[BIGBANG FANFIC] Devil's Promise - [BIGBANG FANFIC] Devil's Promise นิยาย [BIGBANG FANFIC] Devil's Promise : Dek-D.com - Writer

    [BIGBANG FANFIC] Devil's Promise

    ผู้เข้าชมรวม

    597

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    597

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    7
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ก.พ. 56 / 17:36 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

     


    Posted Image

    Title : The Devil’s Promise
    Author : Silver Butterfly & T.S.Choi
    Story Genre: Fantasy Horror (?), AU
    Pairing : TempG
    Rate : PG15
    BG Song :The Slightly Chipped Full Moon — Kuroxsuji II OST
    เปิดประกอบการอ่านเพื่อเสริมอรรถรสค่ะ 

    Author’s note
    แรงบันดาลใจได้มาจากสองแหล่งคือ การ์ตูนเรื่องตุลาการทมิฬ และ เพลง Finale ของ L’Arc-en-Ciel  
      
    ปล. อ่านฟิคเรื่องนี้…เพียงคนเดียว หลังอาทิตย์ตก อาจช่วยเพิ่มอรรถรสได้อีกเล็กน้อย

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เครื่องดื่มสีอำพันในแก้วคริสตัล ทอประกายสีทองอร่ามบนโต๊ะยามต้องแสงไฟ  เบื้องนอกโน้น พระจันทร์ลอยเด่นเหนือเมฆ หมอกราตรีอ้อยอิ่งเลือนแสงไฟจากอาคารเบื้องล่างให้ขมุกขมัว แสงไฟบนท้องถนนค่อยๆ เคลื่อนดังขบวนทิวเทียนของคณะนักบวชแสวงบุญ จากหน้าต่างห้องของคนบาป…ทั้งโลกดูไม่น่าอภิรมย์แต่อย่างไร


      ข้อมือขาวผ่องเลื่อนเคลื่อนไปหยิบแก้วคริสตัล …อ้อยอิ่ง …อ่อนแรง  ก่อนแตะริมฝีปากด้วยความกระหาย ของเหลวเย็นเยียบทว่าขมร้อนค่อยๆ ไหลผ่านริมฝีปากเรียว ลำคอขาวนวลดูแดงระเรื่อในแสงสลัวของหลอดไฟเหลืองนวล


      แววตาระริกสั่นเมื่อจับจ้องนาฬิกา ไม่กี่ยามก็รุ่งสาง ทว่าภาระเบื้องหน้ามิอาจสะสาง กองกระดาษที่ตัวโน้ตป่ายปะบนบรรทัดห้าเส้นอย่างยุ่งเหยิงและวุ่นวาย

      กระดาษไม่กี่สิบแผ่น…
      ทว่ามีค่าเท่าชีวิตทั้งชีวิต


      แมนชั่นหรู ขวดบรั่นดี นาฬิกาโรเล็กซ์ที่ห้อยรัดอยู่บนข้อมือ เสมือนโซ่ตรวนที่พยายามอ้อนวอนความเมตตาจากเขา

      “พยายามเข้าเถอะ”

      “เขียนเข้าเถอะ”

      “อย่าสูญเสียพวกเราไปนะ”


      ผิวหนังบนร่างกายเย็นวาบ เส้นขนลุกชันเมื่อจินตนาการถึงเสียงของสิ่งของต่างๆ กำลังระงมร้องขอชีวิตจากเขา ลมหายใจติดขัด จมูกและลำคอรู้สึกร้อนผ่าว

      นั่น! เขาได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศร้องไห้หรือเปล่า?

      พรมบนพื้นกำลังกลิ้งเกลือกคร่ำครวญจะเป็นจะตายหรือเปล่า?

      ยังลัมโบกินี่คันงามนั่นอีกเล่า หล่อนจะเป็นอย่างไรบ้าง…


      บนกระดาษโน้ตจ่าหัวด้วยลายมือร้อนรนว่า La pieta  
      เขายิ้มหยัน ณ มุมปาก เมื่อนึกถึงที่มาของชื่อ ยกยอตัวเองเทียบ Michelangelo เชียวนะ  ทว่ามันก็แค่ชื่อชุ่ยๆ ที่เขาตั้งขึ้นมาเมื่อถูกเค้นถามจากผู้จัดการส่วนตัว

      “คอนเสิร์ตของนายจะเล่นเดือนหน้าแล้ว เมื่อไรนิวยอร์คซิมโฟนีเขาจะได้เพลงครบเสียที ดื่มเพลาๆ หน่อยก็ดีนะ  คอนเสิร์ตนี้สำคัญสำหรับนายมาก ฉันจะได้เอาเงินไปจ่ายหนี้ที่นายติดทั้งหมดเสียที ไม่งั้นนายโดนเฉดหัวจากแมนชั่นอีกแน่ คราวนี้ฉันคงช่วยนายไม่ไหวแล้วนะ”


      เขาพ่นลมหายใจปนกลิ่นแอลกอฮอล์อย่างขุ่นเคือง …โลกโสมม!

      ‘ปัดโธ่เว้ย! งานศิลปะของฉันมันสูงเกินไปสำหรับพวกเอ็งหรอกเว้ย มัวแต่ถามถึงเงินๆ ทองๆ แบบนี้มันจะเรียกสร้างสรรค์ได้ยังไงวะ’

      ‘ไอ้เฮงซวย!’

      แก้วคริสตัลผู้เคราะห์ร้ายลอยละลิ่วไปปะทะกำแพงจนแตกกระจาย เสียงปะทะดั่งหญิงสาวผู้มากมารยากรีดร้องก่อนจะถูกชำเรา


      ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างฉุนเฉียว เดินผ่านพรมหนังเสือหนานุ่ม จากโต๊ะทำงานริมหน้าต่างบานใหญ่ ทิ้งซากปรักหักพังของ ‘งานศิลปะ’ ที่ยังรอการนฤมิตจากเขาอีก 7 ชิ้น… ในเวลา 5 ชั่วโมง


      เขาเดินไปยังห้องนั่งเล่น เข้ายืนประชิดชั้นวางแผ่นเพลง ข้างโต๊ะตั้งโทรทัศน์ LCD ขนาด 42 นิ้วและโฮมเธียเตอร์ราคาแพง มือควานแผ่นเพลงหา Mozart อย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน  หวังจะหา ‘แรงบันดาลใจ’ สำหรับเพลงของเขาเสียหน่อย

      พลันไอเย็นวาบลอยเข้าปะทะหลังคอจนเขาสะดุ้ง ชายหนุ่มหันไปมองอย่างฉับพลัน


      ไม่มีอะไร…



      โซฟาหนังสีงาช้างตัวยาวว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยของใคร… หรืออะไรทั้งสิ้น




      ‘ให้ตายเถอะ! เมาแล้วประสาทหลอนว่ะ’



      เขาหันกลับสู่ชั้นวางแผ่นเพลงอีกครั้ง แต่มีบางอย่างผิดปกติ… ในทีวีมีเงาใครบางคนนั่งอยู่บนโซฟา เขาหันกลับไปมองอีกครั้งอย่างรวดเร็ว  

      …ไม่มีใคร



      เหงื่อเม็ดโตผุดพรายบนหน้าผากและแผ่นหลัง

      ‘บ้าชัดๆ เหล้าบ้าอะไร แรงฉิบ’ เขาปาดเหงื่อ ล้มเลิกการค้นหาแผ่นเพลง ความหวาดผวาตื่นตระหนกชั่วครู่ช่วยลดทอนฤทธิ์แอลกอฮอล์ลงได้บ้าง  บางที เขาควรจะกลับไปแต่งเพลงต่ออย่างตั้งใจ เผื่อความคิดใหม่จะผุดเข้ามา


      ทว่าเขากลับเดินไปที่ครัว หยิบแก้วคริสตัลใบใหม่มาแทน ใส่น้ำแข็งสองก้อน เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานริมหน้าต่าง ยกขวดบรั่นดีเติมใส่แก้ว และดื่มอีกครั้ง


      โลกภายนอกดูสงบนิ่ง พระจันทร์แขวนสูงกลางฟ้า อวดแสงนวลสว่างราวกับยิ้มร่าให้แก่พื้นโลก ทว่านั่นคือการยิ้มหยันที่เสียดแทงหัวใจเขา  คืนวันเพ็ญเมื่อวัยเด็ก วันที่เขาได้ยิน ‘เสียง’ เป็นครั้งแรก เสียงที่ถ่ายทอดผ่านตัวเขาออกมาเป็นบทเพลง ทำให้เขามายืนถึงจุดนี้ได้….


      ‘บ้าเอ๊ย! เสียงห่าอะไร ฉันนี่แหละศิลปินตัวจริง’


      เขานึกถึงมินจิ… หรือดาร่า… หรือแชริน… ช่างมันเถอะ จะคนไหนเขาก็จำลำดับก่อนหลังไม่ได้แล้ว เขาแค่นึกไปว่าถ้ามีใครอยู่ข้างๆ สักคน คงช่วยปลดเปลื้องความหงุดหงิดของเขาได้พอสมควร

      เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น… เขาแลบลิ้นเลียปาก
      ก่อนจะดื่มของเหลวสีอำพันตามเข้าไปอีกครั้ง  …และหลายๆ ครั้ง


      ชายหนุ่มทรุดลงนั่งเก้าอี้ เหม่อมองยังกองกระดาษที่สุมอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า ในใจหนึ่งอยากหัวเราะ ในใจหนึ่งอยากร้องไห้ มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรนะ… เมื่อปีก่อนกระมัง หลังจากอัลบั้มแรกของเขาดังเป็นพลุแตก ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีคอนเสิร์ตทัวร์ในยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น ได้ขึ้นรับรางวัลแกรมมี่


      หลังจากนั้นไม่นาน  เขาดื่ม… มากขึ้น และมากขึ้น จนต้องยกเลิกสัญญาหลายต่อหลายครั้ง ถูกฟ้องร้องจนทรัพย์สินที่หามาได้แทบจะละลายไปกับเสียงเคาะโต๊ะของผู้พิพากษา กระทั่งเขาถูกเฉดหัวออกจากแมนชั่นที่ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงนี้เมื่อหกเดือนก่อน


      นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขากล่อมคนเก่ง ป่านนี้ตาผู้จัดการเรื่องมากนั่นคงไม่ยอมช่วยเคลียร์เรื่องหนี้ให้ จนได้กลับมาอยู่ในบ้านที่รักแห่งนี้อีกหรอก


      “หึหึ” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำเล็ดลอดจากลำคอ  มันเคยฟังดูสดใสกว่านี้  ร่าเริงกว่านี้



      “หึหึ”
      เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง …ทว่าคราวนี้แหลมเล็ก



      เขาสะดุ้งสุดตัว  มองไปรอบๆ ไม่มีใคร   หรือเมื่อกี้…จะเป็นเสียงเขาเอง?  
      ไม่น่า… เขาหัวเราะแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร หรือเขาจะเมามากไปแล้วจริงๆ


      “หึหึ”


      ครั้งนี้สติเขาแจ่มชัด

      เขาได้ยินเสียงนั่นจริงๆ



      ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนหันมองไปรอบๆ ตัว  ทุกอย่างยังเหมือนเดิม  ไม่มีแม้เงา…


      เศษแก้วที่เขาขว้างเมื่อกี้หายไปไหน?


      ขนทั่วทั้งร่างลุกชัน เหงื่อไหลโซมกายจนเสื้อผ้าแนบติดเนื้อ  ไออุ่นจากฮีตเตอร์ไม่อาจบรรเทาความระทึกนี้ได้ …ความหนาวเย็นซึมแทรกไปทั่วเส้นประสาท… นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?


      “อย่าเล่นบ้าๆ นะโว้ย” เสียงแข็งประกาศกร้าว
      เขาไม่รู้ว่าเขาพูดกับใคร เพราะไม่มีใครอยู่ตรงนั้น มือกุมแก้วคริสตัลแน่น เพราะจะขว้างใส่ใครหรืออะไรก็ตามที่เล่นบ้าๆ กับเขาแบบนี้

      ทว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

      สติสัมปชัญญะของชายหนุ่มเริ่มสั่นคลอน  ความหวาดกลัวเริ่มเข้มชัด  เขาค่อยๆ สืบเท้าอย่างช้าๆ เดินสำรวจรอบๆ ระหว่างที่เดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น  เขากลั้นใจวูบหนึ่งก่อนหันไปมองจอทีวีที่มืดสนิท…




      ไม่มีอะไร




      ใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย… หรือเขาควรรีบเข้านอนแล้วผัดผ่อนส่งงานไปอีกวัน อีกแค่วันเดียวไม่เป็นไรหรอกน่า


      จู่ๆ เครื่องเล่นโฮมเธียเตอร์ของเขาก็เปิดเอง เสียงเพลงดังขึ้น  La crimosa ของ Mozart จากแผ่นเพลงที่เขาตามหาอยู่ในนั้นนั่นเอง ชายหนุ่มช็อกจนก้าวขาไม่ออก สมองพยายามประมวลความเป็นไปได้ทุกทุกทางเกี่ยวกับปรากฏการณ์เช่นนี้  ใบหน้าหล่อเหลากลับซีดเผือดยิ่งกว่าผนังห้องสีเปลือกไข่  แก้วคริสตัลในมือสั่นระริก…



      ในทีวีนั่น…


      เงาศีรษะของบางคนกำลังวางอยู่บนบ่าของเขา



      นัยน์ตาชายหนุ่มเบิกกว้างจนแทบปริแตก ไอยะเยียบกัดกินบนบ่าขวา

      แล้วทุกอย่างก็ดับวูบ!





      *********************




      แดดยามสนธยากำลังลับขอบฟ้า ทว่าอากาศร้อนอบอ้าว เหนียวเหนอะหนะ เสียงจักจั่นหวีดหวิวอยู่ไกลๆ  เด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีกำลังอ้อยอิ่งกับช่วงเวลาสุดท้ายของเขาที่นี่ เย็นสุดท้ายในปิดเทอมฤดูร้อนครั้งสุดท้าย  ก่อนเขาจะย้ายไปโซลในวันรุ่งขึ้น เพื่อสานฝันการเป็นนักดนตรีของพ่อ


      เขาไม่อยากไป เขาเกลียดดนตรี เกลียดการนั่งฝึกฝนทั้งวันโดยไม่หยุดพัก เกลียดที่พ่อขู่เข็ญเฆี่ยนตีเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อแบกความฝันบ้าๆ ที่ไม่ได้แม้แต่จะเคยนึกถึงด้วยซ้ำ


      แต่เขาก็ต่อต้านอะไรไม่ได้


      เด็กหนุ่มเดินเอาไม้ไล่ตีต้นหญ้าเรื่อยเปื่อย พงหญ้าป่าอ้อรกร้างที่เขามาเดินเล่นทุกครั้งเมื่อมีปัญหากับที่บ้าน ที่ที่เขาเดินเล่นตั้งแต่เด็ก ที่ที่ไม่มีใครจะหาเจอถ้าเขาไม่ยอมปรากฏตัว โน่น… เลยป่าละเมาะนั่นไปเป็นทุ่งดอกแดนดิไลออน เขาชอบไปวิ่งเล่นที่นั่น ชอบเห็นดอกแดนดิไลออนฟุ้งกระจายขึ้นไปในอากาศ เขาอยากบินไปอย่างนั้น อยากมีอิสระ


      ทว่าวันนี้ เขาไม่ได้เดินเส้นทางเก่า  


      เขาไม่ได้แค่อยากผ่อนคลาย เขาอยากหลบหนี แม้จะรู้ดีว่าหนีไม่ได้ตลอด แต่ว่า ขอเขาเถิด วันนี้วันเดียวเท่านั้น เขาอยากเดินไปให้ไกล ไกลที่สุดเท่าที่ขาจะนำพาไปได้ ไปสู่ที่ที่เขาไม่รู้จัก สู่ที่ที่ช่วยทำให้เขาได้รู้สึกว่า เขาเป็นอิสระอย่างแท้จริง


      เขาเดินไปเรื่อย…  ดวงอาทิตย์เกือบจะลับขอบฟ้าแล้ว  แต่โลกยังคงสว่างชัดเจน  เขาเดินไปเรื่อยเปื่อย… จนกระทั่งเริ่มรู้สึกไม่คุ้นที่ ความปีติยินดีจึงค่อยๆ ก่อตัว เขากำลังจะเป็นอิสระ… แม้ในชั่วขณะก็ตาม


      เขาเดินลึกไปเรื่อย… ทุ่งหญ้าสูงสุดตา มีสุมทุมพุ่มไม้เป็นแห่งๆ เขาไม่เคยเดินมาไกลขนาดนี้ ในใจรู้สึกปลอดโปร่ง พันธะกับครอบครัวดูห่างไกลออกไป แป้นเปียโนและตัวโน้ตดูห่างไกลออกไป  …ที่นี่มีแต่เขา…


      ลมเย็นพัดมาวูบหนึ่ง เสียงหญ้าเอนระนาบไหวลู่ตามแรง เสียงดังสวบสาบไม่เป็นจังหวะ เสียงจักจั่นดังอยู่ในดงไม้ไกล เพลงแห่งธรรมชาติฟังดูวิเวก ทว่าไพเราะอย่างน่าประหลาด จู่ๆ เขาก็รู้สึกดื่มด่ำกับ ‘ดนตรี’ เป็นครั้งแรก


      เด็กหนุ่มหลับตาเพื่อซึมซับบรรยากาศ แต่พลันกลิ่นหอมประหลาดกลับลอยแตะจมูกเขา เปลือกตาเปิดขึ้นเพื่อค้นหาที่มาทว่าไม่เห็นสิ่งใด กระทั่งสายตาทอดไปจรดกองดินแห่งหนึ่ง ไกลจากเขาพอสมควร เด็กหนุ่มลองเดินตรงไปยังกองดินนั้น กลิ่นหอมฉุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามระยะทางที่สั้นลง เขาเริ่มมั่นใจว่ามันมาจากที่นั่น


      เมื่อเดินไปได้ครู่หนึ่ง สิ่งที่เด็กหนุ่มคิดว่าเป็นกองดินธรรมดา กลับเป็นกองหินที่ก่อขึ้นมาเป็นกรอบประตูปากถ้ำลอดลงไปในเนินดินเล็ก บนหินที่ก่อรอบๆ ติดยันต์หน้าตาประหลาดที่เด็กหนุ่มไม่เคยเห็นมาก่อน มีเส้นด้ายสีขาวเส้นเล็กๆ โยงกั้นปากถ้ำไว้


      เด็กหนุ่มนึกฉงนใจ…
      ทว่ากลิ่นหอมประหลาดฉุนรุนแรงกลับมีพลังดึงดูดเขาไว้ ปลายเท้าขยับย่างเข้าใกล้ปากถ้ำนั้น  

      เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง…


      ก่อนยกเท้าข้ามเส้นด้ายสีขาว พยายามไม่แตะต้องเส้นด้ายและยันต์รอบๆ



      เขาก้าวขาแรกข้ามไปได้อย่างปลอดภัย ทว่าก้าวที่สองกลับสะดุดด้ายขาวหลุดจากก้อนหิน ลมเย็นพัดมาจากด้านในถ้ำวูบหนึ่ง ปะทะร่างเด็กหนุ่ม เส้นประสาทเขาเย็นเฉียบชั่วขณะ


      ลังเลอีกครั้ง


      แต่กลิ่นหอมกลับรุนเร้าให้เด็กหนุ่มก้าวต่อไปอย่างว่าง่าย


      เพดานถ้ำนั้นเตี้ยจนต้องเดินก้มศรีษะ ทางเดินค่อยๆ ลาดลงเรื่อยๆ  น่าแปลกที่ภายในถ้ำไม่มืดนัก  รูบนผนังด้านบนมีแสงส่องลงมาเลือนลาง พอช่วยให้เขาคลำทางได้ ไม่น่าเชื่อว่ากลางทุ่งโล่ง จะมีถ้ำแบบนี้ซ่อนอยู่ เด็กหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าใครสร้างที่นี่ ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเขาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นทำไมไม่มีใครพูดถึงที่นี่เลย


      เด็กหนุ่มเดินต่ออีกหลายสิบก้าว  แสงในถ้ำเริ่มมืดลง จนเห็นเป็นเงาขมุกขมัว  ทว่าขาของเขายังคงก้าว…ก้าวต่อไปราวกับมีชีวิตของมันเอง


      ไม่นานเด็กหนุ่มก็เดินมาถึงถ้ำโล่งเหมือนโถงวงกลมขนาดเล็กโดยไม่รู้ตัว บนพื้นรอบๆ ขอบผนังจุดเทียนเล่มเล็กๆ ไว้หลายสิบเล่ม  น่าจะมีคนมาที่นี่ก่อน  เด็กหนุ่มกะด้วยสายตา…ระยะระหว่างผนังฝั่งหนึ่งถึงอีกฝั่งไม่น่าจะเกิน 5 เมตร  สิ่งที่สะดุดตาคือ ผ้าม่านสีขาวขาดวิ่นที่ห้อยย้อยมาจากผนังด้านบนตรงกลางห้อง ผ้าม่านเก่าค่ำคร่านับสิบผืนห้อยซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหมือนเสาผ้าขนาดใหญ่

      เด็กหนุ่มตกตะลึงเมื่อเห็นคราบเลือดสดๆ ยังคงไหลซึมอยู่บนผ้า  เขาเพิ่งตระหนักว่ากลิ่นหอมเมื่อครู่คือกลิ่นคาวเลือดนั่นเอง


      จิตใจหวาดผวาสุดชีวิต แต่สองขากลับไม่ยอมทำตาม  เขาทำได้แต่ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นจนเสียงหัวเราะชวนขนหัวลุกดังก้องในโถง



      “หึหึ”


      เสียงหัวเราะแหลมเล็ก



      “ข อ ม า สิ ห นุ่ ม น้ อ ย…”

      เสียงนั้นค่อยๆ เอื้อนเอ่ยอย่างแช่มช้า คล้ายกำลังกระเซ้าเขาเล่น



      “อะไรนะ…”
      เด็กหนุ่มรวบรวมเสียงสั่นระรัวเอยคำถามออกไป   …เขาถามใคร?




      “ทุ ก สิ่ ง ที่ เ ธ อ ต้ อ ง ก า ร….” เสียงนั้นเว้นวรรค เยียบเย็นจนสะท้าน “แ ล ก กั บ ข อ ง เ ล็ ก ๆ น้ อ ย ๆ…หึ หึ”


      “ทำไมผมต้องขอ?” สติของเด็กหนุ่มเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อเห็นว่า ‘สิ่งนั้น’ ยังไม่ได้ทำร้ายอะไรเขาตอนนี้



      “เ ธ อ ไ ม่ อ ย า ก เ ป็ น นั ก ด น ต รี ไ ม่ ใ ช่ เ ห ร อ … ข อ ฉั น สิ … ฉั น ใ ห้ เ ธ อ ข อ ไ ด้ ส า ม ข้ อ…” เสียงแหลมเล็กเริ่มชัดเจน


      “คุณเป็นใครกันแน่?” คำถามโง่ๆ เผลอพลั้งออกไปเพื่อเกลื่อนความกลัวและความอยากรู้อยากเห็น



      “ต า ม ที่ เ ธ อ ป ร า ร ถ น า…” ชั่วครู่ เสาผ้าม่านสีขาวที่ห้อยอยู่ก็ปรากฏเงาร่างคนอยู่ภายใน เปลวเทียนวูบไหวระริก ทำให้เงานั้นสะทกสั่นไปมา ก่อนจะค่อยๆ ทอดยาวทาบทับร่างของเด็กหนุ่ม


      “ฉันอยู่นี่…” เด็กหนุ่มผวาถอยหนีทันทีเมื่อได้ยินเสียงแหลมเล็กนั้นกระซิบข้างๆ หู  เขาสะดุดล้มลงบนพื้นในถ้ำ  อยากตะโกนร้องจนสุดเสียง ทว่า ไม่มีสิ่งใดเล็ดลอดจากลำคอ

      ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างเมื่อมองเห็นเงาร่างเพรียวเบื้องหน้า  เขามองเห็นไม่ถนัดนัก  ด้วยเงาของผ้าม่านบดบังใบหน้านั้นเสียครึ่งหนึ่ง แต่ในความเลือนลางนั้นยังคงเค้าความงดงามคมคาย  ริมฝีปากอิ่มหยักยิ้มเยาะหยัน  ดวงตาเรียวยาวทอประกายหฤหรรษ์  ร่างกายเปลือยเปล่ายืนแฝงอยู่ในเงาสลัว  แขนและขาอ่อนเรียว  เอวคอดเว้าได้สัดส่วน หากแต่ต้นขาและแผ่นอกยังเกร็งแกร่ง


      หัวใจของเด็กหนุ่มท่วมท้นด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย



      “ขอฉันสิ…” เสียงที่ออกมาครั้งนี้กลับทุ้มขึ้นเล็กน้อย เป็นเสียงของเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ทั่วไป ทว่าเย็นเยียบและกดดัน



      “จะให้ผมขออะไร” เด็กหนุ่มค่อยๆ เคลื่อนตัวไปชิดผนังด้วยความหวั่นหวาด แม้อีกใจหนึ่งจะปรารถนาเข้าไปใกล้ๆ เพื่อเพ่งพิศร่างนั้นให้ชัดๆ



      “ไม่ต้องกลัว… ฉันไม่ทำร้ายเธอ… ขอฉันสิ พรข้อที่สองน่ะ” ร่างนั้นยังคงยืนนิ่ง แต่เด็กหนุ่มมองเห็นชัดเจนถึงมุมปากที่เหยียดยิ้มกว้าง จนมองเห็นไรฟันขาวสะอาด เขี้ยวเล็กๆ สองซี่โผล่มาไรๆ ชวนให้มองอย่างไรไม่รู้


      “ขออะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ” เด็กหนุ่มถามย้ำเพื่อความแน่ใจ


      “ใช่ อีกสองข้อ ขอได้ทุกสิ่งที่เธอต้องการ เวลานี้เธอมีอิสระที่จะเลือก เวลานี้ฉันจะทำตามเธอทุกอย่าง” แววตาเป็นประกายนั้น ยั่วยวนเด็กหนุ่มอย่างประหลาด


      “ผมต้องแลกอะไร” เด็กหนุ่มถามอย่างกังวลใจ เขาไม่แน่ใจว่า ‘สิ่ง’ ที่อยู่เบื้องหน้าของเขาคืออะไร แต่เขาเคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาพอสมควร นิทานในวัยเด็ก…


      “ฉันต้องการตัวเธอ ต้องการให้เธออยู่กับฉันตลอดไป…” ร่างนั้นก้าวออกมาจากเงามืด มาสู่แสงไฟ ซึงฮยอนจึงได้เห็นผิวขาวซีดเผยพรายอยู่เบื้องหน้า เด็กหนุ่มวัยไม่ต่างจากเขาเท่าไรนัก ทว่าแววตากลับเคร่งขรึมราวผ่านกาลเวลามานับร้อยปี


      “ต้องการผม?” เด็กหนุ่มประหลาดใจ รู้สึกอุ่นข้างในอก… ไม่เคยมีใครขอให้เขาทำสิ่งที่เขาต้องการสักครั้ง ไม่เคยมีใครต้องการเขา… พูดว่า - ต้องการเขา - แบบนี้…


      “ใช่… ขอมาเถอะ  ฉันเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว” ร่างเปลือยเปล่าเดินมาใกล้ คุกเขาลงเบื้องหน้าเขา ผิวขาวทุกสัดส่วนยั่วเย้าเด็กหนุ่มจนใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาไม่อาจละสายตาจากร่างนั้นได้


      ไม่ได้…!!
      เขาต้องคิดถึงคำขอสิ

      เขาไม่รู้ว่าร่างเบื้องหน้าจะเปลี่ยนใจเมื่อไรก็ไม่รู้



      “ผม… ขอเป็นนักดนตรีที่โด่งดัง” จู่ๆ เด็กหนุ่มก็โพล่งออกมา ใบหน้าซีดคมคายนั้นเลิกคิ้ว


      “เธอเกลียดความฝันนั้นไม่ใช่เหรอ”


      “พ่อยัดเยียดมันให้ผม ผมก็จะขโมยมันมา ใช้มันแล้วกระทืบมันทิ้งซะ” ความโกรธพลุ่งพล่านในหัวอก



      ร่างเบื้องหน้าหยักยิ้มเจ้าเล่ห์



      “ดี… ตามที่เธอปรารถนา” เด็กหนุ่มรู้สึกร้อนวูบในอก เขาได้ยินเสียงเครื่องดนตรีพรั่งพรูในหัว ตัวโน้ตนับล้านๆ หลั่งไหลมาเป็นทำนองเพลงมากมาย อัดอั้นอยู่ภายใน เขาต้องเขียนมัน เขียนมันออกมาให้หมด…. เด็กหนุ่มรู้สึกปวดศีรษะฉับพลันจนต้องขมวดคิ้ว


      “ใจเย็นๆ แล้วเธอจะชินเอง…” มือเรียวขาวเคลื่อนมาลูบแก้มของเด็กหนุ่ม ความเย็นเยียบสัมผัสบนใบหน้า ขนบนร่างกายลุกชันทันที ทว่าในท้องน้อยกลับรู้สึกอุ่นร้อนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน




      “พรข้อสุดท้าย…”



      เด็กหนุ่มที่นั่งขดตัวอยู่มุมถ้ำเงยหน้าสบสายตาอีกคู่  แววตาลึกล้นยากค้นหาความรู้สึกที่อยู่ภายใน  ความถวิลหวังแสนแปลกผุดขึ้นมาในความคิดของเด็กหนุ่ม



      “ต้องการผมที…”

      เสียงแผ่วเบากระซิบอย่างอ่อนล้า…และเขินอาย



      แววตาของร่างเปลือยเปล่าฉายความประหลาดใจ ก่อนจะวูบวับด้วยความหฤหรรษ์   …ริมฝีปากอิ่มนั้นยิ้มพราย



      “ตามที่เธอปรารถนา”

      ใบหน้าคมคายโน้มเข้ามาใกล้   …จุมพิตแผ่วเบา…  กลิ่นลมหายใจเคล้าคาวเลือดดึงดูดเด็กหนุ่มอย่างประหลาด  ริมฝีปากซีดนั้น…ช่างหวานล้ำ


      “ผมจะได้เจอคุณอีกไหม…” น้ำเสียงกระซิบแฝงความโหยหาอาดูร


      ร่างนั้นชะงัก

      ก่อนคลี่ยิ้มบางเบา




      “ฉันไม่เคยให้พรข้อที่สี่แก่ใคร… แต่สำหรับเธอ….”  ร่างเพรียวบางเคลื่อนเข้ามาประทับอกแนบกับเด็กหนุ่ม ความเย็นบนผิวกายนั้นแทบจะดูดกลืนความร้อนจากร่างของเขาไปสิ้น




      “…ตามที่เธอปรารถนา”



      สติของเขาลางเลือนลงเรื่อยๆ ก่อนดับวูบไป


      .


      .


      .


      เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาอีกครั้งในบ้านของเขาเอง คนนับสิบยืนอยู่รอบเตียง ส่งเสียงดีใจลั่นเมื่อเห็นเขาลืมตาตื่น  แม่นั่งอยู่ข้างๆ โผเขากอดทั้งน้ำตานองหน้า  พ่อไม่อยู่ที่นั่น…


      เขาได้รู้ภายหลังว่า มีคนไปพบเขานอนสลบอยู่กลางทุ่ง เนื้อตัวแดงจ้ำ ชาวบ้านเกรงกันว่าเขาอาจถูกสัตว์ทำร้าย จึงรีบพากลับมา


      เมื่อตื่นขึ้น เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไร แต่ไม่มีใครสนใจไถ่ถามอีก  …เขาปลอดภัยแล้วนี่




      เขาพยายามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไม่อาจจำอะไรได้… นอกเสียจากความอุ่นชื้นบนริมปาก และความรุ่มร้อนเสียวปลาบในที่เร้นลับ




      ส่วนพ่อ…

      ถูกงูกัดตายขณะออกหาตัวเขา





      ***********************





      ชายหนุ่มสะดุ้งตื่นขึ้น  เขากำลังนอนอยู่บนพื้นหน้าโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่น  ศีรษะพาดอยู่กับขอบโซฟา  แก้วคริสตัลในมือตกอยู่บนพื้นข้างตัว เหล้าหกเรี่ยราด กลิ่นแอลกอฮอล์ฟุ้งกระจาย ทว่าในอากาศกลับมีกลิ่นหอมประหลาดลอยอ้อยอิ่ง


      เขากุมศีรษะขับไล่อาการปวดหนึบบริเวณท้ายทอย ฝันที่ไม่ได้ฝันนานมาแล้ว ความทรงจำที่ลืมเลือนไปนานแล้วไหลกลับมา


      ‘เสียงนั่น!’

      เขาได้ยินมันอีกแล้ว เสียงโน้ตและเครื่องดนตรีที่เคยหายไปจากเขา


      ชายหนุ่มรีบลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซกลับไปยังโต๊ะทำงาน  เหลือบมองนาฬิกา …4:25… เขาสลบไปประมาณ 15 นาที  แทบจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนสลบจนสิ้น  สติผูกอยู่กับกองกระดาษบนโต๊ะ  


      เขานั่งลง

      เขียน  เขียน  เขียน  

      ตัวโน้ตหลั่งไหลพรั่งพรูจากปลายปากการาวกับคลื่นโหมคลั่ง 

      เขียน… เขียน… เขียน…


      ราวกับเขากำลังจะตาย



      เวลาเคลื่อนผ่านนานเท่าไรไม่รู้ ชายหนุ่มแทบไม่สังเกตดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลอยขึ้นจับขอบฟ้า ในจิตใจมีเพียงตัวโน้ตเบื้องหน้า เขาถ่ายทอดพลังชีวิตลงในกระดาษเรื่อยๆ จนกระทั่งลมหายใจหอบถี่กระชั้น ความเหนื่อยล้าเกาะกุมเส้นประสาททั้งร่างกาย เหงื่อหยดไหลลงบนโต๊ะทีละหยด …รู้สึกอึดอัดในอกจนเขาหายใจไม่ออก


      กระทั่ง…
      เมื่อโน้ตสุดท้ายของเพลงสุดท้ายเขียนเสร็จ


      เขาทรุดลงไปกองบนพื้น สิ้นเรี่ยวแรง ปวดในอกราวขั้วหัวใจกำลังจะถูกปลิด สติเริ่มลางเลือน



      กลิ่นหอมประหลาดฟุ้งเข้ม…

      ร่างเขาเกร็งกระตุก  ความเจ็บปวดแล่นตามกล้ามเนื้อ  ทว่าในใจกลับสงบ



      เขาจำสัญญานั้นได้แล้ว



      พร้อมๆ กับกลิ่นคาวเลือดอวลในปาก  …เขาได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง





      “ไ ป กั น เ ถ อ ะ”





      *********




      “สำนักข่าว AP รายงานว่า พบศพนักแต่งเพลงชื่อดังในแมนชั่นหรูกลางกรุงนิวยอร์ก ผลการชันสูตรในเบื้องต้น ไม่ปรากฏร่องรอยการต่อสู้ สันนิษฐานว่าผู้ตายดื่มสุรามากเกินขนาด กระทั่งเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว…. ต่อไปเป็นรายงานพยากรณ์อา…”


      จอโทรทัศน์ขนาด 42 นิ้วดับลงพลัน




      ในห้องที่ว่างเปล่า…………………..คลุ้งด้วยกลิ่นบรั่นดีและกลิ่นหอมประหลาด









      คุณได้ยินไหม?








      พวกเขากำลังหัวเราะ…




      ———THE END———-

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×