ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ......Dirt...... [BIGBANG x 2NE1]

    ลำดับตอนที่ #3 : Welcome back home

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 197
      0
      6 ก.ค. 57

     

     

     

    ฉันนอนโรงพยาบาลต่ออีกหนึ่งคืน รุ่งเช้าคุณพยาบาลเข้ามาล้างแผลและเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ฉัน พอแปดโมงกว่าๆเพื่อนทั้งสองของฉันก็มารับตามที่สัญญากันไว้ และตอนนี้ฉันก็นั่งอยู่บนแลมโบกินีคันหรูของคุณหนูจียงผู้มีกินตลอดชีพแม้จะไม่ต้องกระดิกตัวทำงานอะไร ก็เขาเป็นถึงลูกชายคนเดียวของบริษัทนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งมีหุ้นเล็กหุ้นน้อยกระจายตัวอยู่ทั่วเกาหลีใต้ ถ้าดาร่าไม่บอกฉันก็คงไม่รู้ถึงความโอ่อ่าของเพื่อนคนนี้หรอก

     

    “นั่นไง ร้านกาแฟที่แกทำงานอยู่น่ะ”

     

    ฉันมองตามนิ้วชี้ของดาร่าไปยังร้านกาแฟห้องกระจกที่มีเฉลียงเล็กๆยื่นออกมาด้านหน้า ตัวร้านอยู่ในอาคารเดียวกับคอนโดมิเนียมที่ดาร่าบอกว่าเป็นบ้านของฉัน จียงชะลอรถและจอดลงตรงหน้าประตูทางเข้า แล้วดาร่าก็ส่งกระเป๋าสะพายทรงเหลี่ยมขนาดพอๆกับกระเป๋ากล้องมาให้

     

    “อ่ะ..นี่กระเป๋าแก ไม่มีอะไรหายฉันรับรองได้”

     

    ฉันลองเปิดดู ในนั้นมีกระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลเข้ม ผ้าเช็ดหน้า กุญแจสองสามดอกที่ห้อยติดกันเป็นพวง และสมาร์ทโฟนที่แบตหมดแล้วอีกเครื่องหนึ่ง

     

    “ห้องแกเบอร์ A1403 ชั้นสิบสี่ กุญแจอยู่ในนั้นแล้วนะ”

     

    ฉันพยักหน้ารับ สองคนนั้นไม่ได้เข้ามาส่งฉันข้างในเพราะเห็นว่าติดธุระกันทั้งคู่ ยอมรับว่าซึ้งใจไม่น้อยที่พวกเขายังคงเป็นห่วงฉันทั้งๆที่ตัวเองก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องทำเหมือนกัน ฉันเองก็ยังตื่นเต้นกับอะไรๆที่ดูแปลกใหม่ไปเสียหมด ไม่ว่าสิ่งของชิ้นไหนๆ หรือสถานที่ใดๆก็ดูไม่คุ้นตาเลยสักนิด แต่การที่มีเพื่อนดีๆอยู่ข้างๆแบบนี้ตั้งสองคนทำให้ฉันโล่งใจไปได้เยอะเลยทีเดียว

     

    ฉันเดินตามลูกศรที่ชี้ไปยังลิฟต์ ผ่านล็อบบี้และตู้ใส่จดหมาย จนเจอกับประตูกระจกใสๆที่กั้นระหว่างจุดที่ฉันยืนกับลิฟต์สองตัวที่อยู่ข้างใน  คอนโดนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี กล้องวงจรติดอยู่ตลอดทางที่ฉันเดิน และการที่ใช้ลิฟต์เพื่อขึ้นไปชั้นบนนั้น จะต้องมีการกดรหัสที่แป้นพิมพ์เพื่อให้ประตูกระจกบานนี้เปิดออก แต่ก็นั่นแหละ มันคือปัญหาใหญ่ของฉันเลย ดาร่าคงจะลืมบอกรหัสผ่านกับฉันแน่ๆ

    ฉันเดินกลับไปที่ล็อบบี้แต่ก็ไม่ปรากฎวี่แววพนักงานคนใด เลยเดินไปที่หน้าประตูกระจกนั้นอีกครั้ง ลองนึกเลขสี่หลักที่พอมีอยู่ในหัวแล้วกดลงไปมั่วๆ ผลลัพธ์ของมันไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่ แถมยังส่งเสียง ตื๊ดดด ให้ต้องตกใจกันอีกระลอก

     

    “สามเก้าศูนย์ห้าครับ”

     

    เสียงของใครบางคนดังขึ้นจากข้างหลัง เป็นผู้ชายสวมเฮดโฟนที่ยืนอยู่ เขาสูงกว่าฉันไม่มากนัก ดวงตาเรียวเล็ก ผิวขาวเหลือง บ่งบอกความเป็นเอเชียกลางแท้ๆ เขาสวมเสื้อยืดสีขาวคอกลมที่เปื้อนเหงื่อกับกางเกงวอร์มสีกรมและรองเท้าวิ่งสีเดียวกัน

    ยังไม่ทันที่ฉันจะได้ทำอะไร เขาก็ดึงเฮดโฟนลงมาที่คอ ทวนคำพูดนั้นพร้อมรอยยิ้มบางๆ

     

    “สามเก้าศูนย์ห้า ลองกดดูสิครับ”

     

    ฉันทำตามที่เขาบอก ไม่ถึงสามวินาทีประตูก็เปิดออกอย่างว่าง่าย

     

    “ใช่จริงๆด้วย.. ขอบคุณนะคะ”

     

    ฉันก้าวเข้าไปภายในเพื่อรอลิฟต์ เขาก็เดินตามเข้ามาเช่นกัน

     

    “ไม่เป็นไรครับ เข้ามาใหม่ๆบางทีผมก็ลืม ก็ต้องจดเอาไว้แบบนี้” เขาโชว์ฝ่ามือที่มีรอยหมึกปากกาเขียนเป็นตัวเลข 3905 พลางหัวเราะเบาๆอย่างอารมณ์ดี

     

    ฉันหัวเราะตาม “ฉันคงต้องทำแบบคุณบ้างแล้วล่ะค่ะ”

     

    เสียง ตึ๊ง มาพร้อมกับประตูลิฟต์ที่แยกออก ภายในลิฟต์ไม่มีใคร ฉันกับชายแปลกหน้าคนนี้เดินเข้าไปข้างใน เป็นเรื่องน่าบังเอิญที่เขากับฉันไปชั้นเดียวกัน เขาเอาเฮดโฟนมาครอบหูไว้ตามเดิม ฉันยืนอยู่เงียบๆ รอจนเลขสีแดงที่ปรากฎบนแผงควบคุมลิฟต์กลายเป็นเลขสิบสี่

     

    ประตูเปิดออก ทางเดินถูกแยกออกเป็นสองทางซ้ายขวา ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปทางซ้าย ในขณะที่ฉันได้แต่งยืนงงอยู่หน้าลิฟต์ เพราะชั้นหนึ่งชั้นนั้นมีห้องมากมายเหลือเกิน

    ฉันลองสุ่มดูหมายเลขหน้าประตูห้องๆหนึ่ง มันเขียนว่า B1410 ถัดไปเป็น B1412 และ B1414

    แล้ว A1403 ไปอยู่ไหนซะล่ะ? .. หรือว่ามาผิดชั้นกันเนี่ย..

     

    “มีอะไรให้ช่วยมั้ยครับ”

     

    ผู้ชายเฮดโฟนคนนั้นเดินกลับมาให้ความช่วยเหลืออีกครั้ง คงเพราะสมเพชเวทนาฉันแน่ๆ คิดแล้วก็อายจริงๆเลย..

     

    “คือ.. ว่า.. ห้อง A1403 นี่อยู่ทางไหนหรอคะ”

     

    “ตามผมมาก็ได้ครับ ห้องผมก็อยู่โซนAเหมือนกัน”

     

    ฉันพยักหน้า ถึงปากจะบอกว่าให้ตามไปก็เถอะ แต่เป็นเขาเองที่เดินช้าลงแล้วลดระดับฝีเท้าจนมาเดินข้างๆฉัน แล้วก็ชวนฉันคุยไปด้วย

     

    “เพิ่งย้ายเข้ามาใหม่หรอครับ”

     

    “เปล่าค่ะ.. คือ.. พอดีว่า ไม่ได้กลับมานานมากๆน่ะค่ะ”

     

    ฉันโกหก เพราะการเที่ยวไปบอกใครต่อใครว่าตัวเองความจำเสื่อมคงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก

     

    “ถึงว่าล่ะ ผมอยู่ที่นี่อาทิตย์นึงแล้วแต่ไม่เคยเห็นคุณเลย”

     

    “คุณอยู่ห้องไหนหรอคะ”

     

    A1402ครับ ตรงข้ามห้องคุณพอดี”

     

    หลังจากฉันเดินมาจนเกือบสุดทาง ก็พบว่าผู้ชายเฮดโฟนคนนี้พูดถูกทุกอย่าง ห้องของฉันและเขาอยู่ตรงข้ามกันชนิดที่ว่าเปิดประตูออกมาก็เจอกันเลย

    เราต่างคนต่างแยกย้ายกันเข้าห้อง  เมื่อเปิดประตูเข้าไป ฉันก็เห็นห้องโทนสีครีมสลับน้ำตาลที่ตกแต่งอย่างเรียบๆ  หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ ขนาดของห้องทั้งชุดไม่ได้ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็กจนน่าอึกอัด ทุกส่วนของที่นี่เป็นระเบียบเรียบร้อยและเข้าที่เข้าทาง

    ฉันเดินสำรวจตั้งแต่ห้องนั่งเล่นที่มีโทรทัศน์ตั้งอยู่ติดผนัง ห้องครัวที่มีเครื่องครัวครบแทบจะทุกอย่าง ห้องนอนของฉันก็ไม่ได้ต่างจากห้องที่อื่นนัก คือตกแต่งอย่างง่ายๆ ไม่ได้มีอะไรพิเศษหวือหวา ที่เด่นที่สุดคงจะเป็นตุ๊กตาหมีไซส์ยักษ์สีน้ำตาลเหลืองที่ห้อยป้ายว่า Rilakkuma ซึ่งนอนแอ้แต้อยู่บนเตียงสีฟ้าอ่อนตัวนั้น ฉันเห็นชั้นวางหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยหนังสือจนล้นชั้น มีทั้งหนังสืออ่านนอกเวลา พจนานุกรมเล่มหนา หนังสือเกี่ยวกับภาษา สัทศาสตร์ และสัทวิทยาต่างๆ

    หนึ่งในสิ่งที่ดึงดูดความสนใจมากที่สุดคงจะเป็นรูปในกรอบรูปข้างหัวเตียง ในนั้นปรากฎภาพคนสามคนที่ยิ้มอย่างมีความสุข โดยมีฉากหลังเป็นน้ำทะเลและหาดทรายขาวสะอาด สองในสามเป็นชายหญิงวัยกลางคน พวกเขาจับไหล่เด็กหญิงที่ยืนยิ้มแฉ่งจนตาปิดอยู่ตรงกลางภาพ เพียงแค่แวบเดียวฉันก็พอจะรู้ว่าเขาคือครอบครัวของฉันเอง

    จริงอยู่ที่ฉันจำส่วนต่างๆของห้องชุดนี้ไม่ได้เลย แต่สถานที่แห่งนี้ได้ก่อความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจ มันเป็นความรู้สึกคุ้นชิน ปลอดภัย เหมือนที่นี่คือที่ๆของฉัน .. เหมือนกับว่าได้กลับบ้านอีกครั้ง

     

    .

    .

     

    ฉันมองตัวเองผ่านกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นตั้งแต่หัวจรดเท้า เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นตัวเองอย่างจริงๆจังๆหลังจากตื่นขึ้นมาพบโลกใบใหม่ ในนั้นเป็นภาพของผู้หญิงที่มีผ้าก๊อซแปะอยู่บนหน้าผาก หน้าตาหมวยๆ ผิวขาว ผมยาวสีน้ำตาลบอลด์จากการย้อม และมีไฝอยู่ที่ใต้ริมฝีปากด้านขวา ก็แค่ผู้หญิงธรรมดาที่ไม่ได้สวยโดดเด่นอะไร ฉันมีหุ่นอวบๆ ส่วนสูงตามมารตรฐานผู้หญิงเกาหลีทั่วไป ฉันสวมเสื้อแขนยาวสีแดงมีฮู้ดยาวกรอมเข่ากับกางเกงยีนส์ขาสั้นที่หาได้จากในตู้เสื้อผ้า และกำลังมองหารองเท้าผ้าใบสักคู่เพื่อที่จะออกไปข้างนอก

    ครั้นเปิดประตูออกไป ก็เจอกับประตูอีกบานที่อยู่ตรงข้ามกัน ห้องของมนุษย์เฮดโฟนคนนั้น.. จะว่าไปฉันยังไม่ได้ขอบคุณเขาที่ช่วยฉันหาห้องเลย จะเคาะประตูเรียกตอนนี้มันก็ดูแปลกๆอยู่

    เอาเถอะ..ยังไงก็ต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ ถึงตอนนั้นก็ค่อยขอบคุณแล้วกัน

     

    บ่ายแก่แล้ว สิ่งหนึ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้คือการลงไปรอรถประจำทางที่หน้าคอนโด ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ฉันทำตามคำพูดของซานดาร่า เธอบอกให้ฉันเอากระเป๋าสตางค์ไปด้วย และเมื่อไปถึงที่หมายฉันก็ตรงเข้าไปที่แผนกต้อนรับ ฉันแจ้งชื่อ นามสกุล และยื่นบัตรสีส้มอ่อนที่อยู่ในช่องบัตรของกระเป๋าสตางค์ให้พนักงานคนนั้น ไม่นานนักเขาก็กลับมาพร้อมกรงสีขาวที่มีเจ้าเหมียวสามสีตัวอ้วนลืมตาแป๋วอยู่ข้างใน

     

    “วันนี้เค้าไม่ยอมหลับเลยครับ ท่าทางจะรู้ว่าเจ้าของจะมารับ”

     

    ฉันรับกรงมาจากพนักงานรับฝากสัตว์เลี้ยง สิ่งมีชีวิตขนปุกปุยลุกขึ้นและใช้ตัวของมันคลอเคลียกับซี่ลูกกรงเป็นการอ้อน ฉันสอดนิ้วเข้าไปเกาคางมันเบาๆ แล้วจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายที่ค้างไว้อีกครึ่งหนึ่ง ซึ่งครึ่งแรกจียงเป็นคนจัดการให้แล้ว

    โฮยา เป็นแมวสามสีที่ฉันเลี้ยงไว้ที่คอนโด แต่เมื่อฉันเข้าโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ ดาร่าผู้กลัวสัตว์ทุกชนิดบนโลกเลยสั่งให้จียงพาโฮยาไปฝากไว้ที่สถานรับฝากสัตว์เลี้ยง และเธอเองก็คงเพิ่งนึกได้ จึงโทรมาบอกให้ฉันไปรับโฮยาเมื่อตอนบ่ายนี้เอง

    ฉันเอาโฮยากลับมาที่คอนโดโดยไม่ลืมที่จะซื้ออาหารเม็ดมาตุนไว้ด้วย ขณะกำลังเดินไปที่ลิฟต์ ก็เปลี่ยนใจถอยหลังกลับมาที่ตู้ฝากจดหมาย ไล่สายตาหาห้องตัวเองจนเจอ แล้วก็พบว่าจดหมายในตู้นั้นมีมากจนเกือบจะล้นก็ว่าได้

    ฉันรวบจดหมายพวกนั้นไว้ในมือแล้วขึ้นไปบนห้อง สิ่งแรกที่ทำคือปล่อยโฮยาออกจากกรงแล้วมันก็เดินเข้ามาถูตัวเองกับขาฉันไปมา ฉันเล่นกับมันนิดหน่อยแล้วจึงเปลี่ยนมาให้ความสนใจกับจดหมายที่กองเป็นตั้งๆ ส่วนใหญ่จะเป็นจำพวกจดหมายบิล ทั้งค่าโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต ธนาคาร อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ฉันเปิดดูผ่านๆจนมาเจอกับซองจดหมายสีขาวเกลี้ยงๆที่เขียนเพียงชื่อผู้ส่งและผู้รับ แต่กลับไม่มีที่อยู่ แสตมป์ หรือตราประทับใดๆทั้งสิ้น

     

    From Rabbit,

     

    To Lee Chaerin

     

    Rabbit น่ะหรอ .. ไม่น่าจะใช่ชื่อคนนะ อาจจะเป็นนามปากกา นามแฝง หรืออะไรสักอย่าง..

    ฉันเปิดจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาดูอย่างสนใจ แต่ก็ต้องเพิ่มความสงสัยมากขึ้นไปอีก เพราะในนั้นมีกระดาษสาสีครีมเนื้อดีที่ปรากฏตัวอักษรซึ่งพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด

     

    มันเขียนว่า ..

     

    ยินดีต้อนรับกลับบ้าน

     

    ฉันพลิกหน้ากระดาษไปมาอย่างไม่เข้าใจ มันไม่มีอะไรมากกว่านั้นอีกแล้ว ข้อความนี้ยิ่งอ่านก็ยิ่งงง

    อะไรกันเนี่ย..

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×