ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Gang Of Heaven - คณะเดินทางกู้พิภพ

    ลำดับตอนที่ #28 : ตอนที่ 25 : เส้นทางเกิดใหม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 28
      2
      10 ก.ค. 64

    กลุ่มของทองอินทร์เดินทางมาตามเส้นทางเรื่อยๆ จากประตูวิญญาณ จนมาถึงเส้นทางเส้นหนึ่งซึ่งเป็นทางสำหรับเหล่าวิญญาณที่จะไปเกิดใหม่ กลุ่มของทองอินทร์ก็มองพื้นที่ไปโดยรอบ ซึ่งพวกเขาก็ได้เห็นรอบๆแม่น้ำสองข้างนั้นมีเกาะเล็กเกาะน้อยมากมาย แต่ทุกเกาะมีเส้นทางเล็กๆสำหรับเดินทางไปได้ ทำให้พวกเขารู้ว่าจะต้องหาดอกไม้สีเงินได้ที่ไหน

    “ดูนั่นสิ มีเกาะอยู่มากมายหลายเกาะเลย” ทองอินทร์พูดขึ้น

    “ถ้าเช่นนั้น ข้าว่า เราแบ่งกันไปสำรวจกันเถิด จักใช้เพลาน้อยกว่า” กุมารเทพพูดขึ้น

    “เอาหล่ะ ถ้าเช่นนั้นก็แบ่งคนกันไปเถิด” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็แบ่งกลุ่มกันไปราวๆ 6 กลุ่ม เพื่อเดินข้ามไปยังเกาะเล็กเกาะน้อยพวกนั้นเพื่อหาดอกไม้สีเงิน เมื่อพวกเขาแบ่งกลุ่มกันได้ พวกเขาก็ออกเดินทางไปตามเกาะในทันทีเพื่อหาดอกไม้สีเงินนั้น

     

    กลุ่มของทองอินทร์ ตัวเขาได้เดินทางมากับคาวี วารี เมรี นารา ธิดาและนรสิงห์ไปยังเกาะแรก พวกเขาค่อยๆเดินข้ามเกาะ แล้วก็ป้องกันกลุ่มผีพรายที่พยายามจะลากพวกเขาลงน้ำ แต่พวกเขาก็ยันพวกมันเอาไว้ได้และดันพวกมันกลับลงน้ำไป

    “บ้าเอ้ย ไอ้ผีพวกนี้ท่าทางจักแค้นจริง” ทองอินทร์พูดขึ้นจากนั้นก็แทงเข้าที่หัวมัน

    “นั่นสิพี่ ยังดีที่พวกมันมาไม่มาก” นาราพูดขึ้นพลางเตะปลายคางมันจนตกน้ำไป

    “ระวังด้วย เส้นทางนี้เล็กมาก เราคงข้ามได้ลำบาก” คาวีพูดขึ้นพลางฟันร่างมันตัวหนึ่งจนมันกระเด็น

    “ยังดีที่เราทิ้งเกวียนไว้ที่เส้นทางหลักนะ” ธิดาพูดขึ้น

    “นั่นสิ แล้วเหตุใดดอกไม้นั่นต้องมาอยู่แถวนี้เล่า??” วารีถามในขณะที่เตะมันตกน้ำไป

    “เอาเถิด เราเร่งข้ามที่นี่ไปเถิด” นรสิงห์พูดขึ้นจากนั้นก็ฟันหน้าของมันตัวหนึ่งตาย จากนั้นไม่นานนัก พวกเขาก็เดินทางข้ามมาถึงจนได้

    “เฮ้อ กว่าจะข้ามมาได้ ทุลักทุเลมากเลยท่านพี่” กุมารเทพพูดขึ้น

    “เอาหล่ะ เร่งหาดอกไม้นั่นกันเถิด” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันไปตามหาดอกไม้สีเงินในทันที แต่พวกเขาเดินไปจนทั่วเกาะแล้วก็ไม่พบกับอะไรเลย ทำให้พวกเขาถึงกับเหน็ดเหนื่อย

    “เฮ้อ มีแต่ก้อนหินเต็มไปหมด เหนื่อยดีแท้งานนี้!!” นาราพูดขึ้นพลางปาดเหงื่อไปด้วยและหันไปมองหน้าทองอินทร์

    “อะไรกัน แค่นี้เหนื่อยแล้วหรือ น้องนา น้องอินทร์??” นรสิงห์พูดขึ้น ทำเอาทั้งคู่ถึงกับแปลกใจ

    “ท่านเรียกข้าว่ากระไรหรือ??” ทองอินทร์ถามไป

    “อันใดกัน แค่เรียกชื่อแค่นี้ถึงกับต้องแปลกใจเลยหรือ??” คาวีถามไป

    “นั่นสิ ข้าไม่เข้าใจ ข้างงไปหมดแล้ว??” วารีพูดเสริม

    “เจ้าจำมิได้หรือที่เราเคยเรียนในวัดด้วยกัน พี่สิงห์ของเจ้าไงเล่า” นรสิงห์พูดขึ้น ทำเอาทั้งนารากับทองอินทร์ถึงกับอึ้งในทันที

    “อ่า คือว่ารู้จักมักจี่กันมาก่อนแล้วงั้นหรือ??” ธิดาถามไป

    “พี่สิงห์ ท่านคือพี่สิงห์ที่เคยช่วยเหลือข้า!!” นาราพูดขึ้นจากนั้นก็เข้าไปกอดเขาในทันที นรสิงห์ก็กอดตอบ 

    “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ พี่สิงห์” ทองอินทร์พูดขึ้น ทำเอานรสิงห์ถึงกับยิ้มให้เขาไป

    “อ่า เหมือนว่าคนคุ้นเคยจะมาพบกันแล้วนะเนี่ย” คาวีพูดขึ้น

    “นั่นสิ เหตุใดจู่ๆถึงได้ทักทายกันเยี่ยงนี้เล่า??” วารีถามไป

    “อ่า ข้าแอบได้ยินมา ท่านแหม่มเชอร์รี่เอาน้ำอะไรบางอย่างให้ท่านนรสิงห์ได้ดื่มหน่ะ” ธิดาพูดขึ้น

    “ข้าว่า ต้องเป็นน้ำแกงนรกเป็นแน่ ซึ่งมันมีสรพคุณช่วยฟื้นความทรงจำหน่ะท่าน” กุมารเทพพูดขึ้น

    “อู้ว ของวิเศษของชาวตะวันออกนี่ดีแท้” ทูตเบลล์พูดขึ้น

     

    ทางด้านของแสนคำสมิง เอื้องเหนือ มาร์คัส มาเรียน่า ฮิเดกิและอเล็กซ พวกเขาจัดการกับกลุ่มผีพรายและไปที่เกาะอีกด้านหนึ่ง พวกเขาพยายามจะค้นทั่วเกาะแต่ก็ไม่พบอะไรเลย แม้แต่ต้นไม้หรือต้นหญ้าที่ขึ้นอยู่แถวนั้น

    “ฮิเดกิ ทางนั้นเจออันใดหรือไม่??” อเล็กซตะโกนถามเขาไป

    “มิเห็นอันใดเลยแม้แต่ต้นหญ้าซักต้น!!” ฮิเดกิพูดขึ้น

    “นั่นสิ ค้นมาทั่วเกาะแล้วยังไม่เห็นมีอันใดเลย” มาร์คัสพูดขึ้น

    “หรือว่า มันจักอยู่ใต้เกาะหล่ะจ๊ะ??” เอื้องเหนือถามไป

    “ไม่ดอก ข้าว่ามิมีทางดอก” มาเรียน่าพูดขึ้น

    “ดอกไม้อะไรจะมาขึ้นอยู่แถวนี้กันนะ” แสนคำสมิงพูดขึ้น

    “เฮ้อ ข้าว่า เรากลับไปรวมตัวกับคนอื่นดีกว่า” อเล็กซพูดขึ้นพลางนั่งพักไปด้วย

    “เจ้านั่งพักก่อนก็ได้ ข้าหามันเอง” ฮิเดกิพูดขึ้น

    “หามาเกือบชั่วยามแล้ว คงมิมีอันใดดอก” มาเรียน่าพูดขึ้น

    “ข้าว่า มันอาจจะอยู่เกาะอื่นก็ได้” มาร์คัสพูดขึ้น

    “ถ้าเช่นนั้น คนอื่นๆคงจักเจอแล้วหล่ะ” แสนคำสมิงพูดขึ้น

    “แต่หากเจอดอกไม้แล้ว ต้องทำอย่างไรต่อเล่า??” เอื้องเหนือถามไป

    “คงต้องถามอนาเลียแล้วหล่ะ” ฮิเดกิพูดขึ้น

    “ข้าว่า คงจักมีแต่นางเท่านั้นแหละที่หาได้” อเล็กซพูดขึ้น

    “เฮ้อ ถ้าเช่นนั้นเราไปสมทบกับผู้อื่นเสียดีกว่า” มาเรียน่าพูดขึ้น

    “เช่นนั้นเรารีบไปกันเถิด อย่าเสียเพลาเลย” มาร์คัสพูดขึ้น

    “ใช่ๆ ไม่รู้ว่าจะมีอันใดรอเราอยู่หรือไม่??” แสนคำสมิงพูดขึ้น

    “นั่นสิ ข้าเองก็ไม่อยากทิ้งเกวียนไว้นานเช่นกัน” เอื้องเหนือพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็พากันออกไปจากเกาะในทันที

     

    ทางด้านของอองโม่โย ออเรเลีย เวียงพิงค์ ชอว์น สมบาติและไวโอเล็ต พวกเขาไปอีกเกาะหนึ่ง พวกเขาพยายามควานหาดอกไม้ที่นั่นไปทั่ว แต่ก็ไม่พบอะไรเลยแม้แต่เงา พบแต่ไหใส่อะไรบางอย่าง ทำเอาสมบาติรีบไปดูในทันที

    “ที่นี่มีไหอันใดด้วย” สมบาติพูดขึ้น จากนั้นตัวเขาก็หยิบมา จากนั้นก็เขวี้ยงมันลงพื้นในทันที

    “เพล้ง!!” เมื่อแจกันแตก จู่ๆเขาก็ได้เห็นใบลานอะไรบางอย่าง จากนั้นก็หยิบมันมาในทันที และในตอนนั้น ไวโอเล็ตก็หยิบมาจากมือของสมบาติเพื่ออ่านมันด้วย

    “พี่สมบาติ มันคืออันใดหรือ??” ไวโอเล็ตถามไป จากนั้นเธอก็หยิบมันมาแล้วอ่านในทันที แล้วเธอก็ค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย

    “อ่า มีเรื่องอันใดกันหรือ??” อองโม่โยถามไป และในตอนนั้น ออเรเลียก็หยิบมันมาอ่านดูบ้าง

    “ข้อความในนี้บอกว่า พวกปีศาจได้ยึดนครยมราชไว้เรียบร้อยแล้ว” ออเรเลียพูดขึ้น

    “ไม่แปลกดอก พวกมันยกกำลังยึดนรกใกล้จะสิ้นแล้วนี่” ชอว์นพูดขึ้น

    “แล้วนี่ เราต้องไปที่นครยมราชใช่หรือไม่??” เวียงพิงค์ถามไป

    “ก็คงจักเป็นเช่นนั้น แต่เราอาจจักเจอพวกมันมากมายเป็นแน่” ออเรเลียพูดขึ้น

    “ข้ามิกลัวพวกมันดอก ให้พวกมันมาเถิด” อองโม่โยพูดขึ้น

    “ไม่รู้ว่ามีอันใดรอพวกเราอยู่ อย่างไรก็อย่าประมาทก็แล้วกัน ข้าสังเกตดวงดาวที่ด้านนอก มันบอกว่าเราจะต้องเจอศึกหนัก” สมบาติพูดขึ้น

    “สงสัย ที่นั่นอาจจักเจอปีศาจหมื่นปีก็ได้” ไวโอเล็ตพูดขึ้น

    “ยังดอก อาจจะไม่ใช่เพลานี้ก็ได้” ชอว์นพูดขึ้น

    “นั่นสิท่าน เราจักไปเตือนพวกของเราคนอื่นหรือไม่??” เวียงพิงค์ถามไป

    “ก็คงต้องไปบอกพวกเราแล้วหล่ะ เอาใบนี่ไปด้วย” สมบาติพูดขึ้น

    “แล้วนี่ พี่ได้ทำลายไหอื่นหรือยัง??” ไวโอเล็ตถามไป

    “ก็ทำลายหมดแล้วนี่ มิเห็นมีอันใดเลย” อองโม่โยพูดขึ้น

    “เช่นนี้เรารีบไปเถิด ไหนๆก็ไม่เจอดอกไม้นั่นแล้ว” ออเรเลียพูดขึ้น

    “นั่นสิ ป่านนี้คนอื่นๆคงกำลังรอแล้วหล่ะ” ชอว์นพูดขึ้น

    “ไม่รู้ว่าคนอื่นจักเป็นอย่างไรบ้างนะ” เวียงพิงค์ถามไป จากนั้นพวกเขาก็เดินทางกันต่อในทันที

     

    อีกด้านหนึ่ง เกาะแห่งหนึ่งบริเวณเส้นทางจะไปเกิดใหม่ มายะ โช ฉางหลง เชอร์รี่ หลี่เจาและอิริยะ พวกเขาพยายามหาดอกไม้สีเงินไปทั่วทั้งเกาะ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย พวกเขาพยายามค้นจะแทบทั้งเกาะ จนพวกเขาเริ่มจะถอดใจแล้ว

    “เฮ้อ ดอกไม้นั่นอยู่ที่กัน??” มายะถามไป

    “ข้าว่า คงมิได้อยู่ที่เกาะนี้ดอก เจ้าเชื่อหรือไม่??” โชถามไป

    “นั่นดิ หามาตั้งเกือบชั่วยามแล้ว หรือมันจักอยู่ใต้ดิน??” ฉางหลงถามไป

    “ดอกไม้ที่ใดจะอยู่ใต้ดินเล่า ท่านนี่นะ” เชอร์รี่พูดขึ้น

    “หรือว่า มันอาจจักมีกลไกอันใดบางอย่างที่ปิดบังอยู่ก็เป็นได้” หลี่เจาพูดขึ้น

    “อืม แต่ข้าลองดูพื้นที่หมดแล้ว มิเห็นมีอันใดเลย” อิริยะพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เผลอไปเตะอะไรบางอย่าง จากนั้นเธอก็เห็นแผ่นใบลานแผ่นหนึ่งโผล่ออกมาจากพื้นเล็กน้อย ทำเอาทุกคนถึงกับต้องไปช่วยกะเทาะหินออกมา แล้วหยิบใบลานนั้นมาอ่านในทันที

    “มันคืออันใดกันหรือ??” เชอร์รี่ถามไป

    “นี่มัน รายชื่อยมทูตที่นี่หน่า พวกเขาบันทึกไว้ทำไม??” อิริยะถามไป

    “ข้าว่า ต้องมีหนอนบ่อนไส้ในนรกภูมิเป็นแน่” หลี่เจาพูดขึ้น

    “โห ขนาดในนรกภูมยังจะมีคนทรยศอีกหรือเนี่ย??” มายะถามไป

    “อืม แล้วมีชื่อของยมทูตที่เราเคยเจอหรือไม่??” ฉางหลงถามไป

    “ข้าก็ไม่รู้ ยมทูตท่านนั้นมิได้บอกชื่อนี่” โชพูดขึ้น

    “อืม ข้าว่า ยมทูตนั่นน่าสงสัยที่สุดแล้ว อย่าให้เจอเขาอีกก็แล้วกัน” ฉางหลงพูดขึ้น

    “ใจเย็น เราต้องเจอกับยมทูตท่านนั้นก่อน” หลี่เจาพูดขึ้น

    “ใช่ และในครานี้ เราคงต้องกวาดล้างพวกหนอนบ่อนไส้ด้วยนี่” อิริยะพูดขึ้น

    “ข้าว่า เราส่งรายชื่อพวกนี้ให้พวกยมทูตที่หมู่บ้านดีกว่า” มายะพูดขึ้น

    “จริงด้วย ให้พวกเขาได้รู้ว่านี่คือรายชื่อของคนทรยศหน่ะ” เชอร์รี่พูดขึ้น

    “หากไปที่หมู่บ้านได้ คงต้องส่งข่าวให้พวกนั้นแล้วหล่ะ” โชพูดขึ้น

     

    ทางด้านของกลุ่มอนาเลีย วาทิน ลุงคง ชิงเสียน ซื่ออ้าย และเทเรซ่า พวกเขาเดินทางมายังเกาะสุดท้ายเพื่อหาดอกไม้สีเงิน พวกเขาพยายามหาดูว่ามีที่ไหนพอจะเป็นที่ซ่อนได้บ้าง 

    “ท่านเทเรซ่า ขอบน้ำใจท่านมากที่ช่วยข้า” อนาเลียพูดขึ้น

    “มิเป็นไรดอก เร่งหามันให้เจอเถิด” เทเรซ่าพูดขึ้น

    “มันต้องซ่อนอยู่ใต้ดินเป็นแน่” วาทินพูดขึ้น และในตอนนั้นลุงคงพยายามจะทุบลงไปที่พื้นด้วยมือของเขา แต่ซื่ออ้ายมาห้ามไว้ก่อน

    “ลุง ใจเย็น ทำเช่นนั้นพวกเราคงตายที่เกาะนี้เป็นแน่!!” ซื่ออ้ายพูดขึ้น

    “อ่ะก๊ะๆๆๆ” ลุงคงพูดขึ้น

    “มันต้องมีอันใดเป็นปริศนาเป็นแน่” ชิงเสียนพูดขึ้น และในตอนนั้น เธอก็ดันไปเตะหินก่อนหนึ่ง ซึ่งมันมีสัญลักษณ์อะไรบางอย่าง เธอเรียกคนอื่นๆมาดูหินก้อนนั้นในทันที ทุกคนรีบมาดูอย่างตื่นเต้น

    “ดูหินนี่สิ มีสัญลักษณ์อันใดด้วย” วาทินพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง อนาเลียก็หยิบเอาอะไรบางอย่างจากกระเป๋าของเธอมา มันเป็นตลับผงอะไรบางอย่าง อนาเลียโรงผงนั้นใส่หินไปในทันที

    “นั่นมันผงอะไรกันหรือ??” เทเรซ่าถามไป

    “ข้าก็ไม่รู้ ในหัวข้ามันสั่งให้ข้าทำหน่ะ” อนาเลียพูดขึ้น

    “สงสัยต้องเป็นของวิเศษของพวกเกรย์โอลด์วันเป็นแน่” ชิงเสียนพูดขึ้น

    “แต่เอ๊ะ ตอนนี้หินมันดูแปลกๆนะ??” ซื่ออ้ายพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง หินก็ค่อยๆเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเหลืองอย่างน่าประหลาด

    “อ่ะก๊ะๆๆๆ??” ลุงคงถามอย่างไม่เป็นภาษา และในตอนนั้น หินนั้นก็ค่อยๆแตกออก จากนั้นดอกไม้อะไรบางอย่างก็ผุดขึ้นมาต่อหน้าพวกเขา มันคือดอกไม้สีเงินที่พวกเขากำลังตามหาอยู่นั่นเอง

    “นั่นไง ใช่ดอกไม้สีเงินหรือไม่??” วาทินถามไป

    “ข้าเก็บเอง!!” อนาเลียพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ค่อยๆหยิบมันขึ้นมาในทันที แต่ในตอนนั้น จู่ๆเกาะที่พวกเขายืนอยู่ก็เกิดสั่นไหวขึ้นมา

    “อ่ะก๊ะ??” ลุงคงพูดออกมา

    “ข้าว่า เกาะนี่คงจะจมเป็นแน่” ซื่ออ้ายพูดขึ้น

    “ถ้าเช่นนั้นเรารีบไปกันเถิด อย่ามัวแต่ยืนอยู่เลย” เทเรซ่าพูดขึ้น

    “นั่นสิ พวกเรารีบไปเร็ว!!” ชิงเสียนพูดขึ้น จากนั้นพวกเขาก็รีบออกจากเกาะแห่งนั้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาออกมาได้ไม่นาน เกาะนั้นก็ค่อยๆจมหายไปต่อหน้าต่อตาเขาในทันที 

     

    ณ นครยมราช สถานที่ซึ่งเป็นจุดรวมพลมาช้านาน แต่ในบัดนี้กองทัพปีศาจได้เข้ายึดพื้นที่ไว้เรียบร้อยแล้ว เฟยหลิงพยายามเดินทางมาหาข่าวเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นในยมโลก เพราะเรื่องนี้มันดูซับซ้อนเหลือเกิน เฟยหลิงเข้ามาในเขตของนครยมราชได้สำเร็จ แต่ก็ต้องพบกับพวกปีศาจมากมายที่คอยเฝ้าพื้นที่เอาไว้

    “ไอ้พวกนี้มันมาจากที่ใดกัน??”

    ในตอนนั้นเฟยหลิงก็ค่อยๆแฝงตัวเข้าไปด้านใน โดยที่เธอพยายามจะลอบสังหารพวกปีศาจที่อยู่รอบๆไปทีละตัว ซึ่งปีศาจส่วนใหญ่จะเป็นปีศาจค้างคาว บินวนสำรวจพื้นที่โดยรอบนครแห่งนั้น

    “ไอ้ค้างคาวพวกนี้ ต้องลาดตระเวนกันขนาดนี้เลยหรือ??” เฟยหลิงถามไป และในตอนนั้น มันตัวหนึ่งก็บินผ่านหน้าของเฟยหลิงที่กำลังซ่อนอยู่หลังหิน ในตอนนั้นเธอก็ได้ใช้ดาบโซ่ของเธอจับมันมาหาเธอในทันที

    “หมับ!!”

    “หุบปากซะไอ้ระยำ!!” เฟยหลิงใช้หมัดปิดปากค้างคาวตัวนั้นไป จากนั้นก็เอาดาบของเธอจ่อคอของมันไปด้วย

    “หากเจ้ามิอยากทรมาน อย่าคิดร้องเรียกผู้ใดมา แล้วตอบคำถามข้าเสีย!!” เฟยหลิงพูดภาษาปีศาจใส่มันไป

    “พวกเจ้ากำลังซ่อนอันใดในนครแห่งนี้??” เฟยหลิงถามไป

    “ทุกอย่างอยู่ในตำหนักของท่านยมราชหน่ะ” ค้างคาวตัวนั้นพูดขึ้น

    “มีอย่างอื่นที่ข้าต้องรู้อีกหรือไม่??” เฟยหลิงถามไป

    “มิมีแล้ว อยากจะทำอันใดกับข้าก็ทำเถิด!!” ค้างคาวตัวนั้นพูดขึ้น และไม่นานนัก เฟยหลิงก็ใช้มนต์ของเธอควบคุมสมองของค้างคาวตัวนั้น จนมันถึงกับสลบลงไป

    “ไปดูด้านในดีกว่า”

    เฟยหลิงแฝงตัวเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วเพื่อไปยังตำหนัก เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า เธอค่อยๆเดินเข้าไปยังด้านข้างของตำหนัก เธอจัดการยามที่อยู่รอบๆมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเธอก็เดินทางมายังห้องโถงแห่งหนึ่ง แต่ในตอนนั้นเอง

    “หมับ!!”

    จู่ๆก็มีโซ่ที่ทอกันเป็นแหหล่นลงมาจากด้านบนแล้วจับตัวเฟยหลิงเอาไว้ เธอโดนฤทธิ์ของโซ่นั่นจนขยับอันใดมิได้เลย

    “นี่มัน โซ่อเวจีนี่หน่า!!” เฟยหลิงพูดขึ้น และในตอนนั้นเอง ชายร่างยักษ์คนหนึ่งก็เดินมาอยู่ต่อหน้าเธอ จากนั้นก็พูดขึ้นในทันที

    “เรากำลงรอเจ้าอยู่พอดีเลย เฟยหลิง!!”

    “เจ้า ไอ้ระยำเอ้ย ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้!!” เฟยหลิงพูดเหมือนกับว่าเธอรู้อะไรบางอย่าง

    “เฮ้อ รู้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว พวกเจ้ามันโง่ ที่เหลือก็แค่รอให้ไอ้พวกคณะเดินทางมาที่นี่ แล้วค่อยบดขยี้พวกมันเสียทีเดียว!!” ชายร่างยักษ์คนนั้นพูดต่อ

    “พวกแกคิดว่าจะหลอกพวกคณะเดินทางได้งั้นหรือ??” เฟยหลิงตะโกนถามไป

    “เดี๋ยวเราจะมาดูกัน ข้าต้องไปรับมือพวกคณะเดินทางเสียหน่อย พวกเจ้า จับมันไว้ก่อน รอให้พวกคณะเดินทางมา ค่อยสังหารมันเสียให้สิ้นที่นี่!!” 

    “ขอรับ!!” พวกลูกน้องของชายร่างยักษ์คนนั้นรีบเอาตัวเฟยหลิงไปในทันที เพื่อไปขังรอจนกว่าพวกคณะเดินทางจะมาถึงนครแห่งนี้

     

    ทางด้านของอาชิซะและคนอื่นๆ พวกเขาเองก็ยังคงเดินทางกันอย่างไร้จุดหมาย และพยายามตามหาไนอาลาโธเทปไปด้วย ในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางอยู่นั้น จู่ๆ ทูตค้างคาวตัวหนึ่งก็บินมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว แล้วก็มารายงานอะไรบางอย่างกับเขา

    “ท่านอาชิซะ พวกท่านจะไปที่ไหนหรือ??” 

    “ข้าจะออกตามหานายหญิงไนอาลาโธเทป เจ้ามีธุระอันใดกับข้า??” อาชิซะถามไป

    “ท่านปีศาจหมื่นปีใคร่อยากให้พวกท่านเดินทางไปยังเขตเพลิงสังสาร เพื่อรับทัพของพวกคณะเดินทาง ซึ่งบัดนี้พวกเขาใกล้เข้าเขตนครยมราชแล้วขอรับ!!”

    “พวกคณะเดินทางเข้าใกล้ขนาดนี้แล้วหรือ??” โลครานถามไป

    “สงสัยคงได้ปะทะกับพวกมันอีกครา” ดีเอโก้พูดขึ้น

    “ใช่ หากปะทะอีก ครานี้ข้าจะเล่นงานพวกมันให้สิ้น” โดมิงโก้พูดขึ้น

    “พวกเจ้าจะทำอันใดกับใครก็ได้ แต่ห้ามทำร้ายพี่ข้า” คาเลเรียพูดขึ้น

    “ข้าไม่รับปากว่าจะไม่สังหารนาง จำไว้!!” อาชิซะพูดขึ้น

    “นี่ เกิดอันใดขึ้นกับพวกท่านเนี่ย??” ทูตค้างคาวตัวนั้นถามไป

    “มิมีอันใดดอก บอกท่านว่าพวกข้าจะจัดการทุกอย่างเอง” อาชิซะพูดขึ้น จากนั้นทูตค้างคาวตัวนั้นก็หายตัวไปในทันที

    “เห็นทีคงต้องใช้ร่างจริงของท่านอาชิซะแล้วหล่ะ” โลครานพูดขึ้น

    “ร่างของเรางั้นหรือ พวกเราก็มีนี่หว่า” โดมิงโก้พูดพลางกอดอกไป

    “ฮ่าๆๆๆ พูดอย่างกับเก่งกล้ามากกระนั้น!!” ดีเอโก้พูดแซว

    “เราต้องหาวิธีแยกให้พี่ข้าออกมาจากพวกมัน” คาเลเรียพูดขึ้น

    “อย่างไรหรือ??” ดีเอโก้และโดมิงโก้ถามพร้อมกัน

    “เจ้าคิดว่าเจ้าจะมีวิธีกระนั้นหรือ??” อาชิซะถามไป

    “ก็หลอกล่อให้พวกมันปะทะกับปีศาจตัวอื่นก่อน แล้วข้าจะใช้จังหวะนั้นชิงตัวนางมาเอง” คาเลเรียพูดขึ้น

    “อืม ข้าว่าความคิดนี้ดีนะขอรับ” โลครานพูดขึ้น

    “อู้ว ท่านคาเลเรียฉลาดมากเลย!!” ดีเอโก้และโดมิงโก้ตะโกนออกมาพร้อมกัน

    “ก็ได้ ข้าจะลองเอาตามที่เจ้าบอก แต่หากนางขัดขืนข้า ข้าไม่รับประกันว่าจะไม่ฆ่านาง!!” อาชิซะพูดขึ้น

    “ก็ได้ ตามนั้นเลย!!” คาเลเรียตะโกนกลับไป

     

    ทางด้านของเดอเวส ในตอนนี้ตัวเขาก็ใกล้จะได้สำเร็จวิชามหาอุตฆ์แล้ว ซึ่งหากทำสำเร็จ ตัวเขาจะสามารถต้านทานอาวุธได้ทุกชนิด เดอเวสร่ายบริกรรมคาถาทั้งวันทั้งคืน และไม่นานนัก จู่ๆเขาก็ลืมตาขึ้นมา จากนั้นทูตค้างคาวแถวนั้นก็พูดขึ้นในทันที

    “ท่านลืมตาด้วยเหตุอันใดหรือ??” 

    “ข้ารู้สึกว่าตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว” เดอเวสพูดขึ้น

    “งั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ขอลองหน่อย” ทูตค้างคาวพูดขึ้น จากนั้นมันก็บินมาแล้วใช้ดาบแทงเข้าไปที่ด้านหลังของเดอเวส แต่ดูเหมือนว่าเดอเวสแทบไม่เป็นอะไรเลย ดาบของค้างคาวตัวนั้นไม่ระคายผิวเลยแม้แต่น้อย

    “ฮ่าๆๆๆ นี่ข้าเป็นอมตะแล้วหรือนี่??” เดอเวสตะโกนออกมาอย่างสะใจ

    “ดูเหมือนว่าท่านจะได้รับพลังมหาอุตฆ์แล้วหล่ะ” 

    “ใช่ แล้วบัดนี้ ข้าจะไปฆ่าพวกมันให้เหี้ยน” เดอเวสพูดขึ้น

    “และบัดนี้เหลือขั้นตอนสุดท้าย ท่านต้องนอนแช่น้ำว่านซักพัก ท่านปีศาจหมื่นปีเตรียมให้ท่านแล้วหล่ะ” ทูตค้างคาวพูดขึ้น จากนั้นก็พาตัวเดอเวสไปที่บ่อน้ำว่านที่เตรียมไว้ในทันที

    “นี่แหละท่าน ขอเพียงท่านแช่มันมิกี่ชั่วยาม พิธีก็จักเสร็จสมบูรณ์หน่ะ”

    “ดี อย่าช้าที รีบจัดการเถิด!!”

    เดอเวสพูดขึ้นจากนั้นก็ลงไปแช่น้ำในบ่อน้ำว่านในทันที เดอเวสถอดเสื้อออกทั้งหมดและลอยตัวอยู่เหนือน้ำไป และไม่นานนักเขาก็พูดขึ้นในทันที

    “แล้วนี่มูกับเซคทอร์ซเป็นอย่างไรบ้าง??” เดอเวสถามไป

    “สองคนนั้นคงกำลังทำงานให้ท่านปีศาจหมื่นปีหน่ะท่าน” 

    “เอาเถิด เสร็จพิธีเมื่อใด ข้าจะไปช่วยพวกนั้นทั้งสองคน” เดอเวสพูดขึ้น

    “ท่านมิต้องห่วงไปดอก” ทูตค้างคาวตัวนั้นพูดขึ้น

    “หากข้าไปจัดการกับมันได้ ข้าจักไปเล่นงานเจ้าชอว์นก่อนเลย” เดอเวสพูดขึ้น

     

    ทางด้านของมูกับเซคทอร์ซ หลังจากที่ทั้งคู่ฝึกวิชาสำเร็จแล้ว ตัวเขาทั้งคู่ก็มานั่งพักอยู่แถวๆนั้น และไม่นานนัก ทูตค้างคาวตัวหนึ่งก็บินมาหาพวกเขาทั้งคู่พร้อมกับยันต์อะไรบางอย่าง ทำเอาทั้งคู่ถึงกับแปลกใจเล็กน้อย

    “ท่านทั้งสอง ท่านต้องรีบหน่อยแล้ว!!”

    “อะไรกันอีกเล่า ยังพักได้มิทันไรเลย โว๊ะ??” เซคทอร์ซถามอย่างอารมณ์เสีย

    “พวกคณะเดินทางมันจะเข้าใกล้นครยมราชแล้ว พวกท่านต้องรีบไปสกัดพวกมัน”

    “หือ จะให้เราสองคนไปกระนั้นหรือ??” มูถามไป

    “ยังมีปีศาจกลุ่มหนึ่งที่ท่านปีศาจหมื่นปีเตรียมไว้แล้ว พวกเขาจะช่วยท่านจัดการเอง” ทูตค้างคาวตัวนั้นพูดขึ้น

    “เอาเถิด บัดนี้พวกข้าทั้งสองก็มีวิชาแกร่งกล้าขึ้นแล้ว ข้าจะไปฆ่าพวกมันให้สิ้น” เซคทอร์ซพูดขึ้น

    “แล้วพวกเจ้ามีแผนอันใดงั้นหรือ??” มูถามไป

    “ให้พวกท่านใช้ยันต์นี้ แล้วทำตามที่ข้าบอก”

    “นี่มันยันต์อะไรกันหรือ ข้ามิเคยเห็น??” เซคทอร์ซถามไป

    “มันเป็นแผนการของท่านปีศาจหมื่นปีหน่ะ เอาเถิด พวกท่านรับไปซะ!!” ทูตค้างคาวตัวนั้นพูดขึ้น จากนั้นก็ให้ยันต์กับทั้งคู่ไปในทันที

    “อืม หวังว่าแผนจะได้ผลนะ” มูพูดขึ้น

    “จะแผนอะไรก็ช่าง ข้าอยากจะฆ่าพวกมันเต็มแก่แล้ว!!” เซคทอร์ซพูดขึ้น

    “ไว้เราจะได้เห็นกัน สหาย” มูบอกกับเซคทอร์ซไป

     

    ทางกลุ่มของทองอินทร์ หลังจากที่พวกเขาแยกย้ายกันหาดอกไม้สีเงินได้สำเร็จ พวกเขาก็มารวมตัวกันยังเส้นทางที่พวกเขาได้นัดแนะเอาไว้ พวกเขาใช้เวลาไม่นานนักก็มารวมตัวกันได้สำเร็จ จากนั้นพวกเขาก็มาคุยกันในทันที

    “เฮ้อ พวกเจ้าเป็นอย่างไรกันบ้าง??” ทองอินทร์ถามทุกคนไป

    “ข้าสัมผัสได้ว่ามีแผ่นดินไหวเล็กน้อย มันเกิดอันใดขึ้นหรือ??” นรสิงห์ถามไป และไม่นานนัก อนาเลียก็เอาดอกไม้สีเงินออกมาให้กับทุกคนได้ดูในทันที

    “หูว นี่หน่ะหรือดอกไม้สีเงินที่ท่านว่าหน่ะ??” เมรีถามไป

    “ใช่ ตามที่ข้าเคยเจอในบันทึก เพียงแค่กินทันเข้าไป ก็สามารถถอนพิษได้” อนาเลียพูดขึ้น

    “ถ้าเช่นนั้น ก็ถือว่าเสร็จงานไปแล้วหนึ่ง” คาวีพูดขึ้น

    “ท่านอนาเลีย ท่านเก็บดอกไม้ให้ดีเถิด เอาไว้รักษาน้องของท่าน” วารีพูดขึ้น จากนั้นอนาเลียก็เก็บดอกไม้เข้าไปในกล่องส่วนตัวของเธอในทันที

    “เอาหล่ะ ถ้าเช่นนั้น เราจะทำอย่างไรกันต่อเล่า??” แสนคำสมิงถามไป

    “ข้าว่า เราคงต้องเดินทางกันต่อไปทางนั้นหน่ะ” เทเรซ่าพูดขึ้น

    “ว่าแต่ ทางนั้นมันมีอันใดรอเราอยู่เล่า??” เอื้องเหนือถามไป

    “ทางข้างหน้าก็เป็นนครยมราชแล้ว ท่านท้าวยมราชอาจจักอยู่ที่นั่น” หลี่เจาพูดขึ้น

    “จริงด้วย เราต้องช่วยท่านท้าวยมราชหน่ะ” ธิดาพูดขึ้น

    “อืม ว่าแต่ยมทูตนั่นไปที่ไหนหล่ะ??” เวียงพิงค์ถามไป

    “จริงด้วย พูดขึ้นมาก็ดีแล้ว ข้าไปเจอใบบอกบนเกาะแห่งหนึ่ง มันแจ้งว่า พวกปีศาจยึดครองนครยมราชแล้ว” สมบาติพูดขึ้น

    “แล้วอีกเรื่อง เราไปเจอรายชื่อของเหล่ายมทูต ซึ่งข้าคิดว่าน่าจักเป็นหนอนบ่อนไส้แน่ๆ” อิริยะพูดขึ้น จากนั้นก็เอารายชื่อนั้นให้คนอื่นๆดูในทันที

    “กะไว้แล้วว่ามันต้องมีเงื่อนงำ” มาร์คัสพูดขึ้น

    “ว่าแต่มีผู้ใดรู้ชื่อยมทูตตนนั้นหรือไม่เล่า??” อเล็กซถามไป

    “เจ้าถามพวกข้าแล้วข้าจะถามผู้ใดเล่า??” อองโม่โยถามไป

    “มิน่าหล่ะ ยมทูตนั่นถึงมิยอมบอกชื่อของเขาให้แก่เราเลย” ออเรเลียพูดขึ้น

    “หากเรามีรายชื่อพวกนี้ เราอาจจักรู้ตัวยมทูตผู้ทุรยศได้อีกมากโข” มายะพูดขึ้น

    “ใช่ จักว่าไป มิเห็นยมทูตตนนั้นเลย เขาหายไปที่ใด??” โชถามไป

    “หรือว่า ยมทูตตนนั้นรู้ตัวแล้วว่าเรารู้แผนของมัน??” ฉางหลงถามไป

    “ถ้าเช่นนั้นเราไปเตือนคนในหมู่บ้านยมทูตก่อนเถิด” ไวโอเล็ตพูดขึ้น

    “คงยาก ระยะทางมันไกล แลพวกมันอาจนำกำลังพลดักรออยู่” วาทินพูดขึ้น

    “คงต้องถามต้นสายปลายเหตุต่อท่านท้าวยมราชแล้วหล่ะ” มาเรียน่าพูดขึ้น

    “แต่นั่นท่านท้าวยมราช เรากล้าล่วงเกินได้หรือ??” ชิงเสียนถามไป

    “ไม่แน่ พวกมันอาจจะหลอกพวกเราให้ไปติดกับก็เป็นได้” ฮิเดกิพูดขึ้น

    “พวกมันจักแน่ซักแค่ไหนเชียว พลังของเราก็แก่กล้าขึ้นทุกวัน” เชอร์รี่ถามไป

    “ก็จริง แต่ที่เราต้องเจออาจเป็นปีศาจหมื่นปีก็เป็นได้” ชอว์นพูดขึ้น

    “คงมีแต่จอมเทพที่พอจักสู้ได้หล่ะ” ซื่ออ้ายพูดขึ้น

    “ข้าเองก็ได้กลิ่นแปลกๆจากเรื่องนี้แต่แรกแล้ว” ทูตเบลล์พูดขึ้น

    “เย็นไว้ ตั้งสติ อาวุธในมือเรายังคงอยู่ เราต้องสู้มันให้ได้” นาราพูดขึ้น

    “พี่อินทร์ พี่จะเอาเยี่ยงไรต่อเล่า??” กุมารเทพถามไป

    “เราจะลุยกับพวกมัน มิว่าจะเกิดอันใดขึ้น” ทองอินทร์พูดขึ้น จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาแต่ไกล และไม่นานก็ปรากฏร่างของยักษ์สีเขียวถือกระบองราวกับยักษ์ในตำนานรามเกียรติ์ จับตัวชายร่างยักษ์ผู้หนึ่งมาอยู่ต่อหน้าเขา พร้อมกับเหล่าลูกสมุนอีกนับหลายสิบนาย

    “ฮ่าๆๆ พวกเจ้าหน่ะหรือคณะเดินทาง คิดจักมาช่วยไอ้ท้าวยมราชนี่หรือ??” 

    “ไอ้ระยำ ปล่อยท่านเดี๋ยวนี้นะ!!” ทองอินทร์พูดขึ้นพลางชี้ดาบไปที่มัน

    “ฮ่าๆๆ เก่งจริงก็มาเอาตัวไปสิ!!”

    เมื่อมันพูดจบ กลุ่มของทองอินทร์ก็วิ่งเข้าไปปะทะกับพวกมันในทันที เสียงปะทะดังไปทั่วพื้นที่บริเวณนั้น ทองอินทร์รีบวิ่งเข้าไปฟาดฟันกับยักษ์เชียวตัวนั้นในทันที

    “เจ้าหน่ะหรือหัวหน้าคณะ ใช้ได้นี่??” ยักษ์ตัวนั้นพูดขึ้นพลางยันดาบกับทองอินทร์

    “ใช่ ข้าจักยิ่งกว่าใช้ได้อีก!!” ทองอินทร์พูดขึ้นพลางดันมันออกแล้วพยายามจะฟันต่อ

    “มาเลยไอ้ผีบ้า!!” คาวีพูดพลางใช้ดาบฟันหัวมันจนกระเด็น

    “รีบไปช่วยพี่อินทร์หน่อยเร็ว!!” วารีพูดขึ้นพลางป้องกันหอกของยักษ์ตัวหนึ่ง

     “เอานี่ไปกินโว้ย!!” เมรียิงธนูใส่หน้ายักษ์เขียวตอนนั้นจนมันกระเด็นออก

    “ย้าก ตายซะไอ้ระยำ!!” นรสิงห์วิ่งเข้าไปแล้วฟันร่างของยักษ์เขียวตัวนั้น แต่มันก็ถีบนรสิงห์จนกระเด็นออกไปไกล

    “สิงห์!!” แสนคำสมิงวิ่งเข้าไปฟันที่ขาของมันในทันที แต่มันจับร่างของแสนคำสมิงไว้ แต่ลุงคงก็กระโดดมาล็อกคอมันไว้ได้

    “อ่ะก๊ะๆๆๆ”

    “เอานี่ไปกิน!!” มาเรียน่ายิงปืนใหญ่มือใส่ปากมันในทันที

    “ตู้ม!!” ยักษ์ตัวนั้นกระเด็นออกมา แต่มันยังไม่ยอม มันเหวี่ยงกระบองใส่ทุกคนจนกระเด็นออกมาในทันที

    “ระวังด้วย พลังของมันร้ายกาจยิ่งนัก” ธิดาพูดขึ้น

    “ใช่ ระวังท่านท้าวยมราชด้วย!!” เวียงพิงค์พูดพลางยิงหน้าไม้ใส่มัน

    “เราต้องดึงเอาท่านท้าวออกมาก่อน” เอื้องเหนือพูดขึ้น

    “หากมันไม่ตายก็ไม่มีประโยชน์” อองโม่โยพูดขึ้น และในตอนนั้นมันก็ใช้กระบองฟันลงมา แต่อองโม่โยใช้โล่รับไว้

    “ย้าก ตายซะ!!” ออเรเลียควบม้าเข้าไปแทงที่ขามัน แต่มันก็เตะออกมาจนทั้งออเรเลียและม้ากกระเด็นไป

    “แล้วไอ้พวกลูกกระจ๊อกนี่จะเอาเยี่ยงไร??” ไวโอเล็ตถามในขณะที่กำลังยิงพวกมัน

    “เราสองคนจัดการได้อยู่แล้วนี่” สมบาติพูดขึ้นพลางยิงพวกมันต่อ

    “เข้ามาเลยไอ้ยักษ์!!” เทเรซ่าตะโกนออกมาแล้วใช้ดาบไฟแทงที่ขามัน แต่มันก็เตะเธอออกมา

    “ระวังด้วย ไอ้ตัวนี้มันร้ายกาจมาก” หลี่เจาพูดขึ้นพลางวิ่งออกไปและกระโดดฟันมันที่หน้า มันพยายามจะเล่นหลี่เจากลับ แต่อิริยะก็เหวี่ยงบ่วงใส่มันไป

    “รีบออกมาก่อนเร็ว!!” อิริยะพูดขึ้น

    “เอาลูกปืนไปกินซะ” มาร์คัสพูดขึ้นและระดมยิงอัดใส่ยักษ์เขียวไป

    “ชิงเสียน ยิงใส่ขามัน ฉันจะเล็งลำตัว!!” อเล็กซตะโกนออกมา

    “จัดให้เลย!!” ชิงเสียนพูดขึ้นจากนั้นก็ยิงเข้าที่ขามันด้วย

    “นั่นแหละ เอามันให้ล้ม!!” มายะพูดขึ้นจากนั้นก็ฟันหัววิญญาณตัวหนึ่งขาดกระเด็นไปสามหัว

    “ฉางหลง เราต้องเล่นงานมันที่ขาก่อน!!” โชพูดขึ้นในขณะที่แทงหัวของยักษ์ตัวเล็กตัวหนึ่งตาย

    “แต่เราเข้าใกล้ตัวมันยากเหลือเกิน” ฉางหลงพูดขึ้นจากนั้นก็ถีบหน้าวิญญาณตัวหนึ่งจนสลายไป

    “ต้องลองเสี่ยงหล่ะ!!” ฮิเดกิพูดขึ้นพลางวิ่งเข้าไปแล้วฟันที่ขามัน

    “เอาด้วย เล่นขามันคนละข้างเลย!!” ชอว์นพูดขึ้นจากนั้นก็ฟันขาอีกข้างของมัน

    “เอานี่ไปกิน!!” เชอร์รี่ขว้างระเบิดหม้อของเธอใส่มันจนมันชะงักไป

    “ย้าก ตายซะ!!” ซื่ออ้ายปักเข็มพิษของเธอเข้าที่ขามันไป

    “เอานี่ไปเลย!!” อนาเลียซัดเวทย์มนต์ของเธอใส่มันจนมันต้องใช้กระบองกันไว้

    “เล่นที่ตามันเลย!!” วาทินใช้บาทาเงาของเขาหลบการโจมตีของมันแล้วกระโดดแทงตามัน

    “อ๊าค!!” ยักษ์ตัวนั้นร้องอย่างเจ็บปวดและจับร่างของวาทินแล้วเหวี่ยงออกไป

    “เก่งนักเหรอมึง??” นาราวิ่งเข้าไปเตะเข้าที่กกหูของมัน ในตอนนั้นมันคลั่งอย่างสุดขีดและเหวี่ยงกระบองไปมาจนทั่วจนคนอื่นๆต้องถอยออกมาในทันที

    “บ้าเอ้ย มันคลั่งใหญ่เลย” กุมารเทพพูดขึ้น

    “ต้องจัดการมันอย่างเด็ดขาดแล้วหล่ะ” ทูตเบลล์พูดขึ้น และในตอนนั้น ลุงคงก็กระโดดชนมันจนมันล้มลง จากนั้นก็ยันมันไว้กับพื้น

    “ดีมากลุง ตอนนี้แหละ!!” ทองอินทร์ตะโกนออกมา จากนั้นทุกคนก็ไปรุมเล่นงานยักษ์ตัวนั้นในทันที

    “เล่นมันที่ขา ให้มันลุกไม่ได้!!” วารีพูดขึ้นพลางแทงเข้าที่ขามัน

    “ระวังด้วย ไอ้นี่มันแรงเยอะ” คาวีพูดขึ้นจากนั้นก็ใช้มีดหมอแทงไปที่ขามัน แต่มันขัดขืนได้และยกตัวลุงคงรวมถึงคนอื่นๆขึ้นมาได้

    “มันดันทุกคนออกมาได้หมดเลย” ธิดาพูดขึ้น

    “แต่มันก็ใกล้จะล้มแล้วนี่” เวียงพิงค์พูดขึ้นจากนั้นก็ยิงหน้าไม้ใส่มันต่อ

    “พี่ท่าน มันใกล้จะล้มแล้ว!!” เอื้องเหนือตะโกนออกมา

    “ได้เลย ลุยเลย!!” แสนคำสมิงพยายามหลอกล่อมันและพยายามจะฟันขามัน แต่มันก็พยายามเหวี่ยงกระบองใส่ทุกคนที่จะเข้าใกล้มัน

    “ล้อมมันไว้เลย!!” นรสิงห์ตะโกนออกมาแล้วพยายามจะวิ่งหลอกล่อมันด้วย

    “ยิงใส่มันเลย!!” เมรีพูดขึ้นพลางยิงใส่หน้าของมัน

    “เล็งที่หน้ากับขามัน!!” มาร์คัสพูดขึ้นจากนั้นก็ระดมยิงต่อ

    “ข้าเล็งที่ขามันเอง” อเล็กซพูดขึ้นจากนั้นก็กระหน่ำยิงต่อ

    “ได้เลย ข้าจะยิงที่หน้ามัน!!” ชิงเสียนพูดขึ้นจากนั้นก็พยายามจะเล็งตาอีกข้างของมัน

    “เอานี่ไปเลย!!” มาเรียน่าพูดขึ้นพลางยิงปืนใหญ่มือใส่ที่หน้าของมันจนมันเริ่มเซ

    “ตอนนี้แหละ ลุยมันเลย!!” สมบาติตะโกนออกมา จากนั้นทุกคนที่ใช้ดาบก็ไปเล่นงานที่ขาของมันในทันที

    “ล้มลงมาเดี๋ยวนี้!!” เทเรซ่าตะโกนออกมาแล้วฟันที่ขาซ้ายมัน

    “ขาขวามันจะพังแล้ว” หลี่เจาพูดขึ้นพลางเหวี่ยงทวนใส่ที่ขาขวาของมัน

    “เอานี่ไปกิน!!” อิริยะเหวี่ยงบ่วงของเธอใส่ขาซ้ายเพื่อบีบขามันไว้

    “ตายซะไอ้ระยำ!!” ออเรเลียควบม้าวิ่งไปเล่นงานที่ขาของมัน มันจะเหวี่ยงกระบองใส่เธอแต่อองโม่โยเอาโล่มากันไว้

    “รีบจัดการเร็ว!!” อองโม่โยตะโกนออกมา

    “ตอนนี้แหละ มันใกล้จะล้มแล้ว!!” ไวโอเล็ตตะโกนออกมา

    “โช ฉางหลง เล่นงานที่ขาขวา!!” มายะตะโกนออกมาจากนั้นก็เล่นงานมันต่อ

    “นี่ไง ตรงเอ็นร้อยหวาย จัดการเลย!!” โชตะโกนออกมาแล้วฟันเข้าไปที่เอ็นของมัน

    “เอาหมัดนี่ไปกินโว้ย!!” ฉางหลงพูดขึ้นพลางต่อยเข้าที่เอ็นของมันไปเต็มๆ

    “ตายซะไอ้สวะ!!” อนาเลียซัดมนต์ใส่หน้ามันต่อ

    “เอาขาซ้ายมันด้วย ให้มันเดินไม่ได้” วาทินพูดขึ้นพลางฟันขาซ้ายมัน

    “ย้าก เอานี่ไปเลย!!” ฮิเดกิกระโดดใช้ดาบขูดขาของมันลงมา ทำเอาตัวมันร้องอย่างเจ็บปวด

    “เอานี่ไปกิน!!” เชอร์รี่ปาระเบิดใส่หน้ามันต่อ และระเบิดเข้าปากมันพอดี

    “ตู้ม!!”

    “เฮ้อ หยุดร้องเสียทีไอ้ระยำ!!” ชอว์นตะโกนออกมาแล้วฟันขามันต่อ

    “เยี่ยมเลย มันจะล้มทั้งตัวแล้ว!!” ซื่ออ้ายพูดขึ้น

    “เอาไปอีกข้างเลย!!” นารากระโดดถีบเข้าที่ตาอีกข้างของมัน จนในตอนนี้มันมองอะไรไม่เห็นแล้วเหวี่ยงกระบองมั่วไปมาจนแทบจะหมดแรง

    “ตอนนี้แหละ ทุกคน รวมพลังดาบ!!” ทองอินทร์ตะโกนออกมา จากนั้นทุกคนก็รวมพลังใส่ดาบของทองอินทร์ จากนั้นตัวเขาก็กระโดดขึ้นไปบนหน้าของมันแล้วฟันเข้าที่กลางหัวของมันแล้วผ่าลงมา ทำให้ร่างของมันแยกออกเป็นสองซีก จากนั้นเปลวเพลิงนรกก็ค่อยๆเผามันจนมอดไหม้ไปในทันที

    “สำเร็จแล้ว เราทำได้แล้ว!!” ทูตเบลล์พูดขึ้น และในตอนนั้นเอง กุมารเทพก็ได้ไปหาท้าวยมราชเพื่อไปช่วยเขาในทันที

    “ท่านท้าวยมราชใช่หรือไม่??” กุมารเทพถามเขาไป

    “ใช่ พวกเจ้าเป็นผู้ใดกันหรือถึงมายังนรกภูมิได้??”

    “พวกข้าเป็นคณะเดินทาง ถูกส่งมาช่วยนรกภูมินี้หน่ะขอรับ!!” ทองอินทร์พูดขึ้น

    “ที่แท้พวกเจ้าก็คือคณะเดินทางศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง ยังดีที่สวรรค์เมตตาพวกข้า” ท้าวยมราชพูดขึ้น

    “แล้วพวกมันจะพาท่านไปที่ใดกันหรือ??” หลี่เจาซึ่งคุ้นเคยกับธรรมเนียมสวรรค์ถามไป

    “พวกมันจะพาข้าไปยังตำหนักตะวันออกหน่ะ ท่านหลี่เจา พวกมันต้องการระดมกำลังพลที่เหลือเพื่อโจมตีหมู่บ้านสุดท้าย รวมถึงเอาข้ามาต่อรองกับยมทูตที่ยังไม่ยอมแพ้หน่ะ” ท้าวยมราชพูดขึ้น

    “ถ้าเช่นนั้นท่านควรรู้ ว่าบัดนี้มีหนอนบ่อนไส้ในหมู่ยมทูตของท่าน” ทองอินทร์พูดขึ้น

    “เรื่องนี้ข้าก็พอระแคะระคายมาบ้าง เอาเป็นว่าหากข้าจัดการพวกปีศาจได้สิ้น ข้าจะคิดบัญชีกับพวกทุรยศเอง” ท้าวยมราชพูดขึ้น

    “บัดนี้พวกเราได้ยึดตำหนักตะวันออกกลับคืนมาแล้วขอรับ” หลี่เจาพูดขึ้น

    “จริงหรือ ดีเลย ช่างประจวบเหมาะจริงๆ อ่า.. ข้ามีงานให้พวกเจ้าทำ ข้าใคร่ให้พวกเจ้าไปที่นครยมราช ไปตามหาแม่ทัพเพลิงดำและแม่ทัพเพลิงขาว แจ้งข่าวว่าพวกเราได้ยึดตำหนักตะวันออกได้เรียบร้อย ให้พวกเขามาสมทบเดี๋ยวนี้เลย พวกเจ้าทำได้ดีมาก หากงานนี้สำเร็จ พวกเจ้าจะได้รับรางวัล โดยการที่พวกเจ้าจะไม่ต้องใช้กรรมในนรกไป 1 ชาติ เอาล่ะ ข้าขอไปที่ตำหนักตะวันออกก่อนก็แล้วกัน” ท้าวยมราชพูดขึ้น จากนั้นตัวเขาก็ใช้ยันต์ออกเดินทางไปในทันที แต่ในตอนนั้นมีหลี่เจาที่ยังคงเคลือบแคลงและสงสัยอยู่คนเดียว

    “ท่านหลี่เจา ท่านสงสัยอันใดหรือ??” กุมารเทพถามไป

    “ทุกอย่างดูเหมือนถูกเตรียมการมาไว้แล้ว ดูเหมือนท่านท้าวยมราชรู้อยู่แล้วว่าตำหนักตะวันออกจะถูกปลดปล่อย แลชื่อตำแหน่งของสองแม่ทัพนั่น ข้ามิเคยได้ยินมาก่อน มันเลยน่าฉงนใจ รวมถึงเมื่อเราบอกว่ามีผู้ทุรยศในหมู่ยมทูต ดูท่านมิแปลกใจเท่าใดเลย” หลี่เจาพูดขึ้น

    “เอาเป็นว่า เราลองไปที่นครยมราชดูเถิด จะได้รู้ว่ามีอันใดซ่อนอยู่กันแน่” ทองอินทร์บอกกับทุกคนไป จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางต่อไปยังนครยมราชในทันที

    ======================================================================

    ดูเหมือนว่าจะมีความลับอะไรบางอย่างในยมโลก และที่วังยมราชจะมีอะไรรอคอยพวกเขา อย่างลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ แหะๆ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig ซับแนลหนูด้วย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×