คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #21 : ตัวอย่างบทนำ From your passion
Where'd you go?
คุณหายไปไหนกัน?
I miss you so,
ฉันคิดถึงคุณนะ
Seems like it's been forever,
เหมือนกับว่าเวลามันผ่านมานานแสนนาน
That you've been gone.
ตั้งแต่คุณจากไป
(เพลง Where’d You Go ศิลปิน fort minor )
- - - - - - - - - - - - - - - - -
- - - - - - - - - - -
‘ฉันจะอยู่กับเธอ…จะคอยอยู่เคียงข้างเธอ และจะปกป้องเธอเอง’
‘ตลอดไปเลยหรอ’
‘แน่นอน...ตลอดไปเลย’
ตึด ตึด ตึด
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตามเวลาที่ถูกตั้งเอาไว้ตรงเป๊ะ เสียงที่ดังสนั่นลั่นห้องอย่างหนวกหูและสามารถทำให้คนฟังสามารถสติแตกได้ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นมาจากความฝัน ฉันเลยเอื้อมมือไปกดปิดนาฬิการปลุกแสนงี่เง่าและน่ารำคารนั่นซะ บางทีฉันก็อยากจะให้ไอ้เจ้านาฬิกาปลุกนี่ถ่านหมดหรือไม่ก็พังๆไปซะ
ทั้งๆที่ฉันจะสามารถเจอเขาได้แค่ในความฝันแท้ๆ…แต่ไอ้เจ้านาฬิกาปลุกเวรนี่ก็ต้องดังขึ้นมาก่อนทุกทีสิน่า!
ฉันเคยเอาบรรดานาฬิกาปลุกราคาแสนแพงทั้งหลายไปเผาทิ้งแล้วล่ะ
แต่ยัยน้องสาวจอมเจ้ากี้เจ้าการก็หาเครื่องใหม่มาทุกที
ฉันเลิกคิดอะไรเรื่อยเปื่อยและเดินเข้าไปในห้องน้ำ
อาบได้ไม่นานก็ต้องรีบออกมาแต่งตัวเพราะวันนี้ฉันมีเรียนเช้า
แถมบรรดาเพื่อนๆฉันก็เน้นย้ำไว้เป็นพิเศษว่าวันนี้ห้ามสายเด็ดขาด!
~don't turn away don't give in to the pain don't
try to hide though they're screaming your name~
ฉันแต่งตัวใส่ชุดนักศึกษาเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำ
เดินออกมาจากห้องน้ำได้ไม่กี่เก้าโทรศัพท์เจ้ากรรมก็ดังขึ้น
ฉันเดินไปคว้าโทรศัพท์ไว้และกดรับ เดาไม่ยากหรอกว่าปลายสายคือใคร
จะมีซักกี่คนกันที่จะกล้าโทรมารบกวนฉันตอนเช้าแบบนี้
เพราะส่วนมากก็จะโดนฉันวีนกลับไป
[รับเร็วแบบนี้แสดงว่าตื่นแล้วล่ะสิ]
“พี่ตื่นแล้วน่า...เอาจริงๆแล้วเอลไม่ต้องโทรมาแทบจะทุกเช้าก็ได้นะ พี่บอกแล้วว่าซาตื่นเองได้!!”
ฉันว่าไปด้วยน้ำเสียงที่ปนความหงุดหงิดเล็กน้อย
เอลที่ฉันว่าก็คือชื่อย่อๆของเอเรียล์
น้องสาวคนละแม่ของฉันที่มักจะโทรมาคอยปลุกฉันทุกๆเช้าเพราะกลัวว่าฉันจะไม่ตื่น
หรือตื่นแล้วก็ไปนอนต่อ แต่ขอโทษเถอะนะ ฉันอายุยี่สิบสองแล้วปะ?
[ตื่นเองได้? น้ำเสียงดูจะมั่นใจมากเลยนะ]
“อย่ามาทำเหมือนพี่เป็นเด็กๆนะ
พี่เป็นพี่เอลนะอย่าลืม แล้วอีกอย่างตอนนี้พี่ก็ออกมาอยู่ที่คอนโดแล้ว โตแล้ว
ดูแลตัวเองได้ เข้าใจนะ?!” ฉันบ่นไปแต่งหน้าไปเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
[เอาล่ะๆ เอลไม่เถียงด้วยแล้ว…ว่าแต่เมื่อคืนพี่ซาฝันถึงเขามั้ย]
มือที่กำลังถือลิปสติกที่เพิ่งจะทาเสร็จไปชะงักอย่างฉับพลันเมื่อได้ยินประโยคหลังที่ดังมาจากปลายสาย
ฉันนิ่งไปประมาณสิบวินาที
พอเริ่มตั้งสติได้ฉันก็วางลิปสติกลงและตอบเอเรียล์ไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆเหมือนเคยเมื่อเธอถามถึงเรื่องนี้
“ฝันสิ…เหมือนทุกๆคืน”
แน่นอนว่าเอลเคยถามคำถามนี้มาก่อนหน้านี้
ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแต่เป็นหลายครั้ง ฉันฝันถึงเขาบ่อยมาก แทบจะทุกวันด้วยซ้ำ
ตั้งแต่ที่เขาหายตัวไปจากชีวิตฉันโดยไม่บอกไม่กล่าวฉันก็เริ่มฝันถึงเขามาโดยตลอด
ไม่ใช่แค่ฝัน แต่ยังเห็นภาพหลอนว่าเขายังวนเวียนอยู่รอบๆตัว
ฉันยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าฉันทำอะไรผิดไป ทั้งๆที่ฉันก็พยายามอย่างหนักเพื่อจะปรับตัวให้เข้ากับเขาให้ได้
แต่มันก็ไร้ค่าเมื่อเขาหายตัวไปเมื่อสี่ปีที่แล้ว ป๊าของฉันเคยพาฉันไปพบจิตแพทย์ทั้งๆที่ฉันก็คัดค้านไม่อยากจะไป
แต่ก็ไม่อาจที่จะเอาชนะป๊าได้
ทางเดียวที่ฉันจะชนะได้ก็คือฉันจะไม่ให้ความร่วมมือกับหมอคนนั้นเด็ดขาด
ไม่ว่าคนพวกจะหว่างล้อมฉันยังไงก็ตาม
เขาที่ฉันหมายถึงก็คือแฟนเก่าของฉันเอง
ต้องขอบอกออกมาจากใจจริงว่ามันเลวมาก และมันก็กล้ามากที่กล้าทิ้งฉันไปอย่างไร้เยื่อใย
ฉันยอมรับว่าฉันรักเขา รักเขามากจริงๆ และตอนนี้ในใจของฉันก็ยังคงรู้สึกเหมือนเดิม
ถึงฉันจะพยายามจะไม่คิด ไม่สนใจ แต่ฉันก็รู้ตัวดีว่า…จริงๆฉันก็ยังคงรอเขาให้กลับมาอยู่
[…งั้นหรอ แล้ว...ซาจะไปมหา’ลัยเองหรือจะให้เอลไปรับ]
“ไปเองดีกว่า
วันนี้เพื่อนพี่นัดแต่เช้า แล้ววันนี้พี่ก็มีเรียนเช้าด้วย
ขืนมัวแต่รอเอลก็ไปสายพอดี”
[ถ้าอย่างงั้นก็แค่นี้ก็แล้วกัน พี่ซารีบไปเถอะเดี๋ยวจะสาย]
ฉันไม่ได้ว่าอะไรต่อและวางสายไปเลย
จากนั้นฉันก็คว้ากระเป๋าสะพายแบรนด์เนมของแท้และกุญแจรถจากนั้นก็เดินออกจากห้อง
ลงลิฟไปชั้นล่างไปขึ้นรถและขับออกไปจากคอนโดสุดหรูใจกลางเมืองที่ทุกๆคนใฝ่ฝันว่าจะได้อยู่อย่างเร็วไว
Penn Palace เป็นโรงแรมสุดหรูที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพ
ภายนอกของโรงแรมดูหรูหราคล้ายปราสาทราชวังเหมือนชื่อ ส่วนภายในก็ได้รับการตกแต่งได้หรูหราไม่แพ้ภายนอก
ให้บริการในระดับ Hi-end เช่น ห้องน้ำปูด้วยหินอ่อน, ติดตั้งจอพลาสม่าทุกห้องและอื่นๆอีกมากมายที่จะบริการ
คนที่จะมาพักอยู่ที่ Penn Palace ได้จะต้องเป็นพวกระดับท็อปเท่านั้น
รวยอย่างเดียวไม่มีสิทธิ์
ที่ฉันสามารถเข้าไปอยู่ในโรงแรมที่เริดเวอร์และได้อยู่ขั้นวีไอพีได้ก็เพราะว่าฉันเป็นลูกสาวคนโตของเจ้าของโรงแรม
และยังเป็นอีกคนที่ดูแลรับผิดชอบบริหารโรงแรมนี้ต่อจากป๊าด้วย
นอกจากฉันที่พักอยู่ที่นั่นแล้วก็ยังมีพี่และน้องฉันอีกสามคน
พูดแล้วมันก็น่าโมโหจริงๆ เหตุผลที่ฉันโมโหก็คือพ่อไม่เชื่อในตัวฉันเลย ไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องงาน
เพราะเรื่องงานน่ะล้นมือจนแทบจะรับไม่ไหวแล้ว
แต่มันเกี่ยวกับเรื่องการดำลงชีวิตอยู่ น้องชายและน้องสาวฉันได้ย้ายออกมาอยู่คนเดียวที่คอนโดตั้งแต่เพิ่งเข้ามหา’ลัย
ส่วนพี่ชายฉันก็ได้ออกมาเมื่อตอนเรียนอยู่มอปลายปีสอง! ส่วนฉันได้ออกมาจากบ้านใหญ่ตอนเรียนอยู่มหา’ลัยปีสี่! ซึ่งฉันเพิ่งจะได้ออกมาเมื่อหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาเท่านั้น!!
มันจะไม่น่าโมโหเลยถ้าป๊าให้ความเท่าเทียมกับฉันเหมือนกับพี่น้องอีกสามคน
ฉันนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้กินอาหารเช้า
และนี่มันก็เพิ่งจะเจ็ดโมงสิบนาที ฉันนัดกับเพื่อนไว้ตอนแปดโมงครึ่ง อีกนานกว่าจะถึงเวลานัด
เพราะงั้นฉันเลยเลี้ยวรถเข้าไปในร้านอาหารที่ผ่านทางซึ่งเป็นร้านประจำ
จัดการจอดรถเสร็จเรียบร้อยก็ลงมาจากรถและเดินตรงไปทางเข้าร้านแต่ก็ต้องเป็นอันหยุดเดินเพราะมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาขวางทางเอาไว้
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
ผู้หญิงตรงหน้าฉันเริ่มเปิดการสนทนา ฉันมั่นใจเกินล้านเปอร์เซ็นเลยว่าไม่เคยรู้จักและเห็นหน้าเธอคนนี้มาก่อน
ใบหน้าของหล่อนถูกแต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางอย่างหนา ตาโต จมูกโด่งอย่างพอสวย
ริมฝีปากบางถูกเครือบไว้ด้วยลิปสติกสีชมพูหวานและทับด้วยลิปกรอสอีกที
รวมๆก็ถือว่าสวย แต่ก็น้อยกว่าฉันอยู่ดี ผมของเธอดัดหยิกเป็นลอนขนาบข้างแก้มทั้งสองและปรกลงตรงไหล่ทับชุดนักศึกษารัดติ้วอวดทรวดทรงที่เธอใส่อยู่
ฉันก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักหรอกนะ
แต่ที่เด่นที่สุดในตัวเธอตอนนี้ก็คงจะเป็นสายตาที่บ่งบอกความเป็นศัตรูอย่างชัดเจน
…หล่อนจะกระโจนเข้ามาตบฉันมั้ยเนี่ย!!
“คุยเรื่องอะไร? ว่ามาสิ”
“ไม่ใช่ตรงนี้
คนเยอะเกินไปฉันไม่ชอบ”
“แต่ฉันชอบ มีปัญหาอะไรมั้ย?
ฉันว่าเธอมีอะไรก็รีบๆพูดมาเถอะ เพราะถ้าเธอไม่พูดฉันก็คงจะต้องขอตัว”
ฉันว่าแล้วเดินผ่านยัยเครื่องสำอางหนา(จงเอาชื่อนี้ไปซะ)ไปอย่างเหมือนเธอไม่มีตัวตนเป็นแค่ธาตุอากาศ
แต่เดินผ่านไปได้ไม่กี่เก้าก็ต้องชะงักเพราะเสียงแหลมสูงที่ดังขึ้น
ทำให้คนที่อยู่ในบริเวรนี้หันมามองเราสองคนกันทันที
“เลิกยุ่งกับวินเนอร์ซะ!!!!”
“…”
“ถือว่าฉันขอร้องก็ล่ะ…เลิกยุ่งกับเขาซะ ได้โปรด” ฉันหันกลับไปจ้องหน้าหล่อนด้วยแววตาสมเพศเวทนา
ดูจากแล้วก็คงจะมาเรื่องผู้ชายล่ะสิ เหอะ!
“ฉันก็อยากจะทำตามที่เธอขอร้องนะ
แต่ฉันคงทำให้ไม่ได้หรอก เพราะฉันไม่รู้จักคนที่ชื่อวินเนอร์”
“ไม่จริง!! แกโกหก!”
ฉันจะไปโกหกเธอทำสากเบืออะไร!
“ไม่เชื่อก็ตามใจเธอเถอะ! บอกความจริงไปแล้วแต่ไม่เชื่อเองก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อแล้ว แล้วก็นะ
ที่หลังก็หัดเช็คชื่อชู้แฟนตัวเองให้ดีๆซักก่อน จะได้ไม่ต้องมาทักคนผิดและทำให้คนอื่นเขาเสียเวลาแบบนี้!”
“นังซาติ!!!” ยัยเครื่องสำอางหนาตรงเข้ามา หวังจะเข้ามาตบฉัน
ฉันเลยคว้าข้อมือของหล่อนที่ยกขึ้นและเตียมจะฟาดลงมาไว้ จากนั้นฉันก็…
เพี้ย!!!
จัดการตบหน้ายัยเครื่องสำอางหนาไปอย่างแรง ^^ ต้องขอบอกว่าแรงจริงๆนะ
เพราะฉันเองก็เป็นคนมือหนัก แถมยังมีคนมาหาเรื่องบ่อยๆ
เพราะงั้นฉันเลยตบคนเป็นประจำ
คนที่โดนฉันตบอย่างน้อยยัยนั่นก็ต้องมีตราฝ่ามือฉันประทับอยู่บนหน้าไปหลายวันเลยล่ะ
เผลอๆตอนถูกตบใหม่ๆจะเลือดไหลเลยด้วยซ้ำ
“เป็นไง? เจ็บมั้ยล่ะ”
ฉันถามยัยนั่นไปด้วยน้ำเสียงใสๆที่อารมณ์ดีสุดๆและคนที่ฟังเสียงนั้นก็จะต้องหมั่นไส้อย่างสุดๆด้วยเช่นกัน
“แก!!!”
แน่นอนว่าผลที่ได้ก็คือสายตาอันเคียดแค้นที่เหมือนกับฉันไปฆ่าพ่อฆ่าแม่ของหล่อนมายังไงยั่งงั้น
ยัยเครื่องสำอางหนาทำท่าจะพุ่งมาตบฉันอีกรอบ ฉันก็เลยจัดการสวนกลับไปอีกรอบและอีกหลายๆรอบ
เหล่าผู้ชมรอบข้างเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีใครคิดจะเข้ามาช่วยหรือเข้ามาห้ามเลยซักคน
เฮ้อ! คนเรานี่มันช่างเห็นแก่ตัวกันซะจริง
พอนึกขึ้นได้ว่าฉันเสียเวลากับยัยนี่มานานมากแล้ว
และฉันก็กำลังจะไปนัดเพื่อนสาย ฉันเลยผละออกจากยัยนี่นี่นอนเละอยู่ที่พื้นที่เต็มไปด้วยดินและก้อนกรวดพร้อมกับพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะเดินจากไป
“จำใส่กะโหลกเน่าๆที่วันๆเอาแต่คิดเรื่องผู้ชายของแกไว้ซะ
อย่ามาซ่ากับคนอย่างซาตินถ้ายังอยากจะมีลมหายใจอยู่บนโลกนี้!!!”
ความคิดเห็น