**********
—- This is the end
Hold your breath and count to ten —-
ชายหนุ่มกระชับสายรัดชุดวิงสูทให้แน่น ตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ เรียบร้อย ทั้งอาวุธ อุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์นิรภัย เขากดปุ่มเช็คสัญญาณวิทยุอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
”เดอะฟ็อกซ์ถึงฐาน ทราบแล้วเปลี่ยน” น้ำเสียงเล็กของเขาดังทวนเสียงกระแสลมและเสียงเครื่องยนต์เจ็ทด้านนอก
“ฐานรับทราบ ฟ็อกซ์ประจำตำแหน่ง หวังว่าวันนี้จิ้งจอกจะไม่กลายเป็นลูกแมวอีกนะ” คำพูดกวนประสาทของเพื่อนร่วมงานดังแว่วจากเอียร์มอนิเตอร์ในหมวกนิรภัย เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ ก่อนสวนกลับด้วยเสียงเย็นชา
“ถ้าฉันล่าเดอะแพนเธอร์ไม่ได้ ฉันจะกลับไปหักกระดูกนายแล้วกันโซล่าร์”
“ฮ่ะๆ ก่อนจะขู่ฉัน นายช่วยรอดกลับมาจากภารกิจให้ได้ก่อนเถอะ คราวนี้แม่งเล่นท่ายากว่ะ” เสียงหัวเราะนุ่มๆ ย้อนเขาอย่างไม่จริงจังนัก อีกฝ่ายเชื่อว่าเขาจะต้องทำสำเร็จ และเขาก็แน่ใจว่าตนเองต้องรอด
เพราะเป็นหมอนั่น…
“เป้าหมายอยู่ในระยะแล้ว เดอะฟ็อกซ์เตรียมปฏิบัติการ นับถอยหลัง 60 วินาที … 59… 58”
เขาสูดอากาศจากเครื่องช่วยหายใจเข้าเต็มปอด ประตูท้ายเครื่องค่อยๆ เปิดกว้าง กระแสลมจากภายนอกกระชากแรงจนเขาต้องยึดราวจับในตัวเครื่องไว้ให้แน่น ท้องฟ้าเหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นสีครามเข้ม ระดับเพดานบินที่ความสูง 5,000 เมตรทำให้เขามองเห็นเมฆลอยเรี่ยอยู่เบื้องล่าง ครู่เดียวสายตาคมก็เห็นเป้าหมายของตนได้ถนัด เครื่องบินส่วนตัวสีขาวกำลังบินตัดผ่านหมู่เมฆ
“50…”
ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ
อีกไม่นานเขาก็จะได้เจอคู่ปรับที่ตามตัวมานาน เดอะแพนเธอร์…อาชญากรทางการเงินและตลาดทุนที่มีหมายจับ 17 ประเทศทั่วโลก เป็นหนึ่งในสิบพ่อค้าอาวุธที่อินเทอร์โปลต้องการตัว ชายที่เขาตามตัวมาตลอด 5 ปี…
น้ำเสียงและแววตาคู่นั้น
— Feel the earth move and then
Hear my heart burst again —
เสียงโห่ร้องเฮฮาดังกังวานไปทั่วทุกทิศ อากาศยามค่ำของเซาเปาโลหอมอวลด้วยกลิ่นการเฉลิมฉลอง ณ ร้านเหล้าแบบเปิดโล่งริมถนนแห่งหนึ่ง แสงไฟสลัวของร้านหลีกทางให้แก่แสงจากขบวนแห่ในเทศกาลคาร์นิวัล ชายหนุ่มกำลังนั่งมองผู้คนที่เดินขวักไขว่บนท้องถนน ในมือบางถือแก้วโมฮิโตควงไปมา ชิ้นมะนาวฝานนอนขอดอยู่ก้นแก้วพร้อมกับใบสะระแหน่ มวนบุหรี่คาเมลที่ไหม้ไปครึ่งมวนคาอยู่ที่ปาก ดวงตาคมปรือปรอยด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ปากอิ่มยิ้มกริ่มอย่างไร้เหตุผล ในอาการมึนเมาแม้แต่เสียงลมหายใจก็ฟังดูราวกับบทเพลงเสนาะหู
เขาปรารถนาให้พิษเหล้าช่วยบ่งความจริงที่เจ็บปวด แม้ชั่วคราวก็ยังดี
“May I sit with you?” เสียงทุ้มเข้มกระตุกเขาให้สะดุ้ง เขามองเห็นชายหนุ่มร่างสูงยืนอยู่เบื้องหน้า เสื้อสูทไหมสีดำปลดกระดุม เผยเชิ้ตขาวเนื้อละเอียดด้านใน ผมสีดำตัดสั้นประกอบกับแสงสลัวในร้านเหล้าทำให้ยากคาดอายุของผู้มาใหม่ เท่าที่รู้คือ ใบหน้าคมเข้มนั้นหล่อเหลาชนิดที่ขบวนฉลองใดๆ ก็ยากจะแย่งความสนใจไปได้
“Você fala Inglês?” ชายหนุ่มคนนั้นเปลี่ยนมาถามเป็นภาษาโปรตุกีสหลังจากไม่ได้รับคำตอบภาษาอังกฤษ เขาสะบัดศีรษะเล็กน้อยเพื่อไล่ความมึนเมาและความตื่นตะลึงในรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย
“Um… I’m sorry, but the seat was occupied.” เขาปฏิเสธอย่างสุภาพ และเขาไม่ได้โกหก… ก็ที่ตรงนั้นมีคนนั่งจริงๆ เพียงแต่หล่อนทิ้งเขาไปแล้วตั้งแต่ 24 ชั่วโมงก่อนก็เท่านั้น
“Oh, I’m so sorry. Where is she now? Or…should I say he?”
“It’s a she. And now she might be enjoy the carnival somewhere… with someone else. But I still don’t need any company.” เขาระบายออกไปอย่างนึกรำคาญ
ผู้หญิงแบบนั้นใครจะไปรักลง…
“But you seem to need one. So let it be my honor.” ไม่ทันไร ชายหนุ่มคนนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง รู้สึกกังวลเพราะการปรากฏของชายแปลกหน้า ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับสะกดจิตใจที่เมามายและมึนซึมเสียอยู่หมัด
ช่างเถอะ… ยังไงเสียนี่ก็เป็นพักร้อนที่แย่ที่สุดในชีวิตการเป็นหน่วยสืบราชการลับของเขาแล้ว
“Would you like another drink? It’s on me.” เขาส่ายศีรษะปฏิเสธ ทว่าก็ไม่ทันน้ำเสียงทุ้มเข้มที่ร้องสั่งบาร์เทนเดอร์เป็นถ้อยคำโปรตุกีสอย่างลื่นไหล “Margarita, dois óculos, por favor.”
ชายหนุ่มหันมายิ้มให้เขา รอยยิ้มที่พิมพ์บนริมฝีปากดูราวกับรูปสลักดาวิดที่เขาเคยเห็นครั้งหนึ่งขณะปฏิบัติภารกิจในวาติกัน เขาคิดจะปฏิเสธเหล้าและอยากหลบไปจากตรงนั้น ค่ำคืนนี้ยาวนานเกินไปแล้ว เสียงครื้นเครงจากงานคาร์นิวัลยังคงประเดดังอยู่รอบๆ ยิ่งบีบกดให้ความหดหู่ในใจรัดแน่น แฟนสาวที่ระหองระแหงกันมาเกือบ 8 เดือนเพิ่งขอเลิกในวันครบรอบ 3 ปี วันลาพักร้อนของเขายังเหลืออีก 5 วัน…
5 วันที่ทรมาน —- ตอนนี้เขายังไม่อยากแชร์ช่วงเวลาส่วนตัวกับใคร โดยเฉพาะชายแปลกหน้าที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้
“Are you from Rio? Are you here for business or a trip?”
“It’s my vacation. I’m from Korea.”
“อ่อ… คุณมาจากเกาหลีหรอกเหรอครับ เห็นผมสีบลอนด์ ผมนึกว่าเป็นคนญี่ปุ่นที่มาอยู่ในริโอซะอีก” จู่ๆ ชายคนนั้นก็พูดภาษาบ้านเกิดของเขาอย่างคล่องปรื๋อ เขาพยายามเพ่งมองอีกฝ่ายและสังเกตเห็นเค้าหน้าของคนชนชาติเดียวกัน ถึงแม้รูปหน้านั้นจะดูเรียวยาวเหมือนลูกครึ่งยุโรปก็ตาม
“ทำไมคุณดูไม่เอ็นจอยกับงานคาร์นิวัลเลยล่ะ นี่งานฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบราซิลเลยนะ ต่อให้เศร้ามาจากไหน ที่นี่ก็ทำให้เราสนุกได้เสมอ” ชายหนุ่มเริ่มร่ายยาวระหว่างบาร์เทนเดอร์ยกเหล้ามาเสิร์ฟ เขาหน่ายจะตอบ แต่ก็ไม่อยากเสียมารยาท อย่างน้อยก็ถือว่าตอบแทนเหล้าฟรีแก้วนั้น
“ผมไม่มีอารมณ์… ตอนนี้ไม่ว่าอะไรก็ทำให้ผมสนุกไม่ได้หรอก คุณไปหาสาวๆ ในขบวนคาร์นิวัลคนเดียวดีกว่า ปล่อยผมไว้ที่นี่เถอะ” สิ้นคำ เขายกมาร์การิต้าขึ้นดื่ม รสเปรี้ยวขมปร่าผสมกับเกลือที่ขอบแก้วซ่านในปาก แปรเป็นรสหวานกระหวัดติดปลายลิ้น ราวกับเหล้าในแก้วต้องการตัดพ้อหัวใจให้นึกถึงความรักที่เพิ่งละลายไปในแก้วชีวิต
“พนันกับผมมั้ยครับ ว่าก่อนพรุ่งนี้เช้า ผมจะทำให้คุณยิ้มได้อีกครั้ง…” ร่างสูงเท้าแขนข้างหนึ่งบนโต๊ะ ปลายนิ้วลูบคางอย่างพินิจ สายตาที่จ้องกลับมาดูไม่น่าไว้ใจ ชวนให้ความคิดประหลาดผุดขึ้นในหัวเขา
“เฮ้ อย่าบอกนะว่าคุณกำลังหา… ผม…ไม่ได้เป็นแบบนั้นนะ” เขารีบขึ้นเสียงปฏิเสธ ไม่ว่าชายคนนี้จะมาเพื่อจุดประสงค์อะไร เขาในตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ทำอะไรทั้งสิ้น
”แบบนั้น คุณหมายถึงแบบไหนล่ะ…?”
“ก็…” เขาตอบตะกุกตะกัก ลิ้นพันกันวุ่น ทั้งฤทธิ์เหล้าทั้งบทสนทนาที่ชักจะไม่เข้าท่าทำให้เขาเริ่มพูดไม่ถูก “ก็แบบนั้นนั่นแหละ… คุณก็รู้ผมหมายถึงอะไร นี่มันบราซิลนะ มีผู้ชายมาเลี้ยงเหล้า… มันจะคิดอะไรได้อีก”
“นี่คุณ ผมแค่จะหาเพื่อนคุย คุณคิดเป็นตุเป็นตะขนาดนั้นเลยเหรอ” คำตอบของเขาทำให้อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดัง “คาร์นิวัลน่ะเป็นเทศกาลแห่งความสนุกสนาน ผมก็แค่ไม่อยากให้ใครตกขบวนไปก็แค่นั้น ส่วนจะสนุกยังไง…นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณพอใจแบบไหน”
แววตาคมเข้มนั่น… น้ำเสียงทุ้มต่ำนั่น…
ไม่รู้ในเหล้าบราซิลใส่อะไรถึงได้แรงนัก เขากระดกมันเข้าปากอีกครั้ง
“โอเคๆ งั้นคุณจะนั่งต่อก็ได้” เขาตอบแก้เก้อที่เผลอหลุดความคิดน่าอายออกไป อย่างน้อยได้คุยกับคนพูดภาษาเดียวกันในต่างแดน คงช่วยคลายเหงาได้ไม่มากก็น้อย “แต่คุณต้องเลี้ยงผมอย่างที่บอกนะ…”
“โอเคครับ…” ร่างสูงผงกศีรษะรับ เขาโบกมือเรียกบาร์เทนเดอร์อีกครั้ง “จนกว่าคุณจะยิ้ม… It’s on me.”
ความทรงจำหลังจากนั้นเลือนราง เหมือนภาพที่มองผ่านกระจกเปื้อนน้ำฝน ดวงแสงของขบวนคาร์นิวัลผสมผสาน ซีดจางและวูบวาบอยู่ในสมองของเขา สิ่งที่พอจะจำได้คือ ชายหนุ่มแปลกหน้าเป็นนักธุรกิจ เดินทางมาประชุมเจรจากับบริษัทในบราซิล บังเอิญมีเวลาว่าง จึงแวะมาดูเทศกาลคาร์นิวัลในเซาเปาโล
เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง คงพร่ำบ่นเรื่องผู้หญิงบ้าๆ ความรักโง่ๆ และคงบ่นว่าชีวิตนี้ไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องแบบนั้นอีกแล้ว
ส่วนที่เหลือ เขาจำไม่ได้…
—- For this is the end
I’ve drowned and dreamed this moment —-
เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในที่นอนหนานุ่มของโรงแรม Fasano ในริโอ เดอ จาเนโร แสงแดดยามบ่ายส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาแยงตา ศีรษะปวดตุบด้วยฤทธิ์เหล้า ทิวทัศน์ของทะเลสีมรกตและยอดเขาชูการ์โลฟเบื้องนอกหน้าต่าง ไม่อาจดึงความสนใจจากความทรมานได้แม้แต่น้อย
กระทั่งสติเริ่มแจ่มใส เขาถึงต้องตกตะลึงที่เห็นตนเองกำลังเปลือยอยู่ใต้ผ้าห่มสีขาว ผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ รอยแดงบนแผ่นอก เศษซองถุงยางอนามัยหล่นรายบนพื้น… 3 ถุง และที่สำคัญ ร่องรอยปวดแปลบที่บั้นท้ายจนไม่อาจขยับ
ชายหนุ่มงุนงง หัวคิ้วขมวดจนแทบจะผูกเป็นปม เขาพยายามนึกย้อนว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนวาน ภาพทรงจำปะติดปะต่อไม่เป็นเรื่องราว ทว่าสากสัมผัสและอุณหภูมิที่ตกค้างบนร่างกายค่อยๆ ชัดขึ้น เหมือนเวลาที่รู้สึกถึงก้าวย่างของแมงมุมตัวเล็กๆ กำลังไต่บนบนผิวหนัง…และในท้องน้อย
“บ้าเอ๊ย!” เขาสบถหลังจากเดาออกว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนจะมั่นใจมากขึ้นเมื่อแขกแปลกหน้าที่เพิ่งเจอเมื่อคืนเดินสวมเสื้อคลุมอาบน้ำเข้ามาในห้อง ในมือถือถาดอาหารเช้า มีขนมปังปิ้ง ถ้วยกาแฟและซองไทลินอล
“ทานนี่สิ… แก้เมาค้างได้นะครับ” ร่างสูงเดินมานั่งข้างเตียง พร้อมวางถาดอาหารไว้ตรงหน้าเขา
“นี่เรา… เมื่อคืน…?” เขาเบิกตาค้างด้วยความตกใจ ทั้งมึนงงและเขินอาย
นี่เขาพลาดท่า…ตกเป็นฝ่ายรับอย่างนั้นเหรอ?
คนที่ตามล่าคนอื่นเป็นอาชีพเนี่ยนะ?!
ชายคนนั้นไม่ตอบ มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าคมคายสื่อความนัย เขารีบคว้ายามาทาน ตามด้วยกาแฟดำเพียวๆ ไม่สนน้ำตาลและครีมที่เตรียมอยู่ในถาด
เขาหลับตา
ปล่อยให้ไอกรุ่นของกาแฟซึมซ่านเข้าสู่ประสาทรับกลิ่นและรส หวังจะให้มันเกลื่อนสัมผัสประหลาดที่อวลค้างอยู่ในโพรงปาก ทว่าของเหลวอุ่นร้อนกลับยิ่งกระตุ้นความทรงจำให้ทำงานเต็มที่ ของเหลวอุ่นร้อนที่หลากท่วม ชุ่มและเปรอะ
เขาแทบสำลัก…
ชายคนนั้นรับถ้วยกาแฟไปเก็บและเอื้อมมือมาลูบหลังให้ เขาเกร็งตัวและเอียงหลบโดยอัตโนมัติ กระนั้นความเจ็บเบื้องล่างก็ทำให้เคลื่อนตัวได้ไม่มาก ชายหนุ่มเอนตัวตามมาพร้อมคว้าบ่าของเขาไว้ได้
“อย่าขยับมากสิครับ คุณยังเจ็บอยู่นะ” คำพูดนั้นทำให้เขาช็อคไปครู่ใหญ่ๆ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนอีกฝ่ายย้ายถาดอาหารไปวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง “เมื่อคืนคุณดูสนุกมากแท้ๆ” ชายหนุ่มยิ้มกริ่มหยอกล้อเขาด้วยคำพูด
แต่ตอนนี้มันไม่สนุกเว้ย!
“ผมจะกลับแล้ว…” เขาหลบหน้า พยายามฝืนสังขารกระเถิบไปลงจากเตียงอีกฟากหนึ่ง
“อ๊ะ! แต่เมื่อคืนคุณแพ้พนันผมนะ อย่าลืมสิ คุณยิ้มให้ผมตั้งหลายครั้งแน่ะ” น้ำเสียงเข้มยังไม่วายตามมาก่อกวน เขาหันกลับไปตวัดตามองอีกฝ่าย ดวงตาภายใต้คิ้วเข้มฉายแววซุกซนและเจ้าเล่ห์ เขาแทบจะวิ่งหนีออกไปให้พ้นเจ้าบ้านี่ทันที ถ้าไม่ติดว่าตัวเองกำลังเปลือยอยู่…
และถ้าไม่ติดว่าอยากจะจ้องดวงตาคู่นั้นต่ออีกสักพัก
“คุณยังบอกเลยว่าอยากไปขับเจ็ทสกี ลองเล่นเซิร์ฟ ดำน้ำ ผมก็อุตส่าห์จองให้หมดแล้ว…”
“ทำไมคุณต้องทำแบบนั้นด้วย? ผมไม่มีเงินจ่ายคุณนะ”
รอยยิ้มมุมปากนั่นอีกแล้ว…
“บอกแล้วไงครับ จนกว่าคุณจะยิ้ม …It’s on me.” เขานิ่งอึ้งไปชั่วขณะเมื่อได้ยินประโยคนั้น ที่อีกฝ่ายพูดมาทั้งหมดเป็นสิ่งที่เขาอยากทำกับคนรักจริงๆ แต่… นั่นมันก่อนที่หล่อนจะหักอกเขานี่!
ตอนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องออกไปกับหมอนี่เลยสักข้อ
“ขอบคุณมาก แต่ไม่เป็นไร… ถ้าต้องรบกวนคุณขนาดนั้นล่ะก็ ช่วยยกเลิกจองพวกนั้นไปเถอะ ส่วนเรื่องค่าเสียหาย เดี๋ยวผมจ่ายเองแล้วกัน” เขาหันหลังกลับ เดินกะเผลกไปที่ประตู และเอ่ยถามเสียงดัง “เสื้อผ้าผมอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ในห้องรับแขกน่ะ ในกระเป๋าของคุณ…”
“กระเป๋าของผม? ทำไมกระเป๋าของผมมาอยู่ที่นี่?” เขาหันกลับมาถามอีกฝ่าย ชายหนุ่มคนนั้นกำลังนั่งแทะขนมปังของเขาอย่างสบายอารมณ์ขณะทอดตามองออกไปนอกหน้าต่าง
“ก็เมื่อคืนคุณบอกผมเองว่าไม่อยากอยู่คนเดียว พอผมชวนให้มาพักด้วยกัน คุณก็ตอบตกลงทันที แถมยังกลับไปเช็คเอ้าท์จากโรงแรมของคุณ แล้วขนของขึ้นเฮลิคอร์ปเตอร์ส่วนตัวของผมกลับมาที่นี่เลย”
เขาอ้าปากค้าง… เขาเนี่ยนะ!!! …แล้วยังจะเฮลิคอร์ปเตอร์ส่วนตัวอีก!!!
“แล้วคุณก็ชวนคนแปลกหน้ามาค้างที่โรงแรมเนี่ยนะ? คุณบ้าไปแล้วเหรอ!”
“ก็ไม่บ้ามากนักหรอก ถ้าคนแปลกหน้าคนนั้นจะทำให้ผมสนุกขนาดนี้ คุณลืมไปแล้วเหรอ…ที่นี่บราซิล ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลคาร์นิวัลด้วย ไม่มีใครสมควรจมอยู่ในความทุกข์หรอกนะ” อีกฝ่ายยิ้มให้เขาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ รอยยิ้มนั้นอบอุ่น
เขายืนนิ่ง จ้องมองร่างสูงที่นอนเหยียดยาวบนเตียงอย่างพินิจ “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ… คุณกับผม… เราแทบจะไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ”
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเตียงเอียงคอ ทำท่าคิดเล็กน้อย ก่อนเอื้อมมือซ้ายออกมา เหมือนจะจับมือทักทาย
“โอเค…งั้นผมขอเริ่มใหม่ —- ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมชื่อ…….”
—- So overdue, I owe them
Swept away, I’m stolen —-
“อีก 30 วินาที… นายพร้อมนะฟ็อกซ์ งานเสร็จแล้วอย่าลืมจุดนัดหมายล่ะ”
“รับทราบ” เขาปรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนหมวกนิรภัย เครื่องคำนวณความเร็วลมและทิศทางของเป้าหมายที่เชื่อมต่อกับชุดวิงสูท ช่วยทำหน้าที่ปรับองศาของปีกร่อน ทำให้เขาสามารถกะระยะร่อนลงบนเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
ปากอิ่มยิ้ม… ความพยายามครั้งสุดท้ายของเขาใกล้จะจบลงแล้ว
ในใจนึกย้อนถึง 5 วันในริโอ เดอ จาเนโร… ช่วงเวลาที่แสนสุขและแสนเศร้าไปพร้อมๆ กัน
“10…9…8”
เขาสูดลมหายใจ
“5…4…3”
กระโดด!
— Let the sky fall, when it crumbles
We will stand tall
Face it all together
At skyfall —
ร่างบางในชุดวิงสูทถลาผ่านเมฆไปอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู มุ่งตรงสู่เครื่องบินส่วนตัวลำสีขาวเบื้องล่าง ตัวเลขบนหน้าจอหมวกนิรภัยแสดงระยะปะทะในอีก 1 นาที 21 วินาที… ความรู้สึกขณะร่วงหล่นหวิวว้างและว่างเปล่า ผืนฟ้าไกลสุดตาไร้ขอบเขตยิ่งกระตุ้นให้รู้ว่าความเดียวดายเป็นอย่างไร กระแสลมที่พัดมาปะทะทำให้รู้สึกไม่มั่นคง เหมือนวันสุดท้ายในริโอ เดอ จาเนโร
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตอนไหน… อย่างไร…
รู้แต่เพียงว่า เมื่อชายแปลกหน้าที่ปรากฏตัวในเซาเปาโลหายไป หัวใจของเขาก็รู้สึกว่างเปล่าขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ ไม่มีที่อยู่ติดต่อ มีเพียงชื่อที่ดูเหมือนจะเป็นชื่อปลอมเท่านั้น… เขาพยายามตามหา แต่ก็เปล่าประโยชน์ ราวกับชายผู้เป็นเพียงความฝันชั่วครู่ได้สลายไปหลังม่านหมอกแห่งคาร์นิวัล
ทว่าวันหนึ่ง หลังจากค่ำคืนในบราซิลเกือบครึ่งปี เขาก็ได้ยินข่าวของชายผู้นั้นอีกครั้ง หน่วยสืบราชการลับที่เขาทำงานอยู่ได้รับข้อมูลด่วนจากตำรวจสากล เขาตกใจแทบช็อคเมื่อเห็นว่ารูปพรรณสัณฐานของชายหนุ่มที่เขาพบตรงกับ เดอะแพนเธอร์ นักฟอกเงินและนักฉ้อโกงที่ก่อคดีใหญ่ๆ มานับไม่ถ้วน ตั้งแต่มีส่วนได้ส่วนเสียกับวิกฤตซับไพรม์ในอเมริกา วิกฤตหนี้สถาบันการเงินในกรีซและสเปน รวมถึงการทุจริตโครงการก่อสร้างในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนมาก
เขาตระหนัก…และหวาดหวั่น ไม่รู้ว่าระหว่าง 5 วันที่อยู่ด้วยกัน อีกฝ่ายได้ข้อมูลอะไรจากเขาไปบ้าง ความโกรธพวยพุ่งเมื่อนึกถึงรอยยิ้มและน้ำเสียงทุ้มแสนอ่อนโยน —- ตลอดระยะเวลา 5 วันนั้น เป็นการแสดงทั้งหมด?
แล้วความรู้สึกที่เกิดในใจเขาละ?
เขาตัดสินใจมอบตัวให้แก่แผนกตรวจสอบภายในของหน่วยงาน และถูกส่งเข้าโปรแกรมตรวจสอบเกือบ 3 เดือน ถูกพักงานและถูกตัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลของหน่วยเกือบปี กระทั่งได้รับแต่งตั้งจากหัวหน้าแผนกให้เป็นเจ้าหน้าที่ทีมสืบสวนเพื่อตามจับกุม เดอะแพนเธอร์ ในข้อหาคดีลักลอบค้าอาวุธให้แก่รัฐบาลเกาหลีเหนือ
“ในบรรดาตำรวจและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่เรามี นายเป็นคนเดียวที่เคยเจอหมอนั่นและรู้จักเขานานกว่าใคร —- ช่วยจัดการหมอนี่ให้อยู่หมัดทีนะ ฟ็อกซ์”
นั่นคือสิ่งที่หัวหน้าพูดกับเขาในฐานะเจ้าหน้าที่สืบราชการลับที่มีผลงานโดดเด่นในด้านการติดตามบุคคล จนได้สมญาว่า สุนัขจิ้งจอก และสำหรับเขาแล้ว…เดอะแพนเธอร์ คือรอยด่างพร้อยเดียวในชีวิตที่ทำให้เขานอนไม่หลับมาตลอด 5 ปี
อา…เวลา 5 ปีที่แสนยาวนาน
—- Skyfall is where we start
A thousand miles and poles apart
When worlds collide, and days are dark —-
ช่วงระยะเวลา 5 ปี เขาตามสืบไปทั่วโลก จนเจอชายหนุ่มคนนั้นหลายครั้ง เกือบจับได้ก็บ่อย พลาดท่าก็มาก และแทบจะกลายเป็นคู่รักคู่แค้นเลยทีเดียว
ครั้งแรกเป็นที่ญี่ปุ่น… เขาตามสืบจนได้เบาะแสว่า เดอะแพนเธอร์ เข้าไปพัวพันกับกิจการลงทุนด้านพลังงานนิวเคลียร์ และพบตัวชายคนนั้นที่ซัปโปโร อีกฝ่ายพักในเรียวคังลือชื่อ งินรินโซ(Ginrinsou) เขาต้องปลอมตัวเป็นพนักงานของโรงแรม ลอบเข้าไปในห้องพัก หลบรอจังหวะที่อีกฝ่ายไร้อาวุธขณะเตรียมลงแช่บ่อออนเซ็นส่วนตัว
ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องอาบน้ำอันโอ่โถง สีน้ำเงินเข้มของชุดยูกาตะตัดกับผิวขาว ร่างสูงดูเด่นสง่าบนพื้นห้องน้ำที่ปูด้วยหินอ่อนสีเทา จากมุมที่เขาซ่อนตัวอยู่ทำให้มองเห็นร่างชายหนุ่มตัดกับแสงอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องมาจากหน้าต่างกว้าง เส้นรูปเงาที่เข้มชัดพาลให้จิตใจรู้สึกปั่นป่วน…ภาพในริโอย้อนกลับมาอีกครั้ง
ฝ่ายนั้นเดินไปจนถึงริมบ่อออนเซ็น หยุดยืนอยู่ตรงนั้น… ก่อนเอี้ยวกลับมาจนเขาสามารถมองเห็นเสี้ยวหน้าคมคายจากจุดที่ซ่อนอยู่ได้อย่างชัดเจน
“นึกไม่ถึงว่าโรงแรมจะบริการดีขนาดนี้ ของหายไปเกือบปีก็ยังหามาคืนให้ได้… ออกมาเถอะครับ บ่อออนเซ็นนี่ใหญ่พอสำหรับเราสองคนเลยนะ” ใจคนฟังหล่นวูบเมื่อน้ำเสียงเข้มเอ่ยอย่างอ่อนโยน เขาค่อยๆ ก้าวออกมาจากที่ซ่อน
“อันที่จริง…เรียกว่า ของที่ถูกทิ้งไว้ น่าจะถูกกว่า หนึ่งปีผ่านไปยังจำผมได้อีกเหรอ? ผมไม่คิดว่าวันเวลาแค่สี่ห้าคืนจะมีค่าพอให้คุณเปลืองสมองจดจำมัน” เขาสืบเท้าเดินช้าๆ และหยุดห่างจากอีกฝ่ายประมาณสองเมตร เป็นการรักษาระยะห่างไม่ให้ผลีผลาม …หรือเผลอไผล
“สำหรับผม มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเองนะ ต้องขอโทษจริงๆ…ที่งานผมค่อนข้างยุ่ง คุณก็น่าจะรู้” ชายหนุ่มเอียงคอทำท่าเหมือนคิดทบทวน
รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว…
“งานสกปรกนั่นน่ะเหรอ?” เขาข่มเสียงตนเองให้เย็นเยียบเพื่อสะกดอวลไอกรุ่นหอมของเสี้ยวอดีต “อย่าทำเป็นพูดดีไปหน่อยเลย คุณก็แค่เหลือบไรที่หากินกับความโง่ของมนุษย์เท่านั้นเอง”
อีกฝ่ายหัวเราะในลำคอ แววตาซุกซนและเจ้าเล่ห์…
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชำระล้างผมหน่อยสิ คุณฟ็อกซ์ —- ถ้านั่นไม่ใช่ชื่อปลอมเหมือนที่คุณใช้ปิดบังผมที่ริโอน่ะนะ” เขากำมือแน่น หมอนี่รู้กระทั่งชื่อรหัสในหน่วยงานของเขา “อย่าขมวดคิ้วอย่างนั้น มาแช่น้ำกับผมก่อน มันช่วยคลายเครียดได้นะ… และผมยังอยากเห็นรอยยิ้มสดใสของคุณอีกครั้ง” แล้วชายหนุ่มก็ปลดสายรัดยูกาตะของตน ชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มค่อยๆ ร่นร่วงไปกองอยู่ที่ข้อเท้า เผยผิวร่างเนียนขาวราวรูปสลักหินอ่อน
วูบหนึ่งที่หัวใจเต้นผิดจังหวะ
เขายืนจ้องชายหนุ่มค่อยๆ หย่อนร่างลงในบ่อออนเซ็นสีฟ้า เสียงน้ำไหลจากท่อที่ฝังอยู่ในแท่นสลักรูปหัวแกะกลางบ่อดังไม่ขาด พวยไอน้ำฟุ้งกระจาย อีกฝ่ายนั่งแช่น้ำพิงผนังบ่อ ช่วงไหล่เต็มไปด้วยมัดกล้ามพาดในท่าทางสบายๆ
เขารู้สึกหวาดหวั่น…และตื่นเต้น ระหว่างทั้งสองมีเพียงความนิ่งงันราวกับอยู่คนละโลก ต่างฝ่ายต่างตระหนักถึงจุดประสงค์ของกันและกัน แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้…
ใบหน้ามนนิ่งสงบ ซุกซ่อนพายุอารมณ์ขัดแย้งที่พัดกระหน่ำอยู่ในหัว ทั้งหน้าที่ ความแค้น และ…
เขากระพริบตาถี่เพื่อไล่ความสับสน ก่อนถามตัวเองว่าควรทำอย่างไร เมื่อชายที่โลกต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่งมาอยู่ต่อหน้า และอาจตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา…เพียงคนเดียว
ร่างบางค่อยๆ ก้าวไปยังขอบบ่อ ปรายหางตามองชายหนุ่มร่างเปลือยเปล่าที่แช่อยู่ในน้ำที่ใสราวกระจก เรียวตาคมเงยขึ้นสบเขา
“พนันกับผมมั้ย ว่าก่อนขึ้นจากบ่อ ผมจะทำให้คุณยิ้มได้อีกครั้ง” น้ำเสียงนั้นเหมือนแดดอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ หลอมละลายน้ำแข็งในใจให้รินไหลลงสู่ธารน้ำ เขาค่อยๆ ปลดชุดยูกาตะสีเทาจากร่าง เหลือเพียงกายบาง…และอาวุธที่ซุกซ่อนตามส่วนต่างๆ มีดสปาร์ต้าที่ใช้สายหนังรัดคาตรงขาอ่อน ซองปืนเล็กที่คาดอยู่ตรงสีข้าง
“คุณดูเป็นมืออาชีพมากเลยนะ…” ชายหนุ่มยิ้มเยาะเมื่อเห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ชุดคลุม เสียงน้ำแหวกจากกันดังขึ้นเมื่ออีกฝ่ายลุกยืนและเดินมาหาเขา “ผมช่วยปลดให้ไหม?”
เขาหลุบตาจ้องมองดวงตาคมจากตำแหน่งที่สูงกว่า ลมหายใจสูดลึก… สะกดความรู้สึกปั่นป่วนในอก และกัดฟันจนกรามเกร็ง ก่อนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจทีละน้อย… เขายื่นขาข้างที่คาดมีดไว้ไปข้างหน้า
“แกะ…” คำบอกสั้นๆ ทำให้ชายคนนั้นยิ้มมุมปาก ก่อนเอื้อมมือมาปลดสายรัดที่ต้นขา ผิวสัมผัสของปลายนิ้วสะกิดความปรารถนาของเขาเบาๆ ทว่าส่งผลรุนแรง ซองปืนที่สีข้างตามลงไปนอนนิ่งบนขอบบ่อ หากแต่ผิวเนื้อยังคงดำเนินเรื่อยไปตามสัดส่วนต่างๆ
เขาเคลื่อนตัวลงในบ่อ กายอุ่นด้วยอุณหภูมิของน้ำในสระ…และสัมผัสที่เบียดใกล้
ไอขาวในห้องฟุ้งตรลบรางเลือนดุจภาพฝัน ทั้งสองร่างกอดเกี่ยวราวกับงูเห่าคู่รัดกระหวัด ฉกฉวยอากาศจากริมฝีปากของอีกฝ่ายหนึ่ง รสหวานหอมอวลจากเรียวลิ้นเป็นเหมือนพิษที่กลัดให้แก่กัน เร่งเร้า รุนแรง ผิวน้ำกระฉอกดังกลบเสียงน้ำที่ไหลจากท่อกลางบ่อ ถ้อยคำครวญครางไม่ได้ศัพท์ล่องลอยสะท้อนระหว่างผนัง
ยิ่งปลุกเร้า ยิ่งปรารถนากลืนกิน
ยิ่งถอยห่าง ยิ่งร่วงหล่น
เขาฉวยโอกาสขณะชายหนุ่มไม่ระวัง จับจ้องที่มีดและปืนข้างบ่อ และ…
—- You may have my number, you can take my name
But you’ll never have my heart —-
พวกเขาพบกันอีก 5 เดือนให้หลัง ที่มอนติคาร์โลในโมนาโก
เขารู้จักรสนิยมของชายหนุ่มดี ที่พักของหมอนั่นจึงไม่พ้นห้องเพรสทีจสูทของโรงแรมเมโทรโพล (Metropole) ครั้งนี้เขาหาข้อมูลและวางแผนไว้อย่างดี จึงจัดการบอดี้การ์ดทั้ง 8 คนที่ยืนเฝ้าอยู่ตามจุดต่างๆ ของห้องสูทโดยง่าย ก่อนจะบุกเข้าไปถึงภายในห้องพักด้านในสุด
“ผมจำไม่ได้ว่าสั่งรูมเซอร์วิสราคาแพงขนาดนี้นะ” เสียงทุ้มที่เอ่ยทักฟังดูเหนื่อยล้า แต่ก็ยังคงวี่แววยียวนไม่เปลี่ยน
“ก็คุณเล่นทิปหนักในทุกที่ที่ไป ใครๆ ก็อยากเอาใจทั้งนั้น” เขาเดินผ่านเข้าไปในห้องนอน ปลายกระบอกปืนเล็งไปยังร่างที่ถอดเสื้อนอนอยู่บนเตียง “อาวุธปลอมที่คุณไปหลอกขายคิมจองอุนน่ะ…เจ๋งดีนะ เล่นซะจรวดพวกนั้นหัวทิ่มลงทะเลเลย”
“แค่เศษเหล็กของเล่นน่ะ…ถือเป็นของขวัญที่ผมให้คุณก็แล้วกัน เจ้านายคุณจะได้ไม่ต้องปวดหัวกับพวกเกาหลีเหนือไปสักระยะ”
“แต่เรื่องไปยุ่มย่ามกับกองทุนพันธบัตรของอียู…ดูจะออกมาไม่สวยเท่าไหร่เลยนะ” เขาบุ้ยใบ้ไปยังแขนขวาของชายหนุ่มที่พันด้วยผ้าพันแผล และริ้วรอยฟกช้ำที่กระจายอยู่ตามตัว
อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ ในลำคอ “ธุรกิจมันต้องมีได้บ้างเสียบ้าง เหมือนเล่นพนันนั่นแหละ”
“เสี่ยงไปหน่อยหรือเปล่าที่ขโมยของของคนอื่นแล้วแอบมาหลบอยู่หลังบ้านเขาแบบนี้ ข้างนอกนั่นอินเตอร์โปลกำลังหาตัวคุณให้ควั่กเลยนะ” เขาเดินไปนั่งลงบนเตียงอีกฝั่ง ขณะปลายปืนยังคงเล็งอยู่ที่เดิม
“ไม่ต้องห่วงผมหรอก คุณก็น่าจะรู้ว่าเงินทำได้ทุกอย่าง รวมทั้งปิดหูปิดตาคน”
รอยยิ้มนั่นยังคงมั่นใจไม่เปลี่ยน
—- Where you go I go,
What you see I see —-
“จะมีก็แต่คุณคนเดียวเท่านั้นมั้งที่ตามผีอย่างผมเจอครั้งแล้วครั้งเล่า”
“หึ… แต่ก็ดิ้นหลุดมือไปได้ทุกที”
“เห็นคุณไล่ตามผมแล้วมันสนุกดีนี่”
“นั่นเลยทำให้คุณไว้ชีวิตผมที่ญี่ปุ่นอย่างนั้นเหรอ”
ไร้คำตอบ มีเพียงรอยยิ้ม
ใจประหวัดนึกถึงเหตุการณ์ในบ่อออนเซ็น เขาฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายเผลอ เอื้อมมือหมายคว้าปืน แต่ร่างสูงกลับว่องไวกว่า ปืนถูกผลักกระเด็น มีดสปาร์ต้าถูกชิงไปอยู่ในมืออีกฝ่ายและเคลื่อนเข้าจ่อคอหอยเขาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเขาก็ถูกครอบครองอย่างไม่อาจต่อต้าน…อีกหลายครั้ง
ในค่ำคืนนั้น สายลับหนุ่มคิดว่าตนคงไม่รอด… หากแต่รุ่งขึ้นเขายังคงหายใจอยู่ ทุกอย่างในห้องพักไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงชายคนนั้นที่หายไป
ร่องรอยที่เหลืออยู่คือกาแฟดำหนึ่งถ้วยและซองไทลินอลวางบนโต๊ะอาหาร —- ร่องรอยของความฝันบางเบา
หัวใจของเขาถูกผูกไว้กับอดีตในริโออีกครั้ง
“คุณจะทำยังไงกับผม ฆ่าผมเหรอ? หรือจะลากผมกลับไปเกาหลีด้วย?” ชายหนุ่มเปลี่ยนประเด็นบทสนทนา
“ผมไม่ชอบทำร้ายคนไม่มีทางสู้…” เขาตอบเสียงเนิบ “อีกอย่าง ได้ตัวคุณตอนที่นอนเจ็บอยู่แบบนี้ มันไม่สนุกเอาซะเลย” ดวงตาคมเหลือบมามองเขา ทอประกายประหลาดใจ ก่อนรอยยิ้มบางๆ จะผุดพรายบนใบหน้า
“ใช่… มันไม่สนุกเอาซะเลย”
ความเงียบปกคลุมเนิ่นนาน โมนาโกในยามค่ำเรืองรองด้วยแสงจากอาคารบ้านเรือน หน้าต่างกระจกใสบานใหญ่เป็นเหมือนกรอบภาพวาดสีน้ำมัน ผิวน้ำทะเลสีกำมะหยี่เป็นฉากหลังอยู่แสนไกลให้แก่จุมพิตแผ่วเบา…แสนสั้น
ครู่หนึ่งเสียงปี๊บก็ดังขึ้นจากหัวเข้มขัดของเขา ชายหนุ่มขมวดคิ้วแปลกใจ
“ตานี้คุณโกงนี่” น้ำเสียงทุ้มเข้มขาดห้วงด้วยลมหายใจอุ่นร้อนที่รินรดอยู่ใกล้ๆ
“ใครจะยอมให้คุณมือขึ้นตลอดละ… คุณมีเวลา 3 นาทีก่อนอินเตอร์โปลจะแห่กันมาที่นี่…ผมต่อให้แล้วนะ” เขาฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายพลั้งเผลอ กดเครื่องส่งสัญญาณระบุตำแหน่งไปยังหน่วยสวาทที่ประจำอยู่ใกล้ๆ โรงแรม
ถึงคราวที่เขาจะยิ้มบ้างแล้ว…รอยยิ้มซุกซนและเจ้าเล่ห์
“หึ เจ้าเล่ห์สมฉายาขึ้นมาแล้วสินะ—-ฟ็อกซ์” ชายหนุ่มยกมือซ้ายขึ้นดูนาฬิกาขณะพูด “แต่ขอโทษนะครับ คราวนี้ผมยังไม่ว่างเล่นกับคุณ…รบกวนช่วยเอามืออุดหูไว้ด้วย”
ไม่ทันที่ความสงสัยจะก่อตัว หน้าต่างห้องรับแขกที่อยู่ถัดไปก็แตกกระจายด้วยแรงระเบิด แรงอัดอากาศทำให้เขาถลันหลบลงข้างเตียง หูอื้อและมึนงง ก่อนที่จะตั้งสติได้ ชายหนุ่มก็ไปยืนอยู่ที่ช่องกว้างบนผนังแล้ว ฝ่ายนั้นโบกมือให้เขาและกระโดดออกไปด้านนอกตัวอาคาร เขารีบลุกตามไป ก่อนยกปืนขึ้นเล็งร่างที่เกาะอยู่บนบันไดเชือกที่ห้อยลงมาจากเฮลิคอปเตอร์… ในระยะแค่นี้ เขาไม่พลาดแน่
บ้าเอ๊ย…!
—- I know I’ll never be me, without the security
Of your loving arms
Keeping me from harm —-
เขารีบชักปืนระวังภัยเมื่อถอดหมวกนิรภัย และชุดวิงสูทที่ติดแถบแม่เหล็กสำหรับไต่ตามตัวเครื่องบินออก อุปกรณ์แฮ็คระบบการบินของโซล่าร์ทำงานได้ดีเกินคาด จนสามารถล็อกวงจรแผงควบคุมที่ห้องนักบิน ไม่ให้ตรวจพบว่าเขาลอบเปิดปิดประตูห้องเก็บสินค้าของเครื่องและแอบเข้ามาด้านในได้สำเร็จ
ชายหนุ่มเดินผ่านลังสินค้าจำนวนมาก ท่าทางจะเป็นอาวุธเถื่อนที่เตรียมไปขายประเทศเผด็จการที่ไหนสักแห่ง น่าเสียดายที่การค้าครั้งนี้คงต้องล้มเหลว…
เขาเดินไปถึงประตูเชื่อมระหว่างห้องสินค้าและห้องโดยสาร ติดระเบิดขนาดย่อมบนสลัก ถอยออกมาสองก้าว ยกปืนขึ้นเล็ง และกดระเบิด
เสียงตูมเบาๆ ทำให้ประตูกระเด็นเปิดกว้าง ตามมาด้วยเสียงโวยวายของคนในห้องโดยสาร เขาลั่นกระสุนแต่ละนัดอย่างใจเย็นทว่าแม่นราวจับวาง ไม่ทันที่ฝ่ายตรงข้ามจะได้ตอบโต้อะไร ร่างบอดี้การ์ดเกือบสิบคนก็ลงไปนอนกองบนพื้นจนหมด
เขาย่างเท้าเดินช้าๆ อย่างระมัดระวัง —- จากญี่ปุ่น โซล เวียนนา ปารีส โมนาโก เซี่ยงไฮ้ ชิคาโก บัวโนสไอเรส —- และตอนนี้ เป้าหมายของเขาอยู่ตรงหน้านี่แล้ว
อีกครั้ง…
“กล้องอินฟาเรดยืนยันว่าในห้องโดยสารส่วนหน้ามีสัญญาณชีพเพียงคนเดียว” เสียงเพื่อนร่วมงานแจ้งผ่านเอียร์มอนิเตอร์
“รับทราบ” เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตูเชื่อมสู่ห้องโดยสารวีไอพี
“สัญญาณชีพจรนายเต้นแรงเลยนะฟ็อกซ์ ใจเย็นๆ งานนี้แพนเธอร์หนีไปไหนไม่ได้แน่”
“นายน่ะเงียบไปเถอะ โซล่าร์—-ลองกระโดดจากความสูง 5,000 เมตร แล้วชีพจรยังเต้นตามปกติให้ฉันดูหน่อยสิ”
“ฮ่ะๆๆ โทษทีนะ ฉันชอบงานนั่งโต๊ะว่ะ”
“ไว้เสร็จเรื่องแล้วค่อยคุยกัน” เขาเล็งปืนยิงใส่ประตู ก่อนใช้เท้าถีบบานพลาสติกให้เปิดกว้างออก
—- Put your hand in my hand
And we’ll stand —-
“มีครั้งไหนมั้ยที่คุณจะมาหาผมโดยไม่พกปืนมาด้วย” ชายหนุ่มร่างสูงในสูทสีดำกำลังนั่งควงก้านแก้วแชมเปญ ขณะทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นเสี้ยวหน้าหล่อเหลายังคงนิ่งสงบ
“คุณลองตามผมกลับไปนอนในคุกสิ เดี๋ยวผมจะไปเยี่ยมแบบไม่พกปืน” เขาเดินไปนั่งบนเบาะฝั่งตรงข้ามขณะจ่อปลายปืนเล็งที่ศีรษะอีกฝ่ายตลอดเวลา
“คราวก่อนที่บัวโนสไอเรส คุณทำไว้แสบน่าดู ผมขาดทุนไปหลายพันล้านเหรียญเลยทีเดียว” น้ำเสียงทุ้มฟังดูขุ่นมัว ทว่าใบหน้ายังคงเรียบเฉย
“ผมคงหนักมือไปหน่อยน่ะ…ขอโทษที” เขาแกล้งหัวเราะเบาๆ แต่อีกฝ่ายดูจะไม่ขำด้วย
“แค่คำขอโทษคงไม่พอมั้ง? ตอนนี้ผมกลายเป็นเป้าของทั้ง FBI CIA MI6 พวกผู้ก่อการร้ายเลยเลิกทำธุรกิจกับผม” สายตาคมหันกลับมาจ้อง แววตาคมปลาบแทบจะทะลุผ่านร่างเขาไป “ที่แล้วมาผมยอมรับว่าเกมส์แมวไล่จับหนูของเราค่อนข้างน่าสนใจ… แต่สำหรับผม มันมีเส้นแบ่งบางๆ กั้นระหว่างสนุกกับน่ารำคาญ และตอนนี้ คุณก็ก้าวล่วงเข้ามายุ่มย่ามธุรกิจของผมมากเกินไปแล้ว”
น้ำเสียงเย็นชาฟาดเข้าโสตประสาท วูบหนึ่งที่ความกลัวสะกิดหัวใจ นี่เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกแบบนี้
ปืนในมือสั่นน้อยๆ
“คุณจะชดใช้ให้ผมยังไง ฟ็อกซ์?”
“ชดใช้? นั่นเป็นคำถามที่ผมก็อยากจะถามคุณเหมือนกัน…” เขาสูดหายใจลึก อารมณ์พลุ่งพล่านเพราะถ้อยคำเชือดเฉือน
โดยเฉพาะจากสายตาแบบนั้น
สายตาที่พร้อมจะผลักเขาออกไป…
“คุณคิดว่าตลอด 5 ปีที่ต้องวิ่งไล่ตามคุณ ผมต้องสละอะไรบ้าง? ผมเสียลูกน้องไป 4 คน ภารกิจล้มเหลวแปดครั้ง ผมถูกภาคทัณฑ์ ถูกพักงาน ทีมผมถูกตัดงบ ถูกดูถูกจากคนรอบข้าง และนี่…ภารกิจนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่พวกเขาให้ผม ถ้าพลาดอีก ก็เตรียมบอกลาชีวิตที่ผ่านมาไปได้เลย…” ปืนในมือของเขาสั่นแรงขึ้น พร้อมน้ำเสียงระเบิดโทสะ
“แล้วผมได้อะไรตอบแทนตลอด 5 ปีที่ผ่านมา? ผมต้องทิ้งครอบครัว ทิ้งสิ่งที่ผมรัก นั่งขุดคุ้ยตามล่าไอ้บ้าที่ผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนผี… ผมสูญเสียแม้กระทั่งตัวเอง… ทุกที่ ทุกเวลา ในหัวมันมีแต่เรื่องคุณ คุณ….และคุณ”
โดยที่ไม่เคยได้ตัวคุณจริงๆ สักครั้ง
ความเงียบโรยม่านกั้นกลาง ในระยะแค่นี้ เขาเห็นความเปลี่ยนแปลงในดวงตาของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน แววตาที่ทอประกายอ่อนลง ประกายที่ชวนให้นึกถึงแสงไฟวูบวาบของงานคาร์นิวัล และแก้วมาร์การิต้าเย็นเฉียบ
“ก็หยุดเสียสิ…” น้ำเสียงทุ้มเข้ม ยากจะบ่งบอกอารมณ์
ความอดทนของเขามาถึงจุดสิ้นสุด แขนข้างที่ถือปืนเหยียดสุด ปลายนิ้วเตรียมเหนี่ยวไก “บอกให้เครื่องบินลงจอดที่ฐานทัพอากาศของสหรัฐฯ ในฮาวาย ไม่อย่างนั้นเครื่องบินรบที่บินตามมาจะระเบิดเครื่องบินลำนี้ทิ้งซะ”
“หึ…ครั้งนี้คุณจนตรอกๆ จริงสินะ ถึงได้เปิดหน้าไพ่เล่นแบบนี้ —- แต่ขอโทษนะครับ ผมไม่เคยคิดจะให้คุณพาผมไปที่ไหนอยู่แล้ว” ชายหนุ่มกลับมายียวนอีกครั้ง ไม่มีท่าทีหวาดเกรงต่อปืนและคำขู่ของเขาแม้แต่น้อย
“อย่ามาเล่นลูกไม้ ไม่งั้นผมยิงคุณจริงๆ” เขาเสียงแข็ง ทว่าชายหนุ่มไม่สนใจ อีกฝ่ายหันไปหยิบกระเป๋าสะพายที่ดูคล้ายร่มชูชีพบนเบาะข้างๆ
ปัง! กระสุนหนึ่งนัดลั่นไปถูกเบาะที่นั่งขาดเป็นรู
“ผมเตือนคุณแล้วว่าอย่าเล่นตุกติก” แต่ทั้งที่เขายิงขู่ก็แล้ว ชายหนุ่มกลับไม่ได้สะทกสะท้าน ยังหยิบกระเป๋านั่นขึ้นมาสะพายหน้าตาเฉย
“ฟ็อกซ์…นี่เป็นเกมส์ของผม ผมคนเดียวเท่านั้นที่ออกคำสั่ง —- รบกวนคุณช่วยปิดหูไว้ด้วย” เขาเห็นอีกฝ่ายล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูท ทันใดนั้นก็เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นจากท้ายเครื่องพร้อมๆ กับแรงสั่นสะเทือนจนเขากระเด็นหล่นจากเบาะนั่ง ปืนหลุดจากมือตกบนพื้น
“บ้าเอ๊ย!” เขาสบถ หูอื้อตาลาย แต่ไม่ทันจะตั้งตัวทำอะไร องศาของเครื่องบินก็เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนหัวเครื่องจะทิ่มลงสู่พื้นทะเล พร้อมกับตัวเครื่องบริเวณประตูกั้นห้องโดยสารส่วนหน้าฉีกขาด กระแสลมจากภายนอกกระชากจนตัวเขาหลุดลอยไปกระแทกกับพนักพิง ความปวดตื้อกัดกินศีรษะ สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือ ชายหนุ่มคนนั้นคว้าตัวเขาไว้ และกระซิบเบาๆ
“ไม่ต้องห่วง It’s on me…”
ทั้งคู่หลุดออกจากแถวที่นั่งมาสู่ท้องฟ้าด้านนอก
ร่วงหล่น…
แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ
—- Let the sky fall, when it crumbles
We will stand tall
Face it all together
At skyfall —-
แสงดวงอาทิตย์สาดส่องจากนอกกรอบประตู เสียงลมและกลิ่นไอทะเลลอยอวลอยู่ในห้อง เขาปรือตามองอย่างเซื่องซึม เห็นเพดานด้านบนทำจากไม้สาน ทว่ากลับมีริ้วสะท้อนสีฟ้าเหลื่อมส่องเป็นคลื่นบนนั้น สติเขามึนงงจนยากจะรับรู้บรรยากาศรอบกาย ความปวดเมื่อยเกาะกุมทั่วทั้งร่าง กว่าจะรู้ตัวเต็มที่ เสียงทุ้มเข้มก็พูดกับเขาแล้ว
“อรุณสวัสดิ์” ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเสียงดังอยู่ใกล้ๆ เขากำลังนอนอยู่บนเตียงหนานุ่ม…ในรีสอร์ท กลางทะเล… ที่ไหนสักแห่ง และชายหนุ่มที่เขาตามล่าตัวอยู่กลับมานอนอยู่ใต้ผ้าห่มข้างๆ ด้วยร่างเปลือยท่อนบน
“อื้อ…” ความปวดหัวรุมเร้าจนต้องครางออกมา เขายกมือขึ้นกุมศีรษะ
“ปวดมากหรือเปล่า” ชายหนุ่มคนนั้นเอื้อมมาจับบ่า “ให้ผมตามหมอมั้ย?”
“มะ…ไม่เป็นไร… ผมอยู่ที่ไหน?” เขาปัดมืออีกฝ่ายออก ก่อนพยายามลุกขึ้นมานั่งและมองสำรวจรอบๆ ด้วยความตกใจ.. ที่นี่สวยเกินที่ที่เขาเคยเห็น เตียงนอนตั้งอยู่ในกระท่อมกลางน้ำที่ตกแต่งอย่างดี ผนังทั้ง 3 ด้านเป็นกระจกบานใหญ่ ด้านนอกเป็นทะเลสีฟ้ามรกตสุดลูกหูลูกตา บนพื้นกระท่อมเป็นกระจกที่ส่องเห็นน้ำทะเลใสแจ๋วด้านล่าง
เขาตายแล้วเหรอ?
“ก่อนจะถามอะไร ลองดูนี่ก่อนสิ” ชายหนุ่มเอนตัวไปหยิบแท็ปเล็ตจากข้างเตียงมาวางไว้หน้าเขา บนหน้าจอเป็นคลิปข่าวของ BBC รายงานเรื่องอุบัติเหตุเครื่องบินตกกลางมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อ 3 วันก่อน พร้อมระบุรายนามผู้เสียชีวิตคนหนึ่งที่เป็นเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลของเกาหลีใต้
ชื่อปลอมของเขา…
“นี่มัน…อะไรกัน?”
“หนังสือลาพักร้อนถาวรของคุณไง” รอยยิ้มบนใบหน้านั้น …เหมือนเมื่อค่ำคืนอบอ้าวในเซาเปาโลไม่ผิด
เขานิ่งอึ้ง ระหว่างที่เขาสลบไป อะไรต่อมิอะไรคงจะเกิดขึ้นไม่น้อย ในสมองพยายามคิดทบทวน
“คุณทำอะไรลงไป? ทำไมพวกเขาถึงลงข่าวว่าผมตายแล้ว?!” เขากระเถิบจากอีกฝ่ายและหันไปตะคอกถาม
“ก็คุณบอกผมเองไม่ใช่เหรอว่า คุณเหนื่อย คุณไม่อยากสูญเสียอะไรอีกแล้ว ผมแค่เสนอโอกาสให้คุณได้มีความสุข ได้มีรอยยิ้ม ได้ใช้ชีวิตของตัวเองอีกครั้ง… เลิกเป็นเดอะฟ็อกซ์เถอะ” เสียงคลื่นซัดสาดเป็นจังหวะอยู่เบื้องล่าง คลอเคล้าคำขอของอีกฝ่าย แสงสะท้อนจากพื้นน้ำสาดส่องห้องให้สว่าง ชายหนุ่มทั้งสองนั่งนิ่ง
“ทุกอย่างมันปล่อยทิ้งง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ?” เขาเอ่ยถามออกไปเบาๆ สิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาใช้ว่าจะไร้สาระหรือไม่น่าสนใจโดยสิ้นเชิง
”ฟ็อกซ์—-ไม่ใช่ตัวจริงของคุณอยู่แล้วนี่ คุณเสียดายเหรอ?” ชายหนุ่มหันหน้ามามองเขา
“แล้วคุณล่ะ? ถึงผมเลิกเป็นฟ็อกซ์…แต่คุณก็ยังเป็นอาชญากรข้ามชาติอยู่ดี…”
“ไม่ใช่แค่คุณ ผมเองก็ตายแล้วเหมือนกัน… มันอยู่ในคลิปข่าวถัดไปน่ะ” น้ำเสียงทุ้มตัดบท ความเงียบโรยตัวอีกครั้ง เหลือเพียงธรรมชาติที่งดงามราวสวรรค์ล้อมรอบทั้งสองไว้
“ผมไม่อยากจะล่าเหยื่ออีกแล้ว” ดวงตาคู่คมราวกับเป็นช่องหน้าต่างไปสู่ทะเลทรายอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว “ผมไม่มีบ้าน… ไม่มีเพื่อนแท้… มีแค่ธุรกิจและลูกน้องที่คอยรับใช้เงินของผม และผมไม่เคยมีคนที่อยากจะยิ้มให้อย่างจริงใจสักครั้ง”
“แล้วทุกอย่างที่คุณทำมาล่ะ คดีต่างๆ ที่คุณก่อไว้…” น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาลง ถ้าเขาทั้งสองตายไปจากความทรงจำของโลกแล้วจริงๆ … ก็เท่ากับว่าชั่วชีวิตนี้เหลือเพียงแค่กันและกันเท่านั้น
รอยเท้าที่เดินย่ำมา…มันลบง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?
“ไม่ต้องห่วง…ผมเตรียมการไว้ล่วงหน้านานแล้ว เงินทั้งหมดที่ผมยักยอกและได้เป็นสินบนมา ผมทิ้งร่องรอยไว้ให้พวกตำรวจตามไปอายัดได้ทั้งหมด หลายๆ คดีที่ได้เงินคืนแล้ว…คงถอนหมายจับผมเองนั่นแหละ…”
“แล้วคุณจะอยู่ยังไง? นั่นมันเงินหลายหมื่นล้านเหรียญเชียวนะ แล้วยังรีสอร์ทนี่อีก…คุณจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย?” อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังเพราะคำพูดของเขา
“เป็นห่วงผมแบบนี้… แสดงว่าคุณตกลงจะอยู่กับผมแล้วใช่มั้ย”
เขานิ่งเงียบไปอีกครั้ง…
“เรื่องค่ารีสอร์ทคุณจะจ่ายยังไง” เขาตอบเลี่ยงๆ ดวงตาคมเข้มยิ่งทอประกาย
แววตาที่ซุกซนและเจ้าเล่ห์…
“คุณคิดว่าผมทำเป็นแต่เรื่องสกปรกหรือไง ที่นี่รีสอร์ทของผมเอง —- โฟร์ ซีซั่น แห่ง โบราโบร่า —- อยู่กับผม ไม่ต้องกลัวอดตายหรอกน่ะ”
“บ้าหรือไง ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักหน่อย”
รอยยิ้มนั่นอีกแล้ว…
“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น… ตั้งแต่นี้ไปไม่ว่าจะเรื่องอะไร คุณก็เลิกห่วงได้แล้ว It’s on me…จำไม่ได้เหรอ?” มือหนาเอื้อมมาโอบบ่าเขาไว้ กลิ่นกายที่คุ้นเคยเบียดแทรกกลิ่นน้ำทะเลเข้าในประสาทสัมผัสของเขา ความอุ่นร้อนจากผิวกายแนบนาบมาบนเสื้อผ้าฝ้ายที่เขาสวมอยู่ …เขาไม่ปฏิเสธ ไม่ต่อต้าน
อุ่น…
“ในเมื่อคุณไม่ได้เป็นเดอะฟ็อกซ์แล้ว ผมจะเรียกคุณว่าอะไรดีล่ะ?” น้ำเสียงทุ้มเข้มถามขึ้นอยู่ริมซอกคอพร้อมจุมพิตที่ประทับลงเบาๆ
“เรียกผมอย่างที่ริโอสิ ชื่อปลอมนั่น…ถ้าคุณเรียก—-ผมยินดีจะเป็นคนคนนั้นไปชั่วชีวิต”
“ได้สิ… งั้นคุณก็เรียกผมด้วยชื่อที่บอกไว้ในริโอก็แล้วกัน ยินดีที่ได้รู้จัก…อีกครั้ง จียง”
“อืม…ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ซึงฮยอน…”
—- The End —-
After note:
- ชื่อ “The Fox” กับ “The Panther” ของตัวละครทั้งสองมาจากบทสัมภาษณ์จียงที่เคยบอกไว้ว่า ตัวเองเป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอก และบอกว่าพี่ทัปเหมือน เสือดำ
- งานเทศกาลคาร์นิวัล เป็นเทศกาลของบราซิลที่จัดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคมเพื่อเฉลิมฉลองก่อนการถือศีลอดของชาวคริสต์ นอกจากที่เมืองหลวงริโอ เดอ จาเนโรแล้ว ในเมืองอื่นๆ ก็มีการจัดขบวนฉลองด้วย เช่นที่เซาเปาโล เพียงแต่อาจจะไม่ยิ่งใหญ่เท่า —- เซาเปาโล เป็นจังหวัดหนึ่งของบราซิล อยู่ห่างจากริโอไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 450 กิโลเมตร
- “เรียวคัง” เป็นโรงแรมแบบโบราณของญี่ปุ่น เน้นให้บริการบ่อน้ำร้อน เรียวคัง “งินรินโซ” เป็นโรงแรมชื่อดังในเขตซัปโปโร
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น