~ครั้งหนึ่ง~
มันเป็นเพียงความฝันหรือแค่ผมคิดไปเอง ไม่ใช่! มันมีตัวตนอยู่จริง 'นักล่าวิญญาณ!!'
ผู้เข้าชมรวม
188
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผม ทอม เอริค ผมยอมรับว่าผมไม่มีเพื่อนแต่ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนเลวจนคนอื่นไม่กล้าคบหรอกนะ พวกเขาไม่เข้ามาหาผมเองต่างหาก ในสายตาของพวกเขาผมมันก็แค่ไอ้เด็กบ้าเรียนคนหนึ่งที่มักจะถูกล้อ ผมผิดด้วยหรอที่ผมไม่มีแม่คอยปลอบคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆและผิดด้วยหรอที่ผมจะตั้งใจเรียนเพื่อตัวผมเอง
มันก็ไม่เชิงหรอกนะที่ผมจะไม่มีแม่คงเป็นเพราะแม่ผมเสียตั้งแต่ผมยังเด็ก พ่อเองก็เริ่มเปลี่ยนไปนับแต่ท่านแต่งงานใหม่ เย็นชาขึ้น เก็บตัวเงียบอยู่กับงาน บ้านช่องแทบจะไม่มีเวลาอยู่ ผมจึงอยู่กับแม่เลี้ยงมาตลอด หล่อนไม่ได้พิสมัยผมขนาดยกเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวน ผมเองก็ทำใจยอมรับหล่อนว่าเป็นแม่ไม่ได้สักทีเหมือนกัน พวกเราใช้ชีวิตกันอย่างจืดชืดที่สุด และมันจะไม่มีอะไรถ้าหล่อนจะไม่พล่ามใส่ผมทุกๆครั้งที่ผมทำอะไรไม่เข้าตาหล่อนเข้า
ผมเกลียดเสียงแหลมบาดแก้วหูของหล่อนที่นับวันมันยิ่งรุนแรงขึ้น แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะโต้กลับ เลยได้แต่ยืนเงียบให้หล่อนบ่นเสียดแทงอยู่ทุกวัน หากวันใดผมทำเป็นไม่สนใจล่ะก็ หล่อนได้ปาข้าวของจนบ้านเละแน่ และมันคงหนีไม่พ้นหน้าที่ผมที่จะต้องมาคอยเก็บกวาดเมื่อหล่อนระบายจนสาสมแก่ใจแล้ว ผมไม่เข้าใจว่าผมทำอะไรผิดทั้งๆที่ริซ่าลูกสาวของหล่อน ทั้งซ่าและบ้าบิ่นสมชื่อซะขนาดนั้น โดดเรียนเป็นประจำ ซ้ำยังเที่ยวกลางคืน ใช้เงินเป็นว่าเล่น แต่หล่อนกลับไม่เคยที่จะปริปากต่อว่าเธอเลยแม้แต่คำเดียว ผิดกับผมที่นั่งทำการบ้านอ่านหนังสือสอบทั้งคืนทำให้งัวเงียบ้างตอนตื่น หล่อนก็เอ็ดใส่ผมทั้งเช้าจนความง่วงตกใจหนีเตลิดเปิดเปิงไปไกล
ในตอนเย็นหลังเลิกเรียนผมไปนั่งอ่านหนังสือที่ห้องสมุดก่อนกลับบ้าน จึงกลับช้ากว่าปกติที่จะเป็น เพียงแค่ผมแง้มประตูเปิด คงไม่ต้องรอให้ได้ยินสัญญาณใดๆเสียงแหลมสูงก็พุ่งปรี๊ดเข้าหูผมทันที หล่อนบ่นใส่ผมทุกวันจนผมแอบคิดไปว่าหล่อนไม่เบื่อบ้างหรือไง ผมยังเบื่อที่จะฟังหล่อนพล่ามเลย
เย็นวันนี้หลังจากที่ผมกลับมาจากบ้าน ผมก็เตรียมตัวมาอย่างดีในการทดสอบพลังหูและระดับความอดทน ที่มีผู้หวังดีจัดให้โดยไม่ต้องเอ่ยคำขอให้เสียเวลา ผมยื่นมือไปจับลูกปิดก่อนจะเปิดออก แน่นอนเสียงที่ผมได้ยินเป็นเสียงแรงคือเสียงของหล่อน ทั้งที่ผมเตรียมตัวมาอย่างทุกวันแล้วแต่วันนี้ผมคงเหนื่อยเกินไปที่จะมายืนให้หล่อนเทศนาพระธรรมประจำวัน ผมจึงเดินผ่านหล่อนไปอย่างไม่สนใจเหมือนกับหล่อนเป็นอากาศธาตุ ไม่เกินความคาดหมายหล่อนทำสีหน้าไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ผมรู้สึกสังหรณ์ใจถึงรางร้ายจึงรีบรุดขึ้นห้องและมันก็เป็นอย่างที่ผมคิด วัตถุชิ้นหนึ่งกระทบบานประตูห้องผมอย่างแรงตามหลังที่ผมเพิ่งปิดมาได้อย่างหวุดหวิด นับว่าผมยังไม่ถึงกับอัปโชคเสมอไปนะเนี่ย เกิดเสียงดังโครมครามครู่หนึ่งก่อนจะเงียบไป ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะทรุดตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า
เวลาผ่านพ้นไปผมคิดถึงชีวิตตัวเองอย่างปลงอนิจจัง ทำไมผมถึงไม่ได้สนุกอย่างเพื่อนๆทำไมผมจะต้องอยู่ในกฎระเบียบของแม่เลี้ยงตลอดเวลา ทำไมผมถึงต้องยอมทำทุกอย่างที่หล่อนสั่ง อาจเป็นเพราะผมไม่มีที่พึ่งอื่นแล้วก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมไม่มีชีวิตเป็นของตัวเองบ้างเลยหรือไง ทำไมผมไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากครอบครัว เพื่อนฝูงรวมถึงทุกคนรอบข้างอย่างคนอื่นๆกัน ผมเกียดทุกคนเกลียดทุกคนได้ยินไหม ทำไมไม่หายๆไปเลยนะ ในขณะที่ผมได้แค่คิดอยู่นั่นเองเสียงหนึ่งก็ปลุกให้ผมหลุดจากห้วงอารมณ์ มันไม่ใช่เสียงที่ผมเคยได้ยิน
“เบื่อชีวิตมากนักหรือไง” มันถามผม
ผมสะดุ้งตกใจที่สุดก่อนจะตะเกียดตะกายลุกนั่ง ผมมองหาต้นเสียงนั่นอย่างสั่นเทา ผมได้ยินเสียงนั่นจริงๆแต่ในห้องนี้มีเพียงผมคนเดียวเท่านั้นหรือจะบอกว่าเจ้าลิ้นชักนั่นมันเปิดปากพะงาบๆพูดเองได้เหมือนดั่งในการ์ตูน
“ฉันอยู่ตรงนี้” เสียงนั่นเอ่ยอีกครั้งพร้อมกับควันสีดำจางๆเกาะกลุ่มกันเป็นร่างๆหนึ่งตรงหน้าผม
ผมเบิกตากว้างพินิจพิจารนาร่างตรงหน้าใครก็ได้โปรดบอก ผมไม่ได้ตาฝาด เขาเป็นชายร่างสูงในชุดคลุมสีดำ ใต้ผ้าคลุมนั้นเสื้อผ้าที่เขากำลังสวมอยู่มันดูแปลกถึงขั้นแปลกมาก เขาสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวในมือถือไม้คทายาวที่รูปร่างพิลึกเช่นกัน ใบหน้าคมคายนั้นหันมาสบกับผมนิ่ง ก่อนที่ริมฝีปากบางจะขยับรอยยิ้ม
“ฉัน ซาคูส เป็นนักล่าวิญญาณ ห้องของนายนี่รกเป็นบ้าเลยนะทั้งที่คิดว่าเป็นคนเจ้าระเบียบแท้ๆ” เขาแนะนำตัวเองอย่างรู้ทันว่าผมจะถามอะไร แต่ประโยคสุดท้ายฟังดูไม่โสภานัก
“.........” ตอนนี้ลิ้นผมแข็งทื่อไปหมดแม้แต่จะขยับปากยังเหมือนถูกแช่แข็ง
“นี่นายจะไม่พูดกับฉันเลยหรือไง ทอม เอริค” คราวนี้เขาเป็นฝ่ายแนะนำผมซะเอง
“นะ...นายรู้จักชื่อฉันได้ยังไง” พลันปากมันก็พูดออกมาเองตามสัญชาติญาณ
“มีอะไรบ้างที่ฉันไม่รู้ นายน่ะเกิดวันที่ 20 กรกฎาคม ปีฉลู ส่วนสูง 170 ซม. น้ำหนัก...” เขาพล่ามพลางทำสีหน้าครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัดว่าเสแสร้งโดยไม่สนใจเจ้าของข้อมูลที่หน้าขึ้นสีก่อนจะตัดบทพูดของเขาไป
“พอได้แล้ว” ผมตะโกนดังลั่น “นายคิดว่าฉันไม่รู้ประวัติตัวเองหรือไง”
“อ้าว...คิดว่าลืมซะอีกเลยอุตส่าห์เตือนความจำให้” เขายังพูดอย่างทีเล่นทีจริง
“นี่นายต้องการอะไร” ผมพูดอย่างเหลืออด ตอนนี้ผมชักหงุดหงิดมาก หงุดหงิดเกินกว่าจะคิดว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าผมต้องเจอแต่กับสิ่งที่เลวร้ายเรื่องแค่นี้มันอาจธรรมดาก็ได้
“น่าๆใจร้องไปได้” เขาเปรยพร้อมกับยกถ้วยน้ำชาที่ไม่รู้เตรียมมาจากไหนขึ้นมาจิบหน้าตาเฉย และนั่งอย่างสบายอารมณ์บนเก้าอี้ทำงานผม
“ฉันจะถามนายอีกครั้ง นาย ต้อง การ อะไร” ผมพูดย้ำเสียง
“เฮ้อ วัยรุ่นสมัยนี้ช่างใจร้อนซะจริงเชียว เอาเป็นว่าฉันเห็นนายเบื่อชีวิตก็เลยมาเยี่ยม เออ...ของฝากเยี่ยมน่ะโทษทีไม่ได้เอามา” เขาพูดกลั้วหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกแต่ผมไม่ยักจะสนุกกับเขาเลยแม้แต่น้อย มันยิ่งกระตุ้นอารมณ์ผมมากขึ้นสิไม่ว่า
“ฉันไม่ได้ป่วยอะไร”
“แต่นายคือผู้ป่วยของฉัน ฉันเปล่าใช่หมอ แต่จะช่วยรักแผลให้ ฉันช่วยนายได้แล้วกันน่า”
“นายพูดอะไร ฉันไม่ได้บาดเจ็บ และไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากนายด้วย เลิกพูดไร้สาระสักที ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์เล่นด้วยหรอกนะ หรือถ้านายมีเหตุผมจริงๆก็คงมาผิดที่แล้วล่ะ” ผมเอ่ยก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้ง แต่ก็ต้องชะงักกับประโยคต่อมา
“นายเกลียดทุกคนไม่ใช่หรอ นายอยากให้ทุกคนหายไปไม่ใช่หรือไง ฉันจะช่วยให้สิ่งที่นายปรารถนาเป็นจริง” คราวนี้น้ำเสียงไม่ได้ล้อเล่นอย่างทุกที
“หมายความว่าไง”
“ฉันบอกนายแล้ว ฉันคือนักล่าวิญญาณ เจ้าแห่งการทำลายล้าง ผู้ใช้ชีวิตโดยการดูดกลืนวิญญาณมนุษย์ ฉันสามารถทำให้นายบ่งการโลกทั้งโลกทั้งโลกเอาไว้ในมือ หรือนายจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปจนเหลือแต่ความว่างเปล่า”
“บ้าน่าเรื่องแบบนั้นมันจะมีจริงได้ยังไง หรือถ้ามันเป็นความจริง นายเก่งขนาดนั้นนายคงไม่มาหาฉันหรอกสู้เอาเวลาไปครองโลกเองไม่ดีกว่าเหรอ” น้ำเสียงผมสั่นด้วยความหวาดระแวง
“ก็บอกว่านายเป็นคนป่วยของฉันไงเล่า ฉันมาเพื่อช่วยนาย”
“ฉันขอให้ช่วยเมื่อไหร่” ผมพูดขึ้นลอยๆ
“เอ้า คนเค้าหวังดียังมาทำหยิ่งอีก”
“นายว่าใครหยิ่ง อย่ามาพูดมากน่า” ผมพูดเสียงดังก่อนจะปาหมอนใส่เขาเต็มแรงโกรธ เขาเอียงตัวหลบนิดหนึ่งแล้วกล่าวต่อไปอีก
“นายนี่เล่นแรงจริงๆเอาเป็นว่านายไม่เข้าใจ เฮ้อ ทั้งที่นายก็หัวดีต่ำไมเข้าใจยากนักนะ เอางี้เพียงแค่นายเดินทางไปกับฉัน นายก็จะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ” รอยยิ้มเล็กๆผุดพรายที่มุมปากเขาพลางยื่นมือออกมาข้างหน้าผม ผมจ้องมองมือข้างนั้นไม่ลดสายตาแต่เหมือนต้องมนต์ผมค่อยๆขยับมือออกไปตามคำเชื้อเชิญของมือเขา ผมเอื้อมมือไป ปลายนิ้มผมแตะกับปลายนิ้วของเขานิดหนึ่ง ความรู้สึกแรกที่วิ่งพล่านเข้ามาในตัวผม เย็นมันเย็นมาก เย็นเยือกดุจน้ำแข็ง ผมสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะสะดุ้งมากกว่าเดิม ผมรีบชักมือกลับทันที เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ประตูมันเป็นเสียงที่แหลมสูงบาดแก้วหูไปจนถึงโซนประสาท เสียงที่ผมคุ้นเคยมาก
“ทอม นอนกินบ้านกินเมืองอยู่ได้ลงมาช่วยงานเดี๋ยวนี้” หล่อนตบประตูดังปึงปัง ทำให้ผมหลุดจากห้วงนิทราโดยฉับพลัน
ผมมองซ้ายมองขวาก็เห็นแค่ตัวเองนอนเหงื่อโทรมกายอยู่บนเตียง สรุปเรื่องเมื่อกี้ผมฝันไปเองหรือนี่ ถ้าคิดอีกทีมันก็เสียดายอยู่นิดๆแฮะ ผมเดินโซเซออกจากห้องไปเพราะขี้เกียจฟังคำเทศนามากกว่านี้
“แกนี่ ยิ่งวันชักจะสบายใหญ่แล้วนะ ไปออกไปซื้อของมาให้ฉันเดี๋ยวนี้ ถ้ากลับมาช้าแกอดข้าวเย็น เข้าใจ!” หล่อนยื่นเงินและใบสินค้าให้ผม ผมเดินออกจากบ้านไปอย่างไม่เต็มใจนัก
ผมเดินทอดน่องไปเรื่อยๆยืดเวลากลับบ้านให้นานที่สุด พอพ้นมุมซอยภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏมันทำให้ผมถึงกับตะลึงก้าวขาไม่ออก ร่างกายผมชาไปหมดทั้งตัว ผู้ชายในชุดคลุมสีดำนั่งไขว้ขาอยู่บนคทายาวที่ลอยอยู่เหนือพื้น เขากำลังแสยะยิ้มให้ผม
“นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ” น้ำเสียงเรียบเยือกเย็นนั้นชวนขนลุกเป็นที่สุด ผมคงไม่โง่มาหลับกลางถนนหรอกนะ ขณะนี้ผม ทอม เอริค แทบยืนช็อคคาถนนซะให้ได้ ในสมองคิดอยู่อย่างเดียว คำถามที่มันวนเวียนไปมา
‘เขาเป็นใครกันแน่’
..................................................................................................................................................
ฮ้าาาาา ในที่สุดก็ได้ลงซะที ฮือๆจอมอู้งาน เรื่องนี้บังเอิญตอนกำลังนอนปั่น Kingdom อยู่ มันดันไปเจอติดแหมะอยู่หลังสมุด เลยลองเอามาลงดูค่ะ เอิ๊กๆๆ ซึ้งอ่านดูแล้ว มันบ้าบอสิ้นดีเลย คนที่หลงเข้ามาช่วยเม้นให้ทีนะคะ ^^ เพราะเราอาภัพเหลือเกิน
ด้วยไมตรีจิต Sl_vincharon
ผลงานอื่นๆ ของ sl_vincharon ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ sl_vincharon
ความคิดเห็น