คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ตอนที่ 15 : นัดพบ
กลับมายังมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
หลังจากที่นาโอมิพานนท์และเพื่อนๆเลี้ยงฉลองกันเสร็จเรียบร้อย
นาโอมิก็พานนท์มาส่งที่มหาวิทยาลัยของเขา
โดยที่นาโอมิก็บอกลากับนนท์เพื่อจะกลับไปยังค่ายทหารของเธอ
“ยังไงก็โชคดีนะนนท์
ตั้งใจเรียนด้วยหล่ะ” นาโอมิพูดขึ้น
“พี่ก็เหมือนกันนะครับ
โชคดีที่เม็กซิโกนะครับ”
นาโอมิโบกมือให้นนท์จากั้นก็นั่งแท็กซี่กลับไปยังค่ายทหารของเธอ
ส่วนนนท์และพรรคพวกก็เข้าไปในมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าห้องพักของพวกเขา
“วันนี้อิ่มมากเลย
ว่ามั้ย” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“แหม่
ก็นายกินจุอยู่คนเดียวนี่หน่า” ซานะตอบกลับไป
“แต่ก็อิ่มจริงๆนั่นแหละ
เออนี่ ว่าแต่ทำไมลินน์รีดถึงรีบกลับไปแบบนั้นหล่ะ” นนท์ถามอย่างสงสัย
“อาจจะมีธุระก็ได้
ฉันคิดว่านะ” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“อืม
แต่มันธุระอะไรกันนะ ดูทั้งคู่รีบร้อนมากเลย” ซานะถามอย่างสงสัย
“ถ้าเจอเจ้าตัวก็ลองถามดูก็แล้วกัน”
นนท์พูดขึ้นจากนั้นพวกเขาก็เดินทางกันต่อ
ในขณะเดียวกัน มีนักศึกษาคนหนึ่งถือหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยมาเดินขายให้กับนนท์และพรรคพวก
“เฮ้พวก
หนังสือพิมพ์ฉบับพิเศษหน่อยมั้ย”
นนท์ควักเงินในกระเป๋าให้นักศึกษาคนนั้นจากนั้นก็หยิบหนังสือพิมพ์มาด้วย
จากนั้นนนท์ก็ดูข่าวที่หน้าหนังสือพิมพ์ นนท์ก็ตกใจในทันที
“มีอะไรหรือเปล่าวะพวก” ฟรองเกอร์ถามอย่างแปลกใจ
“กลุ่มกบฏนับสิบถูกจับกุมและสังหาร
พลโทยามะดะลั่นจะกำจัดกลุ่มกบฏให้สิ้นซาก” นนท์อ่านข่าวพาดหัวของหนังสือพิมพ์
“ตายแล้ว
แล้วนี่ลินน์รีดเขาจะ...”
ซานะพูดแต่ในตอนนั้นนนท์ก็เบรกเธอไว้ก่อน
“ไม่หรอก
เธอไม่ได้ใกล้ชิดกลุ่มกบฏขนาดนั้นนี่”
“แต่ก็น่าเป็นห่วงนะ
ไม่ว่าจะยังไง” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นก็รอเจอเจ้าตัวก่อนก็แล้วกันค่อยถาม
ตอนนี้เราแยกย้ายกันไปก่อนดีกว่า”
ทั้งสามคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนในหอพักของตัวเอง
ที่หอพักชาย นนท์และฟรองเกอร์ก็เดินผ่านตู้จดหมาย
โดยที่เจ้าของหอที่กำลังยืนเฝ้าอยู่เมื่อเจอกับนนท์ก็ร้องทักนนท์ในทันที
“อ้าว
นนท์ มีจดหมายถึงเธอด้วยนะ”
นนท์แปลกใจจึงรีบไปดูที่ตู้จดหมายของเขา จากนั้นเขาก็พบจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเขียนโดยพ่อของเขาเอง
“นนท์
ใครเขียนจดหมายถึงนายเนี่ย”
“พ่อฉันเองอ่ะ”
“เหรอๆ
แล้วเขาเขียนมาว่าไง อ่านดูสิ”
ฟรองเกอร์บอกให้นนท์เปิดจดหมายอ่าน
นนท์ไม่รอช้ารีบเปิดจดหมายอ่านในทันที
“นนท์ลูกรัก
นี่พ่อเองนะ ถ้าลูกได้อ่านจดหมายฉบับนี้ พ่อก็คงกลับมาเมืองไทยแล้ว
พ่อแค่อยากจะบอกกับลูกว่า สถานการณ์ตอนนี้ใกล้จะถึงจุดแตกหักแล้ว
ทางโตเกียวมีคำสั่งให้ระงับความวุ่นวายทั่วภูมิภาค
ตอนนี้ในเมืองไทยก็กำลังวุ่นวายไม่ต่างจากที่อื่น
ตอนนี้กลุ่มผู้รักชาติชาวไทยออกมาเรียกร้องให้ทางญี่ปุ่นถอนกำลังออกจากประเทศของพวกเขา
พ่อก็เข้าใจพวกเขาดี แม่เขาคิดถึงเธอทุกวัน
คิดอยู่เสมอว่าดีแล้วที่ลูกไม่อยู่ที่นี่
พ่อภาวนาอยู่ทุกวันขอให้ได้ไปประจำการที่อื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทย
พ่อไม่อยากฆ่าคนประเทศแม่ของลูก
ตอนนี้พ่อกำลังยื่นเรื่องขอไปประจำการที่ฟิลิปปินส์
ถ้าทำได้พ่อจะพาแม่ของลูกไปอยู่ด้วย ลูกอยู่ที่นั่นตั้งใจเรียนดีนะ แต่ลูกคงต้องระวังหน่อย
ตอนนี้ที่นั่นพวกหัวรุนแรงกำลังไล่ล่าคนเอเชียอย่างไม่ลดละ
ยังไงพ่อก็ขอให้เธออดทนหน่อยนะ พ่อจะส่งเงินไปให้ รักลูกเสมอ”
หลังจากที่นนท์อ่านจดหมายจบ
ฟรองเกอร์ก็รู้สึกแปลกใจ
“หือ ตอนนี้ที่เมืองไทยกำลังวุ่นวายเลยเหรอ”
“ใช่
พ่อเล่าให้ฟังว่ากลุ่มผู้รักชาติเรียกร้องให้คนญี่ปุ่นถอนทหารออกไปหน่ะ”
“ไม่รู้ว่าปารีสบ้านฉันจะเป็นยังไงบ้างเนี่ย” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“ว่าแต่
นายไม่มีพ่อแม่งั้นเหรอ”
“พ่อฉันตายในปารีส
ตอนที่กำลังต่อสู้เพื่อปลดปล่อยฝรั่งเศส
ส่วนแม่ฉันทำงานหนักอยู่ในสถานทูตเยอรมันหน่ะ” ฟรองเกอร์พูดขึ้น
“เสียใจด้วยนะเว้ย
พ่อนายต้องไม่ตายเปล่าแน่ๆ”
“ฉันเข้าใจ
แต่ช่างมันเถอะ ไปนอนพักกันก่อนดีกว่า”
นนท์และฟรองเกอร์รีบกลับไปยังห้องพักของเขาเพื่อพักผ่อนในทันที
กลับมายังเขตชายแดนเขตปกครอง ลินน์รีและอลาวดี้รีบบึ้งรถตามกลุ่มกบฏที่หลบหนีข้ามชายแดน
โดยที่พวกเขาตามแกะรอยจากสัญญาณของดันเต้แล้วตามมา ในไม่กี่อึดใจ
พวกเขาก็ตามมาถึงกลุ่มกบฏที่กำลังหลนหนี
โดยที่ในตอนนั้นเองดันเต้และโจอี้ก็กำลังรอพวกเขาอยู่พอดี
เมื่อลินน์รีดและอลาวดี้มาถึง ดันเต้และโจอี้ก็มาหาพวกเขาทั้งคู่ในทันที
“ลินน์รีด
ปลอดภัยดีนะ” ดันเต้พูดขึ้น
“เออ
พวกเราปลอดภัย ยังดีที่พวกมันตามไม่เจอหน่ะ” ลินน์รีดพูดขึ้น
“แล้วคุณย่าออลเรียสไปไหนซะหล่ะ” อลาวดี้ถามอย่างสงสัย
“เธอกำลังรอพวกเธออยู่พอดีหน่ะ” โจอี้พูดขึ้น
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้พูดอะไรต่อ จู่ๆปารีสก็ถือปืนเดินมาหาลินน์รีดในทันที
“พวกเธอ
นี่ยังกล้ากลับมาอีกเหรอ”
“เฮ้ย
ปารีส แกจะมาหาเรื่องอะไรอีกวะ” อลาวดี้พูดขึ้น
“มึงกับลินน์รีดกลับมาอย่างปลอดภัยได้ยังไง
บอกกูมาสิ”
“นี่
ต้นเหตุมันเริ่มมาจากนาย จะมาโทษฉันได้ยังไง” ลินน์รีดพูดขึ้น
“งั้นเหรอ
อย่าคิดว่าเราไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรกับไอ้บ้านั่นนะ”
“แล้วนนท์เขามาเกี่ยวอะไรด้วยหล่ะวะ”
“อ้อ
นั่นชื่อมันเหรอ ชื่อไม่เหมือนคนญี่ปุ่นเลยเนี่ย”
“เขาเป็นคนไทย
ไม่ใช่ญี่ปุ่นหน่ะ” อลาวดี้พูดขึ้น
“แต่ช่างมันเถอะ
เธอร่วมมือกับมันเพื่อทำลายงานฉันงั้นเหรอ”
“นี่
นายผลีผลามพาคนของเราไปโจมตีตำรวจแถมยังไปจับตัวประกันมาอีก
สุดท้ายไม่ใช่เพราะนายเหรอพวกเราถึงต้องหนีมาที่นี่หน่ะ” ลินน์รีดพูดอย่างเกรี้ยวกราด
“แหม่
ไม่มีอะไรหยุดเธอได้อยู่แล้วนี่”
“ฉันว่านายเลิกบ้าได้แล้วหว่ะ
รอดมาได้ก็บุญแค่ไหนแล้ว”
“งั้นเหรอ
ทุกคน ฉันขอโหวตให้ลินน์รีดกับอลาวดี้ออกจากกลุ่มเรา ใครเห็นด้วยยกมือขึ้นมาเลย”
ปารีสพยายามปลุกระดมคนในกลุ่ม
แต่ไม่มีใครยกมือโหวตให้เลย ทำเอาปารีสหัวเสียมาก
“นี่
ปารีส เธอใจเย็นๆก่อนดีกว่า” ตอนนั้นคุณย่าออลเรียสก็พยายามเดินมาหาปารีสในทันที
“คุณย่า
ไม่เกี่ยวกับคุณย่าเลยครับ”
“นี่ฉันเป็นหัวหลักหัวตอตั้งแต่เมื่อไหร่
เธอทำแบบนี้มันจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงนะ ตอนนี้มันยังแย่ไม่พออีกเหรอ
ฉันขอถามเธอหน่อย”
“พูดตรงๆนะปารีส
ฉันว่านายเลิกบ้าเถอะหว่ะ แล้วไปจัดการเรื่องกองกำลังของเราก่อนดีกว่า
ตอนนี้คุณอิชิโร่ก็มาถึงแล้ว เราต้องไปคุยกับเขาด่วนเลย” โจอี้พูดขึ้น
“ไอ้พวกบ้าเอ้ย
จำไว้เลยนะ” ปารีสเดินหัวเสียออกไป
ทำเอาคนอื่นๆไม่มีใครกล้าพูดอะไรเลย
“นี่
ลินน์รีด ฉันหวังว่าเธอคงจะรู้นะ ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่” ดันเต้พูดกับเธอ
“แน่นอน
ฉันจะไม่ทำให้ผิดหวังเลย แล้วเจอกันนะ”
ลินน์รีดพาอลาวดี้ขึ้นรถไป
จากนั้นเธอก็ขับรถกลับเข้าไปในเมืองทันที เนื่องจากว่าเธอยังไม่มีคดีอะไรติดตัว
ยังพออยู่ในแคลิฟอร์เนียได้
กลับมายังหน่วยบัญชาการเคมเปนไต แคลิฟอร์เนีย
หลังจากที่ยามะดะรอดมาจากการเป็นตัวประกัน
เขาก็กลับมาทำงานต่อเพื่อจับกุมบรรดากลุ่มกบฏที่ยังเหลืออยู่ในเมือง
โดยที่เขาเรียกตัวเจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาทำงานแทนซาโต้ที่กำลังหนีคดี
ชายคนนั้นเข้ามาในห้องทำงานของยามะดะในทันทีเมื่อยามะดะเรียกตัว
“อ้าว
อิจิโกะ มาแล้วเหรอ นั่งก่อนสิ”
อิจิโกะนั่งลงบนโต๊ะ
จากนั้นยามะดะก็เริ่มเปิดประเด็นการทำงานในทันที
“อิจิโกะ
รู้ใช่ไหมว่านายต้องทำงานอะไร”
“ใช่
คุณซาโต้บอกผมหมดแล้วหล่ะ”
“โอเค
ตอนนี้เรากำลังเช็คแฟ้มประวัติคนใกล้ชิดกับกลุ่มกบฏทุกคน
ตอนนี้ทางการญี่ปุ่นมีคำสั่งให้จับตายมิสเตอร์ปารีส แอนเดอร์สัน ซึ่งเป็นตัวการใหญ่ของกลุ่ม
เราคาดว่าหมอนี่น่าจะข้ามเขตชายแดนไปเรียบร้อยแล้ว” ยามะดะพูดขึ้น
“ว่าแต่คนนี้หล่ะครับ
ลินน์รีด คอนลิน อลาวดี้ โนรานอฟหล่ะครับ” อิจิโกะพูดจากนั้นก็ยื่นแฟ้มเอกสารให้กับเขา
“สองคนนี้เราไม่มีหลักฐานสำคัญ
แล้วอีกอย่างคงเป็นแค่สายข่าวธรรมดาหน่ะ”
“ผมว่า
เราน่าจะเริ่มจากสายข่าวธรรมดานี่แหละครับดี”
“มันจะไม่เสียเวลานายงั้นเหรอ” ยามะดะถามอย่างสงสัย
“ไม่ครับ
เราต้องเริ่มตอนนี้เลย”
“ตอนนี้เธอกำลังสนิทกับชายคนนี้
นนทกานต์ มาทาคาชิ บุตรชายของแม่ทัพในเขตภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เขามาเรียนที่นี่ได้ซักพักแล้ว แล้วเธอคนนี้อีกคน นางสาวซานะ
เธอเป็นลูกสาวของรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ระวังตัวหน่อยถ้าคิดจะเล่นกับเธอ”
“เข้าใจครับท่าน”
“ความจริงผมว่าเราน่าจะเล่นงานตัวปารีสไปเลยดีกว่า” ยามะดะยังคงย้ำอย่างหนักแน่น
“ครับ
ผมพอมีวิธีอยู่ครับ”
อิจิโกะพูดขึ้นจากนั้นเขาก็ยิ้มที่มุมปาก
กลับมายังกรุงฮานอย อินโดจีนเวียดนาม
หลังจากที่กลุ่มของโกโร่เดินทางมาทำข่าวถึงที่นี่
พวกเขาก็รีบขับรถไปยังสำนักข่าวของพวกเขาที่อยู่ในบังเกอร์ใต้ดินซึ่งมีทหารญี่ปุ่นคอยคุ้มกัน
เมื่อพวกเขาไปถึง พวกเขาก็เตรียมวางอุปกรณ์ในการถ่ายทำไว้แถวนั้นในทันที
“เฮ้อ
กว่าจะถึงที่โคตรนานเลยนะ”
โกโร่พูดขึ้น
“นั่นสิ
ว่าแต่บก.ของที่นี่อยู่ที่ไหนงั้นเหรอ” ซุนกิวถามอย่างแปลกใจ
“ฉันจะลองไปตามหาพวกเขาก็แล้วกัน” ฉางเจ้าพูดขึ้น
แต่จู่ๆ พวกเขาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังอยู่แถวๆร้านอาหารร้านหนึ่ง
โดยที่มีเสียงปืนดังมาจากแถวๆนั้นด้วย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ยูกิถามอย่างแปลกใจ
“ไปเอากล้องกับไมค์มา
เราจะทำข่าวกันเลย”
โกโร่พูดขึ้น
จากนั้นพวกเขาก็เตรียมอุปกรณ์ในการทำข่าวทั้งกล้อง ไมค์ โดยที่กลุ่มกองโจรเวียดนามก็บุกโจมตีทหารไทยที่กำลังเดินตรวจตราอยู่แถวนั้น
ในเมืองตอนนี้ราวกับมีสงคราม ผู้คนต่างหลบหนีกระสุนปืนกันอย่างจ้าละหวั่น
แต่โกโร่ก็ไม่กลัวอะไรเลย
เขายังคงถือไมค์โดยที่ทีมข่าวของเขาคนอื่นๆกล้าๆกลัวๆอย่างมาก
แต่เมื่อทุกอย่างพร้อม โกโร่ก็เริ่มรายงานข่าวในทันที
“สวัสดีครับท่านผู้ฟัง
กระผมโกโร่จากสำนักข่าวโตเกียวไทม์ รายงานสดจากฮานอย
ที่อยู่ด้านหลังผมในตอนนี้ก็คือภาพทหารไทยกำลังป้องกันเมืองจากกลุ่มโจรเวียดนาม
สถานการณ์กำลังวุ่นวายอย่างหนัก ผู้คนล้มตายราวใบไม้ร่วง”
แต่ไม่กี่อึดใจ ขบวนรถหุ้มเกราะของทหารไทยและเอลิคอปเตอร์บางส่วนก็บุกเข้ามาจัดการกลุ่มโจรเวียดนาม
ทำเอากลุ่มโจรเวียดนามแถวนั้นต้องถอยกลับออกไปจากเมือง
ส่วนบก.หนังสือพิมพ์ของเขาก็ส่งทหารญี่ปุ่นมาคอยคุ้มกันเขากับพรรคพวกในทันที
“คุณโกโร่ใช่หรือเปล่า
เชิญทางนี้เลยครับ”
โกโร่และทีมของเขาให้รีบเก็บของแล้วเข้าไปในสำนักข่าวของเขาในทันที
ก่อนที่พวกเขาจะโดนลูกหลงจากทหารไทย
กลับมายังเขตมิชิแกน สหรัฐอเมริกา
หลังจากที่โซลจัดการกับไวเวิร์นแต่ไม่สำเร็จ
เขารีบขับรถหนีออกจากพื้นที่ของกลุ่มกบฏที่กำลังไล่ตามเขา
หลังจากที่เขาขับรถมาได้ซักพัก เขาก็พบกับรถคันหนึ่งที่จอดอยู่ข้างทาง
โซลรีบจอดรถแถวนั้นจากนั้นก็เดินไปยังรถคันนั้นในทันที
“สวัสดีพวก”
“ผู้กองซาโต้
ลมอะไรหอบคุณมาที่นี่เนี่ย”
“ฉันหนีคดีมาหน่ะ
แล้วมาทำงานกับนายด้วย”
“เฮ้อ
ความจริงฉันชอบลุยเดี่ยวมากกว่าหว่ะ” โซลพูดขึ้น
“แล้วงานของนายที่นี่เป็นยังไงบ้าง” ซาโต้ถามไป
“ฉันเพิ่งจะจัดการกับไวเวิร์น
ไม่รู้มันจะตายหรือเปล่า”
“ดี
คุณยามะดะส่งนี่มาให้นายด้วย” ซาโต้ยื่นซองให้กับโซล
โซลหยิบซองมาจากนั้นก็เปิดดู พบกับเงินจำนวนหนึ่ง เขารีบหยิบเงินมาในทันที
“อืม
แบบนี้ค่อยดีหน่อย”
แต่ในขณะที่ยังคุยกันไม่ถึงไหน
จู่ๆซาโต้ก็โดนยิงจากด้านหน้าทะลุกระจกจนตายคาที่
โซลตกใจถึงกับสตาร์ทรถแล้วรีบบึ้งออกไปในทันที
แต่พวกมันก็ยังคงไล่ตามยิงโซลอย่างไม่ลดละ
ซึ่งเขาคิดว่าพรรคพวกของไวเวิร์นต้องอยู่เบื้องหลังแน่ๆ เขารีบขับหนีไป
จากนั้นพวกมันก็รีบวิ่งลงมาจากเขาแล้วยิงไล่หลังตามไป แต่ไม่ทันซะแล้ว
“บ้าเอ้ย
มันหนีไปได้อีกแล้ว” ชายคนหนึ่งพูดขึ้น
“มันไปได้ไม่ไกลหรอก”
“เออ
ส่งคนไปตามล่าแม่งสิวะ”
กลับมายังค่ายของไวเวิร์น
ในตอนนั้นเองเจนนี่ก็กำลังรักษาไวเวิร์นที่เพิ่งจะโดนพิษนอนอยู่บนเตียง
เจนนี่นำตัวอย่างพิษไปดูก็พบว่าเป็นยาพิษชนิดพิเศษ ชนิดที่หน่วยรบพิเศษใช้กัน
เธอไม่รู้ว่าจะรักษาไวเวิร์นยังไงต่อ แต่ในขณะเดียวกัน โบซอลก็นึกอะไรได้บางอย่าง
เขาจึงรีบวิ่งไปที่เต้นท์ของไวเวิร์น
ไปหยิบหน้ากากหมาป่าอันหนึ่งซึ่งเป็นของที่ไวเวิร์นหวงมาก
โบซอลหยิบมันมาให้กับเจนนี่ดู เจนนี่ตกใจในทันที
“โบซอล
นายเอาจริงเหรอ”
“แน่นอน
เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนี่”
โบซอลสวมหน้ากากหมาป่านั่นให้กับไวเวิร์น
ซักพักพลังงานจากหน้ากากก็ค่อยๆเข้าสู่ร่างกายของไวเวิร์น
มันทำให้ไวเวิร์นพอจะลืมตาขึ้นมาได้ ทุกคนโล่งใจกันมากที่เขารอด
“เอาหน้ากากฉันมาทำไมเนี่ย” ไวเวิร์นพูดจากนั้นก็ถอนหน้ากากเขาออกมา
“ก็เอามาช่วยนายหน่ะสิพวก” โบซอลพูดขึ้น
“โปรเจ็กค์
Mask X ยังได้ผลอยู่สินะ” เจนนี่พูดขึ้น
“โปรเจ็กค์
Mask เนี่ยมันคืออะไร
ไม่เห็นเล่าให้ฉันฟังเลย”
โบซอลถามอย่างสงสัย
“เรื่องมันนานมาแล้ว
ครั้งหนึ่งนักวิทยาศาสตร์นาซีจับตัวฉันไปตั้งแต่เด็ก
พวกเขาทดลองอะไรบางอย่างกับฉัน ให้ฉันมองหน้ากากนั่นอยู่นาน จากนั้นฉันก็ โอ้ย” ไวเวิร์นรู้สึกปวดหัว
จากนั้นเขาก็นอนลงบนเตียง
เจนนี่รีบไปตรวจร่างกายและชีพจรของเขาในทันทีเพื่อดูอาการของเขาเพิ่มเติม
“นี่
เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า” โบซอลถามด้วยความเป็นห่วง
“คงจะเหนื่อยหน่ะ
ชีพจรปกติแล้ว” เจนนี่พูดขึ้น
“ไม่รู้ว่าไอ้มือปืนนั่นจะโดนจับหรือยังนะ”
“เอาน่า
เดี๋ยวคนของเราจัดการเอง”
กลับมายังเขตกำแพงชายแดนมิชิแกน หลังจากที่แองเจลล่าจัดการสร้างกำแพงชายแดนได้เรียบร้อยแล้ว
แองเจลล่าก็จัดวางกำลังพลตามชายแดนอย่างหนาแน่น
โดยที่เธอได้ขึ้นบันไดไปบนหอคอยหอหนึ่งเพื่อตรวจสอบพื้นที่รอบๆว่าเรียบร้อยหรือไม่
เธอใช้กล้องส่องทางไกลมองไปรอบๆพื้นที่ในทันทีเมื่อขึ้นไปถึงหอคอย
“เยี่ยม
ตอนนี้กำแพงก็เรียบร้อยแล้ว ทางด้านนั้นก็มีทหารเดินตรวจตราอยู่ตลอด
ทำได้ดีมากทุกคน” แองเจลล่าพูดขึ้น
“แต่ว่า
ตอนนี้กำแพงเรายังไม่แข็งแรงมากนะครับ”
“ถ้ามีเวลาเราจะวางแนวเสริม
แต่ตอนนี้เท่าที่มีก็พอแล้วหล่ะ” แองเจลล่าพูดขึ้น
“เข้าใจครับ”
“ว่าแต่
เรือตรวจการของเราเป็นยังไงบ้างหล่ะ”
“ครับ
เราวางเวรกันขับวนทั่วทะเลสาบแล้วครับ”
“ดี
ให้พวกมันข้ามมาไม่ได้ พวกมันต้องรวมกำลังพลมาโจมตีแน่ๆ
ถึงตอนนั้นเราก็เตรียมรับมือพวกมันเอาไว้แล้วหล่ะ” แองเจลล่าพูดขึ้น
“ครับผม
แล้วเราจะเตรียมอาวุธกันตอนไหนครับ”
“ตอนนี้ได้เลย
เตรียมเบิกอาวุธมาไว้ในคลัง จากนั้นก็เก็บไว้แถวนี้
แต่ในคลังอาวุธต้องเฝ้าระวังไว้อย่างแน่นหนา ไม่อย่างงั้นอาจจะมีการปล้นกันได้”
“ได้ครับ
เราจะจัดเตรียมทหารอารักขาครับ”
ในระหว่างที่เธอกับลูกน้องของเธอกำลังคุยกัน
จู่ๆก็มีโทรศัพท์สายหนึ่งติดต่อเข้ามา แองเจลล่ารับสายในทันที
“แองเจลล่า
นี่ผมเอง สติฟท์”
“ค่ะท่านนายพล
มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”
“ถ้าคุณจัดการเรื่องที่กำแพงเสร็จแล้วรีบกลับมาด่วน
เรามีปัญหาแล้ว”
“ได้ค่ะท่าน
ฉันจะรีบไป” แองเจลล่าวางสายในทันที
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ลูกน้องของเธอถามอย่างสงสัย
“ท่านนายพลแจ้งเราว่าเกิดเรื่อง
ให้ฉันกลับสำนักงานใหญ่หน่ะ”
“งั้นเหรอครับ
ท่าทางจะเรื่องใหญ่นะครับ”
“ก็คงงั้น
ถ้าอย่างงั้นนายช่วยจัดการที่นี่หน่อยก็แล้วกัน”
“รับทราบครับ”
แองเจลล่ารีบเดินไปที่รถของเธอในทันที จากนั้นคนขับก็ค่อยๆขับรถออกจากเขตชายแดนเพื่อกลับเข้าไปในเมืองทันที
กลับมายังกรุงสตาลินกราด แถบชานเมือง
ในตอนนั้นกลุ่มชาวบ้านหลายคนกำลังสร้างสนามเพลาะและวางกับระเบิดเพื่อป้องกันการโจมตีของพวกเยอรมันที่กำลังจะมาถึง
โดยที่เรซนอร์ฟและพรรคพวกก็มาคอยช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านและบรรดากบฏเพื่อสร้างแนวป้องกัน
ก่อนที่พวกเยอรมันจะบุกเข้ามาในเมือง
“ตอนนี้การก่อสร้างเป็นยังไงบ้าง” เรซนอร์ฟถามชาวบ้านอย่างสงสัย
“ตอนนี้ได้ถึง
80 % แล้วครับ
เหลือแค่วางตำแหน่งอาวุธครับ”
“แล้วกับระเบิดที่วางเอาไว้หล่ะ” เอลซาร์วินด์ถามอย่างสงสัย
“มีนับพันลูกเลยครับ
พวกมันเข้ามาไม่ได้แน่”
“อย่าเพิ่งใจเย็นไป
ตอนนั้นมีระเบิดเป็นพันยังต้านพวกมันไม่ได้เลย” ดาโกวิชพูดขึ้น
“อืม
ตอนนี้ก็หวังว่าพวกเยอรมันจะยังไม่มาตอนนี้นะ” เรซนอร์ฟพูดขึ้น
“ผมว่า
อีกไม่นานมันคงจะมาเหยียบที่นี่แล้วล่ะครับ” เอลซาร์วินด์พูดขึ้น
“แต่ช่างมันเถอะ
ฉันสู้ตายอยู่แล้ว” ดาโกวิชพูดขึ้น
แต่ในขณะเดียวกัน มีหญิงสาวคนหนึ่งเผลอไปเหยียบกับระเบิดที่ชาวบ้านสร้างไว้
พวกของเรซนอร์ฟในตอนนั้นรีบวิ่งไปดูผู้หญิงคนนั้นในทันที
“ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย”
“เอลซาร์วินด์
พอกู้ระเบิดเป็นนะ” เรซนอร์ฟสะกิดเอลซาร์วินด์
เขาพยักหน้าจากนั้นก็เตรียมพลั่วสนามมาหนึ่งอัน
จากนั้นก็ค่อยๆขุดดินไปรอบๆพื้นที่ที่หญิงสาวคนนั้นเหยียบระเบิด
“ใจเย็น
ห้ามยกเท้าขึ้นเด็ดขาด”
ผู้หญิงคนนั้นยังอยู่นิ่ง
จนกระทั่งเขาก็ขุดมาจนเจอกับระเบิด เอลซาร์วินด์ใช้มีดพกของเขาปลดชนวนระเบิดในทันที
“เฮ้ย
ค่อยๆนะเว้ย ระเบิดรุ่นนี้มันกู้ยาก”
เอลซาร์วินด์แงะไปแงะมา
ซักพักเขาก็เอาข้อติดที่เท้าของผู้หญิงคนนั้นออกมา
“รีบไปเร็ว”
เอลซาร์วินด์ไล่ผู้หญิงคนนั้นให้วิ่งไป
จากนั้นเขาก็คว่ำระเบิดเอาไว้ใต้ดิน แล้วรีบกลบฝังในทันที
“ทุกคน
รีบหนีเร็ว” ทุกคนที่อยู่แถวนั้นตกใจแล้ววิ่งไปคนละทาง
“ตู้ม!!”
ระเบิดลูกนั้นทำงานใต้ดิน
แต่โชคยังดีที่มันไม่ลามไปยังระเบิดลูกอื่น
เรซนอร์ฟและพรรคพวกโล่งใจกันมากที่เอลซาร์วินด์ทำได้
“ทำได้ดีมากไอ้ลูกชาย” เรซนอร์ฟพูดกับเขา
“เยี่ยม
ตอนนี้รีบปักป้ายบอกชาวบ้านเอาไว้ดีกว่า ไม่งั้นใครจะมาเหยียบอีก” ดาโกวิชพูดขึ้น
แต่ในระหว่างที่พวกเขากำลังจัดการเรื่องที่แนวหน้า
จู่ๆก็มีสายตาหนึ่งมองพวกเขาจากกล้องส่องทางไกล ซึ่งนั่นก็คือปีเตอร์กับคาซาเมีย
ซึ่งกำลังลาดตระเวนแถวนั้น
“หู้ว
พวกหนูรัสเซียนี่เยอะจริงๆ”
ปีเตอร์พูดขึ้น
“นี่ นายว่ายังไงนะยะ” คาซาเมียตะโกนบอกเขาไป
“โทษที
ฉันลืมไปว่าเธอเป็นคนรัสเซียหน่ะ”
“ช่างเถอะ
ความจริงฉันมีเชื้อทางยูเครนมากกว่า แต่นายจะเอายังไงต่อกับพวกมันหล่ะ”
“พวกมันมีกับระเบิดมากมาย
คงต้องหวังพึ่งกำลังทางอากาศแล้วหล่ะ”
“แต่ว่าพวกเราก็ทิ้งระเบิดใส่พวกมันทั้งวันทั้งคืนนี่” ปีเตอร์พูดขึ้น
“หมายถึงพลร่มหน่ะ
นายรู้ใช่ไหม”
“รู้
แต่ว่าเราเคยลองแล้ว มันไม่ได้ผลหน่ะ”
“ไม่ลองอีกครั้งดูหล่ะ
เผื่อจะดีขึ้นก็ได้” คาซาเมียพูดขึ้น
“เออ
ฉันสั่งกองทัพไม่ได้นี่หน่า แต่จะลองเสนอแม่ทัพที่นั่นแล้วกัน”
“ก็ลองดูสิ” คาซาเมียบอกไป
จากนั้นเธอก็เห็นฮอตรวจการของพวกมันบินเข้ามาใกล้ๆพวกเขา
พวกเขารีบเก็บของออกจากพื้นที่ในทันที
“พวกมันมาแล้ว
รีบไปกันดีกว่า” คาซาเมียพูดขึ้นจากนั้นก็รีบออกจากพื้นที่กับปีเตอร์ในทันที
ณ ที่ใดที่หนึ่งในมหาสมุทรอินเดีย กองเรือขนส่งของมิคาอิลเดินทางฝ่ากองเรือของอินเดียเพื่อผ่านไปยังพม่า
ไทย และเวียดนาม
โดยที่พวกเขาเร่งความเร็วเรือมาตลอดทั้งคืนไม่มีหยุดพักเพื่อเดินทางไปเทียบท่าที่ไฮฟอง
ระหว่างนั้นเองมิคาอิลก็ฟังข่าวจากวิทยุไปด้วยเพื่ออัพเดทสถานการณ์เพิ่มเติม
“ท่านครับ” ลูกน้องคนหนึ่งของมิคาอิลมาหาเขา
แต่จู่เขาก็บอกให้เงียบก่อน จากนั้นก็ฟังวิทยุต่อไป
“อืม
ที่ฮานอยกำลังวุ่นวายอย่างหนัก เข้าใจแล้ว ทางการไทยคุมไม่อยู่แน่ๆ เอาหล่ะ
มีอะไรว่ามาเลย”
“ครับ
ตอนนี้เรากำลังจะเข้าใกล้กองเรืออินเดียแล้วครับ”
“พอรู้หรือเปล่าว่ากองเรือที่เท่าไหร่” มิคาอิลถามไป
“ดูจากสัญลักษณ์
คาดว่าน่าจะกองเรือที่ 4 ครับ”
“งั้นเหรอ
ดี ถ้าอย่างงั้นฉันพอคุยได้”
และยังไม่ทันขาดคำ
จู่ๆก็มีสัญญาณเรียกมาจากเรือตรวจการลำหนึ่ง ซึ่งติดต่อเข้ามาหากองเรือขนส่งของพวกเขา
“เรือขนส่งไม่ทราบสัญชาติ
รบกวนแสดงตัวด้วยครับ”
มิคาอิลได้ยินดังนั้นก็ตอบกลับไปในทันที
“สวัสดีครับ
ผมวิตาลี่ เรือพาณิชย์สัญชาติโครเอเชีย ขออนุญาตคุยกับเรือเอกทวราหน่อยครับ”
มิคาอิลตอบกลับไป จากนั้นไม่นาน
ชายคนหนึ่งก็ตอบกลับหาเขา
“สวัสดีคุณวิตาลี่
สบายดีนะครับ พวกคุณจะไปที่ไหนกันหล่ะ”
“ก็ดีครับ
พวกเราจะไปที่จีนหน่ะ” มิคาอิลตอบไป
“ครับ
แต่พวกคุณต้องเลี่ยงเวียดนามนะครับ ที่นั่น่าน้ำไม่ปลอดภัย”
“ขอบคุณครับ
แล้วผมจะไปเยี่ยม” หลังจากนั้นมิคาอิลก็วางสายไป
“ไม่มีอะไรแล้วหล่ะ
พวกเราเดินทางต่อได้”
มิคาอิลกับกองเรือของเขาพากันเร่งความเร็วเรือของพวกเขาต่อไป
โดยเป้าหมายของพวกเขาจะต้องผ่านอินเดียไปให้ได้
ไม่เช่นนั้นเขาอาจโดนกองเรือของฝ่ายอักษะจมเอาได้
ณ ชายแดนคูเวต ซาอุดิอาระเบีย
ขบวนคาราวานของออร์ลินด้าเดินทางข้ามชายแดนซึ่งไม่มีการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด
ผ่านข้ามชายแดนมาได้
โดยที่พวกเขาต้องระวังหน้าและระวังหลังกันอย่างมากเนื่องจากว่าเขตนี้อยู่ในเขตสงคราม
กองทัพอินเดียอาจบุกมายึดได้ทุกเมื่อ
“ทุกคน
มองซ้ายมองขวาให้ดี อย่าให้เจอกับพวกอินเดียเลย” บาโธรี่บอกกับลูกน้องของเธอ
“บาโธรี่
สายข่าวของเธอจะมาแน่เหรอ”
ออร์ลินด้าถามอย่างสงสัย
“มาแน่ค่ะ
ดิฉันติดต่อตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“เราข้ามชายแดนมาจะชั่วโมงนึงแล้วนะ” ออร์ลินด้าบ่นกับเธอ
“ดิฉันกำลังตามหาเขาอยู่ค่ะ”
พวกเธอเดินทางต่อไปเรื่อยๆ
ท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ จนกระทั่งมีชายคนหนึ่งขี่ม้ามาทางพวกเขา
บาโธรี่ให้สัญญาณมือกับชายคนนั้น ชายคนนั้นรีบขี่ม้ามาหาบาโธรี่ในทันที
“คุณบาโธรี่ใช่หรือเปล่า”
“ใช่
มูฟาซี คุณมูฮัมหมัดอยู่ที่ไหนตอนนี้”
“กำลังกบดานอยู่ในเมืองหน่ะครับ
คุณออร์ลินด้า มูฮัมหมัดฝากมาบอกคุณว่าเตรียมบ้านพักรับองให้คุณแล้วครับ”
“ขอบคุณมาก
ฉันจะไปหาเขาเลย” ออร์ลินด้าพูดขึ้น
“ถ้าอย่างงั้นเชิญทางนี้เลยครับ
ตอนนี้พวกอินเดียส่งเครื่องบินมาลาดตระเวนทั้งวันทั้งืน
เราต้องเลี่ยงเส้นทางหลักครับ ตามผมมาเลย”
มูฟาซีนำทางให้ขบวนคาราวานของบาโธรี่
แต่ไม่วายมีเครื่องบินตรวจการลำหนึ่งบินวนไปวนมาแถวนั้น
แต่พวกมันไม่สังเกตคาราวานของพวกเธอแม้แต่น้อย
“รีบหนีไปจากที่นี่กันเถอะ” มูฟาซีพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก
ไปตามปกติ ถ้าเราเร่งฝีเท้า พวกมันส่งฮอมาดูแน่ๆ อย่าให้มันสังเกตเรา แค่นั้นพอ” ออร์ลินด้าออกความเห็น
“ดูเหมือนพวกมันคงมาตรวจตราก่อนจะส่งคนมาโจมตี
รีบไปดีกว่าค่ะ”
บาโธรี่พูดขึ้น
จากนั้นพวกเขาก็ออกเดินทางกันต่อไป
กลับมายังบริษัทอาคะสึกิ หลังจากที่อิชิโร่มาเยี่ยมอาคะสึกิ
เขาก็ต้องรีบออกจากบริษัทของเธอก่อนที่จะมีใครมาเห็นเข้า
และอิชิโร่ก็มีงานสำคัญที่ต้องทำ โดยที่อิชิโร่ในตอนนั้นกำลังใส่เสื้อผ้าของเขา
ส่วนอาคะสึกิก็อยู่บนเตียงในสภาพที่ไม่ใส่เสื้ออะไรเลย
“ขอโทษนะที่ผมอยู่กับคุณไม่ได้นานหน่ะ”
อิชิโร่พูดกับเธอ
“ฉันเข้าใจ
งานนี้เป็นงานใหญ่สินะ”
“ก็ประมาณนั้น
ฉันจะไปเขตเป็นกลางหน่ะ”
อาคะสึกิได้ยินดังนั้นจึงหูผึ่ง
“หือ
ปกติคุณจะให้ลูกน้องทำงานแทนนี่ ทำไมงานนี้คุณ...”
อาคะสึกิยังถามไม่ทันจะจบ
“งานนี้มันสำคัญ
ผมขอมาดูด้วยตัวเองดีกว่า”
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ
จู่ๆก็มีเลขาของเธอมาเคาะที่ประตูหน้าห้อง
เธอรีบใส่ผ้าขนหนูแล้ววิ่งไปหน้าห้องทันที
“มีอะไรงั้นเหรอ”
“มีตำรวจมาขอพบคุณค่ะ”
ในตอนนั้นเองอิชิโร่คงจะรู้ว่ามีคนกำลังตามตัวเขาอยู่
เขาจึงออกไปทางหน้าต่างหลังตึก แต่ก็ที่เขาจะไป เขาวิ่งมาจูบปากกับอาคะสึกิ
ค้างไว้ซักพัก จากนั้นเขาก็รีบออกไปจากตึกทางด้านหลัง อาคะสึกิแอบยิ้มอยู่ซักพัก จากนั้นเธอก็ไปเปลี่ยนชุด
แล้วเดินออกมาพบเลขาของเธอทันที
“ตำรวจมาพบฉันทำไมดึกๆป่านนี้”
“เขาบอกว่ามาตามหัวนักโทษคนหนึ่งค่ะ”
“สงสัยงานนี้คงต้องขู่ให้กลัวหน่อยหล่ะ”
กลับมายังบ้านพักของมาเรียน่า บ้านนายพลมาร์ติน
ซึ่งในตอนนั้นเองเธอก็สั่งให้คนของเธอจัดการเตรียมของเพื่อที่เธอจะกลับไปยังสวิตเซอร์แลนด์
เพื่อไปทำงานวิจัยของเธอต่อ
เธอนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่งซึ่งเธอก็ดื่มชาไปด้วยในห้อง แต่ในขณะเดียวกัน
เธอก็นึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่เธอไปไว้อาลัยท่านผู้นำ
เธอเรียกคนใช้ของเธอมาพบในทันทีเพื่อคุยเรื่องนี้
“คุณมาเรียน่าคะ
เรียกฉันมีอะไรเหรอคะ”
“คุณป้าคะ
คือว่า วันนี้ฉันรู้สึกว่ามีคนจ้องมองฉันหน่ะค่ะ”
“หะ
จริงเหรอคะคุณมาเรียน่า”
“ใช่ค่ะ
ฉันเลยอยากให้ป้าหาคนมาช่วยคุ้มกันฉันหน่อยค่ะ”
“ได้ค่ะ
ฉันป้าจะไปเรียกตำรวจให้นะคะ”
แม่บ้านของเธอรีบลงไปโทรศัพท์ด้านล่าง ส่วนตัวเธอ
หลังจากที่คนอื่นๆในบ้านเตรียมของไว้เรียบร้อยแล้ว
เธอก็ขนของขึ้นรถของเธอที่เพิ่งจะซ่อมมาในทันที ในระหว่างที่เธอกำลังจะขึ้นรถ
จู่ๆก็มีรถทหารคันหนึ่งมาจอดที่หน้าบ้านของเธอ
จากนั้นทหารคนหนึ่งก็เดินมาที่รถของเธอเพื่อคุยกับเธอในทันที
“คุณมาเรียน่าครับ
จะเดินทางแล้วเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ”
“ท่านนายพลส่งผมมาคุ้มกันคุณหน่ะครับ
ช่วงนี้คุณกำลังโดนปองร้าย”
“ขอบคุณมากค่ะ”
“ครับ
ตามรถของผมเลยนะครับ”
ทหารคนนั้นกลับไปขึ้นรถ
ส่วนตัวเธอก็กลับไปขึ้นรถของเธอ
เธอบอกลาแม่บ้านของเธอจากนั้นก็ค่อยๆขับรถตามทหารคนนั้นไปติดๆ
กลับมายังฮาวาย
หลังจากที่ทาโร่พาซวาตีไปเดินเที่ยวที่ชายหาดอยู่นาน
เขาก็พาเธอกลับมาส่งที่เรือในทันที
โดยที่ยามคนหนึ่งวิ่งมาหาทาโร่ในทันทีเมื่อเห็นเขา
“คุณทาโร่
เพิ่งจะมานะเนี่ย เรือจะออกแล้ว”
“เออน่า
นิดเดียวไม่ได้หรือไงเนี่ย ผมมาส่งคุณแค่นี้นะครับ” ทาโร่หันไปพูดกับซวาตี
“อ้าว
คุณไม่กลับขึ้นเรือเหรอคะ”
“อ้อ
เขาส่งผมมาประจำการที่นี่หน่ะครับ”
“ค่ะ
ขอบคุณที่พาฉันเดินเที่ยวนะคะ” ซวาตีพูดกับเขา
“ยินดีครับ
ขอให้ไปแอลเออย่างปลอดภัยนะครับ ตอนนี้ที่นั่นกำลังวุ่นวายเลย”
“ค่ะ
ขอบคุณมากค่ะที่เป็นห่วง”
ซวาตีพูดกับทาโร่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีตำรวจญี่ปุ่นสองคนลากคอชายคนที่เพิ่งจะขโมยสร้อยของซวาตีมายังมุมลับที่ชายหาด
จากนั้นก็เตรียมปืนขึ้นมาหนึ่งกระบอก ซวาตีตกใจที่ได้เห็นแบบนั้น
“ขึ้นเรือดีกว่าครับ
เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”
ซวาตีขึ้นเรือไป แต่จากนั้นไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงปืนหนึ่งนัด
ทำเอาเธอตกใจมากแต่เธอทำอะไรไม่ได้มาก เธอจึงขึ้นเรือแล้วกลับเข้าไปในห้องพักของเธอ
กลับมายังห้องพักในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย
หลังจากที่นนท์และพรรคพวกได้เจอกับเรื่องหนักๆมาทั้งวัน นนท์จึงนอนพักไปเรื่อยๆ
แต่จู่ๆเขาก็เกิดฝันเห็นอะไรบางอย่าง ภาพของมันค่อยๆให้เห็นชัดขึ้น
มันเป็นภาพที่นนท์กำลังชูปืนขึ้นฟ้าท่ามกลางชาวเมืองทั้งชายหญิงและเด็กที่ตะโกนโห่ร้องให้กำลังใจเขา
ในความฝันนนท์ได้ยินผู้คนตะโกนพูดแต่ว่า “อักษะจงพินาศ” อยู่หลายครั้ง
แต่จากนั้นไม่นาน นนท์ก็ได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งถือปืนค่อยๆเดินมาหาเขา
ซึ่งนั้นก็คือลินน์รีดนั่นเอง
ลินน์รีดเข้าไปกอดและจูบนนท์อย่างดูดดื่มท่ามกลางสายตาของผู้คน
จากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาว่า
“เราทำสำเร็จแล้วนะคะที่รัก
คุณคือผู้นำของเรา”
แต่ยังไม่ทันจะมีอะไรต่อ นนท์ก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
คราวนี้นนท์ไม่ได้มีอาการปวดหัวเหมือนเดิม มันทำให้นนท์โล่งใจ และในขณะเดียวกัน จู่ๆก็มีเสียงโทรศัพท์บ้านเครื่องหนึ่งดังขึ้นมา
นนท์รีบไปรับในทันทีเมื่อได้ยิน
“สวัสดีครับ”
“นนท์
นี่ผมหมอคิมนะครับ”
“ครับหมอ
หมอมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“นนท์ว่างหรือเปล่า
พรุ่งนี้เลิกเรียนจะคุยอะไรหน่อย”
“ช่วงนี้ผมหายดีแล้วนะครับหมอ”
“ไม่ใช่เรื่องอาการของคุณ
อ่า ถ้าเป็นไปได้อย่าให้คุณซานะกับเพื่อนคุณรู้นะครับ ผมไม่อยากให้พวกเขาเดือดร้อน”
นนท์ถึงกับแปลกใจมากเมื่อได้ยินคำพูดของหมอคิม
“ได้ครับหมอ
ถ้าว่างผมจะไป”
นนท์วางสายไปในทันที
====================================================================================
หมอคิมมีอะไรอยู่ในใจกันแน่ ทำไมถึงต้องนัดนนท์ไปพบเพียงลำพัง เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป อย่าลืมติดตามชมต่อในตอนหน้าจ้า
ขอคนละเม้นท์ด้วยเน้อ
https://www.youtube.com/channel/UCEzIY9j4fuPDx4Ofz8U0Fig?view_as=subscriber
ไปติดตามช่องผมกันด้วยเน้อ!!
ความคิดเห็น