คำเก่าก่อน (YAOI) - คำเก่าก่อน (YAOI) นิยาย คำเก่าก่อน (YAOI) : Dek-D.com - Writer

    คำเก่าก่อน (YAOI)

    โดย shinho99

    คำเตือน::เนื้อหาดราม่าหนักหน่วง/เลือด/ความตาย ::เรื่องสั้นตอนเดียวจบ ดิน ชายวัยชราที่ตั้งใจจะจากโลกนี้ไปอย่างสงบ แต่ยมทูตไม่ยอมให้เขาไปเพราะคำสัญญาเก่าที่ให้ไว้กับเพื่อนเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก

    ผู้เข้าชมรวม

    116

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    116

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ต.ค. 64 / 21:37 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้

    คำเตือน::เนื้อหาดราม่าหนักหน่วง/เลือด/ความตาย


     

    คำเก่าก่อน 
     

    by SinisterShinho

    .

    .

     


     

    โคมไฟหัวนอนดับแสงลงเมื่อผมกำลังเข้านอนในเวลาสี่ทุ่มอย่างทุก ๆ คืนตามปกติในวันหนึ่งที่ไม่ได้แตกต่างจากวันอื่นเท่าไรนัก ตามแบบฉบับชีวิตวัยหกสิบกว่าของผม ซึ่งผมเกษียนแล้วและใช้เวลาบั้นปลายอย่างสงบ

    ก่อนจะนอนผมยังคงจับมือของภรรยา กล่าวฝันดีกับเธอเช่นทุก ๆ วันตั้งแต่ที่เราเริ่มรักกันจนถึงวันนี้ไม่มีขาดตกบกพร่อง ห่มผ้าให้เธออย่างใส่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่ยามกลางคืนจะเย็นเฉียบและยาวนานกว่าช่วงอื่นของปี

    เมื่อไฟหัวเตียงดับลง มือถือตั้งนาฬิกาปลุกไว้สำหรับรุ่งเช้าวันถัดไป ความปรารถนาที่ผมต้องการในชีวิตนี้นั้นครบถ้วนจนอิ่มเอมและไม่มีอื่นใดที่ผมยังเรียกร้องหาอีก หากจะหมดสิ้นลมหายใจลงก็คงจะไม่เสียใจอะไรอีกแล้ว

    เปลือกตาที่มากด้วยรอยเหี่ยวย่นหลุบปิดลง พร้อมกับที่เข้าสู่ภวังค์อย่างสงบ

    "เสียใจด้วยนะ นายน่ะ...ไม่ได้หมดห่วงจริงอย่างที่คิดแล้วล่ะ"

    เสียงของคนแปลกหน้าดังขึ้นแทบจะในทันทีที่ผมหลับลง ผมลืมตาขึ้นมองรอบข้าง ที่นี่คือห้องกว้างสีขาวสว่าง ทั้งที่ไร้ซึ่งหลอดไฟหรือแหล่งกำเนิดแสง และที่เท้าของผม ไม่มีเงาอยู่ตรงนั้น เบื้องหน้าคือชายหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่งในชุดสูทสีขาวโพลนทั้งตัว ใบหน้าอ่อนเยาว์ดูราวอายุเพียง 18-19 ปี เส้นผมสีดำสั้นและนัยน์ตาสีดำเหมือนคนปกติ แต่ที่แปลกก็คือเขาเหน็บหนังสือเล่มหนาไว้ที่รักแร้ นั่งยอง ๆ ด้วยท่าเด็กห้าว ๆ ห่าม ๆ ทำหน้าละเหี่ยใจ

    "เอ่อ จะบอกอะไรฉันอย่างนั้นเหรอพ่อหนุ่ม แล้วที่นี่คือ? ฉันจำได้ว่าฉันเพิ่งหลับไป" ผมมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัย ห้องที่เหนือจินตนาการเช่นนี้ ไม่มีหน้าต่างหรือประตู นึกได้แค่คงจะเป็นเพียงห้วงฝัน

    "ไม่ใช่ห้วงฝันหรอกลุง" ชายชุดขาวตอบกลับมาราวกับอ่านใจได้ "ไม่ใช่ลุงแล้วสิ คงต้องเรียกว่าพี่ชาย"

    "เอ๋?" ผมทำเสียงฉงน แต่เสียงที่เอ่ยออกไปนั้นแปลกหู แต่ก็เหมือนเคยได้ยินคลับคล้ายคลับคลา เป็นเสียงของชายหนุ่ม ที่ใกล้เคียงวัยกับชายตรงหน้า ผมก้มลงมองมือของตัวเอง ร่องรอยผิวหนังที่สูญเสียความยืดหยุ่นและเวลาที่ฝากริ้วรอยเอาไว้ก็หายไป กลายเป็นมือที่ดูมีน้ำมีนวล รวมถึงใบหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นเมื่อครั้งเยาว์วัย รูปร่างผอมโปร่ง เส้นผมสั้นดำหนา ไม่ใช่เส้นผมสีดอกเลาอีกต่อไปแล้ว "นี่ฉันฝันว่ากลับเป็นหนุ่มเหรอ แปลกจริง"

    "ยังคิดว่าฝันอยู่อีกเหรอพี่ชาย ทั้งที่ได้เจอผมอยู่ตรงหน้านี่แล้ว" หนุ่มคนนั้นยืนขึ้นเดินตรงเข้ามาหา เขากางหน้าสมุดออกยื่นมาให้อ่านชัด ๆ

    ในหน้ากระดาษคู่นั้น เขียนบันทึกเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาของผมได้แม่นยำราวกับไดอารี่ที่เขียนเอง แต่บรรทัดสุดท้ายบรรจบลงตรงที่

    -นาย อภิลักษณ์ บรรจงประจักษ์ ชื่อเล่นชื่อ ดิน ได้จากไปก่อนวัยอันควรด้วยอาการใหลตาย ทั้งที่ยังมีห่วง ทำให้วิญญาณตนนี้ไม่อาจไปผุดไปเกิดได้ก่อนจะถึงเวลาที่ถูกต้อง-

    "เธอจะบอกว่าตนเองเป็นยมทูตสินะ น่าสนใจนี่ แต่ฉันยังไม่ตายสักหน่อย และต่อให้ตายฉันก็ไม่ได้มีห่วงอะไรติดค้างอยู่ในโลกนี้อีกแล้วล่ะ"

    "ที่พูดออกมานั่นก็เหมือนเป็นการยอมรับไปในตัวนะ ในเมื่อรักภรรยามากถึงขนาดนั้น แต่ตอนที่ตายแล้วกลับไม่ได้คิดถึงเธอเป็นอันดับแรก แถมยังปล่อยวางไปได้ง่ายดายขนาดนี้ ปกติที่ควรจะเป็นคือร้องขออ้อนวอนให้ได้กลับไปพบภรรยาอีกสักครั้งถึงจะถูก ที่พี่ชายไม่ดิ้นรนอะไรเลย นั่นเป็นเพราะว่าจริง ๆ แล้วในหัวใจนั้นรักคนอื่นอยู่"

    "บ้าน่า...เรื่องแบบนั้น"

    "พอจะนึกออกสินะ ใครสักคนที่อยู่ในใจมาตลอด แต่ไม่เคยอยู่ในความเป็นจริง"

    เมื่อถูกถามไถ่เช่นนั้น ความทรงจำที่ผมผนึกเอาไว้ส่วนลึกในจิตใจก็ถูกดึงออกมาฉายภาพซ้ำ โดยการบังคับให้เห็น ทั้งที่ผมตั้งใจจะลืมมันไปแล้ว

    ภาพของห้องเรียนสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ซึ่งเคยเป็นโลกทั้งใบของผมในช่วงวัยหนุ่มที่ยังอ่อนต่อโลกและมากด้วยพละกำลังตามประสาคนวัยรุ่น เสียงพูดคุยเซ็งแซ่ดังอยู่รอบตัวจากเด็ก ๆ หลายคนที่ยังคงวิ่งเล่นในช่วงเลิกเรียน เสียงเจี๊ยวจ๊าวดังมาจากสนามบาสเกตบอลที่ลานหน้าโรงเรียน และอีกไม่นานจะเป็นเวลาซ้อมของชมรมฟุตบอล แสงแดดค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีส้มแสดสาดเข้ามาทางประตูห้องเรียน ส่วนหน้าต่างห้องนั้นดึงเข้ามาปิดลั่นกลอนหมดแล้วทุกบาน

    เด็กหนุ่มที่อยู่กันแค่สองคนสุดท้ายของห้องกำลังทำเวรอยู่ โดยที่คนหนึ่งเคาะฝุ่นชอล์กออกจากแปรงอย่างขะมักเขม้น ส่วนอีกคนนั่งเอนหลังบนเก้าอี้สองขาเล่นไม่ได้ช่วยงานเท่าไรนัก

    เด็กซนคนนั้นก็คือผมเองในอายุ 18 ปี ส่วนอีกคนหนึ่งคือคนที่เลือนรางไปจากความทรงจำของผมเมื่อนานมาแล้ว

    นาย ธานินท์ หรือชื่อเล่นก็คือ นท เด็กเนิร์ดประจำห้อง นิสัย เรียบร้อย อ่อนโยน ชอบตามติด และไม่ค่อยกล้าแสดงออก

    เราทั้งสองเคยสนิทกันมาก ถึงขนาดที่ไม่เคยรู้สึกดีกับใครได้มากเท่านี้มาก่อน เราเป็นยิ่งกว่าเพื่อนสนิท เรียกว่าเพื่อนตายกันเลย แต่เพราะเหตุบางอย่างที่ทำให้เมื่อเติบโตขึ้น ก็ไม่ได้พบเจอกันอีก โดยที่ทั้งสองฝ่ายรู้อยู่แก่ใจและตั้งใจที่จะลืมซึ่งกันและกัน

    นั่นเพราะเรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้

    "ไม่นะ อย่าย้อนมาที่ตรงนี้…" ผมเพ้อคำพูดน่าอดสูออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อภาพที่เห็นกำลังจะเล่นไปถึงเนื้อหาที่ผมรู้ปลายทางของมันอยู่แล้ว

    ‘ดิน เรื่องของเราหลังจากนี้ จะเอายังไงต่อ อีกไม่กี่วันพวกเราก็จะเรียนจบกันแล้วนะ’ นท สหายเก่าก่อนที่เคยลืมเลือนไปแล้วกับคำพูดที่เมื่อได้ยินอีกครั้งก็รู้สึกคุ้นหูขึ้นมาทันที

    ‘เรื่องของเรานี่คือเรื่องอะไร?’ ตัวผมในตอนนั้นแสร้งทำไขสือตอบกลับไป

    ‘นายคิดจะบอกพ่อกับแม่ไหม?’

    ‘ก็รู้คำตอบอยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นยังไง มันคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก’

    ‘ได้ลองพยายามบอกไปแล้วหรือยัง ผมเองก็จะบอกด้วย’

    ‘นายอย่าบอกพ่อแม่นายเลย ยิ่งเป็นอย่างนั้นอยู่ ไว้ออกไปทำงานเองแล้วค่อยคิดอีกทีก็ได้’

    ‘อย่างน้อยก็อยากจะถูกยอมรับจากพ่อแม่ของดินนะ พวกท่านเห็นเราเป็นสนิทกันเรื่องมันอาจจะง่ายขึ้นก็ได้’

    ‘จะลองบอกดู แต่ถ้าหาก…’

    ‘ถ้าหากมันเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็สัญญาว่าเราจะเป็นเพื่อนรักกัน อยู่ดูแลกัน หลังจากนี้ไม่ว่าใครเจอปัญหาอะไรก็จะช่วยเหลือกัน แบบนั้นได้ไหม’

    นทเป็นคนฉลาด และเขาคงคาดการณ์ไปถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้ เขาคิดไว้ถี่ถ้วนดีแล้วก่อนจะเอ่ยขอออกมา และเพราะอย่างนั้น ผมถึงได้วางใจในตัวเขา และตอบรับกลับไป

    ‘ได้สิ ผมสัญญา’

    ภาพที่ถูกทำให้เห็นก็ตัดจบลงตรงฉากที่ดูน่าประทับใจที่สุด ตัดกลับมาที่ห้องสีขาว กับชายชุดสูท เขามองกลับมาด้วยสายตาคาดโทษ "จำได้รึยังว่าไปสัญยิงสัญญาอะไรกับใครไว้"

    "อืม" ผมตอบห้วน ๆ อย่างไม่พอใจ เมื่อถูกดึงเอาความทรงจำออกมาแบบนี้ คำพูดในตอนนั้นผมเพียงแค่ตอบไปส่งเดช อย่างน้อยเพื่อไม่ให้นทต้องเสียใจที่ผมจะปฏิเสธเขา ผมก็อ้างไปเรื่องที่ครอบครัวจะไม่เห็นด้วย อ้างด้วยข้อแม้ว่าสัญญาจะเป็นเพื่อนกัน แม้หลังจากนั้นจะไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยก็ตามที

    ก็แค่ปั๊ปปี้เลิฟ [1] ใคร ๆ ก็เคยมีทั้งนั้น

    "แต่ถึงอย่างนั้นมันเป็นปัญหาอะไร เราทั้งสองคนจากกันด้วยดี นี่คือเรื่องที่ผมติดค้างเหรอ?"

    "ใช่ นายไม่รักษาสัญญา"

    "ยังไง?"

    ยมทูตหนุ่มพลิกกระดาษกลับไปยังหน้าก่อน ๆ อยู่นาน ไกลจากเรื่องราวของผมหนาเป็นนิ้วเลยทีเดียว และยื่นสมุดมาให้ดูอีกครั้ง

    -นายธานินท์ จันทราศ ได้เสียชีวิตลงด้วยการถูกฆาตกรรมในตอนอายุ 19 ปี ทำให้ไม่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างถูกต้องตามอายุขัย-

    "เดี๋ยวก่อน นี่มันเรื่องอะไรกัน?" ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวเมื่อได้เห็น อย่างไม่เชื่อสายตา "นี่มันเรื่องไม่จริง นี่คงเป็นแค่ฝันเพ้อเจ้อสินะ ความจริงแล้วผมจะตื่นขึ้นมาด้วยเสียงนาฬิกาปลุกเช่นทุก ๆ วัน"

    แม้ว่าผมจะตวาดออกไปเสียงดัง แต่อีกฝ่ายก็เพียงแค่นิ่งเงียบและมองตรงมา รอให้ผมระบายออกมาจนหมดและเริ่มเข้าสู่สภาวะที่สามารถยอมรับความจริงได้ ในที่สุดผมก็นั่งลงกับพื้นอย่างห่อเหี่ยว ชีวิตที่ผมประคองไว้ให้อยู่ในครรลองคลองธรรมมาตลอดชีวิตเพื่อที่จะได้ตายอย่างสงบนั้น ทั้งหมดไม่เป็นไปตามที่คิดอย่างนั้นหรอกหรือ?

    "ไม่เชิงเสียทีเดียว เจ้าใช้ชีวิตอย่างดีและมีวินัยมาก เจ้าจะได้ตายอย่างสงบและจากไปตามที่ควร เพียงแต่ว่า มันไม่ควรจะเป็นวันนี้"

    "ผมไม่เข้าใจ"

    "คืนนี้เป็นคืนที่ดวงจันทร์พิเศษกว่าวันอื่น ๆ กำลังของสิ่งที่อยู่ในรัตติกาลมีมาก และส่งผลมาถึงกรรมที่เจ้าก่อไว้ ความทุกข์ตรมของนายธานินท์ส่งผลมาถึงตัวคุณ ในรูปแบบของคลื่นพลังงานลบ ตามที่ผมพูดทันไหม?"

    "ไม่"

    "ช่างเถอะ เอาเป็นภาษาบ้าน ๆ ก็คือ ความเศร้าโศกของวิญญาณที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิดมันมากพอที่จะดึงให้คู่สัญญาได้รับผลนั้น ซึ่งเจ้าได้ไปสัญญาเอาไว้ในวันเก่าก่อน ความรู้สึกของเขาคือความโหยหาที่ไม่อาจถูกเติมเต็ม ความโดดเดี่ยวที่มีมาตลอดสี่สิบกว่าปีมานี้ ทำให้เจ้าตายก่อนเวลาไปถึง 5 ปี"

    "5ปี! หมายความว่า ผมจะต้องรอไปเกิดอยู่ที่นี่อีก 5 ปีแบบนั้นน่ะเหรอ"

    "ในฐานะที่คุณเป็นวิญญาณในความรับผิดชอบของผม ผมไม่อยากเห็นคุณถูกจับขังอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมนี่ไปอีกหลายปี ผมมีข้อเสนอมาให้"

    "ว่ามาสิ"

    "นายธานินท์ตายก่อนเวลามาสี่สิบกว่าปี ดังนั้น ในตอนนี้เขากลายเป็นวิญญาณร้ายติดที่ ที่แม้แต่ยมทูตอย่างผมก็ไปบังคับให้เข้ากลับเข้าสู่วัฏสงสารก็ทำไม่ได้ แค่พูดคุยกันยังทำไม่ได้เลย เขาสูญสิ้นจิตสำนึกไปโดยบริบูรณ์ ลองคิดดูว่าหากเป็นคุณที่ต้องทนอยู่ในห้องนี้นานขนาดนั้น คุณจะยังสติดีอยู่ไหม?"

    เมื่อลองคิดตามนั้น ความกลัววิ่งเข้ามาทิ่มแทงหัวใจจนหวาดหวั่น ผมกลืนน้ำลายฝืดลงคอ

    "ดังนั้น ในเมื่อคุณหลุดออกจากร่างมาแล้ว ผมก็อยากจะให้คุณใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้เป็นประโยชน์ ผมอยากให้คุณย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องราวทั้งหมด ก่อนที่ธานินท์จะต้องกลายมาเป็นแบบนั้น"

    "เดี๋ยวก่อนสิ คนเราย้อนเวลาไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?"

    "ตอนนี้คุณไม่ใช่มนุษย์ และ ในโลกของวิญญาณ เวลาสามารถเป็นได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หรือแม้แต่เป็นอนันต์ ไม่เข้าใจอีกแล้วล่ะสิ เอาเป็นว่า ผมโกงเวลาให้คุณได้นิดหน่อย เพราะคุณมีแต้มบุญสูง เรื่องราวหลังจากนี้ จะต้องไม่เป็นอะไร"

    "คุณจะให้ผมย้อนกลับไป เพื่อแก้ไขอดีตที่ในอนาคตของเขาจะต้องตาย แบบนั้นสินะ"

    "เป็นเช่นนั้น"

    "ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อย ในปัจจุบันนี้ ภรรยาของผมและครอบครัว เมื่อผมจากไปแล้วทุกคนจะเป็นยังไง?"

    "ถึงจะเป็นเรื่องเศร้า แต่ทุกคนจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี คุณกับภรรยาของคุณมีบุญกรรมที่ดีต่อกันมามากและในชาติหน้าจะได้มาดูแลรักษากันและกันเช่นนี้อีก"

    ผมคลายปมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันออกอย่างโล่งอก "ขอบคุณ"

    "ถึงเวลาที่คุณจะต้องช่วยเหลืออีกคนในชีวิตของคุณที่คุณทำเขาหายไป"

    "เข้าใจแล้ว ส่งผมกลับไปสิ"

    "แต่มีข้อแม้ว่า คราวนี้คุณจะไม่ได้ใช้ร่างของตนเอง"

    "อะไรนะ?"

    "หากคุณกลับไปเป็นตนเอง ปลายทางของคุณกับนางวรชญา ภรรยาของคุณก็จะไม่เกิดขึ้นและบรรจบเช่นนี้ ต้องแก้ไขอดีตของตัวเองไม่ได้อยู่แล้วสิครับ ไม่มีใครแก้กรรมที่ตนเองทำลงไปแล้วได้ทั้งนั้น"

    "อ้าว ก็พูดเหมือนได้ ใครจะรู้ล่ะ"

    ยมทูตหนุ่มทำหูซ้ายทะลุหูขวา พูดต่ออย่างไม่สนใจ "ในห้องเรียนของคุณ มีเด็กอีกคนหนึ่งที่เสียชีวิตไปในตอนที่คุณอยู่ม.5 คุณจำได้ไหม?"

    "อืม...พอจะนึกออก"

    "ต่อไปนี้คุณจะไม่ใช่นายอภิลักษณ์แล้ว แต่จะเป็น นายอัครินทร์ ที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถชน กระดูกแตกร้าวหลายแห่งในร่าง ปอดฉีกขาด และสมองกระทบกระเทือนสาหัส"

    "เดี๋ยว ๆ ไม่สาหัสเกินไปหน่อยเหรอ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับวิญญาณของอัครินทร์"

    "เจ้าตัวเสียชีวิตทันที เขาไปต่อโดยที่ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าตายไปแล้ว และเพราะไม่มีเรื่องราวติดค้างอะไร ส่วนร่างกายของเขา ยังคงทำงานอยู่หลังจากนั้นอีกหลายเดือนจนพ่อแม่ของเขาตัดสินใจปล่อยลูกชายจากสภาวะเจ้าชายนิทรา"

    "เลยจะให้ผมเข้าไปแทนที่สินะ แต่มันจะช่วยอะไรได้เหรอ?"

    "อยากจะไปช่วยเพื่อนที่สัญญากันไว้ หรืออยากจะอยู่ที่นี่เฉย ๆ กันล่ะ ทั้งที่ตัวเองก็รักเขาแท้ ๆ"

    "บ้าบอ! รักอะไรกัน ผมรักภรรยาของผม"

    "มนุษย์เราไม่ได้มีคู่แค่คู่เดียวนะครับ ในแต่ละภพชาติจะได้เจอหรือไม่เจอก็มากมาย ดังนั้น คุณต้องเข้าไปแทนที่ตัวคุณเองให้ได้ และทำคำสัญญานั้นให้สำเร็จ"

    "แล้วหากไม่สำเร็จล่ะ…"

    "ชาติหน้าก็ต้องกลับมาแก้ไขอีก ตามคำสัญญา"

    "ได้ ผมจะไปช่วยเขาเอง ให้รอนานขนาดชาติหน้าก็ใจร้ายเกินไป แค่นี้ตลอดที่ผ่านมาก็น่าสงสารมากพอแล้ว ตกลง ผมรับข้อเสนอ"

    "ถือว่าตกปากรับคำแล้วนะ ดังนั้นรบกวนเซ็นชื่อลงในใบสัญญาก่อนไป หากพี่ชายทำสิ่งที่นอกเหนือจากการย้อนไปเพื่อช่วยนท หากไม่ทำตามสัญญา จะถูกดึงวิญญาณกลับมาในทันที อีกทั้งผู้สัญญายินยอมรับความเสี่ยงและผลกรรมที่จะตามมาด้วยตนเอง…"

    "เดี๋ยวนะ ความรู้สึกคุ้น ๆ เหมือนตอนทำประกัน…"

    "ก็ต้องมีสัญญาบังคับเอาไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นหากวิญญาณถือโอกาสนี้กลับไปใช้ชีวิตรอบสองเพื่อประโยชน์ของตนเองและไม่ทำภารกิจก็จะเปล่าประโยชน์แถมเพิ่มค่ากรรมอีก"

    "เข้าใจแล้ว ทีนี้บอกมาว่าผมต้องทำอะไรบ้าง?"

    “กติกาไม่ยาก นายธานินท์มีเหตุให้ต้องเสียชีวิตในวัย 19 ปี ในระหว่างนี้จะทำอย่างไรก็ได้ ให้ช่วง 1 ปีอายุ 19 นี้ ผ่านพ้นไปได้โดยที่เขาจะไม่ตายเสียก่อน”

    “หากพ้นปีนั้นไปแล้วและเขาอายุขึ้น 20 ปี จะไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเขาแล้วใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น ก่อนที่จะส่งผมไป ผมอยากจะเจอเขาสักครั้งในตอนนี้ ให้ผมได้รู้ว่าเขาทุกข์ทรมานแค่ไหน จะได้มั่นใจว่าไม่ได้แต่งเรื่องมาหลอกลวงกัน และอีกอย่าง จะได้จำไว้ให้ขึ้นใจ ว่าเพื่อนของผมต้องเจ็บปวดมานานขนาดนี้และผมจะต้องช่วยเขาให้ได้”

    “ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงหรอกน่า แต่ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พี่ชายถูกดึงวิญญาณไปติดร่างแหกับเขาได้ เอาเป็นว่าระหว่างที่พักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล จะให้ฝันเห็นเรื่องราวตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมาก็แล้วกัน”

    “เอ๊ะ ดะ...เดี๋ยว” ผมยกมือขึ้นเพื่อห้าม แต่ก็ไม่ทันการณ์ เพียงแค่เด็กหนุ่มตรงหน้าดีดนิ้วดังเป๊าะ ผมก็หล่นลงไปในพื้นราวกับร่วงลงมาจากเหวแล้วตกลงไปในบึงน้ำอันมืดสนิท

    ระหว่างที่จมดิ่งลงไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ อึดอัดราวกับจะหายใจไม่ออก หนาวเย็นจนบาดลึกไปถึงกระดูก และเต็มไปด้วยความหวาดกลัวต่อความมืดมิดที่เข้ามาครอบงำจิตใจ นานเท่าไรไม่อาจบอกได้ ราวกับจะใช้เวลาเป็นปี ๆ อยู่ในนี้ ในที่สุดก็ได้เห็นแสงสว่างที่สาดเข้ามายังดวงตา ผมชูมือขึ้นสุดแรงเพื่อตะกายขึ้นจากห้วงอันไร้ทิศทางแห่งนี้ เต็มไปด้วยความปรารถนาจะหลุดพ้นไปจากทุกข์

    “เฮือก!” ผมหายใจเข้าสุดแรงราวกับไม่ได้รับออกซิเจนเข้าปอดมานาน เปลือกตาเปิดขึ้นรับแสงจ้าจนต้องหยีตาลงอีกครั้ง ผมแอ่นอกขึ้นมาด้วยได้รับแรงพลังชีวิตที่กลับสู่ร่างนี้ และในวินาทีเดียวกัน ความเจ็บปวดมหาศาลก็แล่นเข้ามาในร่าง โดยเฉพาะปอดที่เคยแตกเพราะอุบัติเหตุ มากจนต้องร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

    “คนไข้ได้สติแล้ว!” พยาบาลสาวที่กำลังทำงานอยู่ได้เห็นผู้ป่วยที่อยู่ในสภาวะนอนเป็นผักฟื้นขึ้นมาก็ตกใจจนต้องรีบไปแจ้งเรื่อง

    ผมที่ทนความเจ็บปวดซึ่งโถมเข้ามาในครั้งเดียวไม่ไหว หรืออาจเป็นเพราะร่างกายนี้ยังอ่อนแอมากผมจึงหมดสติไปอีกครั้ง และคราวนี้ผมก็ได้เห็นเรื่องราวใหม่ในความฝัน

    ผมโผล่ไปอยู่ในซอยแห่งหนึ่งในช่วงพลบค่ำ ซึ่งไม่ใช่ทางผ่านกลับบ้านของผม แต่เป็นทางที่คุ้นเคยเพราะอยู่ในบริเวณโรงเรียน ด้วยความที่ผมเป็นเด็กซนมากในสมัยนั้น หลังเลิกเรียนแทนที่จะเอาเวลาไปทำการบ้าน ผมกลับสนใจแต่การเที่ยวเล่นเตร็ดเตร่ จนกระทั่งฟ้าใกล้มืดเฉกเช่นในเวลานี้เลย นี่เป็นสถานที่ซึ่งผมได้คุยกับนท เด็กเนิร์ดหน้าห้องที่ผมไม่เคยคุยด้วยเลย ก็เมื่อออกมาแถวนี้กับกลุ่มเพื่อนแล้วได้เห็นท่าทางแปลก ๆ ของนท จนกลายเป็นว่าพวกเราสนิทกันเมื่อได้ออกมาเดินเล่นหลังเลิกเรียนบ่อย ๆ

    และชายหนุ่มคนที่ว่านั่นก็เดินผ่านมาในจังหวะที่พอเหมาะอะไรเช่นนี้ นทเดินผ่านหน้าผมไปราวกับว่าผมไม่ได้ยืนอยู่ ผมยื่นมือออกไปคว้าตัวก็ทะลุผ่านไหล่ของนทไปได้ราวกับเป็นผี ซึ่งก็อาจจะใช่ นทในตอนนี้กำลังทำคิ้วขมวดหน้าเครียด และเขาเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ต้องกลับบ้าน เสื้อที่สวมอยู่ก็เป็นเพียงแค่เสื้อยืดเก่าปอน ๆ ลายสกรีนตัวการ์ตูนที่นทใส่มาตั้งหลายปีแล้วไม่เห็นจะเปลี่ยนสักทีกับกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะเก่า ๆ ในมือถือถุงใส่ขนมและของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างไส้ดินสอ ยางลบ เหมือนเพิ่งจะกลับจากมินิมาร์ท แต่ที่แปลกคือในนั้นมีกระป๋องเบียร์และบุหรี่ซึ่งผิดวิสัยเจ้าตัวมาก ๆ

    ผมเคยชวนหมอนี้ดูดบุหรี่อยู่ครั้งสองครั้ง แต่มันก็ดูดไม่เป็น ได้แต่ไอโขลก ๆ ออกมาจนน้ำหูน้ำตาไหล แล้วเหตุใดจึงออกมาซื้อของแบบนี้ หรือว่าจะโดนเด็กคนอื่นแกล้งใช้ให้มาซื้อ ผมจึงรีบเดินตามไปอย่างเป็นกังวล

    มือของนทที่เอื้อมไปยังลูกบิดประตูบ้านตนเองกำลังสั่นเทา สายตาของเขาหวั่นไหว เขายืนอยู่หน้าบ้านอยู่นานสองนานกว่าจะทำใจและเปิดประตูบานนั้นเข้าไป เท้าเปล่าเหยียบลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง ข้าวของระเนระนาดบนพื้นจนยากที่จะเดินผ่าน แก้วกาแฟหล่นแตกกระจายคราบสีน้ำตาลเจิ่งนองบนพื้น ขวดเบียร์สีเขียวใสกลิ้งไปตามทาง ขวดยาที่ถูกปัดตกหล่นลงมากลิ้งไปรอบ ๆ ของที่ควรจะอยู่ในโต๊ะและตู้ตอนนี้ลงมากองระเกะระกะเต็มไปหมด เสียงที่แว่วผ่านหูเขามาคือเสียงสะอื้นของผู้หญิงดังมาจากห้องครัว

    “บัดซบ! นังสารเลว กล้ามาขอเงินกูไปเลี้ยงลูกชั่ว ๆ ของมึงเรอะ กูไม่มีอะไรจะให้ นอกจากส้น....” คำก่นดาหยาบคายเกินจะทนฟังสบถออกมาจากปากชายวัยกลางคน มีหนวดเคราหร็อมแหร็ม ใบหน้าแดงก่ำและในมือถือขวดเบียร์กวัดแกว่งไปมา

    “แม่! พ่ออย่า! อย่าตีแม่!” นทที่ทำทีออกไปซื้อของเพื่อหนีหน้าพ่อตอนที่เขาเมาสุรา เพราะมักจะถูกทุบตีอยู่เป็นประจำ กลับกลายไปว่าในวันที่เขาหนีไป คนที่ต้องรับกรรมต่อกลับเป็นแม่ของเขาเอง เสียงร้องไห้ที่ได้ยิน คือแม่ที่นอนอ่อนแรงลงกับพื้น ใบหน้าปูดบวมฟกช้ำ มีรอยเลือดแตกออกที่ผิวหนังหลายจุดในร่างกาย สภาพของเธอดูบอบช้ำมากเสียจนน่าหวาดหวั่นใจ

    “นั่นไง มาแล้วลูกทรพี เสี้ยนหนามในชีวิตกู ถ้าไม่ใช่เพราะมึงเกิดมา”

    อุ้งมือที่น่ากลัวดั่งอสุรกายในคราบของบุพการีคว้าเอาเส้นผมกำแล้วดึงลากร่างของลูกชายออกห่างมาจากแม่ของเขา น้ำตาใสเอ่อท้นขึ้นมาบนในหน้าของนทที่เต็มไปด้วยความกลัว

    เมื่อขวดที่อยู่ในมือพ่อของนท หวดฟาดลงกลางกระหม่อมจนขวดแตกออก คนที่ถูกทำร้ายใบหน้าชุ่มโชกไปด้วยเลือดที่ไหลเป็นสายออกมา ภาพที่เห็นเกินกว่าที่ผมจะควบคุมสติไว้ได้อีก สุดท้ายแล้วผมก็วิ่งเข้าไปต่อยเข้าเต็มหน้า จะเป็นพ่อหรือว่าใครผมไม่สน แต่ผมทนยืนดูเฉย ๆ อีกต่อไปไม่ไหวแล้ว เงื้อหมัดใส่ไปสุดแรงแต่กำปั้นของผมก็ทะลุผ่านไปอีกครั้ง เพราะนี่เป็นเพียงภาพของเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้วฉายซ้ำย้อนอดีตเท่านั้น ไม่มีใครในที่นี้รับรู้การมีอยู่ของผม

    แม้ภาพที่เห็นนี้เป็นเพียงแค่ความฝัน เป็นเรื่องราวที่จะดำเนินต่อไป แม้ว่าผมจะตะโกนร้องขอให้หยุดก็ตาม

    บนผิวหนังที่ซ่อนอยู่ใต้ร่มผ้าของนท มีทั้งรอยแผลเป็นที่เกิดจากการจี้บุหรี่ การกรีดด้วยของมีคม มีทั้งที่ได้รับมาจากทั้งพ่อและแม่ และทั้งที่ตนเองลงมือทำเองด้วย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่นทไม่ยอมเปิดโอกาสที่จะถอดเสื้อผ้าของเขาให้ใครเห็นมาก่อน แม้แต่กับอาจารย์ที่โรงเรียน การทำร้ายร่างกายถูกปิดเป็นความลับเสมอมา แต่ในวันนี้พ่อของนทจะไม่อดกลั้นไว้อีกต่อไป การทำร้ายรุนแรงจนถึงขั้นสาหัสราวกับจะไม่ไว้ชีวิตใครอีกต่อไป ภาพสะเทือนขวัญนี้เกิดขึ้นนานหลายชั่วโมง จนร่างกายของนทไม่ไหวติงอีกต่อไปแม้จะถูกเตะเข้าไปที่ท้องก็ตาม กว่าจะถึงยามรุ่งสางที่ผู้เป็นบิดาได้สติหลังการหลับใหล และตื่นขึ้นมาพบกับสิ่งชั่วร้ายที่ตนได้ทำลงไป

    ภรรยาของเขาเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่กลางดึก ส่วนลูกชายที่ร่างกายแข็งแรงกว่าก็อยู่ในสภาพจมกองเลือด ใบหน้าปูดบวมและบิดเบี้ยวจนแทบไม่เหลือเค้าเดิมกำลังหายใจรวยริน เรื่องราวยังไม่ใช่ตอนที่แย่ที่สุดที่พ่อของนทตัดสินใจปกปิดความผิดของตนโดยการลงมือบีบคอนทจนหมดลมหายใจ แล้วนำร่างของทั้งสองไปฝังดินไว้ในสวนหลังบ้านอย่างใจเย็น ก่อนจะขนเสื้อผ้าและเงินใส่กระเป๋าออกจากบ้านไปไม่กลับมาอีกเลย

    “ไอ้เวรเอ๊ย!” ผมทำได้แค่ยืนด่า ก้มหน้าเบือนหนีไปจากภาพที่ถูกทำให้เห็น ผมเป็นเพียงแค่วิญญาณ จะทำอะไรได้? ไม่เหมือนตอนยังมีชีวิตอยู่ ทั้งที่ถ้าเวลาที่เกิดเหตุ ผมรู้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นและได้อยู่ช่วยนท เรื่องราวแบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้น

    “ถ้าหากตอนนั้นฉันอยู่ตรงนี้ล่ะก็...” ในมือกำแน่นจนสั่นระริก ความโกรธ ความเสียใจ ความรู้สึกผิด ความเศร้าโศก ทั้งหมดประดังประเดเข้ามาใจจิตใจราวกับกำลังจะแตกสลายเพราะรับไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

    ภาพเบื้องหน้ากลับค่อย ๆ มืดลง แสงอาทิตย์ลาลับฟ้าไป บ้านที่มีร่างไร้วิญญาณนอนกองอยู่ก็เลือนหายไปอย่างแช่มช้า เหลือแต่เพียงชายหนุ่มนามว่านทที่นอนหมอบจมเลือดที่เอ่อเจิ่งนองไปบนพื้น และค่อย ๆ แปรเปลี่ยนสภาพไปเป็นร่างที่แข็งเกร็ง ก่อนจะกลายเป็นซากเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง เนื้อค่อย ๆ ละลายเหลวลงเป็นกองลิ่มสีดำ ดวงตา ลิ้น เส้นผม ทั้งหมดเละผสมปนเปเสียจนไม่มีเค้าโครงเดิมของมนุษย์เหลืออยู่เลย จนสุดท้ายก็เหลือเพียงซากกระดูก

    ร่างของนทกับแม้ถูกฝังไว้ในสวนหลังบ้าน แต่ความทรงจำสุดท้ายของนทคือนอนตายอยู่ตรงนี้ และแสดงสิ่งที่เขารู้สึกออกมาเป็นภาพอันน่าสะอิดสะเอียน

    นี่คือการดับสิ้นของกายหยาบที่ใครต่อใครมักจะเลี่ยงสายตาไม่มองตามที่เป็น ผมเองก็เป็นอย่างนั้นด้วย ทำได้แค่ยืนหลับตาปี๋และร้องไห้สะอื้นออกมาไม่อาจควบคุมไว้ได้เลย

    “ทำไม”

    เสียงของนทแว่วเข้ามาจากเบื้องหน้าที่ควรจะเป็นโครงกระดูกของชายวัย 19ปี กลับกลายเป็นร่างที่ถูกซ้อมจนแขนหักผิดรูป ใบหน้าบวมเป่งจนไม่เห็นดวงตา และช้ำเลือดเป็นจ้ำไปทั้งตัว ยืนบิดเบี้ยวอยู่ตรงหน้า

    “ทำไมผมทำผิดอะไร ทำไมผมต้องถูกทำแบบนี้ ทำไมถึงไม่มีใครเข้ามาช่วยเลยสักครั้ง”

    “ทำไมถึงไม่มีใครอยู่เลย”

    “ผมมองไม่เห็นใครเลย”

    “ใครก็ได้ช่วยผมด้วย ดิน ช่วยผมด้วย แม่ ช่วยผมด้วย”

    “ได้โปรดช่วยผมด้วย”

    “ทรมาน ช่วยด้วย”

    ขณะที่ปากของผมสั่นพะงาบจนเกินกว่าจะพูดอะไรออกไปสักคำ วิญญาณเด็กหนุ่มได้กลายเป็นผีร้ายติดที่ ที่พูดเพียงคำพูดไม่กี่คำซ้ำ ๆ วนเวียนอยู่เช่นเดิมตลอดเวลา โดยไม่มีใครในมนุษย์ภูมิได้ยินเสียงนี้เลยแม้แต่คนเดียว

    ผมหายใจเข้าก่อนจะอ้าปาก ยืนมือออกไปเรียกเพื่อนของผม

    “นท!”

    ภาพที่หมองหม่นของวิญญาณที่เน่าเฟะได้หายไป แสงสีส้มจากเสาไฟริมถนนกะพริบริบหรี่ก่อนจะสว่างชัด และผมกลับมายืนอยู่ตรงซอยแห่งเดิมอันคุ้นตา ซึ่งอยู่ใกล้กับถนนโรงเรียน ร่างของนทเดินผ่านผมไป ในมือถือถุงก๊อบแก๊บใส่บุหรี่ กระป๋องเบียร์ และ ของอื่น ๆ ซึ่งผมเคยเห็นมาแล้วรอบหนึ่ง

    “ไม่นะ มันวนกลับมาอีกแล้ว”

    และใบหน้าด้านข้างที่ย้อนแสงของนท ผมมองเห็นส่วนที่เน่าเฟะเหมือนซากศพ นี่คือนทที่กลายมาเป็นวิญญาณติดที่ และเดินวนเวียนอยู่ในความทรงจำสุดท้าย ซ้ำไป ซ้ำมา ตั้งแต่เมื่อสี่สิบปีก่อน จนถึงวันนี้ราวกับจะไม่มีวันจบสิ้น

    ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...

    เสียงเครื่องวัดชีพจรหัวใจดังแว่วเข้ามาทันทีที่ผมได้สติ น้ำตาเอ่อคลอท่วมท้นออกมาเป็นสายไม่หยุด ผมติดอยู่ในวังวนแห่งความทรมานนั้นอยู่นับร้อยรอบ แต่ในความเป็นจริงผมสลบไปเพียงช่วงสั้น ๆ ไม่กี่คืนเท่านั้น

    “ว้าย! คนไข้คะ ยังลุกขึ้นมาไม่ได้นะคะ” พยาบาลสาวสวยข้างเตียงที่กำลังทำงานของเธอ ร้องอย่างตกใจเมื่อผมกระชากเอาสายน้ำเกลือที่เกะกะสายตาออกไปจากข้อมือ แม้ข้างในปวดเนื้อถึงกระดูกร้าวรานแค่ไหน ก็ไม่เท่ากับความรู้สึกในใจเลย ผมพยายามตะเกียกตะกายป่ายกับขอบเตียงจนไปถึงผนังเพื่อจะลุกขึ้นยืน

    สามีภรรยาวัยกลางคนคู่หนึ่งวิ่งโร่มากอดร่างของผม ไม่สิ ร่างที่ยืมมา ด้วยความห่วงหาอาทร ผมรู้ได้ทันทีว่านี่คือพ่อกับแม่ของอัครินทร์

    “หนูรินทร์ลูก แม่ตกใจมากที่ได้ยินว่าลูกฟื้นขึ้นมา ฮือ...”

    ผมที่ถูกโผเข้ากอดจากทั้งสองท่านก็ค่อย ๆ ใจเย็นลง ใบหน้ายังคงเปรอะไปด้วยน้ำตาที่ซึมชื้น แม้หัวใจจะเจ็บ แต่กลับรู้สึกขอบคุณอ้อมกอดนี้อย่างน่าประหลาด ฝันที่ผมติดแหง็กอยู่นั่นเกือบทำให้ผมเสียสติไปครู่หนึ่ง

    ผมแกล้งเฉไฉไปว่าจำอะไรไม่ค่อยได้ ที่จำได้ล่าสุดมีเพียงงานวันเกิดที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ผมดึงความทรงจำที่บรรจุอยู่ในสมองของร่างนี้ขึ้นมาได้ แต่มันหายไปช่วงหนึ่งจริง ๆ และผมก็เล่าไปถึงความทรมานของอีกโลกหนึ่งที่ผมติดอยู่ในความฝันระหว่างที่ไม่ได้สติด้วย พอจะอ้างได้ว่าเหตุใดบุคลิกภาพของผมจึงเปลี่ยนไปจากนายอัครินทร์ หรือรินทร์มากพอสมควร

    ตอนนี้คือวันก่อนเปิดภาคเรียนที่ 1 ของปีการศึกษามัธยมที่ 6 เป็นเวลาเริ่มต้นช่วงชีวิตอายุ 19 ปีของนท ผมกลับมาที่โรงเรียนแห่งนี้ ในร่างของคนที่ตายไปแล้ว และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเพื่อนของผม

    แม้ว่าเวลานี้นทอาจจะยังไม่รู้จักอะไรผมเลยด้วยซ้ำ

    ภาพที่ผมเห็นคือนทที่มายืนรออยู่แถวรั้วหน้าโรงเรียน เขาเหม่อมองไปที่ถนนด้วยอาการเฝ้ามองหาใครสักคน และคนคนนั้นคือก็ดิน ตัวผมเองในวัยหนุ่มที่สดใส มากด้วยพละกำลัง และแววตาเต็มไปด้วยอนาคตข้างหน้า เดินเข้ามาหานทที่ยืนรอแค่เพื่อได้เดินเข้าโรงเรียนพร้อมกัน พูดคุยเรื่องการบ้านและเฝ้ารอจะกลับบ้านตอนเลิกเรียนพร้อมกัน

    ผมในวัยหนุ่มที่ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียวเดินเข้าห้องเรียนไป โอบไหล่เพื่อนฝูงลิงทโมนพูดคุยโหวกเหวกเสียงดังในยามเช้าอย่างร่าเริง ผมรีบเดินตามเข้าไปดึงข้อมือของนทรั้งเอาไว้

    เพียงแค่เป็นใบหน้าที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ปูดบวมหรือเน่าเปื่อย แววตาที่ยังคงไร้เดียงสามองกลับมาอย่างสงสัย ทำเอาน้ำตาของผมคลอเบ้าด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง

    “มีอะไรเหรอ? ถ้าจำไม่ผิด ชื่อ...”

    “อัครินทร์ เรียกว่ารินทร์ก็ได้ คือ...ผมมีเรื่องที่อยากจะบอกจริง ๆ ก็รู้นะว่านายตอนนี้น่าจะกำลังแอบชอบดินอยู่ คือว่า...” ผมใช้ลูกไม้เรียกร้องความสนใจไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปจากตรงนี้ เลยต้องยิงตรงเข้าเรื่องของผมเองนี่ล่ะ

    “เห๊ะ?!” นทร้องออกมาด้วยความตกใจ สีหน้าเลิ่กลั่กเหมือนถูกรู้ความลับเข้า

    “ชู่ว! ตามผมมานี่ก่อน เดี๋ยวเดียว ไม่รั้งไว้จนถึงชั่วโมงโฮมรูมหรอก”

    ผมดึงข้อมือของนทให้เดินตามออกมายังมุมตึกพ้นสายตาของเหล่าลูกลิงและคุณครู มาจนถึงที่ที่จะไม่มีคนเดินผ่านบ่อยนัก

    “มีอะไรรึเปล่ารินทร์ ทำไมถึงรีบร้อนจัง” นทกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาอย่างทุลักทุเล เอียงคอด้วยความฉงน

    “จากนี้ไป ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจอะไรต้องบอกนะ พูดจริง! สำคัญมาก! ถ้าไม่กล้าบอกดินล่ะก็ ยังไงก็ต้องบอกผมให้ได้เลยนะ”

    “พูดถึงเรื่องอะไร...”

    ดวงตาของนทมองแขนของตนเอง เขาเห็นว่ามือของผมกำลังสั่นเทา นทเป็นเด็กหนุ่มที่หัวไวและละเอียดอ่อน เขาจึงรับรู้ความรู้สึกของผมได้ในทันที

    “รินทร์รู้อะไรมาเหรอครับ?”

    “บอกไม่ได้ แต่ผมไม่ยอมให้นทต้องเจอกับเรื่องร้ายอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าจะรักไอ้ห่วยอย่างดินอยู่ก็ตาม มันไม่สำคัญเลยว่าอีกฝ่ายจะเป็นเพื่อนเพศเดียวกัน หรือว่าไอ้นั่นจะทึ่มขนาดไหน หรือนทจะยังชอบเขาไปถึงไหน ผมไม่สน แต่ผมสัญญาไว้แล้วว่าจะช่วยเหลือนท ดังนั้น...”

    “ดังนั้น?”

    “อย่าเก็บความเจ็บปวดไว้คนเดียว เพราะอีกฝ่ายจะไม่รู้เลยว่านายจะต้องเจอกับเรื่องอะไรอยู่ มาพึ่งพาผมได้เต็มที่เลย”

    เพราะชาตินี้ผมจะอยู่เพื่อช่วยชีวิตของนท เพียงเท่านี้ที่สำคัญที่สุด

    “ฮ่า ๆ รินทร์รู้ได้ยังไง ใช่คนโรคจิตที่แอบตามดูผมรึเปล่าเนี่ย”

    “เอ๋? ไม่ใช่โรคจิตนะ เอาเป็นว่ารู้แล้วกันน่ะ บังเอิญไปได้ยินเข้า เลยปล่อยผ่านไม่ได้” ผมพูดเฉไฉออกไปเรื่อย ๆ หว่านแหหวังว่าเขาจะเชื่อสักอย่าง

    “ครับ แต่ก่อนจะจีบกัน เริ่มจากเป็นเพื่อนกันก่อนไหมล่ะ?” นทดันเข้าใจผิดไปว่ามันเป็นแผนเข้ามาตีสนิทเขา

    ผมขยี้หัวอย่างแรง “ไม่ได้มาจีบ! จะชอบไอ้ดินนั่นเท่าไรก็แล้วแต่เลย”

    “เป็นคนตลกจัง ที่ผมรู้รินทร์เป็นคงเงียบ ๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนซื่อ พูดจาโผงผางแบบนี้”

    “เอาเป็นว่ารับปากก่อน ว่าจากนี้เดือดร้อนเมื่อไรต้องบอกกัน”

    ผมบีบมือของนทแน่นเพื่อกำชับคำพูดของผม

    แม้ว่านทจะยังสงสัยแต่เขาก็เหมือนจะเข้าใจความจริงใจของผม เขาพยักหน้ารับและยิ้มออกมาเล็กน้อย

    “อื้อ ขอบคุณนะ”

    แสงแดดยามเช้าที่กำลังสว่างเข้มขึ้นเมื่อใกล้เวลา 8:30 น. เป็นภาพฉากด้านหลังของนทผู้ที่ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะต้องเจอกับอนาคตที่มืดมนและหดหู่เต็มไปด้วยความดำมืดอย่างเช่นภาพที่ผมได้เห็นในห้วงจิต รอยยิ้มของเด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่ไม่รู้เลยว่าเขาจะต้องเผชิญกับชะตากรรมเช่นไรในอนาคต ทำให้ผมรู้สึกปวดจุกในอกและหลังจากนี้ ไม่ว่าจะเจอกับเหตุการณ์อะไรอีก ผมจะพยายามอย่างสุดแรงที่จะช่วยชีวิตของนทให้ได้ ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมจะต้องวนกลับมาในเช้าวันนี้ กับแสงที่สดใสเช่นนี้

    เพื่อที่จะรักษาสัญญาที่ได้ให้ไว้

    ‘สัญญาว่าเราจะเป็นเพื่อนรักกัน อยู่ดูแลกัน หลังจากนี้ไม่ว่าใครเจอปัญหาอะไรก็จะช่วยเหลือกัน แบบนั้นได้ไหม’

    ผมนึกถึงวันวานก่อนจากกันเมื่อครั้งก่อน เพราะคำสัญญาที่ผมลืมเลือนไปเนิ่นนานมาแล้ว ในทีแรกผมโกรธเคืองโชคชะตาที่ทำให้ผมไม่ได้ไปผุดไปเกิดดี ๆ อย่างที่คิด แต่ตอนนี้ผมเสียใจที่เคยรู้สึกอย่างนั้น ผมได้รับโอกาสที่ใหญ่หลวงในการกลับมาช่วยชีวิตเพื่อนรักคนนี้ ผมไม่นึกเสียใจอีกเลย

    “แน่นอน ผมมาเพื่อรักษาสัญญานั้นนี่นะ”

    -END-

     


    [1] Puppy Love รักแรก รักใสซื่อ ความรักแบบเด็ก ๆ มักจะเริ่มช่วงวัยรุ่น มักจะเป็นรักที่ไม่ได้จริงจัง

     


     

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×