[BIGBANG FANFIC] Happy Anniversary - [BIGBANG FANFIC] Happy Anniversary นิยาย [BIGBANG FANFIC] Happy Anniversary : Dek-D.com - Writer

    [BIGBANG FANFIC] Happy Anniversary

    เมื่อวันวัยที่ล่วงเลยผ่านช่วยสอนให้พวกเขารู้จัก 'รัก' เรื่องราวนี้จึงเกิดขึ้น

    ผู้เข้าชมรวม

    692

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    692

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    8
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  14 ก.พ. 56 / 17:36 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

     

    Posted Image


    Title : Happy Anniversary
    Author : T.S.Choi
    Editor : Ning!ng
    Pairing : TempG
    Genre : RomanceSlice of life
    Rate : G


    Author’s note : 
    เนื่องในโอกาสวันเกิดควอนจียง และวันครบรอบ 6 ปีบิ๊กแบง
    เลยขอแต่งฟิคฉลองหน่อยครับ
    แรงบันดาลใจได้มาจากเพลง Happy Anniversary ของ Charles Aznavour
    และหนังเรื่อง Midnight in Paris


    ขอให้เพลิดเพลินกับการอ่าน
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      เขาเลื่อนนิ้วกดเปียโนตามโน้ตที่จำได้…เพลงที่เคยแต่งและร้องกับอีกฝ่ายเมื่อสิบกว่าปีก่อน


      ให้ทำนองคลออยู่เป็นเพื่อน ในห้องรับแขกที่เงียบสงบ




      นี่เป็นเพลงที่ 5 แล้วตั้งแต่เขานั่งรอจียง


      กุหลาบ 25 ดอก มัดรวมเป็นช่อใหญ่ที่เตรียมไว้อย่างสวยงาม ทว่าก้านดอกโน้มเอียงลงมาราวกับตัดพ้อการรอคอยอย่างเหนื่อยหน่าย


      แชมเปญที่แช่ไว้จนน้ำแข็งละลาย


      เข็มนาฬิกาบอกเวลา 6 โมงครึ่ง

      เลยเวลาจองโต๊ะมาเกือบชั่วโมงแล้ว


      มื้อค่ำฉลองครบรอบ 25 ปี ที่ไปสาย…



      เขาละสายตาจากนาฬิกา ถอนหายใจ ก่อนเหลียวไปมองบันไดขึ้นสู่ชั้นสอง…

      ยังไม่มีวี่แววคนที่เขารอคอย



      ซึงฮยอนตัดสินใจปิดฝาแป้นเปียโน ลุกขึ้นจัดทักซิโด้ให้เรียบร้อย ก่อนหันหลังเดินตรงไปยังบันได


      เขาต้องขึ้นไปดูสักหน่อย


      เพอร์เฟคชั่นนิสม์อย่างจียงพิถีพิถันในการเตรียมตัวเสมอ

      ออกจะพิถีพิถันเกินไปด้วยซ้ำ…



      เขาเดินออกจากห้องนั่งเล่นสู่โถงทางเดินเล็กที่มีบันไดต่อไปชั้นสอง บ้านที่ “พวกเขา” ย้ายมาอยู่ตั้งแต่ 10 ปีก่อน…ปารีสเป็นที่เหมาะสำหรับการทำงานและการใช้ชีวิตคู่ เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ และโรแมนติก


      ทว่าเมื่อผ่านไป 10 ปี ส่วนที่โรแมนติก…ดูเหมือนจะเหี่ยวแห้งไปเหมือนดอกกุหลาบในช่อ


      ใช่ว่าความรักจะโรยรา…

      แต่การรู้จักใครสักคนเป็นเวลา 25 ปี อยู่ใต้หลังคาเดียวด้วยกัน 10 ปี…

      ความรักอย่างเดียวไม่อาจผูกคนสองคนไว้ได้นานขนาดนั้น


      แต่อะไรล่ะที่ทำให้คนคนหนึ่งนั่งแกร่วรออย่างไม่มีความหวังเกือบสามชั่วโมง

      เขาเองก็ชักไม่มั่นใจ…



      ซึงฮยอนชะงักเท้าบนบันไดขั้นที่หนึ่ง มองเงาสะท้อนของตนบนกระจกที่ติดอยู่บนผนังข้างบันได เขายิ้มอย่างเนือยๆ ใบหน้าที่เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ร่องริ้วที่ขอบตาและร่องแก้ม ผมที่เริ่มบางลง อายุ 38 ปีไม่อาจนับได้ว่าเป็น ‘หนุ่ม’ อีก


      และตอนนี้ เขาไม่ใช่ “ท็อป” ผู้เปี่ยมเสน่ห์อีกต่อไป และนั่นก็ทำให้เขาได้ควอนจียงคืนจาก “จีดราก้อน”



      ถัดจากกระจก รูปถ่ายจากสถานที่และช่วงเวลาต่างๆ ใส่กรอบติดไล่ขึ้นไปตามขั้นบันได

      เขาเดินผ่านมันทุกวัน แต่โอกาสพิเศษเช่นนี้ดูเหมือนจะขุดลอกท่อความทรงจำของเขาให้สะอาด ภาพจากอดีตจึงไหลย้อนกลับมาอย่างแจ่มชัดทุกๆ ย่างก้าว


      …รูปสมัยเป็นเด็กฝึกในวายจี


      …รูปคอนเสิร์ตแรกหลังจากเดบิวต์


      …รูปขึ้นรับรางวัลจากเพลง Lies


      …รูปตอนจียงออกอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรก


      …รูปตอนออกอัลบั้มคู่


      …รูปตอนรับรางวัลเอ็มทีวี


      …รูปถ่ายรวมวายจีแฟมิลี่


      …รูปตอนจียงออกอัลบั้มเดี่ยวครั้งที่สอง


      …รูปครอบครัวของเขาทั้งสองถ่ายรูปด้วยกัน


      …รูปตอนเขาออกอัลบั้มเดี่ยวครั้งแรก


      …รูปตอนคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของบิ๊กแบง


      .

      .

      .

      ซึงฮยอนถอนหายใจเบาๆ เมื่อก้าวเหยียบบันไดขั้นสุดท้าย

      รอยยิ้มที่แต่งแต้มด้วยกาลเวลา…



      25 ปีผ่านไปเร็วเหมือนลมพัด

      ประสบการณ์ทั้งหวานและขมขื่น

      หลอมรวมกันกลายเป็นม้วนฟิล์มสีซีเปียในความคิด…


      มนุษย์เป็นเหมือนหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า รอการขีดเขียนจากชีวิต

      ซึงฮยอนได้แต่หวังไว้ในใจว่า หน้ากระดาษสุดท้ายของเขาจะไม่โศกเศร้าเกินไป



      เขาก้าวมาถึงหน้าประตูห้องนอน เคาะเบาๆ สามครั้ง ก่อนเปิดเข้าไป


      “อย่าเพิ่งเซ็นอะไรนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจัดการธุระเสร็จแล้วจะตรวจดูเอกสารให้…”


      ซึงฮยอนเดินเงียบๆ ไปนั่งรอปลายเตียง เสื้อผ้าสามสี่ตัววางกระจายอยู่บนฟูก จียงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้ง หันมาพยักหน้าให้เขา ก่อนจะหันกลับไปใส่ใจฟังเสียงจากปลายสายโทรศัพท์อีกครั้ง


      “โอเคๆ บอกคุณจูลิยาร์ดด้วยแล้วกัน…” จียงตอบรับเป็นครั้งสุดท้าย และวางหู


      “ซึงรีมีเรื่องอีกแล้วเหรอ”



      “ก็เรื่องจำนองตึกนั่นแหละ ฉันบอกไปแล้วว่าอย่าเพิ่งไปเจรจาก็ไม่ฟัง นี่พอมีเรื่องขึ้นมาก็จะมาให้ช่วยอีกแล้ว”



      “ก็ไม่ต้องไปสนใจสิ คราวนี้ก็ให้หัดเรียนรู้แก้ปัญหาเองซะบ้าง อายุก็สามสิบกว่าแล้ว ลูกก็ตั้งสามคน ไม่ใช่อะไรๆ ก็จะวิ่งมาพึ่งพี่อย่างเดียว” ซึงฮยอนให้ความเห็นอย่างเนือยๆ เขารู้ดีว่าจียงปล่อยวางปัญหาของน้องไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายความไม่รอบคอบของซึงรี


      แต่จะว่าอย่างไรได้ คนอย่างจียง ปลงใจจะทำอะไรแล้ว ต่อให้เถียงยังไงก็ยากจะเปลี่ยนแปลง



      “เฮ้อ… เดี๋ยวพรุ่งนี้รอสเตฟานีจัดการเรื่องเอกสารให้ เดี๋ยวฉันค่อยโทรกลับ” จียงหันกลับมาหาเขา ในมือมีสร้อยสองเส้น เส้นหนึ่งเป็นโซ่ห่วงทองเหลือง เส้นหนึ่งเป็นสร้อยไม้กางเขนสำริดประดับพลอยสีฟ้าเม็ดเล็กๆ สำหรับให้เขาเป็นผู้ตัดสิน


      “วันนี้ใส่เส้นไหนดี” ซึงฮยอนรู้อยู่แล้วว่าต้องเจออะไร เขาจึงไม่แปลกใจนัก เขาตัดสินใจขึ้นมาเผชิญหน้ากับมัน เร่งให้มันจบๆ ไป พวกเขาจะได้ไปถึงร้านอาหารสักที


      “ฉันว่าสร้อยไม้กางเขนจะเวิร์กกว่านะ” เขาเสนอความเห็นเมื่อไล่มองเสื้อผ้าที่จียงสวมอยู่ เสื้อยืดสีขาวคอวี ทับด้วยเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม พลอยสีฟ้าดูจะเข้ากันมากกว่า


      “แต่ไม้กางเขนมันค่อนข้างใหญ่นะ นายว่ามันไม่ดูเทอะทะไปเหรอ” จียงกังวลเสมอกับทุกเรื่อง ซึงฮยอนส่ายหน้า เขาเพียงแค่อยากให้มันเสร็จๆ ไป


      “ไม่หรอก สีพลอยดูเข้ากับตาของนายด้วย” คำชมนั้นก็เพื่อโน้มน้าวอีกฝ่ายให้ตัดสินใจเร็วขึ้น ทว่าซึงฮยอนน่าจะรู้ดี มุกนี้ใช้กับจียงไม่เคยได้ผล


      “นายชมไปอย่างนั้นเองนี่” ว่าแล้วจียงก็ทดลองใส่สร้อยทั้งสองเส้นสลับไปมา หันมุมซ้ายทีขวาที ซึงฮยอนพยายามถอนหายใจให้เบาที่สุด เขารู้ว่าจียงไม่ใช่คนร่ำไร อีกฝ่ายตระหนักถึงเวลาที่ล่วงเลยมานาน แต่นิสัยนี้ แก้อย่างไรก็ไม่หาย เขาใส่ใจกับทุกรายละเอียด จนบางครั้งก็มองข้ามบางอย่างข้างๆ ตัวไป


      เมื่อสองสัปดาห์ก่อนเขาได้รับบัตรเชิญไปชมคอนเสิร์ตครบรอบร้อยปีอีดิธ ปีแอฟ ที่โรงละครโอลิมเปีย ซึงฮยอนจึงถือโอกาสวางแผนเซอร์ไพร์สอีกฝ่าย หลังจากดินเนอร์เสร็จ เขาตั้งใจจะพาจียงไปให้ทันการแสดงที่จะเริ่มต้นตอน 2 ทุ่มครึ่ง


      แต่จากที่ดูตอนนี้ ท่าทางดินเนอร์หรูคงจะต้องพับไปก่อน ไม่อย่างนั้นคงไปถึงที่โรงละครโอลิมเปียไม่ทัน


      การจราจรบนท้องถนนของปารีสในวันศุกร์ไว้ใจได้ซะทีไหน


      …นิสัยของควอนจียงบังคับได้เสียเมื่อไหร่



      ชายหนุ่มนั่งมองคู่ชีวิตเกือบสิบห้านาที พยายามซ่อนเร้นความหงุดหงิดไว้ในใจให้ลึกที่สุด เขาไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆ ของคืนนี้เสีย ทว่าสุดท้ายก็อดปากไม่ได้ เมื่อเห็นจียงเปลี่ยนรองเท้าเป็นครั้งที่ 3


      “ไปกันได้หรือยัง จะทุ่มนึงแล้ว เดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก…” น้ำเสียงซึงฮยอนดุขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้จียงขมวดคิ้ว


      “นี่ฉันก็รีบแล้วนะ อย่าเร่งสิ” อีกฝ่ายดูท่าทางหงุดหงิดที่ตนเองเป็นสาเหตุให้ผิดเวลานัดหมาย ซึงฮยอนเองก็สังเกตเห็นริ้วรอยความหงุดหงิดนั้น แต่เขาก็ยั้งมันไม่อยู่…


      “นายก็รู้ว่าวันนี้วันอะไร… ยังจะมัวคุยงานอยู่กับมิแรนด้าอยู่ได้ กว่าอัลบั้มของจินชอนจะออกก็ตั้งเดือนตุลาคม นายจะรีบอะไรนักหนา แล้วยังเรื่องซึงรีอีก นี่ฉันรอมาเกือบตั้งสองชั่วโมงแล้วนะ แทนที่จะได้ออกจากที่นี่ก่อนหกโมง นี่เลยเวลาจองโต๊ะมาแล้ว”


      “ฉันรู้ว่าวันนี้วันอะไร… แต่นายก็รู้ว่าอัลบั้มของจินชอนมีปัญหาอยู่ ถ้าฉันไม่คุยให้เรียบร้อย เกิดยายมิแรนด้าไปทำอะไรพลาดอีก คราวนี้ไม่รู้จะต้องมาแก้ใหมตั้งกี่รอบ เสียเวลาคุยยี่สิบสามสิบนาทีแล้วงานมันออกมาดี นายจะรอแค่นี้ไม่ได้เลยเหรอ ส่วนเรื่องซึงรีก็ใช่ว่าฉันจะอยากเข้าไปยุ่ง แต่หมอนั่นทำอะไรพลาดทีไร ก็ออกมาเจ็บหนักทุกที ฉันก็ไม่ได้ห่วงอะไรมันนักหรอก แค่ไม่อยากให้หลานสามคนต้องลำบาก… นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนให้ความสำคัญกับงาน”


      “งั้นฉันไม่สำคัญสินะ” เขาสวนกลับไปด้วยเสียงราบเรียบ แต่แค่นั้นก็พอจะทำให้จียงเงียบ


      “พี่ซึงฮยอน นายอย่าเริ่มเรื่องนี้ได้มั้ย ฉันคิดว่าเราคุยกันเข้าใจแล้วซะอีก”


      “ใช่ เพราะคุยกันแล้วน่ะสิ ฉันถึงคิดว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น แต่นี่มันวันครบรอบนะจียง วันครบรอบ แล้วฉันก็บอกนายแล้วเป็นสัปดาห์ ทำไมนายถึงได้ทำเหมือนวันของเราไม่สำคัญแบบนี้ล่ะ” เขาพยายามควบคุมอารมณ์…อย่างน้อยก็พยายามไม่ตะเบ็งเสียง


      “ทำไมจะไม่สำคัญ แล้วพี่คิดว่าฉันต้องมานั่งแต่งตัวอย่างนี้เป็นเพราะใครกัน…ฉันรู้ว่าฉันช้า แต่ฉันก็เสร็จแล้วนี่ไง ถ้านายจะยังมาหาเรื่องเถียงอยู่แบบนี้ วันนี้ก็ไม่ต้องออกไปไหนหรอก…”


      ซึงฮยอนเงียบ ก่อนหันหลังเดินออกจากห้องไปอย่างช้าๆ … จียงเดินตามมา ทั้งสองไม่พูดอะไรกันอีก ซึงฮยอนแวะหยิบขวดแชมเปญกับช่อกุหลาบในห้องรับแขก ก่อนออกจากอพาร์ตเม้นท์มาโบกแท็กซี่ ชั่วขณะหนึ่ง เขาไม่แน่ใจว่าสายตาที่จียงมองแชมเปญและช่อกุหลาบนั้น บ่งบอกร่องรอยความดีใจหรือกระดากอายกันแน่…


      … จริงด้วย… ช่อกุหลาบ จียงไม่ใช่ผู้หญิงสักหน่อย ฝ่ายนั้นต้องไม่ชอบแน่ๆ


      ซึงฮยอนถอนหายใจพรูยาวด้วยความหงุดหงิดและผิดหวังขณะโบกมือเรียกรถแท็กซี่หน้าอพาร์ตเม้นท์ เขาไม่น่าพลาดเลย…


      เมื่อรถแท็กซี่คันหนึ่งจอดรับ ซึงฮยอนบอกจุดหมาย ก่อนเข้าไปนั่งเบาะหลัง จียงก้าวไปตาม ตลอดทางที่รถเคลื่อนไปตามถนนในปารีส ดวงอาทิตย์ลับไปแล้ว หลอดไฟเหลืองนวลในคืนเดือนสิงหาคมสว่างจ้าส่องข้างทาง อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงเทศกาลฉลองครบ 100 ปี ของอีดิธ ปิแอฟ รายการวิทยุที่เปิดในรถแท็กซี่จึงเปิดเพลงคลาสสิคสมัยปี 1950 อย่าง L’hyme a l’amour


      ซึงฮยอนรู้จักเนื้อเพลงเพลงนี้ ระยะเวลา 10 ปีในฝรั่งเศสพอจะทำให้เขารู้จักภาษาของชนชาตินี้มากขึ้น อีกทั้งเขาเองก็สนใจฟังเพลงทุกสไตล์เพื่อเรียนรู้และเสพความสุนทรีย์ ซึงฮยอนรู้สึกทึ่งในน้ำเสียงแหบเศร้าและการแสดงอารมณ์อย่างลึกซึ้งในเพลงของปิแอฟ


      Si tu meurs, que tu sois loin de moi…

      ถ้าวันหนึ่งเธอจากไป ถ้าเธอต้องจากฉันไปไกล


      เนื้อเพลงสะกดใจของเขาไว้ ความไม่พอใจระหว่างเขากับจียงเกิดจากอะไรกันแน่…เป็นเพราะเรารักกันน้อยลง หรือเพราะเรารักกันมากเกินไปกันนะ

      รักกันมากเสียจนคาดหวังจากกันและกันมาเกินไป


      ใครๆ ต่างบอกว่าความรักคือ การยอมรับอีกฝ่ายอย่างไม่มีข้อแม้

      แต่ประสบการณ์ในชีวิตคู่สอนให้เขารู้ว่า ความรัก…ทั้งที่มากเกินไปและน้อยเกินไป ต่างนำไปสู่การทำลายตนเอง


      เขาเคยอ่านบทกวีนิรนาม


      เธอร้องเพลงด้วยความทุกข์ ฉันเขียนบทกวีด้วยน้ำตา
      เราอยู่เคียงข้างกันเสมอ


      ทว่าเธอไม่เคยเห็นบทกวีของฉัน ฉันไม่ได้ยินเสียงเพลงของเธอ
      แม้จะอยู่ใกล้กันแค่นี้


      ความรักลวงล่อเรามาแสนใกล้ แล้วกั้นเราไว้ด้วยม่านบางๆ
      เศษขนมหวานแห่งความสุข ความหวัง ความฝัน


      เราคือบทกวีคนละฉันทลักษณ์ เราคือบทเพลงคนละคีย์
      อยู่ด้วยกันบนหน้ากระดาษแห่งโลก

      ทว่ามิอาจเข้ากันได้สนิท
      นิจนิรันดร์


      เธอขับขานบทเพลงแห่งความทุกข์ ฉันร่ำร่ายบทกวีแห่งน้ำตา
      ทว่ามิอาจซับความโศกบนแก้มใคร…


      ซึงฮยอนถอนหายใจพรูยาวให้แก่ความนึกคิดของตน


      “เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงจียงถามทำให้เขาหันกลับเข้ามาจากหน้าต่าง แววตาของอีกฝ่ายดูอ่อนลง ทว่ายังคงไว้ซึ่งระยะห่าง รอยร้าวเมื่อครู่เป็นอีกหนึ่งแผลที่ปริแตกจากรอยแยกใหญ่ รอยแยกซึ่งแฝงเร้นกายตั้งแต่พวกเขาเริ่มรู้จักกัน คบหากัน เมื่อถึงวันที่พวกเขารักกันอย่างไม่อาจถอนตัว มันจึงเผยร่าง และฟาดแส้แห่งความขมขื่นลงใส่พวกเขาเป็นครั้งคราว


      “เหนื่อยนิดหน่อย”


      “อืม…”

      ซึงฮยอนคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ถามอะไรบางอย่าง ทว่ารถแท็กซี่ก็มาถึงที่หมายเสียก่อน ทั้งสองจึงต้องลงจากรถ ความคิดเมื่อครู่จึงถูกขัดจนหายไป


      เมื่อมาหยุดยืนที่หน้าร้าน ซึงฮยอนใจหายเมื่อเห็นลูกค้าเต็มร้าน เขาให้จียงยืนรออยู่ด้านนอกก่อน ส่วนตัวเองเดินเข้าไปติดต่อบริกรที่ยืนรับแขก อีกฝ่ายพยายามไล่ดูรายการจองเมื่อเขาแจ้งชื่อ แต่เนื่องจากทั้งสองมาช้าเกินไป ทางร้านจึงยกเลิกโต๊ะตัวนั้นไปแล้ว


      ซึงฮยอนพยายามเจรจาต่อรอง ทว่าบริกรยืนยันว่าเขาต้องต่อคิวลูกค้าคนอื่นๆ เมื่อถามถึงระยะเวลา ก็ได้รับคำตอบว่าต้องรอไม่ต่ำกว่า 45 นาที เขาจึงก้มมองนาฬิกา …

      19.25…

      ยังไงก็ไม่ทัน


      เขาตัดใจ เดินกลับไปหาจียงและอธิบายให้ฟัง อีกฝ่ายเองพยายามปลอบใจและสำนึกผิดกลายๆ ที่ตัวเองเป็นต้นเหตุให้พลาด

      “ยังไม่ต้องกินก็ได้ ฉันเองก็ยังไม่หิว…”


      ซึงฮยอนจ้องดวงตาเรียวคู่นั้น เขารู้สึกเคืองนิดหน่อยที่จียงล่าช้า ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดหวังที่ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายประทับใจได้ตามที่คิดไว้


      “จะกินอะไรรองท้องก่อนหรือเปล่า” เขาเอ่ยถามขณะเหลียวซ้ายแลขวามองหาร้านขายครัวซองต์หรือบาแก็ต แต่จียงส่ายศีรษะ


      “ไม่เป็นไร เพิ่งกินขนมปังไปนิดหน่อยตอนสี่โมง ทำไมเหรอ จะพาฉันไปไหนอีก”

      เขายิ้มให้อีกฝ่าย


      “เซอร์ไพร์ส”


      จียงหรี่ตา ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ


      “หวังว่าจะไม่เป็นอะไรประหลาดๆ อีกนะ”


      “อะไรกัน อย่ามองฉันเป็นคนอย่างนั้นตลอดสิ ฉันเองก็มีแง่ดีเหมือนกันนะ” เขาแกล้งหยอดมุก ไหนๆ บรรยากาศก็ดีขึ้นแล้ว ไม่มีเหตุผลที่ต้องกลับไปจมอยู่กับความตึงเครียดเหมือนตอนที่อยู่ในอพาร์ตเม้นท์


      “หึ ถ้าอย่างงั้นก็ช่วยดีให้ตลอดด้วยแล้วกัน” จียงหัวเราะเบาๆ ก่อนยืนกอดอกรอเขาโบกรถเรียกแท็กซี่อีกครั้ง…


      จุดหมายต่อไปคือโรงละครโอลิมเปีย

      หวังว่าจียงคงจะชอบคอนเสิร์ตนี้นะ…


      ในคืนพิเศษอย่างนี้

      เขาอยากเห็นอีกฝ่ายยิ้มอย่างเป็นสุข

      .

      .

      .

      ทว่าโอกาสนั้นกลับมาไม่ถึงซึงฮยอน


      รถติดที่ชองป์เอลีเซ่…นานเสียด้วย โชคร้ายที่นักศึกษามหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ดันเลือกวันนัดชุมนุมเพื่อขอลดค่าหน่วยกิตในคืนนี้ แล้วก็ดันมาชุมนุมในเส้นทางที่ต้องผ่านเสียด้วย


      เขาก้มมองนาฬิกา… 21.02

      จะไม่ทันแล้ว


      ซึงฮยอนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เขาหันไปมองจียงที่นั่งอยู่ข้างๆ บนเบาะหลังของแท็กซี่ ท่าทางอีกฝ่ายก็กำลังหงุดหงิดเช่นกัน เพียงแต่ยังไม่พูดออกมาเท่านั้น หัวคิ้วที่หยักชิด ริมฝีปากอิ่มเชิด ซึงฮยอนเพิ่งสังเกตใบหน้าจียงอย่างชัดเจนในแสงไฟสว่างเรืองใต้หลอดไฟเหลืองนวลของชองป์เอลีเซ่


      เขาเกือบลืมไปแล้วหลังจาก 25 ปีที่รู้จักกันมา เขาเกือบลืมไปแล้วว่าเรียวคางและเนินแก้มนั้นน่าลูบสัมผัสเพียงไหน ริมฝีปากนั้นน่าจูบปานใด แววตาของจียงที่เยิ้มฉ่ำขณะสองร่างแนบชิด ทั้งสองเริดร้างห่างเหินเรื่องแบบนั้นมานาน ทั้งด้วยภาระหน้าที่และวัยที่เพิ่มขึ้น แค่ช่วงเวลาที่จะอยู่ด้วยกันเงียบๆ แบบนี้แทบจะหาไม่ได้


      จียงย้ายมาอยู่ที่ปารีสก็จริง แต่ก็ต้องนั่งเครื่องเดินทางไปมาระหว่างนิวยอร์ก โซลและโตเกียวเป็นประจำ เขาเปิดบริษัทเพลงของตัวเอง เป็นทั้งซีอีโอและโปรดิวเซอร์ ส่วนซึงฮยอนเองก็ช่วยจียงด้วยการแต่งเพลงและโปรดิวซ์เพลงให้ด้วย ในขณะเดียวกันก็เจียดเวลามาเขียนหนังสือ ทั้งนวนิยายและกวีนิพนธ์


      ทั้งสองรักกันและกัน

      แต่ทั้งคู่ก็รักงานของตัวเอง…


      “ฉันจะพานายไปโอลิมเปีย มีคอนเสิร์ตครบรอบ 100 ปี อีดิธ ปิแอฟ” สุดท้ายเขาก็บอกจียงหลังจากเห็นว่าแผนการในคืนนี้ล่มไม่เป็นท่า “ฉันอยากเซอร์ไพร์สนายในวันครบรอบ”


      จียงหันมามองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปมองด้านนอกดังเดิม


      “ขอโทษนะที่ทำให้ทุกอย่างของนายผิดแผนไปหมด” น้ำเสียงที่อ่อนลงดึงสายตาซึงฮยอนให้จ้องนิ่ง


      “ลงกันเถอะ” จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น จนจียงหันกลับมามองเขาอย่างแปลกใจ


      “แต่เรายังไปไม่ถึงไหนเลยนะ”


      “ช่างเถอะ เราคงไปไม่ทันแล้ว… แต่ฉันมีที่ที่อยากพานายไป” จียงมองเขาอย่างสงสัย ก่อนพยักหน้ารับน้อยๆ ซึงฮยอนจึงจ่ายค่าแท็กซี่ ก่อนพาคนรักเดินไปบนฟุตบาทกว้างของถนนอันโด่งดังของปารีส ประตูชัยตั้งเด่นอยู่ใกล้ๆ กั้นถนนที่ทอดยาว แสงไฟจากรถที่ติดเป็นแถวดูราวเส้นสร้อยทองที่เรียงร้อยกันเป็นสาย สายลมเย็นในคืนปลายฤดูร้อนพัดมาเบาๆ ทั้งสองเดินไปเรื่อย กระทั่งถึงสวนโทรกาเดโรริมแม่น้ำแซน ในสวนมีคนเดินไปมาบ้าง แต่บรรยากาศก็เงียบสงบ


      ซึงฮยอนเลือกพาจียงเดินไปถึงริมตลิ่งแม่น้ำแซน ทั้งสองเดินไปอย่างเงียบๆ ต่างซึมซับบรรยากาศของปารีสในยามค่ำ เขาแวะซื้อบุหรี่มาร์โบโล่ไลท์จากแผงขายของในสวน แกะซอง กลักบุหรี่ส่งให้จียงมวนหนึ่ง ก่อนคาบไว้ในปากตัวเองมวนหนึ่ง

      เขาล้วงไฟแช็กขึ้นมาจุดบุหรี่ของตัว ก่อนจะยื่นมือไปจุดให้จียง ทว่าอีกฝ่ายกลับปัดมือเขาออก ก่อนเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ คาบบุหรี่จ่อปลายมวนทั้งสองเข้าติดกัน ปากอิ่มสูดอากาศเบาๆ สามสี่ครั้ง ปลายมวนแดงลุกวาบส่องสะท้อนเข้าในดวงตา ในระยะแค่นี้ ซึงฮยอนได้กลิ่นกายที่โหยหา กลิ่นซอกคอจียงที่ลูบด้วยโอ เดอ โคโลญอ่อนๆ ช่วงขณะที่จียงอยู่ใกล้ๆ เขาอยากจะปัดบุหรี่ทิ้ง และโผเข้าดื่มริมฝีปากของอีกฝ่ายแทน


      ชั่วครู่ที่จียงถอยออก ซึงฮยอนรู้สึกใจหาย


      เขาสูดควันบุหรี่แล้วพ่นควันขาวออกมา ก่อนเอ่ยแก่จียง “ฉันเขียนอะไรบางอย่าง อยากอ่านให้นายฟัง” ซึงฮยอนรอให้จียงพยักหน้าตอบรับ ก่อนจะล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งที่เขานั่งเขียนอยู่ในห้องรับแขกที่อพาร์ตเม้นท์ระหว่างรอจียง


      เธอ…

      ฉันจะจับมือเดินไปกับเธอได้นานแค่ไหนกัน
      ด้วยมืออันเปราะบางนี้


      ฉันจะปกป้องเธอไปได้นานแค่ไหนกัน
      ด้วยแผ่นหลังอันอ่อนแอนี้


      ความสูงของฉันอาจช่วยบังแดดร้อน กันลมฝน
      แต่จะทำได้แค่ไหนกัน
      สักพักเธอก็จะเปียกปอนและหนาวสั่น


      ฉันดึงเธอมากอดไว้แน่น
      และอยากผลักออกไป…ด้วยความรู้สึกที่รุนแรงยิ่งกว่า


      เธอ…

      รอยยิ้มที่ชืดชาและดวงตาที่หม่นเศร้า
      คือผล…แห่งหัวใจอันรุ่มร้อนและความคิดคำนึงอันแสนหวาน


      เพลงรักเศร้าๆ ยิ่งปลุกเร้าให้ฉันคิด
      ฉันจะรักเธอไปได้นานเท่าใด… ในเมื่อฉัน ‘รัก’ เธอมากปานนี้

      ฉันอยากจับมือเธอเดินไปให้นานแสนนาน 
      ฉันอยากปกป้องเธอให้ถึงที่สุด


      แต่ฉันกลัว… 
      กลัวเหลือเกินว่าสิ่งที่จะทำให้เธอเจ็บปวดที่สุด
      ก็คือ ฉันผู้อ่อนแอคนนี้เอง


      ฉันอาจต้องทำให้เธอเจ็บ
      ก่อนที่เธอจะเจ็บเพราะฉัน…ผู้ไม่อาจทำสิ่งใดได้


      เธอ…



      เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นจากกระดาษ จียงจ้องหน้าเขานิ่ง เขาพับกระดาษนั้นเก็บใส่กระเป๋าและจะยกบุหรี่ขึ้นสูบอีกครั้ง แต่จียงกลับคีบบุหรี่ไว้ในมือ เคลื่อนเท้าเข้าใกล้ ยั้งมือข้างที่ถือมวนบุหรี่ของเขาไว้ และจูบ

      กลิ่นยาสูบลุกไหม้อวลอยู่ในปากผสานกับกลิ่นผิวเฉพาะตัว ลิ้นที่นุ่มอ่อนโลมรุกเข้ามาไล้วนในริมฝีปากของเขาอย่างกระหาย เขาจูบตอบ นุ่มนวลและปรารถนาพอกัน


      เมื่อจียงถอนริมฝีปากออก มือของทั้งสองยังคีบบุหรี่ค้างในอากาศ เขารู้สึกเหมือนจะขาดใจ


      “เราไม่ใช่เด็กๆ กันแล้วนะ…” จียงเอ่ยขึ้น ขณะเคลื่อนบุหรี่เข้าสูบอีกครั้ง


      “อืม ไม่ใช่แล้ว…”


      “นายไม่จำเป็นต้องปกป้องฉัน”


      “นายไม่ต้องการหรือ”


      “เปล่า เราทั้งคู่เป็นผู้ใหญ่แล้ว โตพอจะยืนได้ด้วยตัวเอง ถ้าใครคนใดคนหนึ่งมัวแต่ยืนพิงอีกคน มันไม่น่ารำคาญแย่เหรอ…”

      เขาหัวเราะ… ใช่ คงจะน่ารำคาญจริงๆ  จียงรู้ว่าเขาไม่ชอบคนที่เอาแต่พึ่งพาคนอื่น


      “นี่ ฉันให้นาย” จียงล้วงกล่องกระดาษเล็กๆ จากในเสื้อสูทสีน้ำเงินออกมา ซึงฮยอนเลิกคิ้วแปลกใจ เขาเปิดกล่องดู ปากกาหมึกซึมสีขาวงาช้าของปิแอร์ การ์แดงนอนนิ่งสงบเหมือนเจ้าหญิงนิทรา สวยและสงบ… เหมือนแววตาของจียง


      “ให้ฉัน…?”


      “ไอ้พี่บ้า! นี่วันครบรอบไม่ใช่เหรอ… นายเตรียมบัตรคอนเสิร์ตให้ฉัน คิดว่าฉันจะไม่เตรียมอะไรบ้างหรือยังไง” จียงพ่นควันขาวมวลใหญ่ ก่อนหันหน้าหนีไปมองลำน้ำแซน ผิวน้ำสะท้อนแสงเป็นประกายพริบพราว


      “ขอบใจ” เขายิ้ม

      เขาเองรักอีกฝ่ายมากเกินไป… จนคิดถึงแต่การให้

      โดยที่ลืมไปว่า ความรักคือการแลกเปลี่ยนกันอย่างเท่าเทียม


      “อย่าลืมแต่งเพลงใหม่ด้วยล่ะ มินอายังไม่มีเพลงเลยนะ”


      “ครับๆ ท่านซีอีโอ” เขาสอดกล่องปากกานั้นลงกระเป๋าทักซิโด้ ก่อนรั้งอีกฝ่ายเข้ามากอด แขนของทั้งสองยื่นออกห่างเพื่อกันเถ้าบุหรี่เปื้อนเสื้อผ้า


      “ฉันจะเขียนทุกอย่างมาจากใจเลย” เขายิ้ม จียงมองกลับด้วยแววตานิ่ง ใบหน้าสงบ มีเพียงรอยหยักยิ้มมุมปาก


      ไม่ต้องมีถ้อยคำหวานซึ้ง พรั่งพรูคำรักร้อยพัน

      เพียงยิ้มมุมปากนั้นก็พอ


      “เขียนลงกลางใจของฉันนะ” เสียงกระซิบข้างหู ชักม่านละครในคืนนี้



      สุขสันต์วันครบรอบ…




      The End

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×