คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Wake up
ฉันลืมตามองฝ้าเพดานสีขาว ตัดสลับกับสายใสๆที่เกี่ยวกับเสาสีเงินเงาวับ กลิ่นยาชวนเวียนหัวลอยเข้ามากระทบปลายจมูก เสียงแอร์เบาๆแต่ดังพอที่จะทำลายความเงียบของห้องนี้ ฉันกระพริบตาถี่ๆไล่ความมึนงงและหนักอึ้งบริเวณกลางศีรษะ ก่อนที่ความรู้สึกอีกอย่างจะปราดเข้ามาบนหน้าผากด้านซ้าย เป็นความเจ็บระบมที่ไม่ต้องมองกระจกก็รู้ดีว่าเกิดเป็นบาดแผล ฉันยกมือข้างที่ไม่ได้ต่อกับสายน้ำเกลือขึ้นมาจับดู ผ้าพันแผลหน้ากว้างขนาดสองนิ้วพันอยู่รอบศีรษะ และตอนนี้ฉันก็นอนอยู่บนเตียงพักฟื้นในสถานะผู้ป่วยคนหนึ่ง
“กรี๊ดดดดด แชริ๊นนนนนนนนนนน แกฟื้นแล้ววววววววววว”
เสียงกรีดร้องโหยหวนของใครบางคนทำฉันสะดุ้งโหยง ผู้หญิงผิวขาว ตัวเล็ก หน้าตาจิ้มลิ้มยืนทำท่าประหลาดอยู่หน้าประตู เธอปรี่เข้ามาหาฉัน ทำหน้าเหมือนอาซิ่มถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง แล้วเธอก็กรี๊ดอีกครั้ง
“แกตื่นแล้วจริงๆใช่มะ นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่มะ กรี๊ดดดดดดด ฉันนึกว่าแกจะตายแล้วซะอีก ไหนดูซิๆ เจ็บตรงไหนมั้ย เรียกหมอดีมั้ยแก เออจริงสิฉันต้องบอกหมอว่าคนไข้ฟื้นแล้ว ลีแชรินฟื้นแล้วค่ะหมอกรี๊ดดดดดดดดด”
ฉันมองผู้หญิงคนนี้กระโดดโลดเต้นไปทั่วห้องอย่างไม่ว่าอะไร เธอกดปุ่มฉุกเฉินที่ข้างเตียง ไม่นานนักทั้งหมอทั้งพยาบาลก็พากันเข้ามาในห้อง พวกเขาตรวจร่างกายฉัน และถามอาการว่ายังเจ็บตรงไหนมั้ย ฉันตอบพวกเขาไปตามตรง พวกเขาคุยอะไรกันบางอย่าง ก่อนจะหันไปพูดกับผู้หญิงตัวเล็กที่กรี๊ดแปดตลบเมื่อสักครู่นี้
“ไม่ต้องห่วงแล้วนะครับคุณพัค แผลที่ขมับของคนไข้แห้งจนเป็นสะเก็ดและไม่มีการอักเสบ อาจจะทิ้งเป็นรอยแผลเป็นไว้นิดหน่อย ส่วนรอยช้ำตามร่างกายก็จางลงเยอะ พักฟื้นอีกแค่คืนเดียวก็คงกลับบ้านได้แล้วครับ”
“จริงหรอคะหมอ แชรินแกได้ยินใช่มั้ย เดี๋ยวแกก็ได้กลับบ้านแล้วนะ”
เธอเขย่ามือฉันอย่างดีใจ ฉันมองเธอสลับกับหมอและพยาบาล ยิ่งมองก็ยิ่งสับสนวุ่นวาย แล้วฉันก็ถามออกไป
“ขอโทษนะคะ แชริน…คือชื่อของฉัน .. หรอคะ”
.
.
“เก้าคูณห้าได้เท่าไหร่ครับ”
“สี่สิบห้า”
“เมืองหลวงของฝรั่งเศสคือ”
“ปารีส”
“คุณเกิดวันที่เท่าไหร่ครับ”
“อะ..เอ่อ ฉันจำไม่ได้หรอกค่ะ”
“แล้วพอจะจำเหตุการณ์ก่อนที่คุณจะหมดสติได้มั้ย”
ฉันพยายามนึก .. แต่แล้วก็ต้องส่ายหัว
หมอหันไปคุยกับพยาบาล แล้วเขาก็ยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร
“ไม่เป็นไรนะครับ ค่อยๆนึกไป เดี๋ยวคุณนึกออกเอง”
“แชรินความจำเสื่อมหรอคะหมอ”
เป็นเสียงของพัคซานดาร่าหรือผู้หญิงคนที่โวยวายอยู่ข้างเตียงเมื่อสักครู่ ฉันเดาเอาว่าเธอคงเป็นเพื่อนของลีแชริน .. ในอีกความหมายหนึ่งเธอคือเพื่อนของฉัน แต่เป็นฉันเองที่กลับจำเธอไม่ได้เลย
ดาร่ามีท่าทางเป็นกังวลและห่วงฉันมาก มากเสียจนฉันรู้สึกผิดต่อเธอเลยทีเดียว
“ครับ ผู้ป่วยสูญเสียความทรงจำบางส่วน อาจเพราะได้รับการกระทบกระเทือนจากของแข็ง หรือไม่ก็สภาวะหวาดกลัวในช่วงเวลาหนึ่ง โชคดีที่ความรู้เบื้องต้นของเธอไม่ได้เสียไปด้วย”
เธออ้าปากค้างอารามตกใจ
“ละ.. แล้วหมอเคยเจอเคสแบบนี้บ้างมั้ยคะ มีวิธีรักษาให้หายรึเปล่า” เธอถามต่อ ท่าทีลนลาน
“ก็มีบ้างครับ ส่วนการรักษาต้องใช้เวลา ผมแนะนำให้พาเพื่อนคุณกลับไปบ้าน เพราะการได้เจอกับสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคยทำให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลาย มีส่วนช่วยได้มากในการเร่งความจำให้กลับมา”
“นานแค่ไหนคะ .. ฉันหมายถึงอีกนานแค่ไหนแชรินจะกลับมาจำได้เหมือนเดิมน่ะค่ะ”
นายแพทย์วัยกลางยิ้มอ่อนๆ “ผู้ป่วยแต่ละรายไม่เหมือนกันครับ บางรายเมื่อได้เจอกับสิ่งกระตุ้น อย่างเช่นสิ่งของที่เขาผูกพันหรือรูปภาพต่างๆ ความจำก็จะค่อยๆกลับคืนมาจนเป็นปกติ บางรายจำได้เพราะเกิดการกระทบกระเทือนซ้ำซ้อน แต่นั่นก็ไม่มีอะไรยืนยันนะครับว่าความจำพวกนั้นจะกลับมาร้อยเปอร์เซนต์ ผู้ป่วยหลายคนมีชีวิตอยู่โดยความจำบางส่วนยังคงขาดวิ่นอยู่อย่างนั้น หรือการที่ความทรงจำจะไม่กลับมาเลยก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส ในกรณีของคุณแชรินผมเองก็ยังสรุปไม่ได้ ทุกอย่างต้องเกิดจากสิ่งแวดล้อม คนรอบข้าง รวมไปถึงสิ่งกระตุ้นอีกหลายๆอย่าง”
ดาร่าเงียบไปสักพัก เธอเหลือบสายตามองฉัน “แล้วแบบนี้จะส่งผลต่อสุขภาพแชรินมั้ยคะ”
“วางใจได้ครับ โรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร ผู้ป่วยมักมีอาการปวดศีรษะเมื่อเจอกับแรงกดดันมากๆ แต่ใช้เวลาไม่นานก็จะหายไปเอง”
ฉันนั่งฟังบทสนทนานั้นเงียบๆโดยไม่มีความคิดที่จะพูดอะไร หัวสมองฉันว่างเปล่าเสียยิ่งกว่ากระดาษที่ยังไม่ได้ถูกเขียน ไม่อาจจะปะติดปะต่อเรื่องราวอะไรได้เลย ที่ทำได้ตอนนี้คือมองตามนายแพทย์คนนั้นที่เดินออกไปนอกห้อง เมื่อประตูปิดลง ดาร่าก็หันกลับมาทางฉันด้วยสีหน้าที่หลากหลายยากจะอธิบาย
“แชรินยา.. นี่แกจำฉันไม่ได้จริงๆหรอ”
เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ฉันออกจะเสียใจอยู่หน่อยๆที่ต้องตอบไปว่าจำไม่ได้จริงๆ
“แล้วฉันจะทำไงดีล่ะเนี่ย โอ๊ย..ปวดหัวจริงๆ ต้องบอกให้ไอ้จียงรู้ก่อนล่ะ” เธอควานหาบางอย่างในกระเป๋าสะพาย ถ้าให้เดาคงเป็นโทรศัพท์มือถือ
“นี่.. ดาร่า” ฉันเรียก ในขณะเธอกำลังจิ้มโทรศัพท์ทัชสกรีนในมือ
“หึ?”
“ฉันขอโทษนะ”
“ขอโทษอะไรยะ ยัยบ้า นี่แกสติดีอยู่รึเปล่า ทำหน้าแบบนั้นไม่สมกับเป็นแกเลยนะ”
“ก็.. ฉันทำให้เธอต้องเดือดร้อนหนิ”
“จะบ้าหรอ ต้นเหตุมันมาจากไอ้โรคจิตที่ทุบหัวแกแล้วชิ่งหนีต่างหาก นี่ถ้าไม่มีมันเรื่องก็คงไม่เกิดหรอก แชรินเอ๊ยแชริน อยู่ดีไม่ว่าดีซวยเข้าให้มั้ยล่ะ”
“ฉันโดนตีหัวหรอ”
“โดนแมวข่วนมั้งแก แผลเท่าบ้านขนาดนี้”
ฉันจับหน้าผากตัวเองอีกครั้ง รู้สึกถึงความเจ็บที่ยังคงกระจายอยู่รอบปากแผล ฉันลองนึกถึงที่มาของมันแต่กลับล้มเหลว ในเมื่อฉันไม่มีอะไรเลยในหัวสมองตอนนี้
“เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“แน่ใจหรอว่าอยากจะฟังน่ะ”
ฉันพยักหน้าแรงๆ ให้เธอรู้ว่าฉันอยากฟังมันจริงๆ
“ฉันเองก็ไม่รู้อะไรนักหรอก จะพูดพอที่พูดได้ก็แล้วกัน” ซานดาร่าถอนหายใจหนักๆก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า แล้วลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆเตียง
“เรื่องมันเกิดเมื่อคืนวันศุกร์ อยู่ๆแกก็หายหัวไปจากคอนโดทั้งๆที่นัดฉันให้มาหา พอโทรไปคนที่รับกลับเป็นผู้ชายเสียงอู้อี้ มันพูดอะไรสักอย่างฉันเองก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอก ฉันเรียกชื่อแกอยู่หลายครั้ง แล้วเสียงกรี๊ดของแกก็ดังเข้ามาในสาย..”
ดาร่าเงียบไป ไม่ใช่เพราะว่าเธอจำตอนต่อไปของเหตุการณ์ไม่ได้ แต่ดวงตาสองข้างที่ฉันมองเห็นกำลังบอกถึงความหนักใจ
“ฉันได้ยินเหมือนเหล็กฟาดอะไรบางอย่าง ประมาณสี่ห้าครั้ง .. มันดังมาก แรงมากด้วย เสียงแกเงียบไปแล้วสายก็ถูกตัดไปเลย ตอนนั้นฉันกลัวมากจนทำอะไรไม่ถูก พอโทรไปอีกกี่ทีๆก็ไม่มีคนรับ ฉันเลยเอาเรื่องนี้ไปบอกกับตำรวจ พวกเขาค้นหาตัวแกจากสัญญาณมือถือ เราหากันทั้งคืน จนตีสามก็เจอแกในสภาพถูกทำร้ายร่างกายจนหมดสติอยู่ในห้องเก็บของโรงเรียนมัธยมซานึน แกสลบไปเกือบห้าวัน ฉันนี่ใจหายเลย..โชคดีแล้วล่ะที่ไม่เป็นอะไร”
แม้ฉันจะจำไม่ได้ว่าเรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับตัวเองเมื่อไหร่ แต่มันก็เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยืนยันได้จากสามชั่วโมงให้หลัง ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาขอให้ฉันให้ปากคำเกี่ยวกับคดี ฉันรู้สึกผิดไม่น้อยที่ให้ความช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย ดาร่าอธิบายให้พวกเขาเข้าใจถึงปัญหาความทรงจำของฉัน พวกเขาจึงบอกฉันให้ไปให้ปากคำที่โรงพักทันทีที่นึกอะไรออก เพราะตอนนี้ยังจับคนร้ายไม่ได้เนื่องจากมันไม่ได้ทิ้งหลักฐานไว้ ตำรวจได้สอบปากคำบุคลากรทุกคนภายในโรงเรียนแต่ก็ต้องเสียเวลาเปล่าเพราะไม่มีใครที่น่าสงสัยเลยสักคน
.
.
“เฮ้.. ยัยหมวย ฮัลโหลว..”
“ออกมานี่เลยไอ้จี จะยื่นหน้าเข้าไปทำเบื๊อกอะไรยะ แชรินได้ช็อคตายกันพอดี”
“เอ้า ก็ฉันเห็นมันนิ่งผิดปกติ เลยสงสัยว่ามันจะเป็นใบ้ไปด้วยรึเปล่า”
“ไอ้บ้า แชรินแค่นึกหน้าแกไม่ออกเลยไม่รู้จะพูดอะไรตะหาก”
ฉันนั่งมองหน้าซานดาร่าสลับไปมากับผู้ชายตัวผอมสูงที่เธอเรียกว่าจียง เขามีสไตล์การแต่งตัวค่อนข้างแปลก หมวกไหมพรมที่เขาสวมอยู่ดูไม่เข้ากับหน้าร้อนอย่างตอนนี้เลยสักนิด
“นี่ฉันจียงนะ เพื่อนซี้ย่ำปึ้กของแกไงล่ะ จำหน้าฉันเอาไว้ดีๆ เพราะฉันนี่แหละที่จะช่วยฟื้นความทรงจำให้แกเอง” เขายื่นหน้ามาใกล้ๆ ฉันได้แต่พยักหน้าไปอย่างไม่รู้จะทำยังไง
“เหอะ อย่างแกเนี่ยอ่ะนะ ฉันไม่เคยเห็นแกมีประโยชน์เกินสามวินาทีเลย” ดาร่าพูด
“ว่าแต่ฉัน แล้วแกล่ะ คิดออกแล้วหรอว่าจะทำยังไง”
“ยัง”
“นั่นไง .. โถ่ แล้วทำมาว่าคนอื่นนะป้า”
“ใครป้ายะ! ฉันเด็กกว่าแม่แกเป็นสิบปีนะไอ้บ้า!”
“เอ่อ..” เป็นเสียงฉันเองที่แทรกขึ้น ก่อนที่สองคนนั้นจะทะเลาะกันจนออกทะเลไปมากกว่านี้ “ขอบใจพวกเธอนะ ทั้งสองคนเลย”
“เออเฮ้ย .. ฟังแกพูดเพราะๆนี่มันขนลุกพิลึกดีแหะ” จียงว่าพลางทำท่าลูบแขนไปมา
“นี่ อยู่กับพวกฉันไม่ต้องพูดดีขนาดนี้ก็ได้ บอกตามตรงเลยว่าไม่ชิน” ดาร่าเสริม
“ปกติฉันเป็นคนยังไงหรอ” ฉันถาม ชักเริ่มสงสัยที่มาที่ไปของตัวเองแล้วสิ
“นิ่งๆเงียบๆ ขี้เกรงใจ ไม่โวยวายเหมือนยัยนี่หรอก”
“ย๊า!!”
การถูกพาดพิงทำคนขี้โวยวายร้องออกมาอย่างไม่พอใจ แต่จียงดูจะไม่สนใจดาร่าเลยแม้แต่น้อย เขายังคงพูดต่อไป
“สมัยเรียนมหาลัยแกน่ะระดับหัวกะทิเลย แกชอบทำงานฝีมือ ทำอาหาร แต่งเพลง แล้วก็เขียนไดอารี่”
ฉันพยักหน้าให้กับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับ ฉันถามเรื่องของตัวเองและคนรู้จักจากดาร่าและจียง สองคนนี้ช่วยกันตอบโดยไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อย แล้วจึงได้รู้ว่า ลีแชริน คือชื่อที่พ่อฉันตั้งให้ ท่านกับแม่เสียไปตั้งแต่ฉันยังเรียนอยู่มัธยมปีสอง ฉันมีญาติอยู่ที่กัวลาลัมเปอร์แต่พวกเขาไม่คิดที่จะส่งเสียฉันเลย ทุกวันนี้ที่อยู่ได้ก็เพราะเงินประกันและค่าจ้างเล็กๆน้อยๆจากงานพาร์ทไทม์ร้านกาแฟใต้คอนโด
ตอนนี้ฉันเป็นนักศึกษาปริญญาโทสาขาภาษาศาสตร์ที่วิทยาลัยกวังฮา ส่วนจียงกับดาร่าที่เป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยด้วยกันก็ต่างมีงานประจำกันแล้วทั้งคู่ อันที่จริงดาร่าแก่กว่าฉันและจียงสองปี แต่เพราะเรียนรุ่นเดียวกันเลยทำให้ลืมช่วงวัยที่แตกต่าง
ตกเย็นพวกเขาขนอัลบั้มรูปเก่าๆมาให้ฉันฉันดู จียงบอกว่านี่ของพวกนี้อาจจะช่วยให้ฉันจำอะไรได้บ้าง ฉันพลิกดูทีละรูปอย่างช้าๆ ฉันเห็นตัวเอง ดาร่า และจียง ที่ดูเด็กกว่าตอนนี้ประมาณสองสามปี รวมถึงวัยรุ่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกันอีกหลายคน ดาร่าบอกว่านี่คือเพื่อนร่วมรุ่นที่ปัจจุบันแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ทางของฉันคงจะคดเคี้ยวบิวเบี้ยว แตกต่างจากคนอื่นไปมากเลยทีเดียว
ความคิดเห็น