ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ลงแบบ E-BOOK ที่ MEB] FIC WIDOWER : { MARKBAM }

    ลำดับตอนที่ #1 : widower :: chapter one

    • อัปเดตล่าสุด 16 ม.ค. 59


    ? themy butter
    +


    WIDOWER

    #MARKBAM

    CHAPTER ONE

     

     

                    เสียงปลายนิ้วเคาะแป้นพิมพ์ยาวนานติดต่อกันเป็นเพียงเสียงเดียวที่ทำให้ห้องพักขนาดกว้างโทนขาวสะอาดนั้นไม่เงียบเหงาจนเกินไป อากาศเย็นยะเยือกอันเกิดจากเครื่องปรับอากาศทำให้คนที่แพ้อากาศต้องชะงักปลายนิ้วเพื่อยกมันขึ้นมาปิดจมูกเมื่อจาม คิ้วทรงสวยขมวดเข้าหากันเมื่ออาการภูมิแพ้ที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กมันทำให้สมาธิเขาที่รวมตัวกันอย่างดีเมื่อครู่กระเจิดกกระเจิงไม่เป็นทิศทาง

     
     

    “อีกนิดเดียวน่า...” เสียงแหบพึมพำกับตัวเองเมื่อความคิดที่กำลังโลดแล่นเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้ามันปลิวหายไปง่ายดายราวกับฝุ่นละออง เขาพยายามนึกทบทวนหลายต่อหลายครั้งแต่สุดท้ายเจ้าของฝ่ามือเรียวก็ต้องยอมแพ้

     
     

    “ให้มันได้อย่างนี้สิ” คนร่างเล็กบนเก้าอี้คอมพิวเตอร์พ่นลมหายใจออกมารุนแรงเมื่อเขาเกิดอาการหลุดจากสมาธิแบบนี้ขึ้นมาอีกแล้ว และเมื่ออารมณ์ไม่ได้อยู่ในโหมดที่สมควรจะทำงานเขาก็รู้วิธีรับมือกับมันด้วยการหมุนเก้าอี้กลับมาทางด้านหลังเพื่อมองบรรยากาศภายนอกผ่านกระจกห้อง

     
     

    อย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้ความหงุดหงิดในใจของ แบมแบม ลดลงได้ไม่น้อยเลยทีเดียว


     

    “...” โครงหน้าได้รูปเหม่อมองออกไปด้านนอกบานกระจกใสที่เขาจงใจตั้งโต๊ะทำงานเอาไว้ฝั่งตรงข้ามกับมัน ปากอิ่มเม้มเข้าหากันหน่อยๆเหมือนคนกำลังใช้ความคิด สองแขนเล็กยกยขึ้นมาขมวดไขว้กันไว้ที่หน้าอก มันเป็นท่าประจำของแบมแบมเลยล่ะเวลาที่ต้องการเรียกสมาธิกลับคืนมา

     
     

    แบมแบมเป็นหนุ่มโสดที่อายุอานามก็ปาไปเกือบยี่สิบหกปีแล้ว เขาไม่มีแม้แต่คนที่คุยด้วยหรือดูใจเพราะว่าชีวิตทั้งหมดหลังจากจบมหาวิทยาลัยเขาทุ่มเทมันไปกับการทำงานเก็บเงิน แม้ว่าจะจบมาได้ไม่กี่ปีแต่เขาก็ได้ทดลองทำงานในสาขาอาชีพต่างๆมากมาย...ก่อนที่เขาจะค้นพบตัวเองว่าเป็นพวกที่ทำงานร่วมกับคนหมู่มากได้ไม่ค่อยดีนัก

     
     

    จะเรียกว่าพวกโลกส่วนตัวสูงก็ได้นะ...คงไม่ถือว่าเป็นการนิยามเกินจริงสักเท่าไหร่หรอก


     

    และเนื่องด้วยความที่โลกส่วนตัวสูงปรี๊ด สุดท้ายเขาก็เลยมาจบที่อาชีพนักเขียนนิยาย ซึ่งอันที่จริงตัวเขาเองก็มีนิสัยชอบขีดเขียนมานานแล้วแต่ไม่ยักรู้มาก่อนว่าพอลองมาเอาดีด้านนี้แล้วมันจะขึ้นกว่างานอื่นๆที่ผ่านมา แบมแบมเป็นนักเขียนให้สำนักพิมพ์เล็กๆแห่งหนึ่งมาจะสองปีแล้วล่ะ อ่า...แต่ก็ไม่ได้เขียนเรื่องรักหวานแหววอะไรหรอกนะ ส่วนมากแล้วแบมแบมจะถนัดเขียนพวกนิยายลึกลับสยองขวัญอะไรเทือกๆนี้มากกว่า

     
     

    “โอเค” เสียงหวานแหบพึมพำกับตัวเองพลางค่อยๆหันเก้าอี้กลับเข้ามาหาหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างเอาไว้อีกครั้ง ปลายนิ้วจรดลงไปบนแป้นพิมพ์อย่างตั้งใจเมื่อเขาสามารถดึงเอาความคิดของตัวเองกลับมาได้แล้ว ที่เหลือก็แค่พิมพ์มันลงไปบนหน้าจอโปรแกรมเท่านั้น

     
     

    “...”

     
     

    ใบหน้าเรียวค่อนไปทางหวานฉายชัดถึงความมุ่งมั่นในแววตา ความน่ากลัวที่เขารังสรรค์เอาไว้ด้วยบทพูดและบทบรรยายกำลังถูกถ่ายทอดผ่านตัวอักษรอย่างคล่องแคล่ว เรื่องราวกำลังดำเนินมาถึงตอนท้ายที่ทุกอย่างเริ่มกระจ่างและคลี่คลาย ไม่ใช่เพียงแค่คนอ่านจะลุ้นอย่างเดียว คนพิมพ์อย่างเขาเองก็ลุ้นเหมือนกัน ขอให้สติไม่หลุดก่อนที่จะพิมพ์จบด้วยเถอะ...

     
     

    “ก่อนที่คารินจะพูดกับลลิตาว่า...”

     
     

    แง! แงงง แง๊...!!

     
     

    “...”

     
     

    พอ...ไม่พงไม่พิมพ์มันแล้วโว้ย!

     




     

     

                    เมื่อวานเป็นวันที่ผ่านไปอย่างน่าหงุดหงิด แบมแบมเกือบจะพิมพ์นิยายที่กำหนดส่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆนั่นเสร็จแล้ว แต่ว่ามันก็มีเหตุหลายอย่างเหลือเกินที่ทำให้เส้นอารมณ์ของคนวอกแวกอย่างเขาขาดผึง เพราะหลังจากเสียงเด็กร้องจากห้องข้างๆซึ่งเป็นห้องของคุณนายโคดี้ผู้ซึ่งชอบทำลาซานญ่ามาให้เขาอยู่บ่อยๆนั้นดังขึ้นแบมแบมก็ตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์แล้วออกไปหาอะไรทำข้างนอกมาทั้งวัน

     
     

                                             จนกระทั่งวันนี้มาถึง เขาก็ยังไม่ได้ทำให้งานกระเตื้องจากเดิมเลย...            

     
     

    “...”

     

    แถมตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบสิบโมงเช้าที่แบมแบมยังคงนั่งหัวฟูหน้ายุ่งอยู่บนเตียง แสงสว่างลอดเข้ามาเต็มห้องเพราะว่าเมื่อคืนนี้เขาเผลอหลับไปโดยไม่ปิดม่าน อาจจะเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ด้วยนิสัยของเขาเป็นคนชอบดื่ม ดังนั้นหากว่าเขาเครียดหรืออารมณ์ไม่ดีสถานที่ประจำที่เขาจะไปก็คือบาร์หรือร้านเหล้า...แน่นอนว่าไม่ใช่ผับ เพราะว่าคนมันเยอะเสียจนน่ารำคาญ

     
     

    คนตัวเล็กขยี้ตาตัวเองอย่างไม่กลัวว่ามันจะบอบช้ำแต่อย่างใด เขารู้สึกหนักอึ้งไปทั้งหัวลามมาจนถึงขมับทั้งสองข้าง อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนเขาดื่มไปค่อนข้างหนักอยู่พอสมควร...แต่ไม่ว่าจะยังไง วันนี้แบมแบมตั้งปณิธานกับตัวเองเอาไว้แล้วว่างานเขาจะต้องเสร็จ

     
     

    “โอย...ปวดหัวชิบ” อยู่คนเดียวก็พูดคนเดียว แบมแบมบ่นงึมงำก่อนจะพาตัวเองลงจากเตียงเพื่อเข้าห้องน้ำ เขาอยู่คนเดียวก็จริงแต่เขาก็ไม่ซกมกพอที่จะหมกตัวเองอยู่ในชุดนอนข้ามวันข้ามคืนหรอกนะ

     
     

    ใช้เวลาไม่นานหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแบมแบมก็เข้าประจำแท่นซึ่งก็คือหน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกับแซนด์วิชที่ใช้ความร้อนจากไมโครเวฟทำให้สุก นมจืดหนึ่งแก้ววางอยู่ข้างโต๊ะคอมเป็นอันเริ่มมื้อเช้าที่แสนเรียบง่ายไปพร้อมกับการทำงาน

     
     

    วันนี้ต่อให้เอาเรือรบมาขวางก็จะไม่ยอมหยุดเด็ดขาดเลย


     

    “โอเค..ต่อจากฉากที่คารินพูดกับลลิตา คารินจะบอกว่าคนที่ฆ่าธนัชคือเขาเอง...”

     
     

    แบมแบมขมวดคิ้วพลางพูดไล่พล็อตเรื่องที่วางไว้กับตัวเอง ความยากของการทำงานแบบนี้มันอยู่ตรงที่บทและพล็อตซึ่งคนเขียนอย่างเขาต้องพยายามแหวกและหักมุมให้มันแตกต่างออกไป ถือว่าโชคดีหน่อยที่เขาพอมีสวรรค์ในเรื่องนี้อยู่บ้าง สำนักพิมพ์ก็เลยไม่ทิ้งๆขว้างๆเขาสักเท่าไหร่

     
     

    “แล้วไงต่อล่ะ...” เทคนิคของการขจัดความเครียดอย่างหนึ่งของคนตัวเล็กก็คือการพูดกับตัวเองเมื่อรู้สึกว่างานที่ทำมันเริ่มกดดัน อาจจะช่วยหาทางออกไม่ได้แต่อย่างน้อยก็พอรู้สึกว่าได้ระบายความอึดอัดออกไปบ้าง

     
     

    “...”

     
     

    และดูเหมือนว่าเมื่อแบมแบมตั้งสติได้สมาธิก็เกิดต่อจากนั้น เขาสามารถพิมพ์งานต่อจากเดิมได้มากตามอย่างที่คาดคิดไว้ ใบหน้าหวานเผยยิ้มออกมาหน่อยๆเมื่อเห็นว่าตัวเองเดินเข้าใกล้ความสำเร็จเต็มที ปลายนิ้วชี้กดปุ่ม ENTER เพื่อเริ่มบรรทัดใหม่ สมองของเขากำลังแล่นอย่างเต็มที่

     


    จนกระทั่ง...


     

    ง...แงงงง! แง!!!

     
     

    “...” เปลือกตาบางปิดเข้าหากันแน่นเมื่อเสียงเดิมเสียงเดียวกันเมื่อวานที่ทำให้สติเขาขาดผึงดังขึ้นมาราวกับว่าต้องการจะแกล้งกัน แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆเหมือนเมื่อวาน ลมหายใจถูกพรูออกมาก่อนที่ปลายนิ้วจะขยับพิมพ์อีกครั้ง

     
     

    “...”

     

    “เด็กที่ไหนวะ” แม้ว่าเนื้อที่ในสมองตอนนี้ครึ่งหนึ่งกำลังเกิดความสงสัยถึงเสียงร้องคล้ายกับเสียงของเด็กทารกที่ดังมาจากห้องข้างๆตั้งแต่เมื่อวานซึ่งเป็นของคุณนายโคดี้ อายุอานามของเธอก็เกือบจะเจ็ดสิบปีอยู่แล้วนะ...ลูกเอาหลานมาฝากให้เลี้ยงหรือยังไงกัน

     
     

    แบมแบมหยุดพิมพ์ แม้จะหงุดหงิดแต่ความสงสัยเริ่มมีมากกว่า เขาย่นหน้าผากขณะที่ใช้ความคิด...ไม่เข้าใจและสงสัยว่าคุณนายโคดี้แสนใจดีแถมยังเป็นเพื่อนคนเดียวในตึกนี้ที่เขาคุยด้วยได้อย่างสนิทใจนั้นจะกำลังเผชิญกับปัญหาการดูแลเด็กอยู่หรือเปล่า

     
     

    สุดท้ายเขาก็ต้องพักการพิมพ์ไว้เพียงเท่านั้น หญิงชราอาจจะต้องการความช่วยเหลือหรือถ้าไม่เขาก็ควรไปดูเพื่อตอบสนองความอยากรู้ของตัวเอง เพราะว่าเสียงร้องไห้จ้าที่ดังตั้งแต่เมื่อวานนั้นมันรบกวนการทำงานของเขาไม่น้อย บางทีถ้าหากว่าเขาสามารถทำให้เสียงนั่นสงบลงได้การทำงานของเขาก็จะราบรื่นตามไปด้วย

     
     

    รู้ตัวอีกทีแบมแบมก็มาโผล่อยู่หน้าประตูห้องของคุณนายโคดี้เพื่อนข้างห้องผู้แสนน่ารักของเขาเสียแล้ว แบมแบมเลียริมฝีปากพลางขยับกรอบแว่นสายตาให้เข้าที่ก่อนที่ฝ่ามือเล็กจะตัดสินใจกดลงไปบนปุ่มเล็กๆข้างบานประตู

     
     

    “...”

     
     

    แบมแบมยืนเม้มปากรออยู่ชั่วครู่เพราะรู้ดีว่าคุณนายโคดี้นั้นแก่แล้ว จะเดินเหินแต่ละทีก็ต้องใช้เวลานานดังนั้นเขาจึงใจเย็นพอที่จะไม่กดปุ่มเล็กๆตรงหน้าซ้ำอีกครั้ง...

     
     

    แกร๊ก!

     
     

    “คุณ...มีอะไรหรือเปล่าครับ”

     
     

    “...”

     

    เอ...เดี๋ยวนะ แบมแบมว่านี่ต้องมีอะไรผิดพลาด!


     

    คนตัวเล็กเผลอก้าวถอยหลังไปเกือบครึ่งก้าวเมื่อเห็นว่าหลังบานประตูนั้นไม่ใช่หญิงร่างท้วมในชุดเดรสลายดอกไม่ซ้ำกันของคุณนายโคดี้อย่างที่ควรจะเป็น ทว่ากลับปรากฏร่างของชายหนุ่มร่างกายสมส่วนในชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขาสั้นสบายๆเจ้าของเรือนผมสีอ่อนที่แบมแบมไม่คุ้นหน้าเลยสักนิดแทน

     
     

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” และเมื่อถูกถามซ้ำอีกครั้งแบมแบมก็ทำการเรียกสติตัวเองกลับมาด้วยการกระพริบตาถี่ๆ ดวงตากลมกระทำการเสียมารยาทด้วยการสอดส่องผ่านช่วงไหล่ของอีกฝ่ายเข้าไปด้านในเพื่อมองหาคนรู้จัก แต่มันก็ว่างเปล่า...ได้ยินเพียงเสียงร้องไห้จ้าที่ดังมาจากด้านใน

     
     

    “คือ...ผมมาหาคุณนายโคดี้น่ะครับ เธออยู่หรือเปล่า”

     
     

    “อ๋อ คุณโคดี้ฮวังน่ะเหรอ เธอย้ายไปได้สามวันแล้วล่ะ...”

     
     

    “ผมเพิ่งย้ายเข้ามาเมื่อวานตอนเช้ามืด” ชายหนุ่มตรงหน้าตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ แบมแบมเหวอไปชั่วขณะเมื่อได้รู้ว่าเพื่อนเพียงคนเดียวของเขาแอบย้ายหนีไปโดยไม่บอกลาสักคำเดียว...ใจร้ายที่สุดเลย

     
     

    “อ้าว! ย้ายแล้วอย่างงั้นเหรอครับ คือ...ผมอยู่ข้างห้องนี้เอง พอดีว่าไม่ทราบก็เลยคิดว่าเป็นคุณนายโคดี้...”

     
     

    “นี่ผมทำเสียงดังรบกวนคุณหรือเปล่า” เหมือนว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างเมื่อแบมแบมพูดเหมือนกับว่ารู้จักเจ้าของห้องคนเก่า สีหน้าสบายๆเมื่อครู่ถอดเป็นสีหน้าและแววตาที่แสดงออกถึงท่าทีเกรงใจเสียจนแบมแบมต้องใช้ความคิดก่อนที่จะตอบอะไรออกไป

     
     

    “ก็...นิดหน่อยนะครับ พอดีผมทำงานอยู่ในห้อง แล้วโชคร้ายตรงที่ว่าผมเป็นคนสมาธิไม่นิ่งเท่าไหร่พอได้ยินเสียงดังก็เลยแบบ...ฮ่ะๆ” และทางออกที่ดีก็น่าจะเป็นการพูดพร้อมส่งยิ้ม มันอาจจะทำให้สถานการณ์ไม่ตึงเครียดจนเกินไป...ในความคิดของแบมแบมน่ะนะ

     
     

    “งั้น...ขอโทษด้วยนะครับ พอดีว่ายัยตัวเล็กฤทธิ์เยอะชะมัด” ชายหนุ่มร่างสูงกว่าตรงหน้าเบี่ยงตัวเล็กน้อยพลางชี้ให้อีกฝ่ายมองเข้าไปด้านในเพื่อแบมแบมจะได้เห็นถึงตัวปัญหาที่กำลังกระทำการโวยวายด้วยการนอนคว่ำหน้าส่งเสียงร้องไห้เสียจนหน้าแดงไปหมด

     
     

    “คือผม...”

     
     

    “คุณ! นั่นลูกคุณร้องไห้จนตัวงอแล้วนะ” ดวงตากลมเบิกขึ้นเมื่อเห็นชัดว่าเด็กน้อยที่นอนคว่ำหน้าอยู่บนพรมกลางห้องนั้นร้องไห้หนักเสียจนน่ากลัว แบมแบมเสียมารยาทเพราะความตกใจเผลอขึ้นเสียงดังใส่เพื่อนข้างห้องทั้งที่ยังไม่รู้จัก

     
     

    “ครับ...อ่า คงจะหิวนม” เหมือนว่าคนตัวสูงเองจะได้สติเพราะคำพูดของแบมแบมเช่นกัน เขารีบหันหลังเดินกลับไปอุ้มเด็กน้อยในชุดคลุมปลายเท้าสีฟ้าสดใสขึ้นมาแนบอก ปล่อยทิ้งให้ผู้มาเยือนอย่างแบมแบมขยับกายเข้าไปเกาะขอบประตูห้องมองสำรวจด้านใน

     
     

    “...”

     
     

    ดูจากข้าวของหลายอย่างที่ยังอยู่ในถุงแพ็คแบบนั้นก็เชื่อแล้วล่ะว่าเพิ่งย้ายมาจริงๆ ส่วนตัวของผู้ชายคนนั้นก็ดูเก้ๆกังๆ อุ้มลูกเหมือนจะหล่นแหล่ไม่หล่นแหล่แบบนั้นมันดูแล้วหวาดเสียวแทนชะมัด...แม่ของเด็กปล่อยให้เด็กอยู่กับพ่อที่เลี้ยงลูกไม่เป็นแบบนี้ได้ยังไงกันนะ

     
     

    “ชู่ว...เงียบนะครับเด็กดี ไม่งั้นเราจะไม่มีที่อยู่นะ...” แบมแบมยิ่งขมวดคิ้วเข้าไปใหญ่เมื่อได้ยินบทกล่อมลูกของคุณพ่อ คนตัวเล็กถอนหายใจออกมายาวพรืดเมื่อเห็นว่านอกจากการอุ้มเขย่าอยู่กับที่แบบนั้นมันจะไม่ช่วยอะไรแล้วเด็กน้อยยังส่งเสียงร้องหนักกว่าเดิมด้วย

     
     

    “ค...คุณครับ ผมขอเข้าไปได้ไหม”

     
     

    “เชิญครับ” แบมแบมอยากจะเข้าไปช่วยแต่ก็ไม่อยากผลีผลามเข้าไป เสียงหวานเอ่ยขออนุญาตเจ้าของและเมื่อได้รับอนุญาตเขาก็ไม่รอช้าที่จะก้าวเท้าไปรับต่อเด็กน้อยผู้น่าสงสารมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนตัวเองทันที

     
     

    แบมแบมเคยเลี้ยงน้องช่วยแม่มาตั้งสองคน เด็กก็น่าจะเหมือนๆกันนั่นล่ะ

     
     

    “ชู่ว...” แบมแบมก้มลงเป่าลมออกมาเป็นเสียงเบาๆที่ข้างใบหูเล็ก ใบหน้าของเด็กน้อยขึ้นสีแดงจัดเพราะว่าร้องไห้มานานเกินไป แบมแบมยกร่างเล็กขึ้นพาดบ่าตัวเองก่อนจะพาเดินช้าๆไปรอบๆห้องพลางใช้ฝ่ามือตัวเองตบก้นเล็กๆคล้ายเป็นการปลอบประโลม

     
     

    “...”

     
     

    ที่ทำนี่ไม่ใช่เพราะว่าสงสารเด็กอย่างเดียวหรอกนะ แบมแบมทำเพราะสงสารตัวเองด้วย


     

    “...” เด็กน้อยในอ้อมกอดคลายอาการเกร็งและส่งเสียงร้องไห้ลงไปได้มากอย่างไม่น่าเชื่อ ใบหน้าเล็กๆซบลงบนไหล่ของแบมแบมก่อนที่เปลือกตาจะปรือลงทว่าแผ่นหลังยังคงกระตุกด้วยแรงสะอื้นจนคนตัวเล็กต้องยกฝ่ามือขึ้นลูบแผ่นหลังนั้นเบาๆเป็นระยะ

     
     

    “เขาน่าจะง่วงนะคุณ...เอาลงเปลแล้วเอานมให้เขาดูดเถอะ” แบมแบมหันไปแนะนำให้คนเป็นพ่อที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังตัวเอง คนตัวสูงที่ดูจากใบหน้าแล้วน่าจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาพยักหน้ารับก่อนจะเดินหายไปตรงโซนห้องครัว ปล่อยให้แบมแบมลอบถอนหายใจอยู่กลางห้องกับเด็กน้อยในอ้อมอก...

     
     

    แค่นี้ก็สิ้นเรื่องไหมล่ะ!

     

     




                    เหตุการณ์ไม่สงบในช่วงสายได้ผ่านพ้นไป ตอนนี้แบมแบมอยู่ในห้องและเป็นเวลาตอนบ่ายแก่ๆของวันแล้ว คนตัวเล็กกำลังนั่งซดชาร้อนในมือพลางเหม่อสายตาออกไปทางบานกระจกใสที่ดูเหมือนว่าแสงแดดจากข้างนอกดูร้อนกว่าปกติ...โชคดีเหลือเกินที่ไม่มีอะไรดลใจให้เขาอยากออกไปข้างนอกในวันนี้

     
     

    “...”

     
     

    เผลอนึกไปถึงคนข้างห้องซึ่งเขาได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ผู้ชายคนนั้นบอกว่าตัวเองชื่อ มาร์คแถมยังบอกอีกว่ายินดีที่ได้รู้จักเขา ถ้าไม่ถือสาอะไรอยากให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ก็แหงล่ะ...เพราะเขาช่วยทำให้สงครามน้ำตาและเสียงร้องไห้ที่น่าปวดหัวของลูกสาวตัวเล็กของมาร์คนั้นสงบลงได้น่ะสิ

     
     

    แบมแบมไม่ได้ถามอะไรต่อมากนักหลังจากที่มาร์คเอาขวดนมมาให้เขาเอาใส่ปากสาวน้อยตัวเล็กขณะวางลงเปลตั้ง แต่เขาก็ดันเผลอหลุดพูดไปว่าถ้าหากมาร์คเลี้ยงไม่เป็นแล้วทำไมไม่ให้แม่เขาช่วยเลี้ยง ซึ่งคำตอบที่ได้มันก็ทำให้แบมแบมรู้ว่ามาร์คได้เลิกกับภรรยาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

     
     

    “ก็น่าสงสารนะ” แต่มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับแบมแบมอยู่ดี เขาน่ะหวังแค่ว่าอย่าให้เด็กน้อยส่งเสียงจนทำให้สมาธิเขากระเจิดกระเจิงบ่อยๆ เพราะมันส่งผลต่อหน้าที่การงานของเขาแบบตรงๆก็แค่นั้น

     
     

     
     

    “แต่นายมาร์คคนนั้นก็ประหลาด...เลี้ยงลูกไม่เป็นยังจะริมาเช่าห้องอยู่เองอีก”

     
     

    “เฮ้อ...”

     
     

    เวรกกรมของเขาจริงๆเลย!

     

     

                                       
     




    TALK!

    สวัสดีค่า เปิดเรื่องใหม่เนื้อเรื่องมุ้งมิ้ง...ฮ่าๆ
    หนีความมุ้งมิ้งไม่พ้นจริงๆค่ะ ยอมรับแมนๆเลย
    เรื่องนี้ก็จะอ่านสบายๆเนอะ ไม่ดราม่าและไม่พิศดารล้านแปดใดๆ
    ความยาวในตอนอาจไม่ยาวเท่าเรื่องเดิมแต่ว่าเราจะมาเต็มๆแบบนี้ทุกตอนเลย
    ใครชอบก็ฝากโหวตหรือคอมเมนท์ให้กำลังใจได้น้า แล้วเจอกันค่ะ

    ปล.เปิดโดเนทแพมเพิสขวดนมนะคะ





    #ficwdwmb

    twitter : @since9397

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×