่แม่ผมเคยใส่เป็นนาฬิกาเรือนเก่า วันหนึ่งเข็มของมันหยุดเดินจนไม่อาจกลับมาใช้งานได้เหมือนเคย เครื่องเตือนใจเพียงชิ้นเดียวที่ทำให้ผมนึกถึงแม่ต้องพังลง ผมคิดว่าพ่อคงโยนมันทิ้งไปนานแล้วแต่ใครจะรู้ว่าเขาแอบเก็บซ่อนและหาวิธีซ่อมมันมาโดยตลอด 

     

    “นาย..รู้ได้ยังไง นายอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ พ่อไม่ได้ใส่ใจฉันกับแม่มากขนาดนั้นหรอก”

    “ฉันได้ข้อมูลมาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้องนัก ถ้านายอยากฟังความจริงล่ะก็..”

     

    คนตรงหน้าไม่พูดเปล่าแต่กลับหยิบยกมือถือของตัวเองขึ้นมาก่อนจะเริ่มทำการเปิดลำโพงให้ผมได้ยิน ไฟล์ลับในมือถือถูกกดเล่นส่งผลให้น้ำเสียงอันแสนคุ้นเคยลอยผ่านเข้ามาอยู่ในโสตประสาท

     

    เสียงอันแสนคุ้นเคยก็คือเสียงของพ่อผมเอง

     

     

    “นาฬิกาเรือนนั้นคงจะสำคัญกับคุณมาก”

    “ใช่ครับ มันสำคัญกับผมมากทีเดียว ขอบคุณที่หาวิธีซ่อมมันจนสำเร็จ ลูกของผมจะต้องดีใจแน่ๆ”

    “คุณคิดจะมอบให้เขาตอนไหนล่ะ” 

    “ผมคงจะมอบให้เขาเป็นของขวัญในวันเกิด”

    “ดีเลย ว่าแต่คุณได้เจอเขาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่กัน”

    “ผม..ก็ทำงานจนจำไม่ได้”

    “คุณยังรอเขาอยู่ใช่ไหม”

    “ใช่ ผมยังรอ”

    “.......”

    “ปีนี้ผมยังรอให้ลูกกลับมาฉลองวันเกิดที่บ้าน”

     

     

    ความจริงที่ออกจากปากคนเป็นพ่อและเป็นสิ่งที่เพิ่งได้รู้กลับทำให้ผมเกือบต้องล้มทั้งยืน ผมคิดว่าตลอดเวลาที่เราแกล้งเมินเฉยต่อกันคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดซึ่งผมคิดผิด การไม่พูดคุยปรับความเข้าใจตลอดระยะเวลาที่ผมเริ่มโตขึ้นกลับเพิ่มให้ระยะห่างระหว่างเราสองพ่อลูกมากขึ้นตาม ผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่ากลับไปเยี่ยมบ้านครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ พ่อยังคงรอให้ผมกลับไปหาและยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ผมไม่เคยได้รับรู้มัน

     

    “พ่อรักนายมากนะเซียวจ้าน ไม่ว่านายจะคิดกับท่านยังไงก็ตาม”

    “ทำไมถึงคิดว่าการได้รับรู้เรื่องนี้จะทำให้ฉันยินยอมประทับตราพันธะ พวกเราสองคนหมางเมินต่อกันมานานเกินกว่าจะปรับความเข้าใจได้ภายในคืนเดียว”

    “นายเคยมีสิ่งที่อยากปกป้องไหมหรือผู้คนที่นายรัก”

    “.......”

    “ภูเขาที่อยู่ตรงหน้าเปรียบเสมือนบ้านของฉัน พ้นอาณาเขตนั้นไปทุกอย่างก็อยู่นอกเหนือการควบคุม ฉันไม่เหมือนกับนายเซียวจ้าน ฉันไม่ได้มีอิสระที่นึกจะไปไหนมาไหนได้ตามอำเภอใจ ฉันมีครอบครัวของฉัน มีผู้คนมากมายที่ต้องปกป้อง ถ้าเพื่อคนที่ฉันรักฉันจะยอมทำทุกอย่างให้พวกเขาปลอดภัย”

    “.......”

    “และถ้าฉันเป็นนายฉันคงยินดีประทับตราโดยไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว มันไม่สำคัญว่าท่านจะรู้สึกต่อนายยังไง สิ่งที่สำคัญกว่าคือความรู้สึกของนายต่างหาก เพื่อปกป้องบ้านของนาย เพื่อปกป้องใครสักคนโดยเฉพาะคนที่นายรัก”

    “.......”

    “นายยินดีจะยอมสละความสุขส่วนตัวไหม”

    “ฉัน..”

    “ฉันไม่เคยคิดอยากบังคับจิตใจใคร ฉันยังคงยืนยันคำเดิมว่าทุกสิ่งที่ทำไปเพราะฉันมีเจตนาดี ถ้านายยอมทำตราพันธะฉันสัญญาว่าฉันจะปกป้องนายจนถึงวันที่นายได้กลับไปหาพ่อของนายอีกครั้ง เมื่อเรื่องทุกอย่างจบลงฉันจะเป็นคนพานายไปส่งให้ถึงมือท่านเอง”

     

    ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนรางเพราะหยดน้ำสีใสกำลังเอ่อล้นใกล้หลั่งรินลงมาเปรอะเปื้อนพวงแก้มทั้งสองข้าง ผมนิ่งเงียบใช้เวลาฉุกคิดถึงเรื่องบางสิ่งอยู่ในหัว ทุกคำที่อี้ป๋อพูดเปรียบเสมือนปลายมีดอันแหลมคมพุ่งเข้ามาทิ่งแทงในหัวใจ

     

    ใช่แล้ว

    มันไม่สำคัญว่าพ่อจะรู้สึกต่อผมยังไง

    สิ่งที่สำคัญกว่าคือความรู้สึกของผมต่างหาก

    ผมควรจะปกป้องท่านด้วยการยอมประทับตราพันธะ

    เพื่อที่พวกเราจะได้มีเครื่องหมายคุ้มครอง

    เพราะยังไงท่านก็คือครอบครัวคนสุดท้ายที่ผมเหลืออยู่

    แล้วผมจะมัวลังเลอะไรอยู่อีก

     

    ร่างสูงใช้เพียงสามก้าวก็เข้ามายืนอยู่ในระยะประชิด ข้อมือหนายื่นขึ้นมาตรงหน้าเพื่อเฝ้ารอให้อีกคนจับ ความเงียบเริ่มปกคลุมรอบกายเราทั้งคู่จนสัมผัสถึงความหนาวของสายลมยามค่ำคืนแล่นผ่าน ความเงียบนั้นมีอิทธิพลมากพอให้ผมได้ยินแม้กระทั่งเสียงหัวใจของตัวเอง

     

    ตึกตัก

     

    “เซียวจ้าน”

    “.......”

    “นายยินยอมที่จะประทับตราพันธะ ยินยอมที่จะกลายมาเป็นคนของฉันหรือเปล่า”

    “.......”

    “ถ้านายกลายมาเป็นคนของฉัน ฉันสัญญาว่าจะไม่มีวันยอมให้นายต้องเสียน้ำตาเหมือนในวันนี้อีกเลย”

     

    ผมจ้องมองการกระทำนั้นด้วยความรู้สึกประหลาด ในเวลานี้อี้ป๋อเปรียบเสมือนเจ้าชายสวมชุดขาวเฝ้ารอคำตอบจากชายอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผมอาจจะเผลอหลงทางอยู่ในดวงตาอันเยือกเย็นของเขานานเกินไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ผมเลือกวางมือลงบนข้อมือหนาแบบไม่ลังเล 

     

    “ฉันเชื่อใจนายได้ใช่ไหม”

    “เชื่อได้มากเท่าที่ใจนายต้องการ”

    “อื้ออ”

    “ฉันจะถือว่าเป็นคำตอบรับ”

     

    ฟุบ

     

    เขาออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ช่วยพยุงให้ผมลงมายืนบนพื้นเสมอกันโดยไร้รอยขีดข่วน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะจังหวะจะรักหรืออย่างไรผมถึงได้เผลอทำข้อเท้าตัวเองพลิกจนเซไปอยู่ในอ้อมกอดเขาซะได้

     

    “อ๊ะ!!”

    “.......”

    “.......”

     

    ตึกตัก

     

    ไม่สิ

    มันต้องไม่ใช่แบบนี้

    ทำไมผมต้องทำตัวเหมือนเจ้าหญิงกำลังอ่อยเจ้าชายชุดขาวด้วยนะ

     

    “ระวังหน่อย วันนี้นายซนมาทั้งวันแล้ว”

    “ขอโทษ”

     

    พวกเราสนทนากันแค่เพียงบทสั้นๆแต่ก็ยังไม่ยอมผละออกจากกันสักที ข้อมือหนาของเขาที่ประคองเอวผมอยู่ทำให้รู้สึกจั๊กจี้นิดหน่อย ผมจึงขมวดคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่าเราสองคนมีธุระอะไรติดค้างกันอีกไหม ถ้าไม่มีก็แยกย้ายไปอาบน้ำเข้านอนกันเถอะเพราะผมเริ่มง่วงแล้ว อี้ป๋อสบตาผมอยู่นานคล้ายอ่านประโยคคำถามในแววตาของผมได้ สักพักเขาก็ตัดสินใจเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาที่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม

     

    “นายชอบเลอาหรือธีออนมากกว่ากัน”

    “ว่าไงนะ”

    “นายชอบสิงโตเพศผู้หรือเพศเมีย”

    “หืมม”ผมเหล่ตามองเจ้าสิงโตสองตัวที่แอบไปคลอเคลียกันอยู่ในมุมมืดพลางครุ่นคิด

    “ตอบสิ”

    “ถ้าให้ตอบตอนนี้ก็..ขอเลือกเป็นเลอา”เพราะผมยังไม่มีเวลาได้ทำความสนิทกับธีออนหรอกนะ อย่าเพิ่งน้อยใจไปเชียว

    “อืมม ฉันก็คิดอยู่แล้วว่านายเหมาะกับเพศเมีย”

    “ห๊ะ..อี้ป๋อนายว่าอะไรนะ ฉันรู้สึกได้ยินไม่ถนัดเลย”

    “ช่างเถอะ ถือว่านายเลือกแล้ว วันพรุ่งนี้นายก็จะรู้เอง”

    “อ๊ะ!! เดี๋ยวสิ!! ฉันยัง..”

    “พรุ่งนี้เรามีนัดหมายประทับตราพันธะ จำคำของฉันได้ใช่ไหม ห้ามลา!! ห้ามขาด!! ห้ามสาย!! และที่สำคัญคือเตรียมร่างกายของนายให้พร้อมด้วย”

     

    คนร่างบางถูกลากกึ่งจูงให้กลับห้องทั้งที่ปากก็แอบโวยวายไปตลอดทางเพราะคำพูดของอีกคนยังคงคลุมเครือไม่ชัดเจน เมื่ออี้ป๋อส่งตัวซนเข้านอนเสร็จเขาก็แอบถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย ดูท่าว่าเอกสารที่เขาส่งให้ไปจะไม่ถูกเปิดอ่านจริงๆด้วยสินะเพราะถ้าหากอีกคนได้อ่านก็คงรู้ความหมายของคำถามที่เพิ่งได้ยิน

     

    ตราประจำตระกูลของเขาก็คือสิงโต

    การประทับตราพันธะเพื่อใช้ในพิธีแต่งงานจำเป็นต้องเลือกตำแหน่ง

    และดูเหมือนตอนนี้เซียวจ้านได้เลือกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว







    << To Be Continued >>

    #ตราพันธนาการหัวใจ



    อีพีหน้าเหล่าต้าของเราก็จะมีเมีย แค่กๆ มีต้าซ้ออย่างเป็นทางการแล้วน้า~

    ถ้าช่วงไหนหายไปอาจจะเผลอติดงานหลวงนะคะ

    แวะมาแปะรูปสไตล์การแต่งตัวของเหล่าต้าทางด้านล่าง

    ชุดทั่นจะออกแนวมาเฟียหน่อยๆหวังว่าตอนบรรยายจะนึกภาพออกกัน

    ต่อให้พี่จ้านกลายมาเป็นต้าซ้อแล้วความซนก็จะไม่มีวันลดลงแน่นอน

    คิดเห็นอย่างไรพูดคุยกันได้เหมือนเดิม

    เจอกันใหม่อีพีหน้านะคะ ชุ้บๆ~



    รักนักอ่านและนักอ่านเงาทุกท่าน *ปาหัวใจชุบแป้งทอดใส่บ้าน*



    *แปะรูปปลากรอบชุดทั่น บางวันอาจเปลี่ยนสีชุดแล้วแต่อารมณ์





    *ส่วนอันนี้คือของแถม ตัวละครนีโอในเมทริกซ์ที่พูดถึง





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×