ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Nazi Mafia - เมืองนี้ข้าจอง

    ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 10 : ข้อมูลใหม่

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 145
      8
      31 พ.ค. 63

    นาวินขับรถจากบ้านของเขาแล้วเดินทางกลับไปยังโกดังที่เขาทำงานอยู่ เขาลองคิดตามรอยคนที่ทำร้ายแม่ของเขาเพื่อดูว่ามันเป็นใคร และในตอนนั้นเอง เขาก็นึกอะไรบางอย่างออก เขาเลยเอารถไปจอดที่ตึกร้างแห่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็ดับรถคันนั้นไป แล้วเขาก็รีบลงจากรถหายไปในทันที

    และอีกด้านหนึ่ง ชายกลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งกินเหล้าอยู่ในบาร์ ในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็มาเรียกคนในบาร์ทันที

    “เฮ้ย มันมาแล้ว มานี่เร็ว!!”

    พวกมันในตอนนั้นรีบวางแก้วเหล้า จากนั้นก็รีบวิ่งไปยังรถที่นาวินจอดเอาไว้ พวกนั้นเห็นรอยกระจกที่แตกด้วย ทำให้พวกมันรู้ว่าไม่ผิดคันแน่นอน

    “เฮ้ย รถของคุณโคลิน ต้องเป็นไอ้เวรนั่นแน่ๆ!!”

    “ตามหามัน ฆ่ามันให้ได้!!” พวกมันกระจายกำลังตามหานาวิน แต่ในตอนนั้นเอง

    “ปังๆๆๆๆ”

    เสียงปืนที่ดังออกมาจากตึกร้าง ยิงใส่พวกของโคลินที่ล้อมรถอย่างต่อเนื่อง ทำเอาพวกมันตายราวกับใบไม้ร่วง และในตอนนั้นเอง มันคนหนึ่งก็ชักปืนลูกโม่ออกมาและหลบอยู่ที่หลังรถของโคลินอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้ย ไอ้ระยำ แน่จริงออกมาสิวะ!!”

    มันโผล่ออกมาจะยิงสวน แต่นาวินในตอนนั้น นาวินก็วิ่งเข้าไปเตะปืนมันจนร่วง จากนั้นก็เล็งปืนใส่มัน และพูดกับมันในทันที

    “มึงคิดผิดแล้วที่ทำแม่กู!!”

    “พลั๊ก!!”

    นาวินต่อยหน้ามันจนร่วง จากนั้นก็ลากมันขึ้นรถของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ขับรถออกไปต่อในทันที

     

    ณ โกดังสินค้า ที่ทำงานของนาวิน ในตอนนั้นเอง เหล่าคนงานที่เพิ่งจะได้รับวันพักผ่อนจากนายคนใหม่ก็พักผ่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย และในขณะเดียวกันนั้นเอง โอ๊คที่เดินทางมาตามหานาวินก็เดินทางมายังโกดัง เขาเดินเข้าไปโกดัง จากนั้นก็ไปถามคนแถวนั้นในทันที

    “ขอโทษนะครับ เห็นนอร์วินหรือเปล่าครับ??” ในตอนนั้นเอง บารัคที่เพิ่งจะนอนเต็มอิ่มก็เดินไปหาโอ๊คอย่างอารมณ์เสียในทันที

    “เขาไม่อยู่ แกเป็นใครมาตามหาเขาวะ??”

    “ผมเป็นเพื่อนเขา ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนครับ??” โอ๊คถามอีกครั้ง แต่ในตอนนั้นเอง รถของนาวินก็ขับเข้ามาในโกดัง แล้วมาจอดที่หน้าโกดังอย่างรวดเร็ว

    “โน่นไง มาโน่นแล้ว!!” บารัคพูดขึ้นแล้วชี้ไป และในตอนนั้นเอง นาวินก็ลงมาจากรถพร้อมชายคนหนึ่งที่เขาเพิ่งจับตัวมาได้

    “เฮ้ย นอร์วิน ตามหาอยู่พอดีเลย!!”

    “โอ๊ค มีอะไรหรือเปล่า??” นาวินถามอย่างสงสัย

    “ฉันมาหานายกับคุณทอร์ริน แต่ฉันไม่เห็นคุณทอร์รินเลย ว่าแต่นายเอาใครมาด้วยวะเนี่ย??” โอ๊คถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเอง เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลากมันไปหาคนอื่นๆในโกดังในทันที

    “เฮ้ย นั่นมันไอ้ดูเซทนี่หว่า อย่างงี้ก็สวยเด่!!” บารัคพูดขึ้น

    “นอร์วิน ไปขุดมันมาจากไหนเนี่ย ตามหาตัวมันแทบตาย??” คนงานในโกดังคนหนึ่งถามไป

    “มันพยายามจะเล่นงานแม่ฉัน ฉันใช้แผนหลอกล่อมัน ก็เลยจะถามอะไรมันนิดหน่อย จับมันมัดไว้ที!!” นาวินพูดขึ้น จากนั้นคนอื่นๆก็รีบไปหาเก้าอี้และเชือกมาในทันที จากนั้นก็จับดูเซทมัดเอาไว้ แล้วเตรียมเครื่องทรมานในทันที

    “ไงหล่ะมึง คราวนี้ไอ้โคลินนายมึงไม่อยู่แล้วนะเว้ย!!” บารัคพูดขึ้นจากนั้นก็หยิบคีมขึ้นมา

    “อย่าๆๆๆ ใจเย็น ฉันทำทุกอย่างแค่ตามที่คุณโคลินสั่ง อย่าโกรธฉันเลยนะ!!”

    “ฉันรู้แล้วว่าทำไมแม่ฉันถึงโดนปาหินใส่กระจกรถ แต่แกมาเล่นผิดคนแล้วหล่ะ” นาวินพูดขึ้น จากนั้นก็ต่อยหน้ามันไปหนึ่งที

    “ว่าแต่ แกหายหัวไปไหนมาซะตั้งนานเลย ไปทำงานให้นายใหม่งั้นเหรอวะ??” โซลิค คนงานอาวุโสเพื่อนของพ่อนาวินถามไป

    “ผมเป็นสายข่าวให้นักธุรกิจคนหนึ่ง ได้ยินว่าอยู่แก๊งค์ดูแรนด์ แต่ผมไม่เคยเห็นหน้าเขา” ดูเซทพูดขึ้น ทำเอาโอ๊คถึงกับหูผึ่ง เลยถามเขาต่อในทันที

    “ดูแรนด์เหรอ มันเป็นใคร ผู้หญิงหรือผู้ชาย บอกมา!!”

    “อ่า.. ผมได้ยินว่าผู้ชายนะครับ” ในตอนนั้นเมื่อโอ๊คได้ยินจึงกระชากเสื้อเขาขึ้นมาในทันที

    “นั่นไอ้ออเรียส มันอยู่ที่ไหน บอกกูมาเดี๋ยวนี้??” โอ๊คถามไป

    “ผมไม่รู้ ผมแค่ติดต่อกับคนของเขา เขาจะมาที่บาร์ฝั่งตรงข้ามทุกวันอาทิตย์เพื่อมาหาข่าวเพิ่มหน่ะครับ ปล่อยผมไปเถอะ!!” โอ๊คได้ยินในตอนนั้นก็วางตัวมันลงในทันที แต่ในตอนนั้นเอง บารัคก็เอาท่อแป๊ปฟาดหัวดูเซทจนสลบไปเลย และในขณะเดียวกันนั้นเอง ทอร์รินก็ขับรถหลับมายังโกดังของเขา และเดินเข้ามาด้านในซึ่งโอ๊คและนาวินกำลังยืนมุงดูเซทอยู่

    “อ้าว พวกนายทำอะไรกันอยู่เนี่ย??” ทอร์รินถามพวกเขาไป

    “อ้อ รีดความลับนิดหน่อยหน่ะ บารัค เก็บงานที่เหลือหน่อยนะ!!” นาวินพูดกับเขา จากนั้นบารัคก็ลากตัวดูเซทไปที่ด้านหลังโกดังในทันทีเพื่อเก็บงานไป ส่วนนาวินและโอ๊คก็เดินไปคุยกับทอร์รินที่ด้านหน้าโกดังในทันที

    “เฮ้ยนี่ ตกลงพวกนายรีดความลับอะไรกันวะ??” ทอร์รินถามอย่างสงสัย

    “เราหาข้อมูลของไอ้ออเรียสอยู่ ได้ความมาว่ามันจะส่งคนมาหาข่าวทุกวันอาทิตย์ที่บาร์ฝั่งโน้นหน่ะ ผมจะไปหาข้อมูลเอง” โอ๊คพูดขึ้น

    “เฮ้ยนี่โอ๊ค ถานายไม่มีที่พัก นายพักที่นี่ก่อนได้นะเว้ย!!” นาวินพูดกับโอ๊คไป

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง” โอ๊คตอบกลับไป

     

    คฤหาสน์ของThe Crow ในตอนนั้นเองแจ๊คสันก็ได้นั่งดื่มไวน์และคิดอะไรไปมาในหัวของเขา และได้นอนอยู่บนโซฟาไปด้วย ในขณะเดียวกันนั้นเอง ปิแอร์และเควินในตอนนั้นก็เดินเข้าไปในห้อง เพื่อไปคุยสถานการณ์ระหว่างแก๊งค์กับแจ๊คสัน แจ๊คสันในตอนนั้นเองก็พยายามฝืนลุกขึ้นมาแล้วมาคุยด้วย

    “แจ๊คสัน ทำไมถึงมาเมาไวน์แบบนี้หล่ะ??” ปิแอร์ถามเขาอย่างสงสัย

    “อ้อ ผมคิดเรื่องเก่าๆไปเรื่อยหน่ะ พวกคุณยังจำทอมมัสได้หรืออเปล่า??”

    “ทอมมัส?? ไอ้คนทรยศที่สาขาเยอรมันหรือเปล่า??” เควินถามอย่างสงสัย

    “ใช่ ผมรู้สึกมาเสียดายที่ไม่ได้ฆ่ามันก่อน ว่าแต่ พวกคุณมีอะไรงั้นเหรอ??”

    “แจ๊คสัน ฉันว่าเราต้องหามาตรการตอบโต้อะไรบ้างแล้วหล่ะ” ปิแอร์พูดขึ้น

    “อืม ผมก็เห็นด้วยนะ ตอนนี้พวกมันเหยียบจมูกเรามาซักพักแล้ว” เควินพูดขึ้น

    “แต่เราจะตอบโต้กับใครหล่ะ กับคนที่ไม่ใช่ศัตรู หรือมือที่มองไม่ห็นหล่ะ??” แจ๊คสันถามต่อ

    “ความจริงนายนอร์วินน่าจะตามเรื่องนี้ได้แล้วนะ” ปิแอร์พูดขึ้น

    “ไม่ต้องห่วง ผมเชื่อว่าเขาทำได้แน่นอน” แจ๊คสันพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง แอ็กเซลกับทาเนียก็เดินเข้ามาในห้อง เพื่อรายงานข่าวที่พวกเขาได้มาในทันที

    “คุณแจ๊คสัน มีเรื่องที่คาสิโนดูแรนด์ค่ะ!!” ทาเนียพูดขึ้น

    “มีอะไรหล่ะ ว่ามาเลย??”

    “มีคนเวียดนามคนนึงไปไล่ฆ่าคนในคาสิโน ยังดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บครับ!!” แอ็กเซลพูดเสริม

    “มันเริ่มแล้วสินะ พวกเวียดนามคงจะหัวเสียมากเลยตอนนี้”

    “เห็นที เราน่าจะคุยกับพวกเขาหน่อยนะครับ” เควินพูดขึ้น

    “นั่นสิ ถ้าพวกเขาขยายเขตมาถึงเรา ได้ป่วนกันแน่” ปิแอร์พูดขึ้น

    “เอาเป็นว่า พยายามไปเจรจาก่อนดีกว่า แล้วก็อย่าทำให้เรื่องแย่ลงหล่ะ” แจ๊คสันพูดขึ้น

     

    ที่คาสิโนดูแรนด์ หลังจากผ่านคืนที่แสนจะวุ่นวายในคาสิโน ไอรีนในตอนนั้นก็กลับมาตรวจสอบธุรกิจของตัวเองว่าส่วนไหนมีปัญหาหรือเปล่า เธอให้ไลท์นิ่ง สตีฟและฮันเตอร์คอยตรวจสอบทุกที่ จากนั้นให้รายงานเธอในทันที

    “นี่ ทั้งสามคนหน่ะ ตอนนี้ธุรกิจเราที่ไหนมีปัญหาบ้าง??” ไอรีนยิงคำถามไป

    “ตอนนี้เขตผมยังไม่มีปัญหาครับพี่” สตีฟพูดขึ้น

    “ของผมก็เหมือนกันครับ” ฮันเตอร์พูดขึ้น

    “ของผมก็ไม่มีปัญหาครับ” ไลท์นิ่งพูดต่อ

    “ดี แต่ต้องระวังไว้ งานนี้พวกเขาเอาคืนแน่ จัดคนคุ้มกันเต็มที่ ไม่ว่ายังไงต้องป้องกันไว้ให้ได้” ไอรีนพูดขึ้น และในขณะเดียวกันนั้นเอง โทไบอัสก็เดินเข้ามาในห้อง แล้วรายงานอะไรบางอย่างกับเธอไปในทันที

    “คุณไอรีนครับ เราเจอคนของออเรียสแล้วครับ!!”

    “จริงเหรอ มันเป็นลูกน้องระดับไหนหล่ะ??” ไอรีนถามไป

    “คิดว่าระดับล่างครับ แต่มันบอกมันเคยเจอออเรียสหนหนึ่งที่ที่มันกบดานครับ”

    “เอาตัวมาให้ฉัน ฉันจะสอบเขาเอง” ไอรีนพูดขึ้น

    “แต่ว่า ถ้าเจอมันแล้ว พี่จะเอายังไงต่อหล่ะ??” ไลท์นิ่งถามอย่างสงสัย

    “ถ้าเจอ ฉันจะลากเขาไปหาพวกเวียดนาม ให้รับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้น” ไอรีนพูดขึ้น
    “นั่นสิ แต่ผมว่าเราน่าจะฆ่ามันเลยดีกว่า” สตีฟพูดขึ้น

    “เอาน่า ให้มันฆ่านั่นแหละดีแล้ว เชื่อเถอะ” ฮันเตอร์พูดปราม

    “ฉันจะไปสอบคนของออเรียส ยังไงฝากเรื่องตรงนี้ด้วยหล่ะ” ไอรีนพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ลุกขึ้จากโต๊ะแล้วเดินไปสอบสวนมันต่อในทันที

     

    กลับมายังบาร์ลึกลับของกลุ่มBlack Hood ในตอนนั้นเองอีวาก็กำลังติดตามข่าวการปะทะระหว่างแก๊งค์อื่น ในตอนนั้นเองเธอก็ได้ดำเนินการขยายธุรกิจและอิทธิพลของเธออย่างเนียนๆ โดยที่เธอให้โอลิเวียกับอิซาเบลเป็นคนคุมด้วย

    “ตอนนี้เราขยายร้านไปจะครอบคลุมทั่วปารีสแล้ว ผลประกอบการดีมากเลยนะคะ” โอลิเวียพูดขึ้น

    “ใช่ค่ะ ถ้าเป็นอย่างงี้ เราน่าจะเกณฑ์คนมาเพิ่มได้เลยนะเนี่ย” อิซาเบลพูดเสริม

    “ถ้าอย่างงั้น แซนเดอร์ คุณไปเรียกซิลเวียมาหาฉันหน่อยสิ!!” แซนเดอร์ได้ยินในตอนนั้นก็พยักหน้า จากน้นก็ไปเคาะประตูเรียกซิลเวียในห้องของเธอ จากนั้นหญิงสาวที่ชื่อซิลเวียก็เดินออกมาจากห้องและตามแซนเดอร์ไป และแซนเดอร์ก็พาเธอไปหาอีวาในทันที

    “คุณอีวา ซิลเวียมาถึงแล้วครับ!!”

    “คุณอีวา มีอะไรให้รับใช้เหรอคะ??” เธอถามอีวาไป

    “ตั้งแต่เธอมาอยู่กับฉัน เธอยังไม่ได้ทำงานใหญ่อะไรเลยนี่นะ ฉันจะให้เธอช่วยโอลิเวียกับอิซาเบลคุมร้านของฉัน พอจะทำได้หรือเปล่า??”

    “อ่า.. ได้ค่ะ ดิฉันจะจัดการเองค่ะ” ซิลเวียพูดขึ้น

    “ทำไมหล่ะ ยังทุกข์ใจเรื่องอดีตงั้นเหรอ??” แซนเดอร์เห็นสีหน้าของเธอเลยถามไป

    “เปล่าค่ะ ทุกอย่างมันจบไปแล้ว ฉันจะจัดการเองค่ะ ไม่ต้องห่วง” ซิลเวียพูดขึ้น

    “นี่ งานนี้งานใหญ่นะ ลูกน้องที่เธอคุมต้องคุมให้อยู่หล่ะ” อิซาเบลพูดขึ้น

    “แหม่ๆๆ ห่วงตัวเองก่อนดีกว่ามั้ยจ๊ะ??” โอลิเวียแอบแซวเธอไป

    “เอาหล่ะๆๆ ยังไงก็ทำส่วนของทุกคนอย่าให้มีปัญหา ถ้าจบเรื่องนี้เมื่อไหร่ เราจะมีกินมีใช้ไปทั้งชาติ” อีวาพูดทิ้งท้ายไว้

     

    กลับมายังบริษัทของโลเปซ หลังจากที่เขาเจรจากับอธิบดีกรมตำรวจคนใหม่ได้สำเร็จ ในตอนนั้นเองเขาก็กลับมานั่งดื่มเพื่อฉลองกับความสำเร็จที่เขาได้มาอย่างงดงาม และในตอนนั้นเอง เลขาของเขาก็เอาโปรเจ็กค์อะไรบางอย่างมาให้เขาดูบนโต๊ะ โลเปซถึงกับต้องถามเลขาไปในทันที

    “ขออนุญาตค่ะท่าน!!”

    “อ้อ คุณเลขา มีอะไรงั้นหรือ??” โลเปซถามอย่างสงสัย

    “ดิฉันมีโปรเจ็กค์มาให้อ่านค่ะ” เธอเอาโปรเจ็กค์หนึ่งมาให้โลเปซอ่าน ซึ่งนั่นก็คือการขายที่ดินในประเทศเวียดนามให้กับนายทุนคนอื่น โลเปซในตอนนั้นก็ลองพิจารณาไปในทันที

    “เวียดนามงั้นเหรอ มีอะไรดีหล่ะ??”

    “พวกนายทุนสนใจที่ดินเขตนั้นเพราะพวกเขาคิดว่ามันปลอดภัยจากสงคราม แถมในเขตนั้นยังมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นด้วยค่ะ” เลขาของเธอพูดขึ้น

    “ความจริงฉันอยากจะพับเก็บโครงการไว้ก่อน ตอนนี้พวกเวียดนามกำลังเข้มแข็งในเขตเรา ฉันไม่อยากมีปัญหากับพวกเขาหน่ะ” โลเปซพูดขึ้น

    “แต่ว่า ขืนปล่อยเอาไว้ พวกเขาจะไปหาเจ้าอื่นนะคะ” เลขาของเธอพูดปรามไป

    “เข้าใจ เอาเป็นว่าฉันขอพิจารณาอีกที แล้วค่อยคุยกันแล้วกัน” โลเปซพูดขึ้น จากนั้นเขาก็เก็บโปรเจ็กค์ของเขาเอาไว้ก่อนในลิ้นชักโต๊ะของเขา

     

    กลับมายังเขตไซง่อนเวียดนาม ซึ่งหลังจากงานศพของริชาร์ด นายใหญ่ของแก๊งค์ผ่านพ้นไป ในตอนนั้นเอง มาร์คัส โง ก็ได้ขึ้นมาสืบทอดอำนาจ ซึ่งมาร์คัสก็ไม่พอใจพวกคนขาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกเขาจึงพยายามปลุกระดมชาวเวียดนามให้ลุกขึ้นต่อสู้ และชาวเวียดนามก็รู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก

    “เราจะตอบโต้พวกมันให้ถึงที่สุด ให้พวกมันรู้ว่าเราก็มีศักดิ์ศรี ใช่ว่าจะรังแกกันได้ง่ายๆ”

    “ใช่ๆ!!”

    การปลุกระดมของมาร์คัสนั้นค่อนข้างจะได้ผลมาก แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ชาร์ลีที่เพิ่งจะกลับมาที่เขตเวียดนาม เขาก็รีบมาเตือนทุกคนว่ากำลังทำอะไรกันอยู่

    “ทุกคนครับ ทุกคนใจเย็นก่อน!!”

    “ชาร์ลี นี่นายกำลังทำอะไรเนี่ย??” มาร์คัสถามไป

    “เรื่องนี้มันมีเงื่อนงำครับ เรากำลังถูกมือที่สามหลอก พวกมันต้องการให้คุณปะทะกับแก๊งค์อื่นๆ แล้วพวกมันก็จะตลบหลังพวกคุณ”

    “เฮ้ย ชาร์ลี นายไปรู้มาจากไหนวะ??” โจอี้เพื่อนของเขาถามไป

    “ผมมีเพื่อนอยู่แก๊งค์The Crow เขากำลังสืบเรื่องนี้อยู่ และผมก็ช่วยพวกเขาสืบด้วยเหมือนกัน” ชาร์ลีพูดขึ้น ในตอนนั้นเองที่ชาวเวียดนามได้ยินชื่อThe Crow ก็เริ่มจะวิจารณ์กันเซงแซ่ไปหมด

    “นายติดต่อกับพวกThe Crow งั้นเหรอ??” มาร์คัสถามไป

    “ก็ใช่ พวกเขาเชื่อใจได้ ผมยืนยัน” ชาร์ลีพูดขึ้น

    “ก็ได้ ถ้าอย่างงั้นฉันจะให้เวลานายตามสืบเรื่องนี้ หาคนที่อยู่เบื้องหลังมาให้ฉัน ฉันจะตอบแทนมันอย่างสาสม” มาร์คัสพูดขึ้น จากนั้นชาร์ลีก็ก้มหัวและเดินออกไปในทันที

     

    กลับมายังโรงงานของฟริตซ์ ซึ่งในตอนนั้นเอง พวกเขาก็เริ่มเดินสายการผลิตยาเสพติดล็อตใหญ่ เพื่อส่งไปขายต่อในสหภาพโซเวียต การผลิตของเขาเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากว่าเขามีคนงานมากพอที่จะผลิตมันออกมาได้เยอะๆ ในระหว่างที่เขากำลังเดินสายการผลิต ในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็เดินมาพร้อมกับชายเยอรมันร่างสูง เข้ามาหาฟริตซ์ในทันที

    “คุณฟริตซ์ครับ นี่คือทอมมัส ที่ผมเคยคุยไว้ว่าเป็นอดีตมือดีของพวกThe Crow จากฝรั่งเศสครับ!!”

    “อืม พวกฝรั่งเศสงั้นเหรอ บอกหน่อยนายภักดีกับอะไร??” ฟริตซ์ถามเขาไป

    “ท่านผู้นำ เยอรมันและชาวอารยันครับ!!”

    “อืม ไฟแรงดีนี่ นายเคยอยู่The Crow ด้วยงั้นเหรอ??” ฟริตซ์ถามเขาต่อ

    “นั่นเป็นอดีตไปแล้วครับ!!”

    “บอกหน่อยสิ ว่าทำไมผมถึงต้องไว้ใจคุณหล่ะ??” ฟริตซ์ถามต่อเรื่อยๆ

    “พวกชั้นต่ำที่บังอาจมาขัดขวางความยิ่งใหญ่ของชาวอารยัน พวกมันต้องตายเยี่ยงสัตว์ครับ!!”

    “อืม ฉันจะคอยดู!!”

    “คุณฟริตซ์คะ ตอนนี้ยาของเรากำลังผลิตออกมาได้เยอะมาก เราจะขนไปเก็บไว้ไหนก่อนคะ??” วาลหันไปถามฟริตซ์

    “สร้างโกดังใหม่ เก็บของให้ได้เยอะๆ ถึงเวลาค่อยส่งไป”

    “รับทราบค่ะ!!” วาลพูดขึ้น จากนั้นฟริตซ์ก็เดินออกไปด้านนอก ส่วนวาลในตอนนั้นก็จ้องหน้าทอมมัสแบบไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่ จากนั้นเธอก็เดินไปหาฟริตซ์ในทันที

     

    กลับมายังเบอร์ลิน ห้องทำงานของมิลเลอร์ ในขณะที่เขากำลังนั่งพักผ่อนอยู่ในห้อง ในตอนนั้นเอง ชายสองคนก็เดินเข้ามาห้องของเขา จากนั้นก็ทำความเคารพเขาแบบนาซี มิลเลอร์ก็ทำความเคารพต่อไปด้วย

    “นั่งก่อนสิ!!” ทั้งสองคนนั้นนั่งลงในทันที

    “พวกนายเป็นใครกันหล่ะ??” มิลเลอร์ถามทั้งคู่ไป

    “ผมร้อยเอกออตโต้ ฟอน ทีเกอร์ หน่วย SS ครับ!!”

    “ร้อยโทแม็กซ์ เทราน์เนอร์ หน่วย SS รับ เราได้รับคำสั่งให้มาเป็นผู้ช่วยคุณครับ!!”

    “ออตโต้ แม็กซ์ ยินดีที่ได้รู้จักพวกคุณทั้งคู่” มิลเลอร์จับมือทั้งสองคนนั้นไป

    “ผมพันโทอดัม มิลเลอร์ ท่านนายพลบอกรายละเอียดงานให้พวกคุณหรือยังหล่ะ??” อดัมถามทั้งคู่ไป

    “ก็พอทราบครับ เรื่องการปราบมาเฟียในพื้นที่ครับ” ออตโต้พูดขึ้น

    “ปราบพวกมันนี่ต้องใช้ทรัพยากรเยอะขนาดนี้เลยเหรอครับ??” แม็กซ์ถามเสริม

    “พวกมันไม่ใช่แค่มาเฟียธรรมดา พวกมันมีทั้งอิทธิพล และเงินทุนค่อนข้างหนาอยู่ เราจะกวาดล้างพวกมันให้หมด นั่นคืองานของหน่วยเรา” อดัมพูดไป

    “แต่ว่า ในเยอรมันเราไม่เห็นมีแก๊งค์ใหญ่มานานแล้วนะครับ” แม็กซ์พูดขึ้น

    “ใครว่าเราจะปราบในเยอรมัน เราจะเล่นงานพวกมันในฝรั่งเศสต่างหาก” อดัมบอกพวกเขาไป

    “ฝรั่งเศส พวกเราต้องไปที่นั่นเหรอครับ??” ออตโต้ถามอีก

    “ใช่ ที่ฝรั่งเศสตอนนี้มีแก๊งค์หลายแก๊งค์ที่กำลังขับเขี่ยวขึ้นมามีอำนาจหลายแก๊งค์มากๆ พวกนี้มีทั้งอิทธิพล เงินทุน นักฆ่าที่มากด้วยฝีมือ งานนี้เราจึงต้องมีหน่วยเฉพาะกิจเพื่อเล่นงานพวกมัน” อดัมพูดไป

    “คงจะเก่งสมคำร่ำลือ ไอ้พวกนี้” ออตโต้พูดขึ้น

    “แต่มันไม่น่าจะจัดการยากอะไรนี่ครับ ก็แค่พวกมาเฟียหน่ะ” แม็กซ์พูดเสริม

    “เดี๋ยวเราจะได้รู้กัน เอาเป็นว่าต่อไปนี้พวกนายสองคนรับคำสั่งจากฉัน ตอนนี้เราต้องหาคนในหน่วยเพิ่ม ฉันตั้งเป้าไว้ประมาณ500 ก่อน เอาหล่ะ พวกคุณสองคนไปพักผ่อนได้!!”

    “ไฮล์ ฮิตเลอร์!!” พวกเขาสองคนทำความเคารพอดัม จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปในทันที

     

    กลับมายังบ้านพักของคาร์ลและลูเซีย ซึ่งพวกเขาสองคนนำงานมาทำต่อที่บ้านของพวกเขา หลังจากที่คาร์ลวางรายละเอียดไว้ในเอกสารงานของเขา จู่ๆในตอนนั้นเอง ลูเซียก็เดินเข้ามาที่ห้องของคาร์ล และคุยกับเขาในทันที

    “คาร์ล คุยด้วยได้เปล่า??”

    “มีอะไรหล่ะ ว่ามาเลย??” คาร์ลถามลูเซียไป

    “นายยังจำทอมมัสได้หรือเปล่า??” คาร์ลได้ยินชื่อทอมมัสในตอนนั้นก็ถึงกับหูผึ่งในทันที

    “ทอมมัส ฉันน่าจะฆ่ามันให้ตายตั้งนานแล้ว” คาร์ลพูดขึ้น

    “ใช่ ได้ยินว่าตอนนี้มันไปทำงานให้กับฟริตซ์ นายน่าจะรู้จักนะ”

    “ฟริตซ์ น้องชายไฮดริช หมอนั่นหน่ะเหรอ??” คาร์ลถามอีกครั้ง

    “ใช่ สายข่าวของฉันได้ยินมาแบบนั้น ฉันยังคิดถึงซิลเวียไม่หายเลย”

    “เราควรจะบอกคุณแจ๊คสันหรือเปล่า??” คาร์ลถามไป

    “จะส่งข้อความไปยังไงหล่ะ การสื่อสารกับฝรั่งเศสโดนตรวจจับหมดตอนนี้??” ลูเซียถามไป

    “ฉันมีวิธี เดี๋ยวฉันจัดการเอง” คาร์ลพูดขึ้น

    “แล้วเรื่องงานนี่จะเอายังไงต่อ กำหนดส่งพรุ่งนี้แล้วนะ??” ลูเซียถามไป

    “นี่ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก” คาร์ลพูดขึ้น

    “ก็ดี อย่างน้อยก็หมดห่วงไปเรื่องหนึ่ง” ลูเซียพูดทิ้งท้าย

     

    กลับมายังโบสถ์ของเวเวอร์ ในช่วงที่เวเวอร์กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้สำหรับทำกิจกรรมของชาวคริสต์ โดยที่เขากำลังนั่งคิดอะไรบางอย่างไปด้วย แต่ในขณะเดียวกัน จู่ๆก็มีสุภาพสตรีชุดดำเดินเข้ามาด้านในโบสถ์ จากนั้นก็นั่งเก้าอี้อีกด้านหนึ่งตรงข้ามกับเวเวอร์ ในตอนนั้นเอง เวเวอร์ก็ได้สติ แล้วเดินไปหาเธอในทันที

    “สวัสดี มาสารภาพบาปงั้นเหรอ??”

    “เปล่าค่ะ แค่มานั่งขอพรเฉยๆ เพื่อความสบายใจหน่ะค่ะ” สุภาพสตรีคนนั้นพูดขึ้น แต่เธอใช้ผ้าคลุมหน้าทำให้เวเวอร์ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร

    “อ้อ ถ้าอย่างงั้นก็ตามสบายนะ” เวเวอร์พูดขึ้น

    “ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ท่านคงไม่ใช่บาทหลวงธรรมดาแน่ๆ แล้วก็ไม่ใช่คนฝรั่งเศสด้วย อังกฤษใช่หรือเปล่าคะ??” เธอคนนั้นถามไป

    “ท่าทางเธอจะฉลาดมากเลยนะ” เวเวอร์พูดขึ้น

    “ก็นิดหน่อยค่ะหลวงพ่อ พ่อมาอยู่ที่นี่กันนานแค่ไหนแล้วหล่ะคะเนี่ย??”

    “ว่าแต่ คุณเป็นใครกันแน่??” เวเวอร์ถามไป แต่เธอคนนั้นก็ตอบแต่ว่า

    “เป็นคนที่หลวงพ่อคาดไม่ถึงค่ะ เอาเป็นว่า ไว้ว่างๆดิฉันจะมาใหม่นะคะหลวงพ่อ” หญิงสาวคนนั้นพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากโบสถ์ในทันที แล้วในขณะเดียวกัน เกรย์ก็เดินมาหาหลวงพ่อ แล้วมาคุยกับเขาในทันที

    “หลวงพ่อคะ นั่นใครคะ??”

    “พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ได้กลิ่นแปลกๆ”

    “เฮ้อ พักนี้มีแต่คนแปลกๆมากันเยอะนะคะ” เกรย์พูดขึ้น

    “ช่างมันเถอะ เธอกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะเกรย์” เวเวอร์พูดขึ้น แต่ในตอนนั้นเอง เกรย์ก็เดินตามสุภาพสตรีชุดดำคนนั้นไปเพื่อดูว่าเธอเป็นใคร แต่จู่ๆ สุภาพสตรีคนนั้นก็หายตัวไปอย่างลึกลับ ทำเอาเกรย์ถึงกับเกาหัวอย่างต่อเนื่อง

    “เฮ้ย หายไปเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ??”

    ในขณะที่เกรย์กำลังจะย้อนกลับไป

    “หมับ!!”

    “ว้าย!!”

    “เกรย์ นี่ฉันเอง ใจเย็นๆ” อเดลล่าที่อยู่ข้างหลังเธอมาแตะหลังเธอไว้

    “โห ตกใจหมดเลยค่ะ”

    “ตกใจไปได้ ว่าแต่ มองหาอะไรอยู่เหรอ??” อเดลล่าถามไป

    “คือ คุณอเดลล่าคะ คุณเห็นผู้หญิงชุดดำออกมาด้านหน้าหรือเปล่าคะ??”

    “ผู้หญิงเหรอ ไม่เห็นเลยนะ”

    “จริงเหรอคะ ไม่เห็นจริงเหรอ??” เกรย์ยังถามย้ำไป

    “ก็จริงสิ ฉันอยู่ด้านหน้ารดน้ำในสวนอยู่ ไม่มีใครมาเลยนะ” อเดลล่าพูดขึ้นทำเอาเกรย์ยิ่งงงงวยไปอีก

    “เออ เธอเป็นใครกันนะ??”

    “เธออาจจะตาฝาดก็ได้มั้งนะ??” อเดลล่าถามอย่างสงสัย

    “แต่ เธอมาคุยกับหลวงพ่อเวเวอร์เลยนะคะ เธอใส่ชุดสีดำ แต่ฉันไม่เห็นหน้าเธอค่ะ” เกรย์พูดขึ้น

    “อ่า เอาเป็นว่า อย่าเพิ่งคิดมากแล้วกันนะ” อเดลล่าพูดขึ้น

    “เออนี่ คุณอเดลล่าคะ ช่วงนี้ได้ข่าวอะไรในเมืองหรือเปล่าคะ??” เกรย์ถามเธออย่างสงสัย

    “อ้อ ก็ไม่มีเพิ่มเติมนะ ถ้ามีเดี๋ยวฉันจะบอกเธอเอง” อเดลล่าพูดขึ้น

    “ค่ะ ถ้าอย่างงั้นไม่รบกวนนะคะ” เกรย์พูดขึ้น จากนั้นเธอก็เดินกลับเข้าไปในโบสถ์ไปอย่างรวดเร็ว

     

    ณ ห้างสรรพสินค้าในเครือของกลุ่มBlack Hood เอลต้าและแจนในตอนนั้นเองก็กำลังคุมร้านอยู่ จู่ๆในวันนั้นเอง เธอก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินมากับลูกน้องของเธอประมาณ 4 คน เอลต้าและแจนถูกเรียกให้ไปต้อนรับผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นไปทักทายแจนและเอลต้าในทันที

    “สวัสดีค่ะ ดิฉันซิลเวีย ฉันมาช่วยพวกคุณดูแลที่นี่!!”

    “ค่ะ ยินดีค่ะ และยินดีต้อนรับนะคะ” เอลต้าตอบไป

    “ว่าแต่ งานที่นี่เป็นยังไงบ้างคะเนี่ย??” ซิลเวียถามอย่างสงสัย

    “อ้อ ก็ยังปกติค่ะ อาจจะมีพวกมาป่วนบ้าง แต่เราจัดการได้ค่ะ” แจนพูดขึ้น

    “ค่ะ ห้างนี้เป็นห้างใหญ่ ถ้าอย่างงั้นก็ไปเดินสำรวจดีกว่าค่ะ” ซิลเวียพูดขึ้น จากนั้นไม่นานนักพวกเธอก็ไปเดินสำรวจตามห้าง ซึ่งมันใหญ่และขายสินค้ามากมายหลากหลายชนิด โดยที่ซิลเวียเป็นคนนำพวกเธอ ในตอนนั้นเองเอลต้าไม่รอช้า เธอถามซิลเวียไปในทันที

    “คุณซิลเวียคะ ไม่ทราบว่าใครส่งคุณมาคะ??”

    “อ้อ หัวหน้าส่งฉันมาโดยตรงเลยค่ะ”

    “ว่าแต่ หัวหน้าเขาอยู่ที่ไหนเหรอคะตอนนี้??” แจนถามไป ทำเอาซิลเวียถึงกับนิ่งไป

    “ความจริง ระดับลูกน้องไม่อนุญาตรู้ถึงตำแหน่งหัวหน้านะคะ ถามแบบนั้นทำไมกัน??” ซิลเวียถามอย่างสงสัย และในตอนนั้นเอง เอลต้าก็ตัดสินใจพูดความจริงกับเธอในทันที

    “มีหญิงสาวคนหนึ่งที่โบสถ์ เธอบอกว่าเธอเป็นพี่สาวของหัวหน้าแก๊งค์นี้ อยากเจอเธอค่ะ” เอลต้าพูดขึ้น

    “หือ จริงเหรอ เธอไปรู้มาได้ยังไง??”

    “เธอเป็นซิสเตอร์ในโบสถ์หน่ะค่ะ เราไปที่โบสถ์มาเลยรู้” แจนพูดขึ้น

    “ฉันก็เพิ่งจะรู้นะเนี่ย เอาหล่ะ เห็นแกที่เธอพูดออกมาตรงๆ ฉันจะลองช่วยสืบเรื่องนี้ให้แล้วกัน” ซิลเวียพูดขึ้น จากนั้นเธอก็เดินไปสำรวจห้างของเธอต่อ

     

    ที่สำนักงานของเอลเซ่ ในตอนนั้นเอง เธอก็ยังคงกลับมาทำงานเหมือนเดิมตามปกติ ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเอง เธอก็ได้เปิดวิทยุฟังข่าวอะไรของเธอไปด้วย ซึ่งข่าวที่เธอได้ยินในวันนี้ก็คือ กองทัพเยอรมันในวันนี้ได้ยึกโปแลนด์อย่างเบ็ดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอเรียกเพื่อนๆของเธอมาฟังในทันที เมื่อฟังจบ ก็เกิดเสียงวิจารณ์กันในห้องทำงานทันที

    “พวกเยอรมันยึดโปแลนด์ได้แล้ว จะเป็นยังไงต่อหล่ะเนี่ย??”

    “นั่นดิ ต่อไปคงเป็นเดนมาร์ก นอร์เวย์ หรือมันอาจจะมาที่เราเลยก็ได้” เพื่อนร่วมงานเอลเซ่คนหนึ่งพูดขึ้น

    “แต่กองทัพฝรั่งเศสก็เตรียมพร้อมไว้แล้วนี่นะ” เอลเซ่พูดปรามไป

    “ไม่แน่เสมอไปหรอก สงครามครั้งแรกเราแค่โชคดีมีคนอื่นมาช่วย แต่คราวนี้อังกฤษจะมาเมื่อไหร่หล่ะ??”

    “หรือว่า จะหนีไปที่อื่นดีหล่ะ??”

    “เราจะหนีไปไหน ถ้าพวกมันมายึดที่นี่จนหมด พวกมันคงปิดล้อมพื้นที่ไว้หมดแล้วหล่ะ” เอลเซ่พูดขึ้น

    “นั่นสิ ตอนนี้สเปน อิตาลี พวกที่อยู่ในละแวกนี้ก็ไปจูบปากฮิตเลอร์กันหมด พวกมันควรจะไปลงนรกกันให้หมดเลย” ชายหัวเสียคนหนึ่งพูดขึ้น

    “แล้วพวกโซเวียตหล่ะ จะเอายังไงต่อ พวกนั้นคงไม่ไว้ใจเยอรมันแน่ๆ??” เอลเซ่ถามไป

    “เฮ้อ พวกมันก็เลวไม่ต่างกันนั่นแหละ”

    “ใช่ พอมีผลประโยชน์ สุดท้ายก็จูบปากกันได้ ฉันว่านะ พวกเราเตรียมหลุมหลบภัยให้พร้อมดีกว่าพวกมันอาจจะมาทิ้งระเบิดเราก็ได้” เพื่อนสนิทของเอลเซ่พูดขึ้น

    “เฮ้อ เห็นทีเราคงเลี่ยงการสูญเสียไม่ได้แล้วสินะ” เอลเซ่พูดพลางถอนหายใจไปด้วย

     

    ที่เบลเยี่ยม เขตกาชาดสากล ในวันนั้นเองวาเดรียก็กำลังรอยาและเวชภัณฑ์ล็อตใหม่มาส่ง แต่มันก็ยังไม่มาซะที ทำเอาเธอต้องเดินวนไปแถวนั้นอย่างร้อนใจ จนเพื่อนร่วมงานของเธอต้องมาคอยดูเธอด้วยไม่ให้เธอเป็นอะไรไป

    “นี่ วาลเดรีย ไปพักผ่อนก่อนดีกว่า!!”

    “ไม่เป็นไรหรอก ฉันยังไม่เหนื่อยหรอก” วาลเดรียตอบไป

    “กำลังรอยาที่จะมาส่งสินะ เดี๋ยวก็คงมาแล้วหล่ะ”

    “ความจริงพวกเขาต้องมาส่งได้ซักพักแล้วนะ” วาลเดรียพูดขึ้น และในไม่กี่อึดใจ ก็มีขบวนรถบรรทุกแล่นเข้าไปยังค่ายอพยพกาชาดสากล ในตอนนั้นเองวาลเดรียก็รีบไปเรียกคนอื่นในทันที

    “ทุกคน ยามาแล้ว รีบไปเอามาเร็ว!!”

    เจ้าหน้าที่หลายนายรีบไปหยิบกล่องยาเข้ามาเก็บที่ด้านในทันที ในตอนนั้นเองวาลเดรียก็ไปคุยกับเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมการขนยามาส่งด้วย

    “นี่ มาช้านะคะ”

    “ต้องเลี่ยงการตรวจจับจากพวกเยอรมันหน่ะ” ชายคนนั้นตอบไป

    “โอเค หวังว่าพวกคุณจะไม่เป็นไรนะคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ” วาลเดรียพูดขึ้น จากนั้นเธอก็รีบไปเช็คยาที่มาส่งในทันทีว่ามีตัวไหนที่จำเป็นบ้าง จากนั้นก็แจกจ่ายให้เจ้าหน้าที่ไปให้กับผู้ป่วยคนอื่นๆในทันที

     

    กลับมายังธนาคารของลิริ ซึ่งในวันนั้นเธอก็ยังคงทำงานตามปกติ แต่ในวันนี้ลาเกียครูซกลับมาหาเธอเหมือนเดิม พร้อมกับหอบเงินหลายแสนที่ได้มาจากการเล่นการพนันได้ เขาไม่รอช้ารีบเดินมายังเคาน์เตอร์ของลิริในทันที เธอก็พยายามต้อนรับขับสู้เขาไป

    “สวัสดีค่ะ ฝากเงินเท่าไหร่คะ??”

    “ผมขอฝาก 5 แสน ส่วนอีกแสน ผมให้เป็นค่าธรรมเนียม สำหรับคุณคนเดียวแล้วกัน!!” ลาเกียครูซพูดขึ้น

    “ดิฉันไม่ได้รับอนุญาตให้รับเงินส่วนตัวค่ะ”

    “เอาน่า คิดซะว่าเป็นของขวัญแล้วกันนะครับ” ลาเกียครูซพูดขึ้น

    “ฝากเงิน 5 แสนนะคะ เซ็นชื่อเลยค่ะ” ลิริรีบตัดบท จากนั้นก็ให้เขาลงชื่อในใบฝากเงิน ลาเกียครูซลงชื่อเสร็จก็ส่งมันให้ลิริในทันที

    “นี่ ผมยังรอการตอบรับจากคุณอยู่นะ” ลาเกียครูซพูดขึ้น

    “เฮ้อ คุณนี่ไม่เลิกจริงๆเลยนะ”

    “แน่นอน นี่คุณไม่หยุดงานบ้างเลยเหรอนี่??” ลาเกียครูซถามไป

    “ฉันต้องเก็บเงินให้บรรดาคนใหญ่คนโตในเมืองนี้ตั้งเยอะ คงไม่ว่างขนาดนั้นแล้วหล่ะ” ลิริพูดขึ้น

    “นี่ๆ ถ้าเยอรมันยึดครองประเทศนี้ คุณคงว่างงานแล้วไปเที่ยวกับผมได้สินะ” ลาเกียครูซพูดขึ้น ทำเอาลิริถึงกับหยุดนิ่งไปเลย

    “หมดธุระแล้วใช่หรือเปล่าคะ เงินนี่ฉันจะถือเป็นค่าธรรมเนียมแล้วกันนะคะ” ลิริพูดขึ้น

    “ได้เลยคนสวย อยากได้มากกว่านี้ก็บอกผมนะครับ” ลาเกียครูซพูดขึ้นจากนั้นก็เดินออกจากธนาคารไปในทันที

     

    ณ อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่งใจกลางกรุงปารีส ซึ่งเอริกะเดินทางมาเข้าพักเพื่อทำงานอะไรบางอย่าง เธอลากกระเป๋ามาจากนั้นก็ไปที่โทรศัพท์เครื่องหนึ่ง เธอกดโทรศัพท์ไป จากนั้นก็เริ่มสนทนากับปลายสายในทันที

    “สวัสดี มอร์ริสันส่งฉันมา เขาบอกว่าคุณช่วยฉันได้!!”

    “อ้อ งั้นเหรอ แล้วเธอต้องการอะไรหล่ะ??” ปลายสายถามไป

    “ฉันต้องการข้ามพรมแดนไปเยอรมัน” เอริกะตอบไป

    “นี่ เธอไม่รู้เหรอว่ามันยากแค่ไหน ข้ามไปเยอรมันตอนนี้??”

    “ไม่ต้องห่วง ฉันมีเงินจ่ายคุณแน่นอน” เอริกะพูดขึ้น

    “เอาเถอะๆๆ มันต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆเลยนะ อาจจะนานหน่อย แต่ฉันว่า ไม่นานพวกเยอรมันคงมาที่นี่แล้วหล่ะ”

    “ก็แค่การคาดเดา เอาไว้ฉันไปหาคุณเองดีกว่า” เอริกะพูดขึ้น จากนั้นเธอก็วางสายไปในทันที

    และอีกด้านหนึ่งของอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งเป็นห้องใต้ดินเก็บของ แต่ก็ยังมีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่ที่นั่น ซึ่งนั่นก็คือชินาอินั่นเอง เขาพยายามต่อโทรศัพท์เพื่อคุยกับใครคนหนึ่งอย่างร้อนใจ และเมื่ออีกฝ่ายรับสาย ชินาอิก็คุยกับเขาในทันที

    “นี่ ออเรียสนายแกอยู่ที่ไหนวะ??”

    “ชินาอิงั้นเหรอ มีอะไร??”

    “ฉันต้องการค่าจ้างของฉัน!!” ชินาอิบอกปลายสายไป

    “งั้นหรอ แต่นายทำไม่สำเร็จนี่”

    “ฉันฆ่ามันตายไปหนึ่ง มันต้องได้เงินบ้างสิวะ!!” ชินาอิตะโกนออกไป

    “ก็ได้ ถ้าอย่างงั้นก็ได้เงินแค่ 1 ใน 3 แล้วฉันจะส่งคนไปส่งเงินให้” อีกฝ่ายพูดขึ้น

    “เออๆ ฉันต้องใช้เงินเพื่อซ่อนตัวซักพักหน่ะ”

    “ก็ดี อยู่เงียบๆไปซักพักก่อนแล้วกัน ที่เหลือฉันจัดการเอง” คนของออเรียสพูดขึ้น จากนั้นทางนั้นก็วางสายไป ส่วนตัวชินาอิก็ใส่กระสุนปืนของเขาในทันทีเพื่อเตรียมรับมือกับคนที่ถูกส่งมาฆ่าเขา

     

    ณ ห้องพักของเกลนนิส หลังจากที่พวกเธอทั้งคู่ได้ประชุมลับเกี่ยวกับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในฝรั่งเศส ในตอนนั้นเองเธอก็กลับมาทำข่าวอื่นเพิ่มเติมเพื่อเสนอให้กับสำนักพิมพ์ของเธอ โดยที่การ์เน็ตต้าได้หาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วด้วย

    “นี่ เกลนนิส เราได้ข่าวมาว่าตอนนี้เยอรมันยึดโปแลนด์อย่างสมบูรณ์แล้ว ฉันได้ยินทางวิทยุมา!!” การ์เน็ตต้าพูดขึ้น

    “ดีหล่ะ ถ้าอย่างงั้นฉันจะทำสกู๊ปเรื่องนี้” เกลนนิสพูดขึ้น

    “แล้วเธอได้ข้อมูลมากพอแล้วเหรอ??” การ์เน็ตต้าถามไป

    “แน่นอน เธอก็รู้ฉันเตรียมพร้อมแค่ไหน” เกนนิสพูดขึ้น

    “ถ้าอย่างงั้นฉันจะไปเตรียมเรื่องเพิ่มเติมแล้วกัน” การ์เน็ตต้าพูดขึ้น จากนั้นเธอก็ไปจดบันทึกข้อมูลข่าวของเธอให้กับการ์เน็ตต้าในทันที

    “ความจริง เธอน่าจะเอาดีทางสายข่าวได้นะเนี่ย” เกลนนิสพูดกับการ์เน็ตต้าไป

    “ก็ถ้าไม่ได้เธอช่วยก็แย่หน่ะสิ” การ์เน็ตต้าตอบกลับไป

     

    และที่ท่าเรือกองทัพแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส ในตอนนั้นเองอลิซก็ยังคงซ่อมเรือที่เพิ่งจะกลับมาจากการโจมตีชายฝั่งเยอรมัน แต่ในตอนนั้นเองทางเยอรมันยังค่อนข้างเข้มแข็ง และในขณะเดียวกันนั้นเอง ริชาร์ดในตอนนั้นก็ขับรถมาหาเธอที่ท่าเรือ เขาจอดรถและเดินตรงมาหาเธอไปในทันที

    “นี่ อลิซ คุยด้วยได้หรือเปล่า??”

    “ได้สิ มีอะไรว่ามาเลย??” อลิซพูดในขณะที่กำลังเช็คอะไหล่ของเธอ

    “ตอนนี้ได้ข่าวว่าให้กองเรือของเธอเตรียมออกเดินทางไปปิดน่านน้ำ ใช่หรือเปล่า??”

    “ฉันไม่ได้ไปเองหรอก แล้วอีกอย่าง แผนการคงเลื่อนออกไป ตอนนี้เรือไม่พร้อมออกหน่ะ” อลิซพูดขึ้น

    “แล้วอีกอย่าง ช่วงนี้ฉันอาจจะไม่ได้มาเจอเธอบ่อยๆนะ ฉันต้องบินบ่อยขึ้นหน่ะ” ริชาร์ดพูดขึ้น

    “จริงเหรอ ขอให้โชคดีหล่ะ กลับมาไวๆหล่ะ” อลิซพูดขึ้น จากนั้นริชาร์ดก็ยิ้มแล้วกลับไปขึ้นรถในทันที แล้วขับรถออกจากท่าเรือไป

     

    ณ ศูนย์บัญชาการกองทัพอังกฤษในฝรั่งเศส ซึ่งในตอนนี้ทหารอังกฤษบางส่วนมารวมตัวกันเพื่อเตรียมพร้อมตอบโต้กองทัพเยอรมัน ในขณะเดียวกันนั้นเอง รอสกับอัลเฟรดก็กำลังนั่งตรวจสอบแผนการบนแผนที่ของเขา และแอบยิ้มไปด้วย ทำเอาอัลเฟรดถึงกับสงสัยเล็กน้อย

    “รอส นายคิดอะไรอยู่หน่ะ??”

    “อ้อ คิดถึงคนที่ช่วยฉันไว้ตอนอยู่ปารีสหน่ะ” รอสพูดขึ้น

    “คนที่ช่วยนายจากพวกเยอรมันงั้นสิ ว่าแต่ ตอนนี้เรามีทหารอยู่เท่าไหร่กันหล่ะ??”

    “เรากำลังรอทหารหน่วยใหญ่ประมาณ 5 แสนนายมาที่นี่อยู่ รอไฟเขียวจากลอนดอนหน่ะ” รอสพูดขึ้น

    “ไม่พอหรอก พวกเยอรมันคงมีเป็นล้านๆถ้ายึดโปแลนด์ได้แล้ว”

    “ก็คงต้องหวังไว้ที่ป้อมมายิโน่แล้วหล่ะ” รอสพูดขึ้น

    “พวกมันคงไม่บุกทางนั้นหรอก มันคงบุกผ่านเบลเยี่ยมได้สบายๆ” อัลเฟรดพูดขึ้น

    “หวังว่าสงครามจะไม่ยืดเยื้อเหมือนกับสงครามคราวแรกนะ” รอสพูดไป

    “ก็ขอให้เป็นอย่างงั้นเถอะ” อัลเฟรดพูดทิ้งท้ายไว้

     

    และที่บ้านพักของออตโต้ นักการเมืองเยอรมัน หลังจากที่พวกเขาเจรจากับกลุ่มของThe Crow เรียบร้อยแล้ว เขาก็ไวท์แฟรงค์ก็มานั่งทานอาหารด้วยกันเพื่อฉลองความสำเร็จ เพราะต่อไปนี้พวกเยอรมันจะทำอะไรพวกเขาไม่ได้อีกแล้ว
    “เฮ้อๆๆ งานนี้พวกเยอรมันไม่มีปัญญาทำอะไรแล้วหล่ะ ว่าไหม ฮ่าๆๆๆ”

    “ก็ใช่นะครับ แต่ผมกลัวว่าถ้าเยอรมันยึดฝรั่งเศสได้” ไวท์แฟรงค์พูดอย่างเป็นกังวล

    “ไม่มีทางหรอก สิ่งที่พวกมันจะได้ คือกระสุนปืนจากพวกฝรั่งเศสเท่านั้น”

    “ตอนนี้พวกเขายึดโปแลนด์ได้แล้ว คงรุดหน้ารุกรานดินแดนอื่นๆต่อ” ไวท์แฟรงค์ออกความเห็น

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้อังกฤษก็มาแล้ว เหลือแค่อเมริกาแค่นั้นหล่ะ” ออตโต้พูดพลางจิบไวน์ไป

    “อืม ผมว่า ยังไงเราระวังไว้หน่อยก็ดีนะครับ กองทัพเยอรมันคราวนี้คงเข้มแข็งมากๆ”

    “ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้เรามาดื่มกันก่อนดีกว่า!!” ออตโต้พูดขึ้นพลางจิบไวน์ของเขาไป

    “ไวน์นี่อร่อยจริงๆเลยนะครับ” ไวท์แฟรงค์พูดขึ้น

    “แน่นอน นายนี่มีรสนิยมเหมือนกันนะเนี่ย ฮ่าๆๆๆๆ” ออตโต้หัวเราะไปจากนั้นก็นั่งดื่มของเขาต่อไปเรื่อยๆ ท่ามกลางอาหารมากมายที่วางบนโต๊ะ

     

    และในช่วงเย็นวันนั้น นาวินกำลังยืนรอโอ๊คและชาร์ลีที่เขานัดเอาไว้ในวันนี้ ซึ่งเขาได้ยืนรออยู่บนถนนเส้นหนึ่ง แต่จู่ๆ รถคันหนึ่งก็มาจอดที่หน้าเขา ทำเอานาวินถึงกับตกใจ และเกือบจะชักปืนออกมาแล้ว แต่ในตอนนั้นเอง กระจกรถก็เปิดออกมาเสียก่อน

    "คุณนอร์วินคะ สวัสดีค่ะ!!"

    "นี่ คุณ คนที่เลี้ยงอาหารผมที่คาสิโนหรือเปล่า??" นาวินถามไป

    "ใช่ค่ะ ดิฉันมีอา ถ้าคุณจำได้นะคะ คุณมาทำอะไรแถวนี้คะ??"

    "อ้อ ผมมารอเพื่อนหน่ะครับ" นาวินตอบไป

    "ท่าทางเพื่อนคุณจะมาช้านะคะ เอาเป็นว่า ฉันอยากชวนคุณไปทานข้าวหน่อยได้หรือเปล่าคะ??" มีอาถามไป

    "อ่า คือว่า..."

    "ไม่ต้องห่วงค่ะ ร้านอยู่ด้านนั้นเอง แล้วอีกอย่าง ฉันมีอะไรจะคุยเกี่ยวกับแก๊งค์ของคุณด้วยค่ะ" มีอาพูดขึ้น

    "คุณรู้อะไรอย่างงั้นเหรอ??" นาวินถามไป

    "ไปกันก่อนสิคะ แล้วฉันจะบอกคุณเอง" มีอาพูดขึ้นจากนั้นก็ขยิบตาให้นาวิน นาวินอยากรู้เรื่องนั้นจึงตามเธอไปที่ร้านอาหารที่เธอว่าในทันที

    ===============================================================

    เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า

    ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ

    https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig?view_as=subscriber ซับแนลหนูด้วย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×