เมื่อ..(ฉันพบ)..สางเขียว - เมื่อ..(ฉันพบ)..สางเขียว นิยาย เมื่อ..(ฉันพบ)..สางเขียว : Dek-D.com - Writer

    เมื่อ..(ฉันพบ)..สางเขียว

    สาง...หรือภูติ...ปีศาจ หลากหลายนิยาม แต่...เมื่อพบมัน...เหนือคำบรรยาย

    ผู้เข้าชมรวม

    1,384

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    13

    ผู้เข้าชมรวม


    1.38K

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  27 ม.ค. 57 / 01:14 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    สางเขียว คือภูติพรายประเภทหนึ่ง
    ถ้าคุณรู้จักการกำเนิดของโหงพราย...มันคืออันเดียวกันหากแต่
    สางเขียวเกิดจากอาคมครึ่งหนึ่ง ความแค้นครึ่งหนึ่ง
    และการถูกตรึงให้อยู่เฉพาะที่ไม่เหมือนโหงพราย...
    มันจึงรอคอยเหยื่อ...ด้วยความกระหายหิว
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      ต้องกล่าวก่อนว่าในสมัยวัยรุ่น... เรามีปัญหากับแม่เลี้ยงบ่อยๆ ไม่ใช่ว่าเราดื้อหรือเกเร ฟากแต่เรื่องที่ทะเลาะกัน มันเป็นเรื่องของคนอื่น เช่นถ้าเขาทะเลาะกับพ่อ ก็ต้องหาเรื่องมาเล่นงานเรา ถ้าพ่อเผ่นออกไปก่อน เพราะเป็นคนเลือกร้อน หรือถ้าใครทำอะไรไม่ดี เขาก็จะว่าแรงๆ พอเราเข้าไปห้าม เขาก็จะหันมาเล่นงานเรา ก็แม่เลี้ยงของเรานะ ใช่ย่อยเสียที่ไหน แค่ฝันว่าเราโดดเรียน เท่านั้นจะให้เราออกไม่ให้เรียนต่อ ต่อเสียให้ได้ แต่เราไม่เคยเที่ยวแตร่ ขาดเรียน หรือติดยา ทางระบายของเราก็เข้าวัดซะ!! ทุกคนอาจจะงง ว่าแล้วมันแก้ปัญหาให้ตรงไหน ก็มันป่วยการที่จะอธิบา นี่คะ.. เฝ่นทำตัวเป็นศูนย์กลางของจักรวาลซะงั้น ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง ก็เอวังละคะ งานนี้เข้าวัดทำใจได้อย่างเดียว ที่เข้าวัดก็ฝึกสมาธิ...ฝังธรรม...ไหว้พระ...ช่วยแม่ชีจัดดอกไม้ถวายพระ... พอวันเสาร์-อาทิตย์ ก็นั้งรถไปเที่ยววัดแถวอยุธยาหรือจังหวัดใกล้ๆ บ้าง แอบหางานพิเศษทำบ้าง ..เฮ้อ...สุดเศร้า... วันหนึ่งเราเจอรุ่นพี่กลุ่มหนึ่ง มาชวนฝึกมโน (มโนมยิทธิ) ก็เลยตามเขาไป ตอนแรกไม่เข้าใจ แต่พอฝึกไปนานเข้ามันเริ่มมาเป็นสเตป เริ่มจากรู้สึกก่อน แล้วก็เริ่มเห็นลางๆ จนชัดขึ้น แล้วต่อมาก็ได้ยินเริ่มจากเสียงกระซิบที้ไม่รู้เรื่อง ก็เริ่มรู้เรื่องที่พวก เทพ วิญญาณหรือภูติพรายต่าง ๆ ต่อมาก็เห็นภาพเรื่องราวของพวกเขาทีละตอนๆ พอสงสัยก็จะให้หยุดแล้วก็ถามเขา ตรง ๆ แต่มีข้อแม้ว่าไม่ต้องมาให้เห็นในสภาพที่ต่างจากปก ถ้าเอียงคอหรือมีเลือดติดตัวมาก็พอทนไม่ต้องมาแบบอสุภเต็มสตรีม...ประเดี่ยวหัวใจวาย ถ้าจะมาในสภาพเต็มสตรีมนะ ส่งเสียงบอกก่อนให้เตรียมใจก่อน แล้วค่อยมา ก็คนนี่หน่า แบบนี้แหละเรียกว่าคน ออกนอกทะเลไปไกลเลยนิ มาเข้าเรื่องกันต่อ เราเริ่มฝึกมโนมยิทธิ ปี 2539 ถึงปัจจุบันก็ คิดเองละกัน ไม่ชอบคำนาณ +-+? หลังออกจากรั่วมหาลัยก็ต้องตระเวร หางานทำจนรองเท้าสึกมาหลายคู่ ตะลุยทุกงาน ตั้งแต่เด็กเสริฟ บาร์น้ำ จนถึงงานโรงงาน เรื่องผี เจอกันจนเหมือนเพื่อนซี่ไปซะแล้ว แต่ไอ้ที่แปลกก็คือ เรื่องของยัยคุณพี่สางเขียวแกนี่แหละ จนเราทำงานที่บริษัทหนึ่ง ในตำแห่นงธุรการมาได้ 3 ปีเศษ ไม่ขอเอ่ยชื่อ เพราะปิดไปแล้ว ที่ทำงานอยู่แถวสะพานใหม่ ตอนแรกที่มาทำงานใหม่ๆ ก็รู้สึกนิดๆ นะว่าที่นี่มันไม่ธรรมดา แต่คิดว่าเขาก็อยู่ขอเขา เราก็อยู่ของเรา ตอนนั้นไม่คิดว่าเขาจะเป็น "สางเขียว" (ไม่อยู่ในสาระบบของความคิดเลยละ ) ในความคิดตอนนั้น คิดว่าเขาเป็นเจ้าที่ หรือผีเรือน (ถึงจะเป็นอาคารพาณิขย์ 3 ชั้นครึ่งก็ตาม) ด้วยซ้ำไป บางครั้งที่ต้องกลับใกล้ค่ำ ก็เห็นเจ้าหล่อนมานั่งเล่นบ้าง สางผมบ้าง (ผมยาวมาก ขนาดตอนนั่ง ผมยังยาวจนพ้นข้อเท้าเวลานั่ง) ที่หน้าระเบียงชั้นสองด้วย ภาพที่เราเห็นเหมือนเป็นเงา คล้ายมองผ่านผ้าม่านบางสีขาว มันไม่ชัดเจนแต่พอจะจับเค้ารางได้ว่าสวยมาก แต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือดวงตาที่เรียวยาว สีแดงก่ำเหมือนเลือด แต่เวลาจ้องเขม้ง ตาดำจะขยายจนมองไม่เห็นตาแดง (ตาขาว) ทุกทีเจ้าหล่อนจะอยู่ที่ชั้นลอย แต่ด้านล่างเป็นมุมกาแฟ (แคนทีน) ของพวกเราที่รู้ว่าเจ้าหล่อนอยู่ที่ชั้นนี้เพราะ ย้อนหลังไปปี 2531 ก่อนเราเข้ามาทำงานสองปี ตอนนั้นคุณเหมียวเป็นเลขาผู้จัดการ ขึ้นไปหาสมุกบันทึกและสมุดใบวางบิล ของบริษัท ขึ้นไปหาตั้งแต่บ่ายสองโมง จนสี่โมงครึ่งก็ยังไม่ลงมา "ไอ้เหมียว มันขึ้นไปทำอะไร นานนักวะ.. ไอ้เหมียว" ผู้จัดการเรียก เพราะดูเหมือนว่าตนจะทำงานเพลิน จนดูเวลาก็ตกใจ "ให้ขึ้นมาเอาของแค่ชั้นลอย หายมาเป็นชั่วโมง ทำอะไรวะ ชั้นลอยร้อนตาย_ า" ผู้จัดการขึ้นไปตาม ในตอนแรกมองไม่เห็นคุณเหมียว และก้าวข้ามเข้าไปเอาสมุดบันทักและสมุดใบวางบิลอย่างละสามเล่ม พอหันกลับมาก็เจอคุณเหมียวนอนสลบ ขวางทาง กลับลงไปข้างล่าง หน้าซีด เหงื่อออกทั้งตัว พอเขย่าปลุก คุณเหมียวบอกว่า "หาไม่เจอเลยค่ะ ไม่รู้อยู่ทีไหน เนี้ยเหมียวหามาตั้งสิบนาทีแล้ว อ้าว! ผู้จัดการ ขึ้นมาเมื่อไหร่ค่ะ ทำไมเหมียวไม่เห็น" ดูท่าทางจะไม่รู้จริงๆ พอดีกับที่คนงานจะออกไซต์งานลงมา ก็เลยให้พยุงคุณเหมียวลงมาชั้นล่าง สังเกตุเห็นรอยเลือดยังสดไหลลงมาที่ติ่งหู แต่มองไม่เห็นรอยเลือดที่พื้น "ไปหาหมอก่อนเถอะเหมียว เลือดออกหูแหนะ แล้วดูแกซีดไปนะ" โดนผู้จัดการไล่ให้ไปหาหมอ เรื่องคุณเหมียว นี่ฟังมาจากพนักงานรุ่นพี่ นัยว่าผู้จัดการจะรู้ว่าไม่ใช่ฝีมือคนแต่ยังไม่ค่อยแน่ใจ ส่วนชั้นสองและชั้นสาม เป็นที่พักคนงาน ร่วม 18 ชีวิต ในปี 2547 ประมาณต้นปี ราวเดือนมีนาคม มีคนงานพักอยู่ชั้นบนร่วม 32 ชีวิต ใน จำนวนนี้ เป็นคนงานพม่า ชาย 2 คน หญิง 2 คน หนึ่งในนั้นคือเหยื่อ ของเจ้าหล่อน นายรุ หรือที่พวกเราเรียกติดปากว่าอาระ ถึงจะเป็นคนงานพม่า แต่อาระก็เป็นคนดี ที่สำคัญอาระเพิ่งจะกลับบ้านไปรับเหม่ย คู่ชีวิตที่ไม่ได้เจอกันมาถึง 4 ปี และเพราะเหม่ยมาอยู่ด้วย อาระจึงพาเหม่ยกันลงมานอนที่ชั้นลอย เหม่ยมาอยู่ได้ 3 วัน ก็ได้งานเสริฟก๋วยเตี๋ยว ห่างออกไปแค่ 4 ห้อง เท่านั้น งานของออฟฟิตมีฉัน หน่อย พี่กฐิน ส่วนชมพู่จะเข้ามาส่งยอดในสโตร์ทุกบ่ายวันศุกร์ ส่วนคนงานที่พักชั้นบน ต้องออกไปไซต์งานตอนกลางคืน เวลาเข้างานของพวกคนงานคือ 17.00-06.30 น. แต่ออกทำงานจริง 18.30 น. ส่วนเหม่ย เริ่มงาน 6.00-17.30 น. ถ้าอาระออกไปทำงาน เหม่ยก็จะอยู่กับจอยที่เป็นแม่บ้าน อยู่ชั้น 3 เพราะอาระเป็นคนอารมณ์ดี เรียบร้อย ขยัน ชอบแหย่คนนั้นคนนี้ พวกเราจึงเอ็นดูอาระเป็นพิเศษ อย่างวันนี้ ตอนเช้าก็ยังปกติ พวกเราเล่นกันไปทำงานกันไป จนเวลา 15.00  น.  
        "พี่ๆ ทะอาไร"
         อาระเข้ามาแตะไหล่เราและเราก็แค่หันไปมองแต่ 
         "ตาเถร...ทำตกหกใต้ถุน" เสียงพี่กฐินอุทานแปลกๆ ทำให้พวกเราหัวเราะครืนขึ้นพร้อมกัน
         "อาระอ้า...มาไม่ให้สุ้มให้เสียง ดูซิเนี้ย!! ตกใจหมดเลยอะ"
         พี่กฐินแก้ตัวแบบอ้อนๆ เป็นอันรู้กันว่าพี่แกแพ้หนุ่มหล่อ ก้ามเป็นมัดๆ อย่างอาระ
         "ต้มมาม่า...เอามั๊ย"
         ฉันถาม ขณะคนมาม่าในหม้อ ครั้งสุดท้าย
         "อะ...เอา"
          อาระพร้อมส่งยิ้มประจบมาให้
         "เดียวจะทำให้ก่อนพี่กลับ อย่าลืมลงมากินล่ะ!!"
         ฉันสั่ง แต่อาระของเราเล่นเดินขึ้นข้างบนไปนอนต่อ
         "ดูมันนะ...จะขอบใจซักคำก็ไม่มี"
         ฉันบ่นยิ้มๆ ก็มันน่าเอ็นดู
         "กินก็ง่าย นอนก็ง่าย ไอ้เหม่ยมันโชคดี"
         ฉันบอกก่อนที่พวกเราทั้งแก๊งจะทะยอยขนมาม่าที่ทำแล้วมากินต่อที่โต๊ะทำงาน ก็แหม ยังไม่ได้เวลาเลิกนี่คะ
         กินกันไป ทำงานกันไป หยอกเย้ากันไป ก็วันนี้เจ้านายจะเข้ามา ตอนที่พวกเรากลับบ้านแล้ว
         พวกเรารีบเคลียงานให้ทัน 16.00 น. จนได้แบบเฉียดฉิว พอดีจอยลงมาเก้บถ้วยชามที่พวกเรากินไปล้างให้
         ฉันเลยถือโอกาส ทำมาม่าให้อาระ และเผื่อจอยด้วย
         "จอย เก็บมาม่าให้อาระด้วยนะ" 
         ฉันสั้งก่อนปิดเตา แบ่งมาม่าเสร็จ ก็เดินมาเก็บของที่โต๊ะ แล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×