คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : widower :: chapter two
WIDOWER
#MARKBAM
CHAPTER TWO
“ครับ ฮ่าๆ ตอนนี้ก็ยังมีบ้างนะครับ”
“หืม...จริงเหรอครับแล้วพี่โฮมินทำยังไง”
“ฮ่าๆ”
เสียงใสดังขึ้นในช่วงสายของวันหลังจากที่เขาละสายตาออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อรับโทรศัพท์ซึ่งปรากฏเป็นชื่อของรุ่นพี่ที่ทำงานผู้น่ารักและแสนดีที่แบมแบมเคารพนับถือ ‘ชเวโฮมิน’ หรือที่แบมแบมเรียกติดปากว่าพี่โฮมินนั่นล่ะ เหมือนว่าเขาจะโทรมาถามเรื่องงาน ในตอนแรกแบมแบมก็ได้แต่ตอบไปตามจริงว่างานที่ทำเดินช้าเสียยิ่งกว่าเต่าคลาน โดยสาเหตุนั้นก็มาจากห้องข้างๆที่ขยันส่งเสียงรบกวนนั่นเอง
เสียงเด็กร้องทำให้แบมแบมสติหลุดแค่ไหนก็ดูเอาเองแล้วกัน ว่าเกือบอาทิตย์หลังจากนั้นงานของเขายังไม่เสร็จเสียทีทั้งๆที่เหลืออีกแค่สองสามตอนที่ต้องพิมพ์เท่านั้น...
“อ๋อ ตอนแรกผมก็อยากแจ้งเจ้าของตึกนะ แต่ก็สงสารลูกเขาน่ะยังเล็กอยู่เลย” แบมแบมยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มก่อนจะพิงสะโพกลงกับเคาน์เตอร์ห้องครัว ตอนนี้หัวข้อการสนทนาของเขาและรุ่นพี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคนข้างห้องของเขาที่หลังจากเจอกันครั้งแรกก็ผ่านมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว แบมแบมก็ยังไม่ชินกับเสียงร้องไห้แบบนั้นสักเท่าไหร่
แต่ก็ใช่ว่าแบมแบมจะปล่อยเลยตามเลยหรอกนะ
“ไม่เป็นไรหรอกครับพี่โฮมิน” เพราะว่าเขาเองก็เข้าไปให้ความช่วยเหลือชายหนุ่มข้างห้องอยู่หลายครั้งเหมือนกัน จนตอนนี้ทำให้เราพูดคุยกันได้อย่างสะดวกใจไปโดยปริยาย และอีกอย่างการที่เขาเข้าไปช่วยนั้นมันก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาใจดีหรือเป็นพ่อพระหรอก แต่นั่นเป็นเพราะเขาต้องการความเงียบเพื่อทำงานต่างหาก
“ครับ แบมต้องไปทำงานต่อแล้ว ขอบคุณนะครับพี่” จนสุดท้ายก็เป็นเขาที่พูดตัดบทก่อนเมื่อเห็นว่าเรื่องราวที่คุยมันเริ่มไม่เกี่ยวกับการทำงานสักเท่าไหร่
“...” โทรศัพท์มือถือถูกเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงดังเดิม ใบหน้ายิ้มแย้มของคนตัวเล็กก็กลับมานิ่งเฉยอีกครั้งแต่มันก็ไม่ใช่เพราะว่าไม่พอใจหรืออะไรหรอก แบมแบมหน้านิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาไม่ใช่คนยิ้มเก่งหรือมนุษย์สัมพันธ์ดีนัก ไม่อย่างนั้นจะมีเพื่อนในตึกแค่คนเดียวแถมยังเป็นคนแก่ข้างห้องหรือไง
ติ๊ง ~
เจ้าของห้องมีอันต้องขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น ที่แปลกใจก็เพราะเขาไม่ค่อยมีแขกมาเยี่ยมโดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้ามากนัก ดังนั้นคนตัวเล็กจึงไม่รอช้าที่จะกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังประตูหน้าห้องเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน
“...”
“อ้าว มีอะไรหรือเปล่ามาร์ค”
และเมื่อบานประตูเปิดออกภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็คือร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนพร้อมกับกระเป๋าอุ้มเด็กด้านหน้าที่มีร่างเล็กๆของยัยหนูวัยเจ็ดเดือนครึ่ง ยิ้มโชว์ฟันหน้าซี่เล็กๆกับเหงือกแดงๆให้เขาเป็นการทักทายจนแบมแบมอดไม่ได้ที่จะย่อตัวลงไปพูดคุยด้วย
“ผมเอาขนมมาฝาก ถือว่าแทนคำขอบคุณสำหรับอาทิตย์ที่ผ่านมา” มาร์คยิ้มบางๆก่อนจะยื่นกล่องแสตนเลสทรงสี่เหลี่ยมที่พอคนตัวเล็กเห็นโลโก้ประทับข้างกล่องปุ๊บก็รู้ได้ทันทีว่าของด้านในต้องเป็นคุกกี้กลิ่นนมรสชาติละมุนลิ้นจากร้านใต้ตึกแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
“ขอบคุณครับ เหมือนรู้เลยอะว่าผมชอบร้านนี้” คนตัวเล็กยิ้มรับเต็มใบหน้าก่อนจะรับเจ้ากล่องนั้นมาถือไว้เอง
“เมื่อวานผมลงเอาผ้าไปซักพอดีก็เลยแวะซื้อขึ้นมาด้วย ไม่ยักรู้ว่าคุณชอบ” แบมแบมเม้มปากพลางพยักหน้ารับคำพูดเหล่านั้นของชายหนุ่มตรงหน้า ก่อนที่บทสนทนาจะขาดหายไปชั่วครู่เมื่อยัยหนูในชุดสวยกว่าปกติไอค่อกแค่กออกมา
“อ๋า...แหวะออกมาทำไมล่ะลิลลี่”
“หือ...” มาร์คเองมองไม่เห็นหรอกว่ายัยตัวเล็กของเขาทำอะไรอยู่เพราะว่าสะพายลูกเอาไว้ข้างหน้า แต่พอแบมแบมบอกว่าลิลลี่ของเขาแหวะเอานมออกมากองไว้ที่คางตัวเองเขาก็รีบควานหาผ้าออกมายื่นให้แบมแบมรับไปอย่างรวดเร็ว
“จะพาแกไปเที่ยวไหนเหรอครับ” แบมแบมถามขณะที่บรรจงซับมุมผ้าลงไปบนริมฝีปากชมพูอ่อนของเด็กน้อยตรงหน้า
“อ๋อ...ว่าจะลองพาขับรถไปหาซื้อของใช้เพิ่มเติมน่ะครับ ไหนๆก็ย้ายมาอยู่แถวนี้แล้วเลยอยากสำรวจดูหน่อย” มาร์คตอบกลับพลางรับผ้าที่เปื้อนคราบนมมาพับเก็บใส่กระเป๋าเป้ที่สะพายไว้ไหล่ขวา
“ปะป๊าจะพาไปเที่ยวดีใจไหมลิลลี่...” คนตัวเล็กทำเสียงเล็กพูดคุยกับเด็กน้อยที่ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษในวันนี้ เพราะตั้งแต่เช้ามาแบมแบมยังไม่ได้ยินเสียงร้องผ่านกำแพงห้องมาเลยสักแอะเดียว เหมือนรู้เลยว่าพ่อจะพาไปเที่ยวน่ะ...
“อ่า คุณมาร์คลองขับไปตรงซอยสิบหกก็ได้ครับ มีห้างใหญ่ๆอยู่แถวนั้นเยอะเลย”
“โอเคครับ” มาร์คขานรับคำคนใจดีที่ช่วยแนะนำสถานที่ให้เขา แบมแบมเป็นเพื่อนข้างห้องที่ทำให้มาร์คคลายความกังวลไปได้เยอะมากจริงๆกับปัญหาการเลี้ยงเด็กทารกด้วยตัวเองเพียงลำพังแบบนี้
“งั้นผมขอตัวก่อนนะ คุณอยากได้อะไรหรือเปล่า” มาร์คขยับกายพร้อมกระชับกระเป๋าต่างๆที่ตนเองสะพาย แบมแบมส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะทำท่าโบกมือบ๊ายบายให้กับเด็กหญิงตัวน้อยที่แม้ว่ามาร์คจะพาเดินห่างไปแล้วเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของเธอก็ยังดังให้ได้ยินอยู่เลย
“...”
เห็นแบบนี้แล้วแบมแบมรู้ซึ้งเลยนะว่าการเลี้ยงคนๆนึงให้โตมันลำบากมากขนาดไหน
สามวันต่อมาต้นฉบับที่แบมแบมตัดสินใจหามรุ่งหามค่ำพิมพ์มันออกมาให้ดีที่สุดก็เสร็จสมบูรณ์ลงจนได้ เขาส่งไฟล์เข้าไปยังสำนักพิมพ์เป็นที่เรียบร้อย เหลือก็เพียงให้ฝ่ายพิสูจน์อักษรทำการพิสูจน์และรอเข้าไปเซ็นรับเงินที่บริษัทเท่านั้น ตอนนี้แบมแบมจึงพูดได้เต็มปากว่า
‘งานของเขา สำเร็จลุล่วงแล้ว’
“...” แต่พอไม่มีอะไรให้ทำทุกอย่างก็ดูว่างทันที เพราะว่าหนังสือของเขานั้นพิมพ์สองเดือนครั้ง ดังนั้นในเดือนนี้ซึ่งเหลือเวลาอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์จนกว่าจะเริ่มเดือนใหม่ และเดือนใหม่ก็เป็นเดือนว่างที่เขาไม่ต้องรีบเร่งส่งงานอีกต่างหาก...มันจึงเป็นอะไรที่ว่างมากๆเลย
จะหาพล็อตหรือให้พิมพ์ล่วงหน้าเขาก็คงไม่ทำเพราะว่ามันเป็นสไตล์ของเขาที่จะมาเริ่มทำตอนช่วงเวลาที่ใกล้ส่ง หรือเรียกง่ายๆว่าเขาเป็นพวกไฟลนก้นนั่นแหละ...แต่ก็อย่างที่รู้ๆกัน พี่โฮมินซึ่งอยู่ในตำแหน่งบก.ของบริษัทคงไม่ใจร้ายกับเขามากนักถ้าจะเลยกำหนดส่งไปวันสองวัน
“เฮ้อ”
แบมแบมถอนหายใจเมื่อเขาดันลุกขึ้นมาตอนหกโมงเช้าแล้วสมองตื่นเต็มที่จนไม่สามารถนอนต่อได้ อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนนี้เขานอนเร็วกว่าปกติด้วยล่ะมั้ง คนตัวเล็กคิดในใจว่าเขาควรทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่การนั่งอยู่เฉยๆ หากแต่จะออกไปเที่ยวก็ยังเช้าเกินไปอีก...
สุดท้ายแล้วแบมแบมก็มาจบอยู่ที่สวนของคอนโดในชุดวอร์มขายาวและเสื้อฮู้ดสีเข้ากัน รองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่งที่นานๆทีจะได้ใส่ถูกรื้อออกมาใส่สำหรับการวอร์มร่างกายในตอนเช้า แบมแบมไม่ใช่คนรักสุขภาพออกแนวไปทางทำลายด้วยซ้ำ แต่วันนี้ที่นึกคึกออกมาวิ่งก็เพราะเห็นว่าเวลามันเยอะและเขาก็ไม่มีอะไรทำ...
“...” และดูเหมือนว่าจะมีคนวิ่งออกกำลังกายเหมือนกันกับเขาเยอะพอสมควรเลย หากแต่ออกแรงวิ่งไปได้สักระยะเขาก็เหนื่อยจนต้องทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สีขาว เหงื่อเม็ดโตไหลลงมาตามกรอบหน้าทำให้แบมแบมตัดสินใจกับตัวเองว่าเขาควรพอได้แล้ว
สิบนาทีสำหรับการวิ่งวันแรก...ถือว่าดีล่ะมั้ง
“คุณแบมแบม”
“ค...ครับ อ้าว!” แบมแบมที่กำลังนั่งอ้าขาก้มหน้าด้วยความเหนื่อยเงยหน้าขึ้นมาเมื่อถูกเรียก ดวงตากลมเบิกขึ้นหน่อยๆเมื่อไม่คิดว่าจะได้เจอกันกับคนที่เขาคิดว่าน่าจะยังไม่ตื่น
“มาออกกำลังกายเหรอครับ เหงื่อโชกเลย” มาร์คส่งยิ้มบางๆให้เขาอย่างที่ชอบทำ ดวงตากลมโตจ้องไปยังรอยยิ้มนั้นพร้อมกับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ด้านหลังที่ส่องมาแบบได้จังหวะ ทำให้ความคิดแปลกๆของเขาเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
อย่างกับรอยยิ้มของมาร์คมันสว่างจนทิ่มตาของแบมแบมเลยอะ
“ครับ...ก็ลองดู” แบมแบมตอบพลางยกหลังมือตัวเองขึ้นเช็ดเหงื่อ สังเกตเห็นว่ายัยตัวเล็กที่ถูกอุ้มให้ซบหน้าอยู่บนไหล่ของมาร์คใส่หมวกไหมพรมสีชมพูออกมาเพื่อกันแดดด้วย อย่างกับตุ๊กตาเลย...
“แล้วนี่คุณกับลิลลี่ไปไหนมาแต่เช้าเลย”
“อ๋อ...ผมไปซื้อข้าวเช้ามา เมื่อวานออกไปซื้อของให้ลิลลี่ก็ดันลืมซื้อของสดมาติดตู้เย็น” แบมแบมขยับกายเว้นที่เอาไว้เผื่อว่ามาร์คอยากจะนั่ง แต่ว่าก็ไม่ได้เอ่ยปากชวนออกไปหรอกนะ แล้วแต่มาร์คเลย…
“อย่างงั้นเหรอครับ ทีหลังมายืมของสดจากผมก็ได้นะ มีเยอะแต่ไม่ค่อยได้กิน...เน่าคาตู้ทุกอาทิตย์เลย” แบมแบมมองตามคนตัวสูงตรงหน้าที่เหมือนว่าจะเคลื่อนตัวจากตำแหน่งยืนเดิม จนกระทั่งสุดท้ายร่างสูงของอีกฝ่ายในชุดเสื้อยืดสบายๆก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆกันกับเขาบนเก้าอี้
“ไม่เอาหรอก แค่คุณมาช่วยเลี้ยงลิลลี่ก็เกรงใจจะแย่แล้ว”
“ฮ่าๆ อย่าคิดมากครับ...ผมช่วยเลี้ยงเพราะไม่อยากให้ลิลลี่ร้องไห้” แบมแบมพูดไปแค่นั้น ไม่ได้บอกว่าที่ทำไปก็เพราะว่าตัวเองล้วนๆ เพราะเวลาลิลลี่ร้องไห้ตอนที่เขากำลังจะตั้งใจทำงานนั้นมันน่าปวดหัวจนเหมือนกับมีค้อนปอนด์ใหญ่ๆทุบลงมาจนแบมแบมมึนไปหมดเลย
“เมื่อวานตอนกลางคืนคุณได้ยินเสียงร้องลิลลี่ไหม เขาตกโซฟาล่ะ”
“ตกโซฟา! บ้าเหรอครับ คุณปล่อยให้แกตกลงมาได้ยังไงเนี่ย” แบมแบมตาโต เผลอพูดจาไม่สุภาพออกไปแต่นั่นก็เพราะว่ามาร์คที่สะเพร่าปล่อยให้เด็กเล็กขนาดนี้หล่นลงมาจากโซฟาตัวเบ้อเริ่มได้ยังไงกัน โชคดีแค่ไหนที่ไม่คอหักไปน่ะ
“ผมลุกไปปิดแก๊สแป๊บเดียวเอง กลับมาอีกทีก็นอนร้องอยู่บนพื้นซะแล้ว...โชคดีที่มีพรมปูไว้” มาร์คแก้ตัวด้วยเสียงหัวเราะแห้งๆ อันที่จริงเขาไม่ได้อยากเล่าเรื่องนี้ให้แบมแบมตำหนิเขาหรอก มันไม่ใช่จุดประสงค์หลัก
“คุณระวังหน่อยสิครับ เด็กวัยนี้เขาก็ซนอยากขยับเขยื้อนด้วยตัวเองแบบนี้แหละ” แบมแบมขมวดคิ้วถอนหายใจ โน้มใบหน้าเข้าไปสำรวจบาดแผลเด็กที่หลับแก้มยุ้ยอยู่บนไหล่กว้าง
“...”
“คุณแบมแบมครับ” แต่จู่ๆมาร์คก็เรียกเขาหลังจากที่เงียบไปเกือบนาที
“ว่าไงครับ”
“คือ...ผมขอไลน์คุณได้ไหม หรือโซเชียลอะไรก็ได้ที่คุณใช้งานน่ะ” แบมแบมเลิกคิ้วหน่อยๆก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆถึงแม้จะยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของคุณพ่อลูกอ่อนก็เถอะ ห้องอยู่ข้างกันแค่นี้คุยกันตรงๆเลยก็ได้นะอันที่จริง...
“ได้สิครับ”
“อ่า...งั้นคุณช่วย แอดให้ผมหน่อย” มาร์คพูดพลางขยับตัวหยิบเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาเข้าแอพลิเคชั่นสีเขียวสำหรับแชทส่วนตัวยื่นให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่ข้างๆ มือเล็กรับไปก่อนจะกดตัวอักษรใส่ลงไปตรงช่องว่างสำหรับเพิ่มเพื่อนใหม่
“นี่ครับ” และยื่นกลับไปให้อีกคนเมื่อพิมพ์เสร็จเรียบร้อย
“ขอบคุณครับ เอาไว้ผมจะไลน์ไปถามเรื่องเลี้ยงลิลลี่อันที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนะ ฮ่ะๆ” แบมแบมยิ้มรับก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่นเมื่อรู้สึกว่าอากาศรอบๆมันเริ่มร้อนอบอ้าวขึ้นกว่าก่อน อาจจะเพราะว่านี่มันใกล้จะแปดโมงแล้วล่ะมั้งแดดถึงได้จัดขนาดนี้น่ะ...
“...”
ไม่ไหวแล้ว ร้อนไปหมดเลย!
แบมแบมออกจากห้องมาตั้งแต่ช่วงสายของวันแล้วเพราะรู้สึกเบื่อที่ต้องขลุกอยู่ในห้องทั้งวันทั้งที่งานเสร็จสิ้นแล้ว มาร์คเองก็ดูเหมือนว่าจะรับมือกับลูกสาวได้มากกว่าเดิมเพราะลิลลี่ไม่ค่อยส่งเสียงร้องนอกจากเมื่อคืนที่เขาต้องเอาหมอนอุดหูตัวเองกลางดึก ก่อนจะมารู้ความจริงเมื่อเช้าว่าเป็นเพราะเจ้าตัวเล็กตกโซฟา
“มึง...ร้านนี้ๆ”
“แป๊บ!” แบมแบมขมวดคิ้วเมื่อเพื่อนสนิทไม่ยอมทำตามใจตัวเอง ตอนนี้คนตัวเล็กกำลังเดินเล่นอยู่ตลาดกลางคืนแถวบ้านเพื่อนของเขา ‘ชเว ยองแจ’ เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวตั้งแต่เรียนมัธยมต้นจนกระทั่งทำงาน เป็นคนที่ทนนิสัยและเข้ากันได้กับแบมแบมมากที่สุดก็ว่าได้
“งั้นเดี๋ยวมึงตามกูมาละกันนะ”
“เดี๋ยวดิ เสร็จแล้วเนี่ย” ชเวยองแจรั้งแขนของเพื่อนสนิทที่ตั้งท่าจะเดินไปดูแผงขายของอื่นโดยไม่รอเขา ยองแจรีบเอากระเป๋าสตางค์ที่เลือกส่งให้แม่ค้าตามด้วยธนบัตรอย่างรวดเร็ว คิ้วคู่สวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเพราะไม่เข้าใจความคิดของแบมแบมว่าเจ้าตัวจะรีบร้อนไปไหน
“...”
“นี่มึงจะดูร้านของเล่นเด็กทำไมเนี่ย ลดอายุตัวเองหรอ...กูถ่ายรูปให้ไหมจะได้เอาไปอวดในไอจี” ชเวยองแจแกล้งเหน็บแนมเมื่อแบมแบมลากเขาเดินมายังแผงที่อยู่ห่างออกไปสองสามล็อค ของเล่นเด็กแบบต่างๆที่ดูเหมือนเป็นงานฝีมือถูกจัดเรียงเอาไว้ให้เลือกสรรอย่างน่ารัก มือขาวยื่นไปหยิบจับตุ๊กตาผ้าตัวเล็กๆขึ้นมาเปรียบเทียบกันโดยไม่สนใจคำพูดของเพื่อน
“ไอ้แบม” แต่ดูเหมือนว่าชเวยองแจจะยังไม่เลิกเซ้าซี้
“กูจะดูไปฝากเด็กข้างห้อง”
“แหม...จู่ๆก็รักเด็กขึ้นมานะมึง” เมื่อรู้จุดประสงค์ก็อดไม่ได้ที่จะกระแนะกระแหน แต่ว่ายองแจก็ยื่นมือเข้าไปช่วยเลือกตุ๊กตาผ้านุ่มนิ่มด้วยอีกคน
“ปากมาก กูไม่ได้รัก ที่ทำอยู่นี่เพื่อตัวเองต่างหาก” แบมแบมพูดเสียงเรียบพลางยื่นตุ๊กตาหนึ่งตัวที่ตัดสินใจเลือกไปให้แม่ค้าจัดการใส่ถุงพร้อมกับจ่ายเงิน ก่อนที่แก้มนิ่มจะถูกปลายนิ้วของยองแจจิ้มจึกเข้ามาอีกครั้งในจังหวะที่กำลังจะเดินออกจากร้านจนคนหน้าหวานต้องขมวดคิ้วมองเพื่อนด้วยความรำคาญใจ
“ยองแจกูรำคาญ”
“อ๋อเหรอ...” แต่ยองแจก็ยังลอยหน้าลอยตากวนไม่เลิก...มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เขาเล่าเรื่องคนข้างห้องที่ย้ายเข้ามาใหม่พร้อมกับลูกสาววัยเจ็ดเดือนให้ฟังไปเมื่อเย็น พอเล่าจบยองแจก็เอาแต่พูดเรื่องไร้สาระอย่างการบอกว่าอีกไม่นานเขาจะต้องกลายเป็นคุณพ่อให้เด็กคนนั้นอีกคน
ซึ่งแบมแบมว่ามันไร้สาระ...โคตรๆเลยอะ
“กูทำเพื่อตัวเองจริงๆ พอเด็กไม่ร้องกูก็ไม่ปวดหัว พอไม่ปวดหัวงานกูก็เดิน...เหตุผลกูก็มีแค่นั้น”
“...”
อืม...ก็แค่นั้นแหละ จริงๆนะ
TALK!
เชื่อสิว่าไม่มีอะไรจริงๆ ฮ่า ~
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์กับเลขfav.นะคะ ดีใจที่มีคนสนใจด้วย
ถ้ากระแสตอบรับไม่เงียบเกินไปเราก็จะมาเรื่อยๆนะคะไม่ต้องห่วง
เดี๋ยวตอนหน้าเขาจะสนิทใจกันมากกว่านี้แหละ ค่อยๆไปเรื่อยๆเนอะ ♥
แล้วเจอกันค่ะ!
#ficwdwmb
twitter : @since9397
ความคิดเห็น