คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : The first memorization
“ช่วยฉันด้วย”
เลือดสีแดงไหลลงมาจากไรผม หน้าผาก อาบใบหน้าขาวซีดไร้สี ผู้หญิงคนหนึ่งตะเกียดตะกายคลานเข้ามาด้วยกำลังที่ถดถอยไปทีละนิด เสื้อของเธอชุ่มโชกจากของเหลวที่ไหลออกมาจากแผลอันเหวอะหวะ ลมหายใจรวยรินน้ำตาพรากเต็มสองข้างแก้ม
“ช่วยฉันที”
เธอขอร้องอีกครั้ง เสียงนั้นแหบแห้งมีแต่ลม ดวงตาปิดปรือไร้เรี่ยวแรง สิบเล็บมือขูดขีดพื้นดินจนเป็นรอยลากยาว
“ฉันอยากกลับบ้าน..”
.
.
ฉันสะดุ้งสุดตัว ดวงตาเบิกโพลงมองบรรยากาศรอบกายที่ยังคงมืดสนิท ทุกอย่างเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจและเสียงสวบสาบจากการย่ำเท้าเข้ามาหาของสัตว์สี่ขาขนปุย โฮยานั่งลงข้างๆหมอน มันเอาหัวมันมาคลอเคลียกับไหล่ฉัน ราวกับรู้ว่าเจ้าของของมันเพิ่งตื่นขึ้นจากความฝันที่น่ากลัว
ฉันลูบหัวมัน แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อย แต่การปลอบใจของโฮยาก็ช่วยฉันได้มากทีเดียว
“ไม่เป็นไรแล้วนะ .. โฮยา ฉันไม่เป็นไรแล้ว”
วันต่อมาฉันตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หลังจากกินขนมปังกับนมเป็นมื้อเช้า ก็ไม่ลืมที่จะเทอาหารเม็ดให้โฮยา ฉันลงมาที่ชั้นล่างสุดของคอนโด เดินเลี้ยวเข้าไปในร้านกาแฟที่ติดป้ายด้านหน้าว่า ‘Café du Lait’ ซึ่งเป็นที่ๆฉันทำงานอยู่
“เชิญค่า”
เด็กหญิงวัยรุ่นผมสีน้ำตาลแดงที่กำลังเช็ดโต๊ะส่งเสียงใสต้อนรับทันทีที่ฉันผลักประตูเข้าไป เธอเงยหน้าขึ้น แล้วสีหน้ายิ้มแย้มนั้นก็เปลี่ยนเป็นตกใจ ตื่นเต้น และดีใจตามลำดับ
“แชรินออนนี๊~~” เด็กคนนั้นปล่อยมือจากผ้าเช็ดโต๊ะและปรี่เข้ามากระโดดกอดคอจนฉันเกือบล้ม
“ออนนี่กลับมาแล้ว เค้าคิดถึงออนนี่ที่สุดในโลกเลย ฮือออออ”
ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอเป็นใคร แต่เธอกำลังทำให้ฉันขำ เพราะใบหน้านั้นกำลังเปื้อนไปด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ ทำให้เธอดูไม่ต่างจากเด็กขี้แย
“พี่รินเป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าเข้าโรงบาลตั้งหลายวัน ฉันน่ะ.. เป็นห่วงแทบแย่เลย” เธอผละตัวออกจากฉันแล้ว มือข้างหนึ่งกำลังปาดน้ำตาออกลวกๆ
“ก็.. ไม่เป็นไรแล้วแหละ มั้งนะ ฮะๆ” ฉันหัวเราะเบาๆ อึดอัดใจน้อยๆที่จะบอกไปว่าฉันจำเธอไม่ได้เลยสักนิดเดียว
“มินจี โวยวายอะไร เสียงดังไปถึงหน้าร้านแล้ว”
เสียงหวานๆแสดงความตำหนิดังแทรกขึ้น ต้นเสียงคือผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งผลักประตูเข้ามาในร้าน อายุประมาณสามสิบต้นๆเห็นจะได้ เธอสวมผ้ากันเปื้อนทับชุดกระโปรงขาวยาวกรอมเท้า สองมือนั้นหิ้วถุงพลาสติกพะรุงพะรัง
“จองอาออนนี่ พี่แชรินกลับมาแล้วค่ะ”
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ฉันก็ได้เห็นสีหน้าแบบเดียวกันกับตอนที่เด็กหัวแดงมินจีเห็นฉัน คนมาใหม่วางของในมือลงบนโต๊ะที่ใกล้ที่สุด แล้วตรงเข้ามาหาฉันทันที
“หายดีแล้วหรอริน เจ็บตรงไหนบ้างไหนดูซิ..” ฉันถูกจับให้หมุนไปรอบๆเพื่อให้เธอได้สำรวจร่างกาย แล้วเธอก็จูงมือฉันไปที่เก้าอี้
“นั่งก่อนสินั่งก่อน โชคดีนะที่แขนขาไม่หัก แต่ทำไมถึงได้หัวร้างข้างแตกขนาดนี้น้า .. ทั้งๆที่สวดมนต์ภาวนาขอให้ไม่เป็นอะไรแล้วแท้ๆ”
คำพูดของเธอทำให้ฉันยิ้ม “ฉันไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณคุณมากนะคะที่เป็นห่วง”
คนฟังคิ้วขมวด นิ่วหน้าแปลกใจ “อะไรกัน ริน.. ทำไมเรียกพี่ว่าคุณล่ะ”
ฉันเงียบไปสักพัก จึงตัดสินใจเล่าเรื่องความทรงจำที่หายไปของฉันให้พี่จองอาและมินจีฟัง ทั้งสองคนดูตกใจไม่น้อยไปกว่ากันเลย โดยเฉพาะมินจีที่ทำหน้าจะร้องไห้
“ออนนี่จำเค้าไม่ได้จริงๆหรอ”
“ไม่เอาน่ามินจี” พี่จองอาเอ็ด “เกิดอะไรขึ้น นี่มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยนะริน จำหน้าคนที่ทำร้ายเธอไม่ได้เลยหรอ”
ฉันส่ายหัว
“แบบนี้ก็แย่น่ะสิ โถ่รินเอ๊ย .. เธอต้องระวังตัวให้มากๆน่ะรู้มั้ย”
มือข้างนั้นลูบหัวฉันเบาๆ ใบหน้าของเธอฉายแววเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง
ฉันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยชีวิตนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก พี่จองอาเป็นคนน่ารัก นอกจากเธอจะเป็นเจ้าของร้านกาแฟนี้แล้ว เธอก็ยังเป็นเหมือนพี่สาวแสนดีของพนักงานทุกคนในร้าน เธอไม่บ่นที่จะเริ่มสอนงานฉันใหม่ตั้งแต่ต้น มินจีที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์เหมือนฉันแล้วยังเป็นมักเน่ของที่นี่ ก็คอยช่วยเหลือฉันในแทบทุกเรื่อง จะว่าไปเด็กคนนี้ตามติดฉันแจเลยล่ะ
แก้วกาแฟที่เปียกถูกเช็ดด้วยผ้าขนนุ่มและคว่ำลงบนแนวตะแกรง.. ใกล้เที่ยงแล้ว แต่ลูกค้ายังคงบางตา พี่จองอาออกไปทำธุระข้างนอก ส่วนมินจีมายืนช่วยฉันเช็ดแก้วกาแฟอยู่ข้างๆ เธอชวนฉันคุยไม่หยุด จนกระทั่งกระดิ่งหน้าร้านส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งบอกให้รู้ว่ามีคนมา
“ยินดีต้อนรับค่า”
ฉันกับมินจีพูดขึ้นพร้อมกันอย่างรู้งาน ผู้ชายสวมเสื้อยืดสีเทาคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา อา.. ผู้ชายเฮดโฟนที่ฉันเจอเมื่อวานนั่นเอง แต่วันนี้เขาไม่ได้สวมเฮดโฟนที่ศีรษะ แต่กลับมีหูฟังสีขาวเสียบอยู่ที่หูทั้งสองข้างแทน
“รับอะไรดีคะ” มินจีถาม
“อเมริกาโน่แก้วนึงครับ.. อ้าว คุณคนเมื่อวานนี่เอง ทำงานอยู่ที่นี่หรอครับ”
ฉันยิ้ม เขาดูแปลกใจนิดหน่อยที่เจอฉันอีกครั้ง
“ใช่ค่ะ คุณเองก็ชอบทานกาแฟที่นี่หรอคะ”
“เปล่าหรอกครับ ผมเพิ่งรู้ด้วยซ้ำว่าคอนโดนี้มีร้านกาแฟอยู่ด้วย หลงออกไปนั่งร้านข้างนอกซะตั้งนาน”
ดวงตาของเขาหยีไปตามความกว้างของรอยยิ้ม ฉันจึงรู้ว่าเขาเป็นคนยิ้มง่าย
“ตกลงเป็นอเมริกาโน่ร้อนหนึ่งแก้วนะคะ ทานนี่หรือเทคโฮมคะ”
“ทานนี่ครับ แล้วเอาวานิลาชินนามอนให้ผมด้วยชิ้นนึง”
ฉันพยักหน้า “ถ้างั้นนั่งรอสักครู่นะคะ”
เขาเดินออกไปที่เฉลียงด้านนอก พอคล้อยหลังแล้วมินจีก็สะกิดแขนฉันทันที
“นี่พี่ริน” เธอพยักเพยิดไปทางผู้ชายคนนั้น “รู้จักกับเขาหรอ”
“ห้องเขาอยู่ตรงข้ามกับพี่น่ะ”
เด็กหญิงหน้าบึ้งตึง บ่งบอกอารมณ์ไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “สนิทกันมากมั้ย”
“ก็เพิ่งได้คุยกันเมื่อวาน ทำไมหรอ”
“เค้าหึงพี่นะ อย่าไปคุยแบบนี้กับใครอีก พี่รินเป็นของเค้าคนเดียวนะรู้มั้ย”
คำพูดนั้นทำเอาฉันไปต่อไม่ถูก และมินจีก็ดูจริงจังเสียจนฉันไม่เชื่อว่าเธอจะล้อเล่น
ที่มินจีตามติดฉันไม่ห่าง นั่นเพราะเธอ ‘หึง’ ฉันน่ะหรอ .. บ้าไปแล้ว..
ฉันได้แต่ยิ้มแหะๆแล้วหันไปตักวานิลาชินนามอนออกมาใส่จาน เมื่อบาริสต้าส่งอเมริกาโน่แก้วโตมาให้ ฉันก็จัดมันใส่ถาด แล้วเดินไปเสิร์ฟคนที่นั่งรออยู่ที่เฉลียง
เขาฝังตัวอยู่บนเก้าอี้ที่โต๊ะตัวมุมสุด และยังคงไม่ถอดหูฟังออก บนโต๊ะมีกระดาษที่ถูกเขียนด้วยลายมือหยุกหยิกกระจายอยู่ประมาณสามสี่แผ่น ในมือถือดินสอกดซึ่งเขากำลังเคาะมันเบาๆลงบนโต๊ะราวกับคนใช้ความคิด
“ขอเสิร์ฟกาแฟนะคะ”
ฉันเดินเข้าไป จงใจพูดให้เขาได้ยิน เมื่อเห็นฉันเขาก็รวมกระดาษที่กระจัดกระจายให้เป็นกองเดียว แล้วฉันจึงวางแก้วกาแฟและจานชินนามอนลงบนโต๊ะอย่างระวัง เพราะกลัวว่ามันจะหกใส่กระดาษพวกนั้นเข้า
“รับอะไรเพิ่มอีกมั้ยคะ”
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณมาก”
ฉันกำลังจะหันกลับไป แล้วก็พลันนึกขึ้นได้ “จริงด้วยสิ .. เมื่อวานนี้ฉันลืมขอบคุณคุณไปเลย ขอบคุณมากๆนะคะ”
ฉันโค้งตัวก้มหัวลง เขาดูประหลาดใจ แล้วถอดหูฟังออกข้างหนึ่ง “ไม่ต้องขอบคุณก็ได้ครับ เรื่องแค่นี้เอง เราเพื่อนบ้านกันอยู่แล้ว”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณอุตส่าห์ช่วย คุณน่ะใจดีมากๆเลย”
“ถ้าอยากขอบคุณจริงๆ ขอให้ผมรู้ชื่อคุณแทนได้มั้ย”
คำขอร้องของเขาดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย แน่นอนว่าฉันยินดีด้วยซ้ำ
“ได้สิคะ ฉันแชรินค่ะ .. อี แชริน .. แล้วคุณล่ะ?”
“ทงยองเบครับ ผมอายุ26 เดาว่าคุณคงอ่อนกว่าผม”
ฉันนิ่ง กำลังนึกปีเกิดตัวเองช้าๆ ถ้าจำไม่ผิดฉันน่าจะเกิดปี 91
“ค่ะ ฉัน24”
เราได้คุยกันอยู่แค่นั้น ก่อนที่ฉันจะขอตัวเข้าไปทำงานต่อ แน่นอนว่ามินจีกำลังมองมาอย่างไม่พอใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอกำลังหึงฉันจริงๆ เด็กหนอเด็ก..
ฉันไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้มากนัก ไม่นานลูกค้าก็เริ่มเข้ามาเรื่อยๆจนเต็มร้าน ฉันเสิร์ฟกาแฟมือเป็นระวิง เวลาล่วงเลยมาจนบ่ายโมงห้าสิบ อีกสิบนาทีจะหมดเวลางานของฉันแล้ว พอมองออกไปที่เฉลียง ยองเบตัวคงนั่งเสียบหูฟังเหมือนตอนแรกที่เขาเข้ามา มือข้างขวาเขียนบางอย่างลงไปบนกระดาษขาวเป็นระยะ
“แชริน เอากาแฟไปเสิร์ฟโต๊ะสิบหน่อย”
“ค่า”
ฉันรับแก้วเอสเพรสโซ่เย็นจากบาริสต้ามาวางบนถาด เดินตรงไปที่โต๊ะตรงกลางร้าน ซึ่งมีผู้ชายวัยกลางสวมแว่นกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเก้าอี้ ฉันวางแก้วลงบนโต๊ะว่างๆนั้น
“กาแฟที่สั่งได้แล้วนะคะ .. อ๊ะ!..”
เพล้ง!
ข้อมือผอมๆของชายคนนั้นเหวี่ยงมาโดนแก้วกาแฟที่ยังวางไม่ถึงพื้นโต๊ะ เกิดเสียงแตกร้าวดังลั่นร้าน ทุกคนหันมามองตรงนี้ราวกับเป็นจุดสนใจ เศษแก้วแตกเป็นชิ้นใหญ่ๆปะปนกับเกล็ดน้ำแข็งและของเหลวสีน้ำตาล เปรอะโต๊ะ พื้นปาร์เกต์ และกางเกงสีหม่นของชายผู้เป็นเจ้าของใบหน้าบึ้งตึงไม่พอใจ
“ขะ..ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆนะคะ”
มันไม่ใช่ความผิดของฉันทั้งหมด.. ฉันรู้ดี
แต่ยังไงลูกค้าก็คือลูกค้า ฉันผงกหัวขึ้นลงขอโทษเขาเป็นการใหญ่ เรื่องมันควรจะจบลงตรงนี้ ถ้าหากเขาไม่ลุกขึ้นและโยนหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะอย่างขุ่นเคือง
“ทำงานประสาอะไร ฉันเลอะหมดแล้วน่ะเห็นมั้ย พัง พังหมด! แล้วทีนี้ฉันจะไปพบลูกค้ายังไง!”
“ฉันขอโทษ ให้ฉันรับผิดชอบ..”
“เด็กเสิร์ฟอย่างเธอจะมีปัญญาอะไรมารับผิดชอบ!”
เสียงของเขาดังลั่นเสียยิ่งกว่าเสียงแก้วที่แตกเมื่อครู่ ฉันได้แต่ก้มหน้างุด ทั้งที่ในใจก็กระอักกระอ่วนอยากจะเถียงใจแทบขาด
หน้าผากของเขายับยู่จนเป็นรอยย่น ดวงตาหลังกรอบแว่นเกรี้ยวกราดด้วยความโกรธ บรรยากาศในร้านเงียบกริบ มินจีเดินเข้ามาข้างๆ จับมือฉันไว้แน่น
“ไหน เจ้าของร้านอยู่ไหน? เรียกเขามาเดี๋ยวนี้ฉันจะคุยกับเจ้าของร้าน”
“เจ้าของร้านไม่อยู่ค่ะ” ฉันตอบอย่างระมัดระวัง
“ถึงว่า .. ไม่มีใครอยู่ดูแลลูกน้องมันถึงได้เฮงซวยแบบนี้ไง”
“นี่คุณ! จะมากเกินไปรึเปล่า” มินจีขัดขึ้น ท่าทางเธอดูโมโห “คุณจะเอาอะไรคะ บอกมาตรงๆดีกว่า กาแฟฟรีตลอดชีพ หรือค่าทำขวัญ”
มินจี!
ฉันถลึงตาใส่คนอายุน้อยกว่า แม้รู้ว่าที่เธอทำไปเพราะโมโหแทนฉัน แต่ผลที่ตามมามันไม่ดีต่อตัวเธอแน่
“นี่เธอดูถูกฉันหรอ ได้.. ฉันจะไปแจ้งทางคอนโดว่าร้านกาแฟซังกะบ๊วยนี่มันคุณภาพต่ำ คราวนี้ได้ตกงานกันยกครัวแน่”
“ก็เอาสิครับ” เป็นเสียงทุ้มนุ่มของผู้มาใหม่ คนๆนั้นเดินมาจากเฉลียงด้านนอก “คนในร้านเป็นพยานได้ ว่าพนักงานคนนั้นไม่ได้ทำกริยาไม่ดีกับคุณเลย ตรงกันข้าม.. คุณเองต่างหากที่พูดไม่ดีกับเธอก่อน”
ยองเบมองหน้าฉัน เขายิ้มนิดๆ แต่นั่นก็มากพอจะทำให้ฉันอุ่นใจได้อย่างไร้เหตุผล
“พูดแบบนี้จะขู่กันหรอ..”
“เปล่าครับ ผมเอาจริง และผมคนนึงล่ะที่พร้อมจะเป็นพยาน”
ชายวัยกลางมองไปรอบๆตัว สายตาเลิ่กลั่กหวาดระแวง คนในร้านเกือบยี่สิบชีวิตกำลังมองมาที่เขาอย่างตำหนิ จนในที่สุดเขาก็กระฟัดกระเฟียดกระแทกส้นเท้าออกไปจากร้าน
“อะไรอ่ะ ไปซะละ ยังด่าไม่สะใจเลย” มินจีมีท่าทางขัดใจเล็กๆ เห็นแล้วก็อดหมั่นเขี้ยวไม่ได้ จึงขยี้หัวยุ่งๆนั่นไปหนึ่งที
“ทำเค้าทำไมอ่ะพี่ริน”
ฉันยิ้ม ส่ายหน้าเร็วๆ “เปล่านี่”
ฉันนั่งลงเก็บเศษแก้วที่แตกกระจายอยู่บนพื้น มินจีก็มาช่วยกันอีกแรง ยองเบกลับไปนั่งตรงเฉลียงอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ฉันนึกขอบคุณเขาในใจ คงต้องตอบแทนอะไรสักอย่างบ้างล่ะ..
“คุณคะ คุณ .. นี่คุณ ยองเบ ย๊า! ทง ยองเบ!!”
ชื่อนามสกุลจริงของเขาดังสะท้อนทั่วโถงทางเดิน เจ้าของชื่อที่ดูเหมือนเพิ่งจะได้ยินถอดซาวเบาท์ออกจากหู เขาดูแปลกใจที่เห็นฉันวิ่งตามออกมาจากร้านกาแฟ
ฉันจับสายประเป๋าสะพายแน่น เร่งสุดฝีเท้าจนมายืนอยู่หน้าเขา
“เลิกงานแล้วหรอครับ” เขาถามยิ้มๆ มีท่าทีขำอยู่ในตัว คงอยากหัวเราะฉันแต่ทำไม่ได้สินะ
“ค่ะ ฉันหมดกะแล้ว ที่ตามมาเพราะว่าอยากจะมาขอบคุณเรื่องเมื่อกี้”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ”
กะแล้วว่าต้องพูดแบบนี้ พ่อคนดีศรีสังคมทงยองเบ..
“คุณก็เป็นแบบนี้อีกแล้ว จะให้ฉันตอบแทนคุณหน่อยไม่ได้เลยหรอคะ”
“ตอบแทน?”
“ค่ะ ข้าวสักมื้อเป็นไง?”
“คุณจะเลี้ยงหรอ”
“แน่นอนสิคะ คุณคงยังไม่ได้ทานข้าวใช่มั้ย”
“ยังหรอกครับ รอให้คนมาเลี้ยงอยู่พอดี..”
มีความขี้เล่นซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้น แล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน ฉันกับเขาพากันออกไปนอกคอนโด แถวนี้มีร้านอาหารเรียงรายเป็นแถว ฉันให้เขาเลือกร้านแล้วเราก็มาอยู่ในร้านอาหารกลางวันที่มีคนไม่เยอะนัก
“ผมเห็นชัดๆว่าตาแก่นั่นปัดมือคุณ ที่เขาไม่ยอมรับผิดคงเพราะไม่อยากเสียหน้า”
“คุณเห็นด้วยหรอคะ”
“ครับ แล้วผมก็เห็นคุณหน้าซีดด้วย” คำพูดหยอกล้อของเขาทำให้ฉันหน้ามุ่ย
“แหม.. ไม่ลองมาเป็นฉันไม่รู้หรอกค่ะ น่าอายจะตายไป”
ฉันว่าพลางคีบไข่หวานเข้าปาก อาหารร้านนี้รสชาติดี และยองเบก็เป็นคนคุยสนุก ถึงเขาไม่ใช่คนคุยเก่งอะไรมากมาย แต่ฉันว่าฉันสบายใจที่ได้คุยกับเขาถึงแม้ว่าการเจอครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สองของเราก็ตาม
“หน้าผากคุณไปโดนอะไรมาหรอครับ”
“อันนี้น่ะหรอ..” ฉันจับแผลตัวเองผ่านผ้าก๊อซสากๆที่หน้าผาก มันไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่ บางทีฉันก็ลืมไปแล้วว่ามีแผลอยู่ตรงนี้ “อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะค่ะ อันที่จริงเพราะแผลนี่ ฉันเลยจำอะไรไม่ได้มาสักพักหนึ่งแล้ว.. รวมถึงตัวฉันเองด้วย”
“คุณหมายถึงความจำเสื่อม?”
ฉันพยักหน้าเบาๆ “ค่ะ ฟังดูแปลกดีใช่มั้ย”
“คงอึดอัดแย่เลยนะครับ”
เพราะอะไรฉันจึงบอกให้ยองเบรู้ว่าฉันความจำเสื่อม? นั่นสินะ .. ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้เพียงแต่ว่าฉันวางใจเขา เขาเป็นคนดีคนหนึ่งที่ฉันเจอบนโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งแปลกใหม่ รู้สึกดีที่เขาเข้าใจกัน ประโยคเมื่อสักครู่ของเขาทำให้ฉันคลี่ยิ้มได้ไม่ยากนัก
“แรกๆที่ตื่นมาก็อึดอัดนะคะ จำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ขนาดชื่อตัวเองยังไม่รู้ แต่ตอนนี้ก็เริ่มชินซะแล้วล่ะ ถือว่าเริ่มชีวิตใหม่”
“คุณคงมองโลกในแง่ดี”
“งั้นมั้งคะ”
หลังจากจบอาหารมื้อเที่ยงตอนบ่ายสาม ฉันกับยองเบก็กลับเข้าไปที่คอนโด ที่กล่องจดหมายมีซองสีขาวจ่าหน้าถึงฉันอีกแล้ว ผู้ส่งคือ Rabbit เหมือนฉบับเมื่อวานไม่มีผิด แต่วันนี้ซองดูหนาและใหญ่กว่าเมื่อวานเป็นเท่าตัว ชักสงสัยแล้วว่ามีอะไรอยู่ในนี้
“ไว้คราวหลังเราไปทานกันอีกนะครับ” ยองเบเป็นฝ่ายเอกปากชวนล่วงหน้า แน่นอนว่าฉันเองก็ไม่ได้ปฎิเสธ ออกจะยินดีด้วยซ้ำไป
ต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าห้อง โฮยาวิ่งมารับฉันถึงหน้าประตู ร้องเหมียวๆแล้ววิ่งไปที่จานอาหารสีเหลืองของมัน
“รู้แล้วจ้ารู้แล้ว”
เลยจำเป็นต้องวางสัมภาระลงก่อนจะหยิบอาหารเม็ดมาเทลงบนจานพลาสติก เมื่อเสร็จแล้วฉันจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับมานั่งแหมะลงที่โซฟา หยิบซองจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาเปิดดูทันที
หนังสือพิมพ์เก่าๆเป็นสิ่งของที่อยู่ในนั้น เมื่อดูจากวันที่จึงรู้ว่าเป็นฉบับเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ไม่มีจดหมายหรือข้อความใดๆแนบมากับหนังสือพิมพ์นี้เลย มันทำให้ฉันยิ่งสงสัย .. หรือว่านี่จะเป็นฝีมือของพวกโรคจิต
ฉันไล่สายตาอ่านหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ พาดหัวข่าวที่ใหญ่ที่สุดคือข่าวการลาออกทั้งคณะของรัฐบาลที่แก้ปัญหาการเงินของประเทศไม่ได้ รองลงมาคือข่าวไฟไหม้บ้านเด็กกำพร้า แต่ที่สะดุดตาฉันมากที่สุดคงจะเป็นข่าวนักเรียนหญิงมอปลายที่ถูกฆาตกรรมโดยอาจารย์ประจำชั้น ที่ฉันสนใจไม่ใช่เนื้อหาของข่าวแต่อย่างใด แต่กลับเป็นรูปนักเรียนหญิงในกรอบเล็กๆข้างๆพาดหัวข่าวนั่น
เด็กผู้หญิงผิวขาวจัด ตากลมโต ผมยาวประบ่าและไว้หน้าม้า .. เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ฉันเลื่อนไปมองรายละเอียดของข่าวนั้น มองหาชื่อของผู้เสียชีวิต .. พโย ฮเยมี
พโย ฮเยมีคือใคร?
เด็กผู้หญิงที่ตายไปแล้วคนนี้ได้สร้างความสงสัยให้ฉันเป็นอย่างมาก ฉันเริ่มปวดที่ขมับทั้งสอง เหมือนว่าความทรงจำบางอย่างพยายามจะผลักตัวออกมา หากแต่มีเส้นใยบางๆที่กั้นเอาไว้
เธอเป็นความทรงจำแรกของฉันที่เริ่มปรากฎ แม้จะไม่ชัดเจน แต่มันให้ความรู้สึกคุ้นและเคยอย่างบอกไม่ถูก ฉันเคยเห็นหน้าเธอที่ไหนมาก่อน แต่ที่ไหนล่ะ?
ความฝัน.. อะไรบางอย่างกระตุ้นให้ฉันนึกถึงความฝันเมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้หญิงเลือดท่วมตัวที่ขอร้องให้ช่วย.. ไม่ผิดแน่ เธอคือฮเยมี
แต่มันไม่ใช่แค่นั้น..
ฉันเคยเจอเธอมากกว่าในความฝัน ยิ่งคิดก็ยิ่งขนลุกไปทั้งตัว ราวกับฝันนั้นมันเคยเป็นความจริง ราวกับฉันได้เจอมันกับตาตัวเอง
มันน่าหงุดหงิดที่ฉันจำอะไรได้ไม่มากนัก ฉันโทรไปหาทั้งจียงและดาร่าและเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ทั้งสองยืนยันว่าฉันกับเด็กผู้หญิงเคราะห์ร้ายนี้ไม่มีความสัมพันธ์กันในด้านใดๆทั้งสิ้น ฉันจึงเดินพล่านไปทั่วห้องมองหาบางสิ่งที่อาจจะกระตุ้นความจำส่วนนี้ให้ออกมา แต่ก็เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์เลย
เนื้อข่าวในหนังสือพิมพ์บอกไว้ว่า พโย ฮเยมี นักเรียนมัธยมปลายปีสองของโรงเรียนมัธยมซานึน อายุ 17 ปี เมื่อเวลา 23.17 น. ของวันที่ 4 เมษายน เธอได้ถูกพบในสภาพกลายเป็นศพอยู่บริเวณสวนสาธารณะใกล้โรงเรียนที่เธอเรียนอยู่ คนร้ายคือนายพัคจางอูผู้เป็นครูประจำชั้น เขาทำร้ายเธอโดยการจับศีรษะโขกพื้น และแทงด้วยมีดอีกหลายสิบแผลจนเธอถึงแก่ชีวิต สาเหตุของการฆ่านี้มาจากการที่ฮเยมีรู้เรื่องการทุจริตยักยอกเงินโรงเรียนของอาจารย์คนนี้ ซึ่งในวันหลังเกิดเหตุ เขาก็ได้ถูกคุมตัวขณะหลบซ่อนอยู่ในห้องพัก และถูกตัดสินจำคุกในข้อหาฆ่าคนตายและทุจริตทรัพท์สินของราชการ
โรงเรียนมัธยมซานึน.. ถ้าจำไม่ผิด ดาร่าบอกว่าฉันโดนทำร้ายที่นั่น
มันจะบังเอิญเกินไปรึเปล่า
มือถือบนโต๊ะสั่นครืดแล้วหยุดลง มีข้อความหนึ่งฉบับส่งเข้ามา ฉันหยิบขึ้นมาเปิดดู มันไม่ปรากฎหมายเลยโทรศัทพ์ของผู้ส่ง.. เพียงแค่อ่าน ข้อความไม่กี่ตัวอักษรนั้นก็ทำฉันชาไปทั้งร่าง
‘อยู่นิ่งๆอย่างนั้นแหละ เด็กดี ฉันกำลังจะไปหา
แชรินยา.. ให้กระต่ายตัวนี้เชือดคอเธออย่างช้าๆเถอะนะ
-Rabbit’
โทรศัพท์แทบจะหล่นลงจากมือถ้าฉันไม่เทตัวลงไปบนโซฟาเสียก่อน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าฉันซีดขนาดไหน สิ่งที่ฉันอ่านไปเมื่อครู่ตีความออกได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
มันคือคำขู่ฆ่า
อาการปวดขมับที่ยังไม่หายทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ฉันยืนแทบไม่ไหว ใจมันสั่นไปหมดทั้งเครียดทั้งกลัว ฉันขอให้นี่เป็นเพียงเรื่องล้อเล่น ขอให้มันเป็นเพียงเรื่องตลกที่ใครบางคนกุขึ้นมาเพื่อแกล้งฉัน
ฉันสูดลมหายใจลึกๆแล้วผ่อนออก คุมตัวเองให้มีสติและทำใจให้เย็น พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ฉันผวาตัวโยน ถดตัวไปนั่งขดอยู่ที่มุมโซฟาอย่างไม่รู้ตัว
มันบอกว่ามันกำลังจะมา ถ้าหลังประตูคือมันจริงๆล่ะ? แล้วฉันจะทำยังไง..
ใจเย็นเข้าไว้แชริน.. ฉันเตือนตัวเอง แต่เหมือนร่างกายจะไม่ฟัง แรงบีบที่ขมับทั้งสองมากขึ้นเรื่อยๆจนฉันมือสั่น
ปวดหัวไม่ไหวแล้ว.. .
เสียงเคาะประตูยังไม่หยุด และเหมือนว่าจะดังขึ้นเรื่อยๆ ฉันกำลังชั่งใจว่าจะเปิดดีหรือไม่ มือข้างหนึ่งคว้าไม้เบสบอลขึ้นมา และจึงรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปจับลูกบิดอย่างระวัง
“ยองเบ?”
ฉันลดไม้เบสบอลลงเมื่อพบว่าคนหลังประตูคือเพื่อนบ้านที่อยู่ห้องตรงข้าม เขามีสีหน้าแปลกใจกับอาวุธในมือฉัน
“เอ่อ.. คือผมจะขอยืม.. แชริน!”
น้ำเสียงตกใจของยองเบดังก้องสองหู ขณะที่ไม้เบสบอลหล่นกระทบพื้น ฉันเองก็เช่นกัน
แล้วฉันก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย
ความคิดเห็น