ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พี่หมอ มศว เล่าเรื่อง (Ultimate Version)

    ลำดับตอนที่ #18 : บันทึกไม่ลับนักศึกษาแพทย์ ตอน"ชั้นไม่ได้เครียดนะ.ชั้นเพียงแต่เจ็บ" (อัพแล้ว100%)

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 52


    เรื่องโดย ~หมูสนาม~  นิสิตแพทย์ มศว MD20
    เขียน 11 กุมภาพันธ์ 2552

              สิ่งที่นักเรียนแพทย์ทุกคนต้องประสบแน่นอนเมื่อเข้ามาเรียนในสายอาชีพนี้ คือ สิ่งที่เรียกว่า        "การสอบ" ซึ่งการสอบของนักเรียนแพทย์ในระดับชั้นClinic นั้นจะแตกต่างจากระดับชั้น Pre-clinic มาก คือนอกจากข้อสอบแบบมีตัวเลือกหลายตัวเลือก (ก,ข,ค,ง หรือ A,B,C,D) หรือข้อสอบที่เรียกว่า MCQ (Multiple Choice Questions) ที่น้องๆคุ้นหน้าคุ้นตาไม่ว่าจากการสอบในโรงเรียนหรือจาการสอบแอดมิดชั่น ยังมีการสอบชนิดใหม่เข้ามาเพิ่มถึง 3 อย่าง

              อย่างแรกคือ    การสอบ Long case  ระดับความยาก: ระบุไม่ได้(มีตั้งแต่ง่าย-ยากที่สุด)
               
              การสอบชนิดนี้จะบอกว่าเป็นการสอบชนิดถึงเนื้อถึงตัวก็ว่าได้ น้องๆจะได้ดวลกันตัวต่อตัว ตาต่อตา ฟันต่อฟันกับอาจารย์เลยทีเดียว คราวนี้ใครมีความสามารถแค่ไหนก็ต้องงัดเอามาใช้ให้หมดกันตอนนี้นี่หละ โดยเริ่มแรกอาจารย์ที่ได้รับมอบหมายให้สอบน้องก็จะเข้ามาด้อมๆมองๆใน Ward ดูว่าใน Ward นั้นมีคนไข้เป็นโรคอะไรที่น่าสนใจบ้าง หลังจากเลือกคนไข้จนได้แบบที่ถูกใจแล้ว ก็จะเรียกน้องมาสอบกับคนไข้คนนั้น ซึ่งน้องอย่าหวังเลยว่าจะแอบรู้ก่อนว่าคนไข้คนนั้นเป็นโรคอะไร เพราะ อาจารย์เขาสืบข้อมูลน้องมาหมดแล้วว่าน้องนิสัยอย่างไร และตอนนี้กำลังทำงานอยู่ Ward ไหน เช่น ถ้าตอนนี้น้องทำงานอยู่ Ward อายุรกรรมชาย อาจารย์ก็จะเอา Case คนไข้ที่อยู่ Ward อายุรกรรมหญิงมาเป็นต้น ซึ่งหากน้องคนไหนพยายามหัวใสฝากเพื่อนไปดูCaseให้ หรือแอบไปดู Case ที่ Ward เองก่อน นั้นถือว่าเป็นการเสี่ยงมาก ซึ่งถ้าหากอาจารย์จับได้ก็คงมีอันต้องซ้ำชั้นทันที (อย่าทำเลยนะทุจริต อาจารย์เขามีหูตากว้างไกลเสมอ)

               อาจารย์จะนั่งดูน้องตั้งแต่การซักประวัติคนไข้ การตรวจร่างกาย การวินิจฉัยโรค รวมถึงการรักษา ซึ่งเวลาเฉลี่ยอาจารย์มักให้คือ ซักประวัติและตรวจร่างกาย 30 นาที วินิจฉัย วิเคราะห์ตัวโรคและการรักษาอีก 30 นาที รวมเป็นระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมงต่อคนไข้หนึ่งคน

               ที่บอกว่าระดับความยากระบุไม่ได้เพราะมันขึ้นอยู่กับคนไข้ที่อาจารย์เอามา และตัวอาจารย์เองด้วย ใครได้อาจารย์ใจดีก็โชคดีไป ส่วนใครได้อาจารย์โหด"กินหัว" ก็ต้องบอกว่าซวยครับ บางคนอาจารย์แกล้งเอาคนไข้หูหนวกมาให้ซักประวัติก็ยังมี โห้! ชีวิตช่างโหดร้ายเสียจริง จะไปคุยรู้เรื่องไหมหล่ะนั้น

                การสอบอย่างที่สองที่เพิ่มเข้ามาคือ "OSCE"  ระดับความยาก: ปานกลาง-มาก

                OSCE ย่อมาจาก Objective Structured Clinical Examination ยาวเหลือเกิน เหอๆ เอาง่ายๆก็คือการสอบเป็นลักษณะ Lab กริ้งแล้วกันครับ โดยการสอบจะมีลักษณะเป็นฐานให้เข้า ซึ่งแต่ละฐานจะมีเวลาจำกัดในการทำซึ่งส่วนใหญ่เวลามาตรฐานก็ 3-4 นาทีต่อข้อ ในแต่ละฐานก็จะมีคำถามแตกต่างกันไป เช่นบางข้อเป็นรูปภาพมา และมีคำสั่งว่าจงวินิจฉัย พร้อมให้การรักษา บางข้อก็เป็น scenario ยาวๆมาเป็นหน้า จงวินิจฉัยและจะส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการอะไรต่อ หรือเป็นค่า  Lab มามีคำสั่งว่าจงแปลผลทางห้องปฏิบัติการเป็นต้น และบางฐานจะมีอาจารย์นั่งอยู่เป็นคนคุมด้วย(ซึ่งแน่นอนทุกข้อต้องทำให้ทันในเวลาที่กำหนด 3 นาทีครับ เวลา...ช่างน้อยเหลือเกิน)

                การสอบอันนี้ต้องใช้สมาธิในการสอบสูงมาก ที่สำคัญอย่ารนเด็ดขาด เพราะ ถ้าตั้งสติไม่อยู่(สติแตก)เมื่อไรก็จะทำให้การสอบครั้งนั้นเละทันที ตัวอย่างเช่น 

               พี่มาฐานแรกเจอ คนไข้มาด้วยอาการถ่ายเหลว 3 วัน เก็บอุจจาระมาตรวจพบดังภาพ



    จงให้การวินิจฉัย(40 คะแนน) และการรักษาที่เหมาะสม(60 คะแนน) 

              ถ้ามาถึงปุ้ปไม่รู้ขึ้นมาแล้วสติแตก โอ้พระเจ้านี่มันตัวอะไรเนี้ย ไม่รู้ก็ให้การรักษาไม่ได้ เอ้าพยายามนึกสิ นึกเอาความรู้ที่เก็บไว้ลึกๆในหัวออกมา โอ๊ะ จะนึกออกแล้ว.... กริ้งงงง หมดเวลาเปลี่ยนฐานได้

              กระดาษว่างเปล่าไม่ได้เขียนอะไร สติเริ่มแตกมากขึ้น จิตใจฟุ้งซ่าน อ๊ากก ข้อตะกี้หายไปตั้ง 100 คะแนน ทำไงดีๆ ปรากฎว่าเสียเวลาโศกเศร้าไปกับข้อก่อนหน้า 2 นาทีแล้ว เหลือเวลาทำข้อใหม่อีก 1 นาที 

               ฐานที่สอง คนไข้มาโรงพยาบาลหลังได้รับอุบัติเหตุรถชน มีอาการหายใจเหนื่อย
               ส่ง film chest X-ray ได้ผลดังภาพ


               
    จงอ่าน film (50 คะแนน)และให้การวินิจฉัย(50 คะแนน)

               เห็นข้อนี้พอจะตอบได้ เขียนเร็วเข้า กริ้งงงง...หมดเวลาเปลี่ยนฐานได้    อั๊ก พระเจ้าช่วยกล้วยทอดเขียนบรรยายไปได้แค่สองบรรทัดเอง คงได้ประมาณสิบคะแนนจากร้อย T_T เสียคะแนนไปทั้งหมด 190 แต้มแล้ว เศร้าจริงๆ แต่เศร้ายังไงการสอบก็ยังดำเนินต่อไปครับ ไม่มีหยุดพักต่อเวลาให้ เอาหล่ะมาเจอฐานที่สามซึ่งปรากฎว่าฐานนี้มีอาจารย์ที่โหดมากคุมอยู่ด้วย

               ฐานที่สาม จงแนะนำวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในคนเป็นริดสีดวงทวาร (100 คะแนน)

               หลังจากสติแตกต่อเนื่องมาสองข้อแล้ว มาเจอข้อสามที่ต้องพูดปากเปล่ากับอาจารย์ แถมอาจารย์โหดอีก อ๊าก brain block นึกไม่ออก ต้องแนะนำไงดีพูดไม่ได้ .....หันไปมองอาจารย์เผื่อท่านจะช่วยใบ้ให้ กลับกลายเป็นยิ่งนึกไม่ออกใหญ่ สุดท้ายใจว้าวุ่นกลับไปนึกถึงข้อที่ทำพลาดไปก่อนหน้า.... กริ้งงงง หมดเวลาเปลี่ยนฐานได้ ....จบข่าว เน่าครับการสอบแบบนี้หากสมาธิกับจิตใจไม่แข็งแรงพอ >_<

           
    ส่วนการสอบอย่างที่สามที่เพิ่มเข้ามาในระดับชั้น clinic คือ "MEQ" ระดับความยาก: ปานกลาง-มาก

           MEQ ย่อมาจาก Modified Essay Questions หรือภาษาไทยแปลว่าข้อสอบอัตนัยประยุกต์ เป็นข้อสอบข้อเขียนที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อทดสอบความรู้ ความสามารถของนักศึกษาในการคิดการแก้ไขปัญหาของผู้ป่วยอย่างมีเหตุผล โดยให้โจทย์ที่เป็นข้อมูลผู้ป่วยแล้วตั้งคำถามให้นักศึกษาคิดแก้ไขปัญหาด้วยตนเองแบบเป็นขั้นเป็นตอน เลียนแบบกระบวนการดูแลผู้ป่วยจริงตั้งแต่การวินิจฉัย การวินิจฉัยแยกโรค การตรวจทางห้องปฏิบัติการ การดูแลรักษา การสงเสริมป้องกันโรค อาจถามไปถึงกลไกการเกิดโรค พยาธิสภาพได้อีกด้วย 

           เมื่อเริ่มต้นสอบผู้คุมสอบจะแจกตัวข้อสอบให้เป็นหนังสือบางๆเล่มหนึ่ง ซึ่งแต่ละหน้าในหนังสือจะเป็นกระดาษสีไม่เหมือนกัน ผู้สอบจะเริ่มทำข้อสอบได้ก็ต่อเมื่อได้รับเสียงสัญญาณ ข้อหนึ่งมีเวลาจำกัดให้ซึ่งในแต่ละหน้าเวลาที่ให้จะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับลักษณะคำถาม มีกฎก็คือเมื่อหมดเวลาให้พลิกเปิดทำข้อสอบหน้าใหม่ทันที ห้ามพลิกย้อนเด็ดขาด ถ้าพลิกย้อนจะถือว่าทุจริตทันที ผู้คุมสอบจะทราบได้อย่างรวดเร็วหากเราโกงย้อนกลับไปแก้ เพราะ สีกระดาษเราจะไม่เหมือนกับที่เพื่อนทั้งชั้นกำลังทำอยู่

            สาเหตุของการห้ามพลิกย้อนก็เพราะเมื่อเราเปิดทำข้อสอบหน้าใหม่ ในข้อสอบหน้าใหม่จะเฉลยคำตอบของหน้าก่อนหน้าไว้ทั้งหมด คราวนี้ใครผิดหรือถูกก็รู้กันไปเลยในห้องสอบ บางคนถึงกับตกใจสติแตก เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ขียนไปหน้าที่แล้วนั้นผิดหมด พอสติแตกก็จะทำหน้าที่อยู่ปัจจุบันเน่าต่อไปเป็นทอดๆจนถึงหน้าสุดท้าย การสอบอันนี้จึงต้องใช้สมาธิในการสอบสูงเช่นกันเหมือนการสอบ OSCE เพราะ ถ้าตั้งสติไม่อยู่(สติแตก)เมื่อไรก็จะทำให้การสอบครั้งนั้นเละทันที

            เอาหล่ะให้ความรู้เรื่องการสอบมากันพอสมควรแล้ว เรามาเข้าเรื่องของตอนนี้กันเลย

            เรื่องมีอยู่ว่า...เมื่อสองสามวันก่อนที่คณะแพทย์ มศว ได้มีการจัดสอบ MEQ ครั้งที่ใหญ่ที่สุด ผู้เข้าสอบคือนิสิตแพทย์ปีห้าที่กำลังจะเป็น EXTERN ทั้งชั้นปี ซึ่งก็รวมถึงนิสิตแพทย์แบงค์ด้วย เนื่อหาข้อสอบคือสิ่งที่ได้เรียนมาทั้งหมดตอนปีสี่และปีห้า โดยทางคณะแพทย์จะเลือกคะแนนสองข้อที่ดีที่สุดไปใช้เป็นคะแนนสอบของการสอบประเมินความรู้ความสามารถทางเวชกรรมครั้งที่ 3 ด้วย (ใครไม่รู้ว่าการสอบนี้คืออะไรลองอ่านในตอนที่ 8 ดูนะครับ) การสอบใช้เวลาทั้งวัน คือข้อสอบครึ่งหนึ่งสอบตอนเช้า ส่วนอีกครึ่งที่เหลือสอบตอนบ่าย เป็นการสอบที่มึนและเหนื่อยมากครับ>_<

           หลังจากที่สอบเสร็จ ขณะที่นิสิตแพทย์แบงค์กำลังเตรียมตัวจะเดินกลับไปพักผ่อนที่หอพัก นิสิตแพทย์แบงค์ก็สังเกตเห็นเพื่อนคนหนึ่ง นั่งก้มหน้าก้มตา เอามือกุมขมับ

           "นั้นมันไอ้ก้อยนี่หน่ะ ทำไมเธอดูท่าทางเครียดจังเลย จะเป็นไรไหมเนี้ย " นิสิตแพทย์แบงค์นึกในใจ

           "ลองเข้าไปถามดูแล้วกัน ว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า" ว่าแล้วนิสิตแพทย์แบงค์จึงเดินไปหาในทันที

           "ก้อย... เป็นอะไรไปรึเปล่า"

           "...."   เห้ยก้อยไม่ตอบด้วย...ท่าจะเครียดมากจริงๆ

           "ก้อย ไม่ต้องเครียดหรอกนะ ทำใจให้สบาย สอบไปแล้วมันกลับไปแก้ไม่ได้หรอก วันนี้ข้อสอบมันยากคนอื่นเขาก็ทำไม่ได้กันเยอะแยะ"

           "แบงค์ ชั้นไม่ได้เครียดนะ...ชั้นเพียงแต่เจ็บ" นิสิตแพทย์ก้อยพูดพร้อมทั้งค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองนิสิตแพทย์แบงค์

           "โอ้พระเจ้า!! หน้าเธอไปโดนอะไรมา ทำไมเป็นแบบนั้น เกิดอะไรขึ้น" นิสิตแพทย์แบงค์ตกใจมากเมื่อเห็นหน้าของเพื่อนบวมเฉิงมากๆ ตาลืมแทบไม่ขึ้น มีจ้ำเลือดตามที่ต่างๆ และผ้าก๊อชปิดแผลบริเวณหางตาและจมูก

            "เรื่องก็มีอยู่ว่า เมื่อวานชั้นจะไปซื้อของกินที่ตลาดองค์รักษ์ก็เลยปั่นจักรยานไปคนเดียว เมื่อถึงทางเลี้ยวตรงแยกสุดท้ายก่อนถึงตลาด ชั้นก็ปั่นเร่งความเร็วด้วยความดีใจว่าจะถึงที่หมายแล้ว โดยไม่ได้ดูเลยว่ามันมีรถบรรทุกวิ่งสวนออกมา ชั้นตกใจมาก ก็เลยพยายามหักหลบในทันที สุดท้ายจักรยานก็คว่ำเสียหลัก ชั้นตกจากจักรยานหน้ากระแทกกับฟุตบาทอย่างแรง" นิสิตแพทย์ก้อยเล่าทั้งน้ำตา



                 "จากนั้นชั้นก็พยายามพยุงตัวขึ้นมา แล้วตั้งสติโทรศัพท์เรียกญาติให้รับมาส่ง โรงพยาบาลศูนย์การแพทย์ โชคดีเวลานั้นอาจารย์ศัลยกรรม พลาสติกอยู่พอดี"

                 "ก้อย แล้วอาจารย์ว่ายังไงบ้าง..."

                 "อาจารย์ว่าไงนะเหรอ ก็ไม่ว่าอะไรเท่าไหร่หรอกเพียงแต่ดั้งจมูกหักเท่างั้นเอง อาจารย์ก็เลยรีบ Set OR(operation room ห้องผ่าตัด) แล้วเข็นชั้นเขาไปซ่อมดั้งให้เลยวันนั้น"

                 "โห้!โชคดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก และอาจารย์อยู่พอดี ว่าแต่ทำไมต้องติดผ้าปิดแผลที่ข้างตาทั้งสองข้างด้วยล่ะ ตาไปโดนอะไรมา ไหนตอนแรกบอกว่าแค่ดั้งจมูกหักไง"

                  "อ้อ 55 ก็คือชั้นเห็นว่าอาจารย์จะซ่อมดั้้งจมูกให้ ชั้นก็เลยบอกอาจารย์ว่า ไหนๆอาจารย์จะซ่อมจมูกให้หนูแล้ว อาจารย์ก็ช่วยทำตาสองชั้นให้หนูไปทีเดียวเลยแล้วกันค่ะ" นิสิตแพทย์ก้อยพูดอย่างไม่มีความลังเล

                  "..." นิสิตแพทย์แบงค์ถึงกับพูดอะไรไม่ออก




    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

          PS. จบแล้วกับบันทึกไม่ลับนักศึกษาแพทย์ ตอน "ชั้นไม่ได้เครียดนะ...ชั้นเพียงแต่เจ็บ" นี่คงเป็นเรื่องสุดท้ายแล้วที่นิสิตแพทย์แบงค์จะเขียน แต่อย่าเพึ่งตกใจนิสิตแพทย์แบงค์ไม่ได้ไปไหน นิสิตแพทย์แบงค์แค่จะสลัดคำว่านิสิตแพทย์ออกและเปลี่ยนเป็น EXTERNแบงค์เท่านั้นเอง คราวนี้เรื่องต่อๆไปจะใช้คำว่า EXTERNแบงค์นะครับ เหอๆแต่ไม่รู้ว่าเป็นEXTERNแล้วจะว่างมาเขียนแค่ไหนนะ คงหนักมากๆ ใกล้จะเป็นคุณหมอเต็มตัวขึ้นทุกวันแล้ว สู้คราบบ





        

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×