คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1 ....บ้านใหม่
ผมก้าวขาลงจากรถจากรถยนต์มาบิดขี้เกียจแทบจะทันทีที่รถจอดสนิทหลังจากที่ต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ในนั้นร่วมเจ็ดชั่วโมง เจ้าแชงคูสแมวหิมาลายันเพศผู้สีน้ำตาลอ่อนโตเต็มวัยกระโดดผึงตามมาคลอเคลียอยู่ที่ข้อเท้า ผมเสยผมยาวหยักโศกที่หลุดลุ่ยดูยุ่งเหยิงจากรวบไว้คร่าวๆกันรำคาญที่ขณะนี้ตกลงมาล้อมกรอบหน้ายามที่ก้มลงมองลูกชายสุดที่รัก ผมว่ามันคงจะหิวหลังจากที่ต้องหิวท้องนอนแกร่วอยู่บนเบาะกำมะหยี่สี่เข้มด้านหลังของรถกระบะสองตอนที่แม่ภาคภูมิใจมาตลอดการเดินทาง เจ้าแชงคูสร้องแง้วอย่างถูกใจเมื่อผมตัดสินใจอุ้มเจ้าอ้วนนี่ขึ้นมาพลางมองดูบรรยากาศรอบตัว 'เงียบ' คงเป็นคำสั้นๆคำเดียวที่สามารถบรรยายสิ่งต่างๆที่อยู่ในคลองสายตาของผมได้ชัดเจนและครอบคลุมที่สุด คำบรรยายต่อมาคงเป็น 'เหงา' 'วังเวง' 'น่ากลัว' นี่ขนาดแค่ห้านาทีแรกที่เท้าของผมเหยียบลงบนแผ่นดินของเมืองคูปท์ยังทำให้ผมรู้สึกติดลบได้ขนาดนี้ และนี่ยังไม่นับลางสังหรณ์แปลกๆที่กำลังร่ำร้องอยู่ลึกๆในใจว่าจะต้องมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วนี้แน่ๆ ผมหันไปมองแม่ที่ส่งยิ้มปลื้มอกปลื้มใจมาให้อย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
"แม่ว่าที่นี่ก็ไม่เลว สงบ เป็นส่วนตัว ซินจะได้ไม่รำคาญเพื่อนบ้านเหมือนตอนที่ยังอยู่ที่คอนโดไง... แล้วอีกอย่าง ที่นี่ก็กว้างขวาง มีสวนมีสนามหญ้าให้ซินปลูกต้นไม้อะไรทำนองนั้น แล้วแชงคูสจะได้มีพื้นที่วิ่งเล่นไงจ๊ะ" ....แค่คิดซินยังไม่เคยเลยครับแม่ -_-'
แม่อธิบายด้วยน้ำเสียงปลื้มอกปลื้มใจ ผมมองนิ่งๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกไป แม่เป็นนักคอลัมนิสประจำอยู่กับนิตยสารของผู้หญิงที่เป็นที่นิยมอยู่มากพอสมควร ยอมรับว่าบางที่ผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจความคิดความอ่านของแม่สักเท่าไหร่นัก ผมก้มดูนาฬิกาพบว่าตอนนี้เกือบๆจะห้าโมงเย็นได้แล้ว แต่บรรยากาศกลับมืดครื้มและแสงแดดแทบจะไม่มีให้เห็นเลยทีเดียว ลมหนาวที่พัดมาเป็นระลอกๆทำให้ผมต้องกระชับเสื้อโค้ดสีอ่อนตัวหนาที่ใส่อยู่ให้แนบตัวมากขึ้น รู้สึกได้ว่าแก้มเย็นจนต้องเอามือถูกแก้มก่อนที่มันจะเย็นจนชา แม่ยืนหันรีหันขวางสลับกับก้มมองนาฬิกาเรือนสวยบนข้อมือ เรากำลังคอยคุณมาร์คัส เดอวูล์ฟซึ่งเป็นคู่มั่นของแม่ และเขาก็เป็นสาเหตุๆหนึ่งที่ทำให้แม่ตัดสินใจเนรเทศเราสองคน(กับอีกหนึ่งตัว)ออกจากชีวิตที่สะดวกสบายมาอยู่ในที่สงบจนเงียบอย่างเมืองคูปท์แห่งนี้
สาบานได้ว่าก่อนที่แม่จะตัดสินใจย้ายมาผมไม่รู้ว่าเมืองๆนี้อยู่ตรงส่วนไหนของแผนที่โลก ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ามีเมืองชื้อนี้อยู่ในโลก จนเมื่อสักสามชั่วโมงที่แล้วที่แม่ขับรถผ่านป้ายบอกชื้อเมืองเข้าสู่อาณาเขตของเมืองคูปท์ผมจึงรู้ว่าโลกกลมๆของเรามีเมืองที่ว่านี่จริงๆ ตัวเมืองตั้งอยู่กลางหุบเขาที่มีพื้นที่ราบค่อนข้างกว้างขวางไกลสุดสายตาล้อมรอบด้วยแนวภูเขาขนาดใหญ่ที่วางตัวปิดล้อมสมบูรณ์ราวกับพระเจ้าจงใจ ตัวเมืองตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของหุบเขา มีแม่น้ำไหลผ่านบริเวณกลางเมืองซึ่งแบ่งตัวเมืองออกเป็นสองฟาก โดยสถานที่สำคัญ เช่น พวกตลาด ร้านรวงต่างๆ โบสถ์ สถานที่ราชการ หรือแม่แต่โรงเรียนตั้งอยู่ภายในตัวเมืองฟากหนึ่งของแม่น้ำ ส่วนเขตที่อยู่อาศัยจะตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งโดยจะต้องข้ามสะพานไม่เก่าๆไป เรากำลังยืนอยู่ที่จุดนัดพบใต้ต้นแอปเปิ้ลตีนสะพานไม้ฝั่งเดียวกับตัวเมือง เท่าที่สังเกตดูผมยังไม่เจอคนตัวเป็นๆเดินในเมืองนี่เลยสักคน มีเพียงแสงไฟที่ส่องลอดหน้าต่างจากร้านรวง และ บ้านของพวกเขาเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่าเมืองนี้ไม่ใช่เมืองร้าง
รออยู่เกือบจะครึ่งชั่วโมงเสียงเครื่องยนต์ก็ดังกระหึ่ม แสงไฟหน้ารถสาดแสงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่รถเบนซ์รุ่นเก่าสีดำมันวับจะจอดลงที่อีกฝั่งของสะพาน คุณมาร์คัสลงจากรถตามด้วยเด็กหนุ่มที่อายุไม่น่าจะมากหรือน้อยกว่าผมไปสักเท่าไหร่ คุณมาร์คัสเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่หน้าตาดีวัยสี่สิบห้าปี ผมไม่ค่อยจะได้เจอเขาสักเท่าไหร่นักด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง อย่างแรก ผมไม่ค่อยจะชอบพบปะคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่ แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคู่มั่นของแม่ที่คบกันจนจะครบสามปีในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้ว อย่างที่สอง มันคงไม่ใช่เรื่องดีที่จะทำตัวเป็นก้างขวางคอแม่กับคนที่แม่รัก ดังนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องดีหากว่าผมจะต้องอยู่ด้วยทุกครั้งที่คุณมาร์คัสไปพบแม่ ทำนองนั้น
"ขอโทษทีเถอะซาร่า หวังว่าคุณกับลูกคงมารอไม่นาน" คุณมาร์คัสทำท่าทางเสียใจที่ปล่อยให้แม่ยืนรอมาครึ่งชั่วโมง แม่ส่งยิ้มกว้างอย่างไม่ถือโทษให้ก่อนเดินเข้าสู่อ้อมอกของคนตัวสูง ผมหันหน้าหนีทั้งสองคนแล้วก้มมองไอ้อ้วนที่อุ้มอยู่ที่ดูจะจ้องผู้ชายที่มากับคุณมาร์คัสด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่
"หึๆ.."
เสียงหัวเราะที่ดังลอยมาตามลมทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง ผู้ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆพร้อมกับส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ผม ผมมองเขานิ่งๆไม่ได้ยิ้มตอบหรือว่าทักอะไรแต่อย่างใด
"เดินทางเป็นอย่างไรบ้างซินเซียร์" คุณมาร์คัสทักผม เขาชอบเรียกผมด้วยชื่อเต็มเสมอแม้ว่าผมจะท้วงจนเลิกท้วงไปแล้วก็ตาม มันไม่ได้น่าภูมิใจนักหรอก ผมเป็นผู้ชาย แต่ชื่อที่แม่ตั้งนั้นใครๆก็ต้องคิดว่าเป็นชื่อของผู้หญิงถ้าเขายังไม่ได้เห็นผมที่เป็นเจ้าของชื่อน่ะนะ ผมยิ้มกลับไปก่อนตอบสั้นๆ
"ก็...ดีครับ" ผมตอบเรียบๆ
"นี่ฟาร์คัสลูกชายฉันเอง ฟาร์คัสนั่นซินเซียร์ลูกชายของน้าซาร่าที่พ่อเล่าให้ฟัง"
ฟาร์คัสส่งยิ้มอ่อนโยนให้ผมหลังจากที่พ่อของเขาแนะนำ ผมพยักหน้าเล็กๆ ประมาณว่ารับรู้ หลังจากนั้นคุณมาร์คัสก็บอกให้ลูกชายของเขาขับรถคันของแม่ไปที่บ้านที่แม่ซื้อไว้อยู่กับผมระหว่างที่ยังไม่ได้แต่งงานกับคุณมาร์คัสช่วงสองสามเดือนหน้านี้ ส่วนตัวเขาจากขับรถพาผมกับแม่ดูตัวเมืองที่บ้านและร้านรวงต่างๆเริ่มเปิดไฟ แสงสว่างบางส่วนส่องลอดออกมาจากตัวอาคารทำให้ถนนหนทางไม่มืดจนเกินไปนัก เราแวะทานมื้อเย็นที่บาร์กึ่งร้านอาหารหลังจากที่ขับรถวนดูจนทั่วเมืองแล้ว ก่อนที่คุณมาร์คัสจะไปส่งแม่กับผมที่บ้านของเราที่ฟาร์คัสลูกชายของเขาขับรถของแม่มาจอดเก็บไว้ในโรงจอดรถเรียบร้อยแล้ว
บ้านของเราเป็นบ้านก่ออิฐถือปูนสองชั้นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ออกแนวบ้านสไตล์อังกฤษโบราณๆ รอบบริเวณบ้านเป็นสนามหญ้า และโรงเก็บเครื่องไม่เครื่องมือทำสวนต่างๆ บนสนามใหญ้ามีอิฐปูทางเดินปูรอบบ้าน ภายในบ้านชั้นแรกเป็นห้องรับแขกและนั่งเล่นขนาดค่อนข้างใหญ่ ถัดไปเป็นห้องรับประทานอาหารและห้องครัว ชั้นบนมีห้องนอนขนาดใหญ่สองห้องที่มีห้องน้ำในตัว โดยรวมแล้วผมชอบบ้านนี้นะ อย่างน้อยก็อย่างที่แม่บอก ที่นี่ไม่มีเพื่อนบ้านที่น่ารำคาญที่เถียงกันทุกๆสี่ชั่วโมง
ห้องนอนของผมอยู่ทางซ้ายมือของบันได เมื่อเปิดประตูไม่บานหนาเข้าไปเป็นห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์ไม้โอ้คสีเข้มครบครันซ้ำยังมีโฮมเธียร์เตอร์อย่างที่ผมกำลังนึกอยากได้หลังจากที่ต้องยอมตัดใจทิ้งชุดเก่าไปเพราะเป็นเรื่องยากลำบากที่จะขนย้ายมาด้วย ปัญหาข้อแรกที่ผมพบจากการย้ายบ้านในครั้งนี้คือไม่มีบริษัทขนย้ายใดรับจ้างขนของให้เราเพราะสาเหตุที่ว่าปลายทางอยู่นอกเหนือพื้นที่การให้บริการ เตียงนอนไม้โอ้คสีเข้มสี่เสาที่มีม่านผ้าฝ้ายสีขาวรวบติดอยู่กับเสาเตียง ตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่ด้านหนึ่งของห้องใกล้กับประตูห้องน้ำ โต๊ะอ่านหนังสือตั้งอยู่ใกล้กับประตูบานเฟี้ยมที่เปิดออกไปจะเจอระเบียงกว้างๆ ที่เลยออกไปจะเห็นสนามหญ้ากว้างๆหลังบ้าน
เจ้าอ้วนแชงคูสเริ่มดิ้นลงจากแขนของผมก่อนที่จะกระโดดผึงลงบนพื้นห้องแล้วเดินอุ้ยอ้ายไปที่ระเบียง แต่ยังไม่ทันที่ผมจะเดินตามมันออกไป ประตูห้องนอนก็เปิดก่อนที่ร่างสูงของฟาร์คัสจะเดินเข้ามา ผมมองอย่างอึ้งๆ ไม่ได้นึกโกรธที่เขาเดินเข้ามาก่อนจะได้รับอนุญาต แต่ผมกำลังอึ้งที่เห็นเขาเดินเข้ามาพร้อมกับหีบไม้ขนาดใหญ่บนไหล่ซ้าย(ที่แน่นอนว่ามันไม่ใช่หีบเปล่าและผมมั่นใจว่าภายในหีบนั่นมีบรรดาหนังสือที่ผมทำใจทิ้งไม่ลงใส่ไว้จนเต็ม) และกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดใหญ่ของผมในมือขวา พระเจ้าบอกผมทีว่าเขาแบกทั้งหมดนั่นขึ้นบันไดมาไหวได้ยังไง ผมใช้เวลาเกือบๆสองชั่วโมงกับแม่ในการขนของพวกนี้ขึ้นรถกระบะ แต่ผู้ชายตรงหน้ากลับแบกมันไม่ต่างจากการแบกลังกระดาษเปล่าๆเลยสักนิด !!
" ขอโทษที่เข้าห้องนายโดยไม่ขออนุญาตนะ เห็นนายยังไม่ลงมาฉันเลยช่วยแบกของๆนายขึ้นมาให้ พ่อก็กำลังช่วยแม่นายอยู่เหมือนกัน แล้วนายจะให้วางของของนายไว้ตรงไหนล่ะ?" ผมชี้มือลงบนพื้นกลางห้อง เขาพยักหน้ารับรู้ก่อนจะวางกระเป๋าในมือลงแล้วตามด้วยหีบไม้บนบ่าที่ส่งเสียงดังกึกเมื่อเขาวางมันบนพื้น ร่างสูงตรงหน้าไม่ได้มีอาการปวดเมื่อยจากการยกของหนักเกินตัวอย่างที่มันควรจะมี ทั้งยังส่งยิ้มมาให้ผม
"นายยกมันขึ้นมาได้ยังไง ฉันมั่นใจว่าในนั้นมีหนังสืออยู่เต็มหีบ" ผมถามออกไปแทบจะทันที คนตรงหน้ามองสัมภาระของผมบนพื้นก่อนจะยักไหล่แล้วไม่ตอบคำถามใดๆออกมา ผมจ้องเขาเขม็งจนเขาหัวเราะก่อนจะตอบเลี่ยงคำถามอย่างน่าโมโหที่สุด สิ่งเดียวที่ผมรู้ตอนนี้คือเขากำลังปิดบังอะไรสักอย่าง และนั่นทำให้ผมคิดว่าเขาอาจจะไม่ใช่คนปกติ
"ฉันแข็งแรงกว่าที่นายคิดไว้เยอะ น้าซาร่าบอกว่านายอยู่ปีสาม เหมือนฉันเลย พรุ่งนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ฉันจะมารับนายไปดูเมืองถ้านายต้องการ"
เขาว่าก่อนที่จะชี้นิ้วไปทางประตูก่อนจะเดินออกไปเมื่อแชงคูสเดินขู่เข้ามาในห้อง ผมหันไปมองเจ้าอ้วนที่มักไม่ค่อยจะแสดงท่าทีแบบนี้กับใครเท่าไร ส่วนใหญ่แชงคูสจะเป็นแมวอารมณ์ดีที่อ้อนได้แม้แต่กับคนแปลกหน้า แต่ทำไมถึงมีอาการแบบนี้กับฟาร์คัส เรื่องนี้จะเกี่ยวกับการยกของ(โคตร)หนักได้ของเขาหรือเปล่า!!?
ผมปัดความสงสัยทิ้งไปก่อนที่จะเดินไปเปิดหีบไม้ตรงหน้าก่อนที่จัดข้าวของต่างๆให้เข้าที่ที่กินเวลาหลายชั่วโมงหลังจากนั้น และความเพลียก็มีมากเกินกว่าที่ผมจะฝืนไหวเมื่อผมพยายามดันหีบไม้ที่ภายในไม่มีหนังสือใดๆแล้วไปชิดผนังเพื่อไม่ให้เกะกะ ผมตัดสินใจทิ้งตัวลงบนเตียงหนานุ่มทันโดยไม่แม้แต่จะคิดอาบน้ำหรือเปลี่ยนชุดใดๆทั้งนั้น ไม่สนใจแชงคูสกระโดดขึ้นมานอนขดตัวอยู่ที่ปลายเท้าผม ดวงตาหนักอึ้งของผมปรือลงปล่อยความมืดจะกลืนกินประสาทรับการรับรู้ภายในเวลาไม่นาน โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าเจ้าแมวอ้วนลุกขึ้นนั่งก่อนจะจ้องร่างสูงขาวซีดที่ยืนมองนิ่งๆอยู่ที่ด้านนอกบนพื้นระเบียง ผสานสายตาอยู่กับแชงคูสอยู่สักพักก่อนจะหันหลังกระโดดลงจากระเบียงแล้ววิ่งหายไปในความมืดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที
##############################################################################
ความคิดเห็น