คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #249 : [NijiHai] Senkou
Title : Senkou
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Nijimura x Haizaki
Notes : มามั่วมาเต็ม MAX เช่นเดิม WWW
.....................................................................................
Senkou
…กลิ่นควันธูปนี่มาอีกแล้ว…
…กลิ่นที่คุ้นเคย…
…มันมาจากที่ใดกัน?...
“…นี่มันบ้าที่สุดเลย” เสียงพึมพำเบาๆ ดังออกมาจากปากของเด็กหนุ่มผมสีดำคนหนึ่งเมื่อก้าวเข้ามาภายในสถานที่หนึ่งในบริเวณวัดอย่างเร่งรีบ สิ่งที่ปรากฏภายในดวงตาสีเดียวกับเรือนผมทำให้เด็กหนุ่มถึงกับสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ
…นี่มันเรื่องจริงสินะ?...
…มันช่าง…ทำให้รู้สึกไม่ดีจริงๆ …
…ทั้งกลิ่นและรูปตรงหน้านี่…
…เขาไม่อยากรับรู้เลยจริงๆ ….
…เขาอยากให้มันเป็นเพียงความฝันจริงๆ…
…เขาอยากให้เรื่องตรงหน้านี่เป็นเรื่องโกหก…
…ถึงเขาเคยดุเรื่องที่หมอนั่นชอบโกหกก็ตาม…
…แต่ว่าแค่เรื่องนี้เท่านั้น…
…ขอให้มันเป็นเพียงเรื่องโกหกที…
…ไฮซากิ…ไอ้เด็กบ้าเอ้ย…
ความคิดที่ตีไปมาในหัวของเด็กหนุ่มผมสีดำซึ่งได้แต่ยืนเหม่อมองภาพภายในห้องโถงซึ่งเต็มไปด้วยความโศกเศร้า…ภายในห้องที่ตั้งกล่องไม้ที่บรรจุร่างของคนคนหนึ่งและรูปของคนที่เขาคุ้นเคยเอาไว้
ในยามนี้นิจิมุระ ชูโชวไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าทำไมเรื่องแบบนี้ถึงเกิดขึ้นได้ทั้งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยแท้ๆ …ไม่ควรเกิดขึ้นกับหมอนั่น ไม่ควรเกิดกับเด็กดื้อของเขา
“ไง นิจิมุระ…ดีจังนะที่นายมาทันงานศพโชโงะน่ะ” เสียงทักทายเบาๆ ทำให้นิจิมุระที่เหม่อลอยอยู่ดึงสติกลับเข้าร่างได้และมองไปยังต้นเสียงหรือก็คือชายหนุ่มผมดำที่ดูราวจิ๋กโก๋คนหนึ่งที่เดินมาทักตน
“โชจิซัง…” นิจิมุระเอ่ยเสียงแผ่วเรียกชื่ออีกฝ่ายหรือคนที่โทรแจ้งข่าวเรื่องงานศพนี่กับเขาจนเขาถึงกับรีบเดินทางจากอเมริกามาญี่ปุ่นนี่ด้วยความที่หวังว่าข่าวที่ได้รับจะเป็นเรื่องเป็นเรื่องเข้าใจผิดหรือเพียงเรื่องโกหกเท่านั้น…ถึงรู้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม “…ทำไม…เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ได้ครับ?”
“ไม่รู้…และถ้ารู้สักนิดฉันคงไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นหรอก” โชจิส่ายหน้าไปมา “ให้ตายเถอะไอ้น้องบ้านี่…ทำไมถึงทำแบบนี้กัน?”
“…” นิจิมุระนิ่งเงียบไป…เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่อยากยอมรับกับเรื่องนี้เท่าไหร่นัก เพราะแม้แต่เขาเองยังไม่อยากเชื่อ
“ทำไม…ทำไมถึงฆ่าตัวตายกันนะ?” โชจิถามขึ้นมาเบาๆ
“ผมเอง…ก็อยากรู้…” นิจิมุระเอ่ยเสียงแผ่ว…เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเมื่อรู้ว่าสาเหตุการตายของไฮซากิคือฆ่าตัวตายโดยการโดดลงมาจากดาดฟ้าของตึกร้างแห่งหนึ่งและเขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อด้วย…
…เพราะคนอย่างไฮซากิ โชโงะ…เขานึกสาเหตุไม่ออกจริงๆ ว่าทำไมทำแบบนี้ ไฮซากิแม้มีปัญหาหรือมีเรื่องไปทั่วแต่ก็ไม่มีอะไรที่ส่อแววว่าจะฆ่าตัวตายได้เลยสักนิด
“นิจิมุระซัง…” ระหว่างที่สองหนุ่มกำลังคุยกันด้วยบรรยากาศชวนอึดอัด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา
“หื้อ?” นิจิมุระหันไปมองต้นเสียงและพบกับเด็กหนุ่มผมแดงคนหนึ่งเดินมาทางตน “อา ไงอาคาชิ…ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“ครับ ไม่เจอกันนานเลย…และคงดีกว่านี้หากไม่ใช่เพราะเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” เด็กหนุ่มผมแดง…อาคาชิ เซย์จูโร่เอ่ยขึ้นมา
“นั้นสินะ” นิจิมุระพยักหน้ารับ…มันคงดีกว่านี้จริงๆ หากเขากลับมาด้วยเหตุอื่นที่ไม่ใช่เรื่องนี้ กลับมาเร็วกว่านี้ กลับมาเพื่อห้ามไฮซากิได้…
…ถ้าปาฏิหาริย์มีจริงล่ะก็…ได้โปรดเถอะ…
…ช่วยย้อนคืนวันที่ไอ้เด็กเกเรหัวเทานั้นอยู่ข้างเขากลับมาที…
…จะแลกด้วยอะไรก็ได้…เพราะงั้นได้โปรด…
…ช่วยทำให้เขาสมปรารถนาทีเถอะ…
…ช่วยทำให้ไฮซากิกลับมาหาเขาที…
“นี่พวกนาย…” เสียงเรียกที่ดังมาจากผู้มาใหม่หรือชายหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งที่เดินมาหาเด็กหนุ่มสองและชายหนุ่มอีกหนึ่งที่ยืนอยู่ด้วยกัน เรียกให้ทั้งสามหันไปมอง
“มีอะไรเคียว?” โชจิถามผู้มาใหม่
“มีเรื่องจะคุยด้วย มานี่หน่อยสิ” ชายหนุ่มที่โดนเรียกว่าเคียวบู้ใบ้ไปด้านนอก “นายหน้านกกับไอ้หัวแดงด้วย”
“อื้ม / ครับ” โชจิ นิจิมุระและอาคาชิพยักหน้ารับและยอมตามคนผมน้ำตาลไปแต่โดยดี
“แค่นี้คงไม่มีใครมาได้ยินล่ะมั้ง” หลังจากที่เดินออกมาห่างจากห้องโถงที่ใช้จัดงานศพของไฮซากิ โชจิไกลพอสมควรและเป็นจุดที่ไม่มีคนแล้ว นายเคียวก็หยุดเดินแล้วหันมาเพื่อพูดคุยกับชายทั้งสามที่ตนลากตัวมา
“มีอะไรรีบพูดมา ใกล้เวลาพระสวดแล้วนะ” โชจิเอ่ยพลางมองนาฬิกาข้อมือของตน
“หน่วยพิสูจน์หลักฐานเจอนี่ซ่อนในหนังสือของน้องนาย” เคียวไม่พูดพล่ามทำเพลงแล้วเข้าประเด็นที่ตนลากสามหนุ่มมาที่นี่ทันที พลางหยิบซองพลาสติสใสที่มีตั๋วหนังใบหนึ่งอยู่ด้านในออกมา “ฉันว่ามันแปลกๆ นะ”
“อะไร?” โชจิถามห้วนๆ
“คนจะฆ่าตัวตายที่ไหนจองตั๋วหนังล่วงหน้าไว้ล่ะ? แถมเวลาพิมพ์แค่หนึ่งวันก่อนเกิดเหตุด้วย” เคียวเอ่ย
“…หมายความว่าไง?” โชจินิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกมาเมื่อนึกตามที่อีกฝ่ายบอกแล้ว…มันก็เป็นเรื่องที่แปลกจริงๆ นั้นแหละ แถมตั๋วหนังที่เคียวเอามาให้ดูนี่เป็นเรื่องโปรดของน้องเขาชนิดที่ว่ามีฉายเมื่อไหร่ หากไม่ใช่วันแข่งกับวันสอบก็จะทิ้งนัดทุกอย่างเพื่อไปดูเลยด้วยซ้ำแล้วแบบนี้น้องเขาจะฆ่าตัวตายก่อนวันฉายทำไม?
“เป็นไปได้สองทาง” เคียวชูนิ้วออกมาสองนิ้ว “เหตุการณ์ในครั้งนี้…ไม่อุบัติเหตุก็ฆาตกรรม”
“…” โชจินิ่งเงียบไปคล้ายตนสติหลุดและคงสติหลุดไปจริงๆ หากนิจิมุระไม่ช่วยเขย่าตัวเรียกสติของชายหนุ่มกลับเข้าร่างมา “มีอะไรอย่างอื่นอีกไหมที่เจอ?”
“อื้ม นอกจากนี้…ฉันเจอสองอย่างนี้ในที่เกิดเหตุ” เคียวหยิบซองพลาสติสใสอีกสองซองออกมา…ซองหนึ่งใส่จดหมายที่พิมพ์ข้อความนัดเวลาและสถานที่ ซองหนึ่งเป็นรูปถ่ายของเด็กหนุ่มสองคนที่ท่าทางเหมือนเด็กเกเรยืนกอดคอกันอยู่ในชุดโรงเรียนมัธยมต้นเทย์โคและที่สำคัญหนึ่งในสองคนนั้นคือเด็กหนุ่มผมเทาที่ทั้งสามรู้จักดี “เห็นว่าพวกนายเคยเป็นกัปตันในสมัยม.ต้นของไฮซากิ โชโงะเลยอยากถามว่าเคยเห็นคนในรูปไหม?”
“ไม่ครับ” อาคาชิมองภาพที่ไฮซากิในสมัยต้นยืนกอดคอกับเด็กหนุ่มอีกคนที่ทำผมเป็นหนามแหลมขึ้นมาราวกับสว่านแถมยังทำสีเขียวสะท้อนแสงได้แต่ส่ายหน้าวืด…เขาไม่เคยเห็นคนที่อยู่ข้างๆ ไฮซากิในรูปนี่เลยแม้แต่น้อย และเล่นเด่นขนาดนี้หากเจอสักครั้งเขาคงไม่มีทางลืมง่ายๆ แน่
“เคย…” นิจิมุระเอ่ยตอบไปเบาๆ พลางมองรูปในมืออีกฝ่ายตาเขม่ง
“ใคร!?” พอได้ยินแบบนี้โชจิถึงกับเขย่าตัวนิจิมุระอย่างร้อนใจทันที…ต่อให้เป็นเรื่องอะไรก็ตามที่อาจเชื่อมโยงกับสาเหตุการตายของน้องเขา เขาก็อยากที่จะรู้ให้มากที่สุดว่าอะไรกันแน่ที่พรากไอ้น้องสุดแสบของเขาไป!!!
“เฮ้ย! ใจเย็นก่อนสิวะโชจิ!” เคียวดึงคอเสื้อโชจิแล้วลากออกมาห่างๆ นิจิมุระก่อนที่จะโดนเขย่าจนมึนหัวตาย
“ใครมันจะใจเย็นได้วะ!?” โชจิค้อนใส่คนที่ห้ามตน
“แต่ถ้าไม่ใจเย็นนายหน้านกนี่ก็ตอบนายไม่ได้นะเออ!!!” เคียวเอ่ยเตือนสติของโชจิ
“…” โชจิที่พอได้ยินแบบนี้ก็เริ่มสงบสติอารมณ์ตัวเองลงได้เล็กน้อย ย้ำ ว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“…นิจิมุระซัง…คุณเคยเห็นคนคนนี้เหรอครับ? พอทราบไหมครับว่าเขาเป็นใคร?” อาคาชิที่มีสติดีที่สุดเอ่ยถามอดีตรุ่นพี่ตนก่อนที่โชจิจะคลั่งอีกรอบ
“อื้ม” นิจิมุนะพยักหน้ารับ “หมอนี่เป็น…แฟนเก่าไฮซากิน่ะ”
“ห๊า!??” แต่ละคนเมื่อได้ยินดังนี้ต่างอุทานลั่น
“แล้วทำไม…สองคนนี่ถึงติดต่อกันล่ะ?” โชจิที่รู้นิสัยน้องตัวเองขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ…นิสัยอย่างโชโงะน่ะไม่มีทางที่จะยอมติดต่อแฟนเก่าตัวเองแน่
“ไม่ทราบครับ แต่ที่แน่ๆ คือนิสัยอย่างไฮซากิไม่มีทางยอมคืนดีกับแฟนเก่าตัวเองง่ายๆ แน่…ยิ่งจบไม่สวยด้วยเนี่ย” นิจุมุระส่ายหน้าไปมาพลางเอ่ยราวรู้ในความคิดของโชจิ
“จบไม่สวย?” โชจิทวนขึ้นมาเบาๆ
“ครับ…ผมไม่รู้รายละเอียดมากนักเหมือนกัน ที่เหลือคงต้องถามคิเสะเอา” นิจิมุระเกาหัวตัวเองนิดๆ ไอ้ที่เขารู้เนี่ยเขารู้มาจากคิเสะทั้งนั้น เพราะมีครั้งหนึ่งเห็นไฮซากิกำลังเผารูปไอ้หัวสว่านนั้น (?) พร้อมเผาพริกเผาเกลือสาปแช่งอีกต่างหาก เขาเลยสงสัยแล้วเอารูปที่หลุดรอดจากการโดนเผาสาปแช่งไปถามกับคิเสะเอา
“…งั้นหลังเลิกงานเราลากหมอนั่นมาถามกัน” เคียวเอ่ยสรุปสั้นๆ
“อื้ม” โชจิพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายก่อนที่จะลากทั้งหมู่กลับไปที่งานศพอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกห้านาทีพระก็จะมาสวดแล้ว
“…ที่ว่ามาพูดจริงเหรอครับ?” เสียงถามอย่างไม่อยากเชื่อดังขึ้นมาจากเด็กหนุ่มผมสีเหลืองที่อยู่ๆ หลังจากงานศพเพื่อนตัวเองของวันนี้จบลงก็โดนเด็กหนุ่มสองชายหนุ่มสองลากมานั่งในคาเฟ่แห่งหนึ่งแล้วยื่นรูปหนึ่งให้ตนดูพร้อมกับบอกเล่าสาเหตุที่ลากตนมาเช่นนี้
“จริง…ไฮซากิอาจไม่ได้ฆ่าตัวตาย” นิจิมุรเอ่ยเสียงเข้ม “นายพอรู้เรื่องของหมอนี่ไหม?”
“ครับ…หมอนี่ชื่อคุโซ ทามะเป็นคนที่เรียกได้ว่าเลวร้ายกว่าโชโงะคุงหลายขุมเลย” เมื่อเห็นว่ามันเกี่ยวกับเพื่อนตนผู้ล่วงลับ คิเสะ เรียวตะซึ่งนับว่าเป็นคนที่สนิทกับไฮซากิที่สุดก็ยอมบอกแต่โดยดี “และอย่างที่รู้ว่าหมอนี่เป็นแฟนเก่าโชโงะคุงที่จบกันไม่สวยเท่าไหร่น่ะครับ”
“ไอ้จบไม่สวยที่ว่านี่คือ?” นิจิมุระถามต่อ
“หมอนี่…คุโซคบซ้อนครับ พร้อมกันห้าคนเลย” คิเสะเบ้หน้าน้อยๆ เหมือนไม่อยากพูดเท่าไหร่นัก…เอาตามจริง เขาไม่ชอบการกระทำนี่ขอคุโซเท่าไหร่หรอกเพราะหมอนั้นเป็นพวกพอเบื่อก็จะเขี่ยทิ้งแบบไม่สนใจอีกฝ่ายเลย ถึงแม้เพื่อนหัวเทาของเขาก็มีพฤติกรรมคล้ายๆ กันก็เถอะ แต่อย่างน้อยรายนั้นก็คบทีละคนล่ะนะ “โชโงะคุงทนไม่ไหวเลยขอเลิกครับ แต่ที่จริงหมอนั้นไม่ยอมเลิกหรอก”
“เดี๋ยวนะเรียวตะ ไม่ยอมเลิกเหรอ?” อาคาชิถามเสียงเข้มราวกับทำกำลังทำหน้าที่ตำรวจสอบปากคำพยานอยู่
“อื้ม เห็นว่าไม่ยอมเลิกน่ะแต่โชโงะคุงอัดรายนั้นแล้วบังคับให้เลิกน่ะ” คิเสะเกาหัวนิดๆ …ที่จริงตอนนั้นเขาไปช่วยโชโงะคุงอัดเลยด้วยซ้ำ เพราะเหลือทนกับการกระทำและคำพูดรายนั้นเหมือนกัน
“แล้วนายคิดว่าโชโงะมันจะยอมติดต่อแฟนเก่าไหม?” โชจิถึงแม้มั่นใจว่าน้องตนไม่มีทางยอมติดต่อกับคนที่เคยทำตัวเองเจ็บง่ายๆ แต่ก็ยังอยากได้คำยืนยันว่าสิ่งที่ตนคิดนั้นถูกต้อง
“ไม่มีทาง” คิเสะส่ายหน้าวืดทันทีแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดแม้แต่น้อย
“เราได้เบาะแสเพิ่มล่ะ” เคียวที่จดลายละเอียดใหม่ที่ได้มาจากคิเสะลงสมุดอย่างครบถ้วนเอ่ยขึ้น “พรุ่งนี้หลังเผา…เราไปที่บ้านหมอนั้นกันไหม? เดี๋ยวฉันหาที่อยู่ให้”
“ไป” โชจิ นิจิมุระและอาคาชิตอบอย่างพร้อมเพรียง
“ผมไปด้วยสิ” คิเสะเอ่ยขึ้นมาอีกคน
“นายติดถ่ายแบบไม่ใช่เหรอ?” อาคาชิถามกลับ…จำได้ว่าก่อนหน้านี้คิเสะบ่นอยู่ว่ามีงานถ่ายแบบในวันเผาของไฮซากิพอดี และเห็นบอกว่าจะโดดสักครึ่งวันเพื่อไปร่วมงานเผานิ?
“โดดเอาสิ เรื่องโชโงะคุงสำคัญกว่า” คิเสะยักไหล่น้อยๆ …กะโดดครึ่งวันอยู่แล้ว แค่เปลี่ยนเป็นโดดเต็มวันจะเป็นไรไป? ยังไงก็โดนบ่นอยู่แล้ว
“โอเค ตกลงตามนี่” เคียวที่ไม่คิดห้ามหรืออะไรอยู่แล้วเพราะเป็นคนถามเองเอ่ย
“งั้นตอนนี้แยกย้าย” โชจิมองนาฬิกาพลางโบกมือไล่เด็กหนุ่มทั้งสามเป็นเชิงบอกว่าให้กลับบ้านใครบ้านมันได้แล้ว
“อื้ม / ครับ” แต่ละคน…รวมนายเคียวไปด้วยต่างขานรับพลางลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วไปจ่ายค่าเครื่องดื่มที่ตนกินไป
“อ๋อ และก็นะ…” ระหว่างที่เดินไปจ่ายเงินนั้น โชจิที่แอบเนียนเข้าใกล้นิจิมุระก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “…อย่าทำอะไรโง่ๆ ล่ะนิจิมุระ สูญเสียเท่านี้ก็เกินพอแล้ว”
“ผมไม่ทำงั้นหรอกครับ พอดีไม่อยากโดนไฮซากิงอนข้ามชาติ” นิจิมุระพูดอย่างติดตลกเล็กน้อย
“ก็ดี” โชจิพยักหน้ารับ…ถึงเขาไม่รู้ว่าคำพูดของเขาจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็คงพอเตือนสติได้บ้างล่ะ เขาไม่คิดว่าการที่สูญเสีย ‘แฟน’ ตัวเองไปแบบกะทันหันแบบนี้เป็นเรื่องที่สามารถทำใจได้ง่ายๆ หรอก แม้นิจิมุระพยายามทำตัวให้เข้มแข็งเพื่อไม่ให้เหล่ารุ่นน้องตัวเองเป็นห่วงแค่ไหนก็ตาม
“…” นิจิมุระทำเพียงส่งยิ้มให้โชจิเล็กน้อยก่อนที่จะเดินไปจ่ายเงินและพากันออกจากร้านแล้วพากันแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมันไป…ทว่านิจิมุระกลับไม่ได้เดินทางกลับบ้านหรือที่พักแบบคนอื่นอย่างที่โชจิบอกไว้ แล้วเดินเอื่อยๆ ไปทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ยาวในสตีทบาสอันไร้ผู้คนแทน “เฮ้อ…ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นด้วย?”
…ทำไม…ต้องเป็นไฮซากิด้วย?...
“ถ้าฉันอยู่ข้างๆ นาย…มันคงดีกว่านี้…” นิจิมุระบ่นพึมพำขึ้นมาเบาๆ แล้วปล่อยอารมณ์ของตนเองออกมาอย่างไม่มีการอดกลั้นก่อนหน้านี้ หยาดน้ำสีใสไหลรินออกมาจากดวงตาอย่างไม่ขาดสาย “ไฮซากิ…”
…หากเขาอยู่ด้วย…คงช่วยนายได้มากกว่านี้…
“นิจิมุระซัง…”
“!?” เสียงอันคุ้นหูที่อยู่ๆ ดังขึ้นมาจากด้านหลังทำให้นิจิมุระสะดุ้งเฮือกแล้วรับหันไปมองยังต้นเสียงอย่างรวดเร็ว…แต่ทว่ากลับพบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น “หูแว่วเหรอ…”
…เมื่อกี้…เหมือนได้ยินเสียงไฮซากิเลย…
“แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอกเนอะ” นิจิมุระถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วนั่งปล่อยให้เวลาที่ผ่านเลยไปช่วยบรรเทาความโศกเศร้าของตกลง…แค่เพียงเล็กน้อยก็ยังดี จนเมื่อเวลาผ่านไปเกือบสามชั่วโมงนิจิมุระจึงยอมลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินไปหาที่พักเพื่อพักผ่อนและเตรียมพร้อมร่ำลาคนที่เขารักเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งแน่นอนเขาไม่อยากเป็นลมหรืออะไรในงานเพราะนอนน้อยหรอกนะ
วันถัดมา นิจิมุระตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปงานศพในวันเผานี่และไปถึงที่งานก่อนคนอื่นเพราะอยากอยู่กับคนรักตนที่จากไปให้นานที่สุดก่อนที่จะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกตลอดกาล…และเมื่อถึงเวลาเผาเขาจำต้องเข้มแข็งให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้ใครต้องมาเป็นห่วงหรือกังวลใจไปมากกว่านี้
เมื่องานศพลงจบแล้ว ทุกอย่างคุณนายไฮซากิผู้สูญเสียลูกชายคนเล็กของตนเองไปและรับรู้สิ่งที่ลูกชายคนโตตนตั้งใจจะทำต่อจากนี้ก็อาสาจัดการที่เหลือต่อเองและทำการไล่โชจิไปจัดการเรื่องค้างคาใจของเจ้าตัวและตัวเธอเองให้เสร็จสิ้นไป ทางโชจิที่รู้จุดประสงค์ของมารดาตนก็พยักหน้ารับแล้วทำการเดินทางไปจุดหมายต่อไปพร้อมกับเด็กหนุ่มอีกสามคนโดยมีเคียวเป็นคนนำทาง
“ที่นี่สินะ?” พอมาถึงที่หมาย นายไฮซากิ โชจิก็มองสถานที่ที่นายฟุริฮาตะ เคียวพามาตรงหน้าด้วยสายตาน่ากลัว…สถานที่ที่เป็นที่อยู่ของอดีตคนรักของน้องเขาและอาจมีส่วนในการตายของน้องเขาด้วยเช่นกัน
“แล้วจะเข้าไปยังไงล่ะครับ?” คิเสะที่ตามมาด้วยถามขึ้นมา…ถึงรู้ที่อยู่และมาถึงยังจุดหมายได้แล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะหาทางเข้าไปได้ง่ายๆ นิ
“เข้าตรงๆ นี่แหละ” เคียวตอบกลับไปง่ายๆ สั้นๆ
“แล้วเขาจะให้เข้าเหรอครับ?” คิเสะถามต่อ…จะให้ไปเคาะประตูบ้านคนอื่นดื้อๆ แล้วขอเข้าไปหาลูกชายเขาเนี่ยนะ? หากมีแค่คนรุ่นเดียวกันอย่างเขานี่พออ้างว่าเป็นเพื่อนได้ แต่นี่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วยตั้งสองคนนะ จะหาข้ออ้างไหนเนี่ย?
“ให้เข้าสิ…เห็นงี้ฉันเป็นตำรวจนะ พอหาขออ้างเข้าไปคุยได้อยู่น่า” เคียวที่เพิ่งนึกได้ว่าคิเสะเป็คนเดียวที่ไม่รู้หรือไม่อาจเดาได้ว่าตนประกอบอาชีพอะไรเอ่ยเพื่อยุติคำถามของอีกฝ่ายลง
“อ๋อ” ทางนายแบบหนุ่มเมื่อได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้ารับแล้วยอมหยุดถามแต่โดยดี ทางเคียวเมื่อเห็นว่าคิเสะหมดข้อสงสัยแล้วจึงทำการเดินไปยังหน้าบ้านเป้าหมายและกดกริ่งเรียกทันทีอย่างไม่รีรอ
กิ๋งก๊อง…
“ค่าาาาาา” เสียงของหญิงคนหนึ่งดังขานรับขึ้นมา และไม่นานเกินรอหลังจากนั้นก็มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งมาเปิดประตูให้แล้วมองผู้มาเยือนอย่างงุนงง “มาหาใครคะ?”
“สวัสดีครับคุณนาย ผมฟุริฮาตะ เคียวจากกรมตำรวจครับ” เคียวส่งยิ้มร่าให้อีกฝ่ายพลางเอ่ยอย่างน่าเชื่อถือสมกับอาชีพของตนต่างจากท่าทีบ้าๆ บอๆ ยามปกติ (เดี๋ยวๆ บรรยายฉันดีๆ หน่อยสิ อุตสาห์ได้เท่ทั้งที // เคียว , เรื่องสิ แบบนั้นก็ไม่สนุกเราอ่ะสิ // S) “ผมมีเรื่องจะสอบถามคุโซ ทามะลูกชายคุณสักหน่อย ไม่ทราบว่าเขาอยู่ไหมครับ?”
“เฮ้อ ไอ้ลูกตัวดีไปก่อเรื่องมาอีกแล้วสินะ” หญิงวัยกลางคนถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเอ่ยประโยคที่บ่งบอกว่าเคยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาหาลูกชายตนหลายคราแล้วออกมาโดยไม่ติดใจสงสัยว่าทำไมถึงมีเด็กมัธยมปลายมาด้วย…หรือไม่ก็อาจไม่รู้ว่ามีเด็กหนุ่มสามคนอยู่ในกลุ่มเคียวด้วยซ้ำ เพราะทั้งสามนั้นต่างอยู่ในชุดสุภาพเนื่องจากเพิ่มกลับจากงานศพกันมาก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยประการใดมันก็ทำให้หญิงเจ้าของบ้านนั้นยอมให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่อย่างเคียวเป็นอย่างดี “อยู่ค่ะ แต่ช่วงนี้ทามะเป็นอะไรไม่รู้เอาแต่คลุมโปงอยู่ในห้อง หากสอบถามอะไรอาจคุยยากนิดหน่อยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ…เพราะงั้นขอพบเขาได้ไหมครับ?” เคียวเอ่ยอย่างเป็นมิตรเพื่อสร้างความไว้วางใจให้อีกฝ่าย
“ได้ค่ะ เชิญตามเข้ามาเลยค่ะ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยก่อนที่จะเดินนำเหล่าหนุ่มๆ ทั้งหลายไปยังชั้นสองของบ้านก่อนที่จะหยุดหน้าประตูบ้านหนึ่ง “ทามะ นี่แม่เองนะ…ขอเข้าไปนะลูก”
แอ๊ด…
คุณนายคุโซเอ่ยเรียกลูกชายตนแค่เพียงครั้งเดียวก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปภายในห้องเสียดื้อๆ เผยให้เห็นห้องที่ออกแนวรกๆ ตามประสาวัยรุ่นผู้ชายทั่วๆ ไป โดยที่บนเตียงนั้นมีร่างหนึ่งขดเป็นก้อนกลมอยู่ในผ้าห่มตัวสั่นงกๆ อย่างน่าแปลกใจ “ทามะ คุณตำรวจเขาอยากคุยกับลูกแหน่ะ ลุกขึ้นหน่อย”
“!?” พอได้ยินคำพูดจากมารดาตน ร่างบนเตียงก็รีบลุกพรวดขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าหากลุ่มพวกเคียวทันที “คุณตำรวจครับช่วยด้วย! ช่วยจับผมที!!!”
“เอ๊ะ?” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ทุกคนก็หลุดเหวอกันออกมาอย่างพร้อมเพรียง โดยเฉพาะ…
“เออ…เดี๋ยวนะ ฉันไม่ใช่…” …โชจิที่โดนเด็กหนุ่มที่ทำผมราวเอาสว่านติดหัวโดดมาเกาะ…หน้าตาเขาปานจิ๋กโก๋แบบนี้ดูยังไงว่าเป็นตำรวจฟะ!?
“เดี๋ยวๆ ตำรวจน่ะฉัน ส่วนนั้นพี่ชายผู้เสียหาย…” เคียวที่โดนมองข้ามหัวเสียดื้อๆ สะกิดทามะเล็กน้อย…ถึงมาดเขาไม่ให้เป็นตำรวจก็เถอะ แต่โชจิดูเหมือนตำรวจกว่าเขาตรงไหนล่ะนั้น?
“ยังไงก็ช่าง! ช่วยจับผมไปที!!!” ทามะเอ่ยอย่างน่าสงสารก่อนที่จะสะดุ้งเฮือกแล้วรีบถอนห่างจากโชจิราวโดนของร้อนด้วยท่าทางเหมือนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง “อ๊ากกกก!!! ฉันขอโทษ! ไฮซากิ! ฉันขอโทษ!!!”
“…ไม่มีวัน…อภัยหรอก ที่ผลัก”
“เฮือก!” นิจิมุระที่มองภาพตรงหน้าพลางคิดว่าอีกฝ่ายนั้นเสียสติไปแล้วหรือเปล่านั้น อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นธูปที่ลอยมาอย่างแผ่วเบาในอากาศ
“เป็นอะไรไปนิจิมุระซัง?” อาคาชิที่สังเกตถึงท่าทางผิดปกติของรุ่นพี่ตนเอ่ยถามขึ้น
“เหมือนได้ยินเสียงแว่วๆ …” นิจิมุระเลือกที่จะบอกตามตรงเนื่องจากรู้ดีว่าไม่สามารถโกหกอาคาชิได้ “…และกลิ่นธูป…กลิ่นเดียวกับในงานศพของไฮซากิ”
“เฮ้ยๆ ถึงฉันเป็นตำรวจและเกินคนไปไกลก็ใช่ว่าฉันจัดการผีได้นะเฮ้ย” เคียวถึงแม้จะไม่กลัวผีและเกินคนนิดๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะจัดการกับสิ่งที่มองไม่เห็นได้หรอก
“ไอ้บ้า! อย่าพูดถึงน้องฉันอย่างนั้นนะเฟ้ย!” โชจิเตะแข้งเคียวไปหนึ่งทีข้อหาพูดจาไม่เข้าหูตน
“อุ๊ย! ขอโทษจ้า!” เคียวที่ไม่ค่อยได้รับผลจากแรงเตะนี่นักเพราะถึก (?) หง่อยลงเล็กน้อยด้วยความที่กลัวโดนเมียงอน (?)
“เออ เลิกเล่นก่อนเถอะครับ” คิเสะที่เห็นว่าแต่ละคนเริ่มออกนอกเรื่องกันแล้วเลือกที่จะเดินเข้าไปใกล้ทามะ “นี่คุโซ…นายจำฉันได้ไหม?”
“คิเสะ!?” คุโซ ทามะที่เห็นหน้าตาของคนที่ตนรู้จักรีบรุกเข้าหาทันที “คิเสะ! นายสนิทกับไฮซากิที่สุดเพราะงั้นช่วยบอกให้ไฮซากิหยุดที!!! ฉันไม่ไหวแล้ว!”
“แล้วมันเรื่องอะไรกันล่ะ!?” คิเสะตวาดลั่นอย่างหัวเสีย
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ…ฉันไม่ได้ตั้งใจ!!!!” ทามะเอ่ยพำพึมไปมา “ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้ไฮซากิตกลงไป!!!”
“หมายความว่าไงห๊า!?” โชจิคิ้วกระตุกยิกๆ ด้วยความรู้สึกที่อยากกระชากคออีกฝ่ายมาเต้นคอให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“เย็นไว้พวก เย็นไว้” เคียวที่ราวกับรู้ความคิดของเพื่อนตนรีบจับคอเสื้อโชจิไว้ก่อนที่จะพุ่งไปอัดใครเข้าจริงๆ
“…ที่ว่าตกลงไป…หมายความว่าไง? ลูกทำอะไรลงไปน่ะ?” หญิงวัยกลางคนถามขึ้นมาอย่างนึกสงสัยในคำพูดของลูกชายตน
“ผมทำคนตายแม่! ผมฆ่าคน! ถึงมันเป็นอุบัติเหตุแต่ก็เป็นเพราะผม! และไฮซากิไม่อภัยผม!” คำพูดที่หลุดออกมาจากปากทามะทำให้ผู้เป็นมารดาถึงกับแข็งทื่อราวโดนสาปเป็นหิน
“ก็อธิบายมาทีสิ!!!” คิเสะที่หมดความอดทนเหมือนกันกระชากคอเสื้อคนที่ดูราวเสียสติในยามนี้ “นายทำอะไรโชโงะคุงกันแน่!? ทำไมโชโงะคุงถึงตาย! และ…ทำไมนายไม่แม้แต่เรียกคนมาช่วยตอนโชโงะคุงตกลงไปห๊า!? ตอบมาเซ่!”
“เรียวตะ ใจเย็น” อาคาชิที่มีสติมากที่สุดเอ่ยขึ้นมาเสียงเย็น
“แต่!!!” คิเสะทำท่าจะเถียงกลับ แต่ก็ชะงักไปเมื่อเห็นสายตาของคนผมแดง…ที่เต็มไปด้วยความโกรธไม่ต่างจากตน แต่ยังพยายามอดกลั้นไว้…
…และหากระเบิดออกมาเมื่อไหร่หายนะบังเกิดแน่ ซึ่งแน่นอนว่าคิเสะไม่อยากไม่เป็นคนไปสะกิดระเบิดเข้าเลยยอมสงบสติอารมณ์ของตนแต่โดยดี
“ถ้ายังโวยวายแบบนี้หมอนี่ก็ตอบอะไรไม่ได้สิ” อาคาชิเหล่มองคนที่ราวกับเสียสติก่อนที่จะบู้ใบ้ไปทางนายตำรวจเพียงคนเดียวในที่นี่ “และคนเรื่องนี้ให้เคียวซังจัดการเถอะ อย่างน้อยเป็นตำรวจคงเคยรับมือกับเหตุการณ์นี้บ้างแหละ”
“จะผิดไหมหากบอกว่าส่วนใหญ่ไอ้เซย์เพื่อนฉันเป็นคนทำหน้าที่นี้?” เคียวส่งยิ้มแห้งๆ ให้…ปกติหน้าที่สอบปากคำเนี่ย คนอื่นๆ ในสถานีไม่ค่อยยอมให้เขาทำหรอก เพราะกลัวจะไปทำให้ใครเขาปวดจิตตายเข้า
“แล้วไม่เคยสอบปากคำเลยหรือไงครับ?” อาคาชิถามกลับ
“ก็เคยก่อนย้ายมาที่นี่” เคียวตอบกลับไป
“ถ้างั้นก็สอบถามไปครับ” อาคาชิเอ่ยหน้าตาเฉย…เล่นซะเคียวเริ่มสงสัยว่าตกลงตนหรืออีกฝ่ายกันแน่ที่อายุมากกว่า
“…” นิจิมุระที่นิ่งเงียบมาตลอดมองภาพความวุ่นวายก่อนที่จะตัดสินใจที่จะเอ่ยปากออกมา “…นี่…ช่วยบอกมทีเถอะ ทำไมนายถึงผลักไฮซากิลงไป?”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ!!!” ทามะตะโกนขึ้้นมาเสียงดังจนทั้งห้องสะดุ้งโหยง
“ถึงฉันไม่รู้ว่าหลอนเองหรือเปล่า แต่เหมือนฉันได้ยินเสียงไฮซากิบอกว่า ‘…ไม่มีวัน…อภัยหรอก ที่ผลัก’ นะ” นิจิมุระถึงแม้ไม่รู้ว่าหลอนไปเองหรือเปล่า แต่ก็ลองที่จะเอ่ยถึงสิ่งที่ตนได้ยินไปเผื่อว่าอีกฝ่ายจะยอมสารภาพหรืออะไรออกมาบ้าง
“นายได้ยิน! ได้ยินเหมือนกัน!” คราวนี้ทามะพุ่งมาตะคุบตัวนิจิมุระทันทีพร้อมกับคำพูดที่บ่งบอกว่า…คำพูดของนิจิมุระนั้นเหมือนกับที่ทามะได้ยิน “เพราะงั้นช่วยหยุดที!!!”
“ถ้านายยอมเล่าเรื่องทั้งหมดมาอาจทำให้ไฮซากิหยุดก็ได้” นิจิมุระเอ่ย…เหมือนคำพูดจะเหมือนกำลังหลอกเด็กไปหน่อย แต่ถ้ามันทำให้เขารู้ความจริงทั้งหมดได้มันก็น่าลองเสี่ยงดูสักตั้ง
“ได้! ฉันจะเล่า!” พอได้ยินแบบนี้ทามะก็รีบเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างรวดเร็วจนลิ้นแทบพันกัน เคียวเองก็เตรียมเครื่องบันทึกเสียงมาบันทึกคำบอกเล่าของผู้ต้องสงสัยทั้งหมดอย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน
“สรุป…นายเรียกโชโงะไปที่นั้นโดยการข่มขู่เล็กน้อย เพื่อที่จะขอคืนดีสินะ?” หลังจากที่ฟังเรื่องราวที่เล่าละเอียดจนแทบเห็นภาพได้ เคียวก็เอ่ยสรุปออกมาง่ายๆ สั้นๆ “แล้วทีงี้โชโงะไม่ยอมคืนดีด้วยเลยเกิดการเถียงกัน และนายก็เลยผลักโชโงะไปด้วยความโกรธแล้วบังเอิญตรงนั้นเป็นประตูไว้สำหรับพนักงานทำความสะอาดเปิดออกไปเพื่อติดตั้งนั่งล้างทำความสะอาดหน้าต่างพอดี…ด้วยความที่ที่นั้นถูกทิ้งร้างไว้นานประตูเลยเกิดสนิทแล้วหลุดเปิดออกจากที่นายผลักโชโงะไปจนหมอนั้นตกลงไปสินะ? และพอลงไปดูก็พบว่าโชโงะตายแล้วเลยหนีไปสินะ?”
“ครับ…” ทามะที่สงบสติอารมณ์ลงได้หลังจากทีเล่าเรื่องทั้งหมดออกมาพยักหน้ารับ
“นี่คือทั้งหมดใช่ไหม?” เคียวถมต่อ ทางทามะเองก็พยักหน้ารับอีกระรอบ
“ไม่…โกหก…”
“อึก!” นิจิมุระสะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆ ได้ยินเสียงผู้ล่วงลับไปอีกครั้งพร้อมกับกลิ่นที่ลอยมาเช่นเดิม
“เป็นอะไรอีกล่ะ?” โชจิหันไปมองนิจิมุระที่อยู่ๆ สะดุ้งซะงั้น
“ได้ยินเสียงอีกแล้วสินะครับ?” อาคาชิเอ่ยขึ้น…ถึงเขาไม่เชื่อเรื่องวิญญาณ แต่จากคำพูดของรุ่นพี่เขา เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกหรือหลอนไปเองแน่
“อื้ม…จนเริ่มไม่รู้แล้วว่าฉันหลอนไปเองหรือเปล่า” นิจิมุระถอนหายใจออกมาเบาๆ
“แล้วเสียงนั้นบอกว่า?” โชจิถามต่อ…จากเมื่อกี้ที่ทำให้ไอ้หัวสว่านนี่สารภาพออกมาได้แล้ว คราวนี้อาจเป็นเรื่องสำคัญอีกก็ได้
“ไม่กับโกหก” นิจิมุระเอ่ยสิ่งที่ตนได้ยิน…และคำพูดนั้นทำให้ทามะสะดุ้งเฮือก
“สะดุ้งแบบนี้ชัดเจน” คิเสะกรอกตาไปมา
“เอาให้หมดๆ ซะ” เคียวเอ่ยในเชิงข่มขู่เล็กน้อย…ที่จริงไม่อยากเล่นบทโหดหรอกนะ แต่ถ้าไม่ทำ มีแววโชจิได้ตื้บหมอนี่ตายก่อนที่เขาจะได้สอบถามหรืออะไรเพิ่มเติมเพื่อปิดคดีให้ถูกต้องจริงๆ น่ะสิ!!!
“คือ…หลังไฮซากิตกลงไปจริง ไฮซากิยังไม่ตาย” ทามะเอ่ยเสียงแผ่ว
“แล้วทำไมไม่ตามคนมาช่วยวะ!?” โชจิแว๊ดลั่นด้วยความโกรธที่ยากจะห้าม…หากมันไปหาคนมาช่วยอย่างน้อยน้องเขาอาจจะรอด และถึงจะไม่รอดมันก็ถือว่าเป็นโชคร้ายเท่านั้น แต่นี้มันปล่อยน้องเขารอความตายเฉยๆ! จะไม่ให้โกรธได้ไงวะ!?
“โชจิ…ฉันรู้ว่านายโกรธนะ แต่ช่วยใจเย็นทีเถอะ แบบนี้ฉันทำงานไม่สะดวกนะ” เคียวเอ่ยปรามเพื่อนตน
“ชิ!” โชจิเบ้หน้าน้อยๆ อย่างไม่พอใจ แต่ก็ไม่ว่าอะไรและยอมสงบอารมณ์ของตนลงเพื่อให้เคียวสามารถทำหน้าที่ตัวเองได้
“ทำไมตอนนั้นายไม่เรียกใครมาช่วย” พอโชจิอยู่เงียบๆ เคียวก็เริ่มทำการสอบปากคำต่อ
“ฉันกลัว…กลัวจนทำอะไรไม่ถูก เลย…” ทามะพอโดนถามก็เอ่ยตอบกลับมาเสียงแผ่ว
“โอเค พอเข้าใจล่ะ” เคียวพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะมีหลายคราวเหมือนกันที่ผู้ต้องหากระทำเช่นนี้ด้วยความกลัว “แล้วหลังจากนั้น?”
“หนีกลับมาบ้านและ…โดนไฮซากิตามหลอกหลอน” ทามะเอ่ยต่อเสียงสั่นๆ
“ไม่ขำนะเฟ้ย” โชจิแยกเขี้ยวใส่…ไอ้การว่าน้องเขาเป็นเหมือนวิญญาณอาฆาตนี่ยังไงก็อดปริ๊ดไม่ได้จริงๆ
“ผมพูดจริงนะ!!!” ทามะเอ่ยยืนยันในสิ่งที่ตนพูด “ไฮซากิมา…ในสภาพเดียวกับตอนตายทุกวันๆ จนผมจะสติแตกแล้ว!!! เอาแต่พูดว่าไม่ให้อภัยกับเจ็บ! ขอร้อง! ช่วยด้วย! ไม่ไหวแล้ว!!!”
“…ฉันว่าสภาพนี้ก่อนสอบปากคำเพิ่มเติม คงต้องพาไปโรงพยาบาลก่อนล่ะ” เคียวได้แต่ถอนหายใจด้วยความปลง…นี่บาปกรรมจากการที่เขาป่วนคนอื่นไว้เยอะหรือไง? วันนี้ถึงต้องมาทั้งพยายามปลามเพื่อนตัวเองไม่ให้ตื้บคน ทั้งต้องมาสอบปากคำคนที่จับไข้หัวโกร๋นแบบนี้เนี่ย
“พาผมไปด้วยก็ดีนะ…รู้สึกว่าเหมือนเพี้ยนตามแล้วที่ได้ยินเหมือนกันเนี่ย” นิจิมุระที่รู้สึกว่าไม่ต่างจากคนที่กำลังคลังพยายามขอให้จับตัวเองเข้าคุกเท่าไร่นักเอ่ยขึ้น
“ผมอยู่นี่จริงๆ นะ…”
“!?” นิจิมุระสะดุ้งเฮือกกับเสียงและกลิ่นที่มาแบบเดิมเป๊ะๆ จนชวนหลอนนิดๆ …และเจ้าตัวคงรู้สึกกลัวจริงๆ กับสิ่งลี้ลับแบบนี้ หากไม่ติดว่าเสียงนี่เป็นของคนรักตนที่จากไป แถมเสียงยังออกไปทางน้อยใจนิดๆ ด้วย
“คราวนี้อะไรครับ?” อาคาชิที่เป็นคนที่สังเกตเห็นความผิดปกติอีกตามเคยถาม
“คราวนี้ได้ยินว่า…” นิจิมุระกำลังจะเอ่ยปากตอบเด็กหนุ่มผมแดงกลับไป แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคพูดแสนเบาบางที่ลอยมาในอากาศ
“ผมอยู่ตรงนี้จริงๆ นะ…ผมอยู่ตรงนี่ เห็นผมทีนิจิมุระซัง…อึก…”
“…” พอได้ยินเสียงปนสะอื้นของคนที่ตนรัก นิจิมุระก็ถึงกับพูดอะไรต่อไม่ออกและรู้สึกผิดกับผู้ล่วงลับไปเนื่องจากดูท่าที่อีกฝ่ายร้องไห้จะเป็นเพราะตนเสียด้วย
“นิจิมุระซัง?” อาคาชิมองอีกฝ่ายที่อยู่ๆ นิ่งไปพลางโบกมือไปมาตรงหน้าอีกฝ่าย
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” นิจิมุระตัดสินใจไม่บอกในสิ่งที่ตนได้ยินกับจอมมารแดง เอ้ย! อาคาชิไป “กลับกันเถอะ…หมดเรื่องแล้ว”
“โอเค…เดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการต่อเอง” เคียวโบกมือไล่เชิงว่าให้คนอื่นๆ กลับไปก่อน ส่วนที่เหลือตนจะจัดการเอง ทางเหล่าคนโดนไล่ที่เห็นว่าต่อจากนี้ควรเป็นหน้าที่ของตำรวจตัวจริงอย่างเคียวจริงๆ จึงพยักหน้ารับแล้วพากันเดินออกจาบ้านที่พวกตนแอบตีเนียนเป็นเพื่อนร่วมอาชีพของเคียวแล้วแยกย้ายกันไปทางใครทางมันแต่โดยดี
“…” นิจิมุระซึ่งรีบแยกตัวออกมาก่อนชาวบ้านโดยอ้างว่ามีธุระ เดินตามทางไปเรื่อยๆ จนมาถึงยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมา เจ้าตัวมองซ้ายมองขวาเล็กน้อยก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาเบาๆ “…ไฮซากิ…นายอยู่นี่…จริงๆ ใช่ไหม?”
“ครับ…ได้ยินผมไหม?”
“ได้ยินสิ…แต่ไม่เห็น…” นิจิมุระที่ได้กลิ่นธูปกับเสียงอีกครั้งตอบกลับไป “…นาย…อยากให้ฉันไปอยู่กับนายไหม?”
“ไม่!!!” เสียงตะโกนลั่นดังขึ้นพร้อมกับลมที่อยู่ๆ กรรโชกแรงทำให้นิจิมุระสะดุ้งโหยง “ผมไม่อยากให้คุณตายตามมานะไอ้รุ่นพี่บ้า!!! งี่เง่า!!! ถึงผมเหงาแต่…แต่ไม่อยาก…ให้…อึก”
“รู้แล้วๆ แหม ขี้แงขึ้นนะเนี่ย” นิจิมุระได้แต่ยิ้มแห้งๆ …ก็ในหนังเห็นเขาว่าหากผีโผล่มาหาแปลว่าจะมาเอาชีวิตนี่หว่า เลยพูดเล่นๆ ไม่คิดว่าจะถึงขั้นร้องไห้นิ
“ก็คุณเล่นพูดเหมือนจะตามผมมานิไอ้รุ่นพี่หน้านก!!!”
“นี่ถ้าไม่ติดว่าไม่เห็นนาย ฉันคงจับนายดัดหลังไปแล้วนะเนี่ย” นิจิมุระกรอกตาไปมากับคำด่าของอีกฝ่าย…รู้ก็รู้ว่าเขาไม่ชอบโดนว่าแบบนี้ยังจะว่าอีก เขาหน้าเหมือนนกตรงไหน!? (ทุกตรง // S , ยัยบ้าเอ้่ย!!! // นิจิมุระ , ก็บ้าน่ะสิ!!! // S)
“งั้นถือว่าโชคดีที่คุณไม่เห็น”
“ก็นะ” นิจิมุระยักไหล่น้อยๆ กับน้ำเสียงที่ฟังดูดีขึ้นเล็กน้อยของไฮซากิที่ยามนี้ตนไม่อาจเห็นหรือสัมผัสได้ แต่แค่ได้ยินเสียงนี่ก็ดีถมล่ะ “แล้ว…นายจะเอาไงกับหมอนั้นต่อ?”
“หมายถึงไอ้ทามะ? ก็ไม่ทำไง ให้มันติดคุกหรือโดนส่งโรงบาลจิตเวชนั้นแหละ”
“ไม่หลอกต่อ?” นิจิมุระเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ …ตอนแรกคิดว่าจะหลอกให้ตายกันไปข้างเสียอีก
“ไม่ล่ะ หมอนั่นได้สิ่งที่ควรรับแล้ว”
“เหรอ…” นิจิมุระพยักหน้ารับ “…แล้วนาย…ไม่ไปเกิด?”
“ไม่รู้ทางไป”
“ซะงั้น” นิจิมุระเอ๋อไปวูบหนึ่งกับคำตอบที่ได้รับ “แต่ก็ดี…ถึงได้ยินแค่เสียง แต่ก็ยังมีนายข้างๆ ล่ะนะ”
“ไม่กลัวโดนสิงหรือไงนิจิมุระซัง?”
“ไม่ และถึงโดนสิงฉันก็ไม่คิดอะไรหรอก” นิจิมุระหัวเราะเบาๆ …ต่อให้โดนสิงจริงๆ เจ้าตัวก็คิดว่าตนคงไม่สนใจนักหรอก
“เหรอ?” เสียงไฮซากิดังตอบกลับมา จากนั้นทั้งคู่ก็พากันคุยกันเล่นไปในสถานที่ซึ้งไร้ผู้คนแห่งนี้ไปโดยไม่สนว่าเวลาได้ล่วงเลยไปขนาดไหนแม้แต่น้อย
หลายสิบปีผ่านไปหลังจากที่คดีของไฮซากิ โชโงะจบลงโดยที่ผู้กระทำผิดได้ถูกจับกุ่มและส่งไปโรงพยาบาลจิตเวชด้วยอาการคุ้มคลั่งที่เกิดเป็นระยะๆ และหลังจากที่นิจิมุระ ชูโชวนั้นได้รู้ว่าตนสามารถได้ยินเสียงคนรักของตนผู้ล่วงลับไปแล้วได้นั้น นิจิมุระก็ได้ใช้ชีวิตโดยมีไฮซากิซึ่งไม่อาจมองเห็นร่างได้มาตลอด แถมยังยังลงทุนถึงขนาดซื้อบ้านแบบที่เสียงภายในไม่มีทางหลุดรอดไปภายนอกได้เพื่อสามารถคุยกับไฮซากิได้โดยไม่มีใครหาว่าบ้าอีกต่างหาก บ้านก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีขโมยเพราะหากมีมาไฮซากิจะหลอกหลอนจนหนีกระเจิงไปหมด…แต่โดยรวมก็ถือว่าอยู่อย่างสงบสุขดีแม้มีวิญญาณตามติด จนกระทั่งวันหนึ่ง…
“นิจิมุระซัง! นิจิมุระซัง!…เรื่องใหญ่แล้ว!” …อยู่ๆ เสียงไฮซากิร้องตะโกนโวยวายก็ดังขึ้นมา
“มีอะไรเหรอ?” นิจิมุระเลิกคิ้วอย่างแปลกใจกับเสียงที่ดูร้อนร้นแปลกๆ ของคนรักที่ตนมองไม่เห็น
“คุณน่ะ…ใกล้สิ้นอายุขัยแล้ว! รีบไปทำบุญต่ออายุเลยนะ!!!”
“ดูออก?” นิจิมุระเลิกคิ้วน้อยๆ …ไม่ยักรู้ว่ามันดูว่าใครกำลังจะตายออกด้วยแฮะ ถึงแม้ไฮซากิจะเป็นผีก็เถอะ
“ตาแก่เจ้าที่บอกมา…ไม่สิ ใช่เวลาสนใจเรื่องนั้นไหม!? ไปวัดเลย!!!”
“ไม่เอาหรอก…ก็ฉันกำลังจะได้ไปอยู่นายสักที” นิจิมุระส่ายหน้าวืดบ่งบอกว่าตนไม่คิดที่จะไปต่ออายุขัยของตนออกไปจริงๆ
“ช่วยอยากอยู่นานๆ แบบชาวบ้านหน่อยเถอะ!”
“แค่นี้ฉันก็ตั้งสี่สิบกว่าแล้วนะ” นิจิมุระกรอกตาไปมา
“แค่สี่สิบกว่าต่างหาก แถมยังไม่เคยแต่งงาน…ตายแบบโดดเดี่ยวไปนะผมว่า”
“ก็นายชิงตายก่อนนั้นแหละ ฉันเลยไม่ได้แต่ง” นิจิมุระเถียงกลับ…ที่เขาไม่ได้แต่งเพราะอีกฝ่ายดันชิงตายก่อนเขานี่แหละ!
“ผมก็บอกแล้วนะว่าให้คุณไปหาคนอื่นได้”
“ฉันไม่อยากไปนิ” นิจิมุระเอ่ย…จริงอยู่ว่าไฮซากิบอกเขาให้แต่งงานมีครอบครัวอย่างชาวบ้านเขาเสียที แต่เขาไม่อยากแต่งนิด อีกอย่างไปหาคนมาแต่งงานด้วยทั้งๆ ที่ใจเขายังรักไฮซากิเนี่ย คนคนนั้นจะน่าสงสารเกินไปอีก “อยากรู้จักแฮะตอนนี้หน้านายยังเหมือนตอนม.ปลายหรือว่าหน้าตาเละๆ เหมือนในหนังผี”
“ไอ้รุ่นพี่บ้า ใช่เวลาเล่นไหมเนี่ย?”
“น่าๆ” นิจิมุระหัวเราะเบาๆ …กล้าพนันเลยว่า ตอนนี้ไฮซากิต้องกำลังทำหน้างอใส่เขาเป็นแน่
“เฮ้อ คุณเนี่ยน้า…จะไม่ไปต่ออายุจริงๆ เหรอ? ถ้าต่ออย่างน้อยคุณยังอยู่ได้อีกยี่สิบปีนะ”
“ไม่ จะเลื่อนเวลาเจอนายออกไปทำไมล่ะ?” นิจิมุระยักไหล่อย่างไม่กลัวความตายที่เข้ามาใกล้แม้แต่น้อย
“คุณนี่ดื้อจริง”
“เหมือนนายไง” นิจิมุระเถียงกลับไป
“ไม่ต้องมาย้อนเลยครับ” เสียงอันบ่งบอกถึงความเหนื่อยใจและจำยอมต่ออีกฝ่ายดังขึ้นมาจากความว่างเปล่า นิจิมุระเมื่อได้ยินแบบนี้ก็ได้แต่หัวเราะเบาๆ และเปลี่ยนเรื่องคุยกับวิญญาณของไฮซากิไป
ไม่กี่วันถัดมาหลังจากที่ไฮซากิมาบอกเรื่องที่ว่านิจิมุระนั้นใกล้ถึงเวลาตาย ในคืนที่แสนจะร้อนอบอ้าวชายหนุ่มได้ตื่นมากลางดึก…โดยที่เห็นร่างของตัวเองนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง ไร้ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าลมหายใจบางบอกว่าชีวีของร่างนี้หลุดลอยออกไปแล้ว
“อื้ม…เร็วกว่าที่คิดนะเนี่ย” นิจิมุระเอียงคอน้อยๆ น้ำเสียงหาได้มีความเสียใจหรืออะไรนอกเหนือจากความสงสัยแม้แต่น้อย
“ไหลตายเนี่ยนะ…มามุขนี้เลยแฮะ” เสียงบ่นอุบอิบที่ดังขึ้นมาอย่างชัดเจนกว่าตลอดมาที่นิจิมุระได้ยิน ทำให้ชายหนุ่มหันไปมองยังต้นเสียง…และพบกับร่างของเด็กหนุ่มผมเทาที่คุ้นเคยยืนทำหน้าปลงสุดแสนอยู่
“ไงไฮซากิ…ไม่เจอกันนานเลยนะ” นิจิมุระยิ้มร่าแล้วโบกมือทักทายคนรักตนที่ได้ยินแต่เสียงมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี่
“ไม่ต้องมาไงเลยครับ บอกให้ทำบุญต่ออายุก็ไม่เชื่อ” ไฮซากิเบ้หน้าน้อยๆ
“ก็อยากเจอนายนี่หว่า” นิจิมุระที่ยังไม่ค่อยชินกับตนสภาพวิญญาณนัก แต่ยังอุตสาห์หาทางลอยไปใกล้ไฮซากิได้แล้ว… “และขอลงโทษที่ทิ้งฉันมาตั้งนานหน่อยนะ”
“…” …ประทับริมปากตนลงบนปากคนผมเทาเบาๆ จนไฮซากิถึงกับแข็งค้างไปเล็กน้อย ก่อนที่จะอ้าปากพะงาบๆ คล้ายปลาขาดน้ำคาดว่าสมองกำลังประมวลผลว่าเกิดอะไรขึ้นและควรด่าอีกฝ่ายยังไงอยู่ “ไอ้รุ่นพี่บ้า! ทำอะไรวะเนี่ย!?”
“คำสุภาพ” นิจิมุระเขกหัวอีกฝ่ายไปหนึ่งที
“ขอโทษครับ!!!” ไฮซากิที่ไม่ได้โดนเขกหัวซะนานร้องโอดครวญอย่างเจ็บๆ
“แหมๆ จะเล่นอะไรขอปู่ออกไปรอนอกห้องก่อนได้ไหม?” เสียงพูดทุ้มนุ่มฟังชวนสบายหูดังขึ้น ทำให้นิจิมุระที่มัวสนแต่คนผมเทานั้นเพิ่งสังเกตเห็นว่าที่ด้านหลังคนผมเทานั้นมีชายหนุ่มผมสีน้ำเงินหน้าตาหล่อเหล่า ผู้มีนัยน์ตาเป็นรูปจันทร์เสี้ยว ในชุดกิโมโนที่ดูโบราณ (หรือแขกรับเชิญจากเรื่อง Touken ด้วยความขี้้เกียจคิดตัวละครใหม่นั้นเอง // S , แหมๆ เล่นแนะนำปู่แบบนี้เลยนะ // มิคาสึกิ) กำลังยืนหัวเราเบาๆ อยู่ราวคนแก่
“นั่นคือ?” นิจิมุระเลิกคิ้วน้อยๆ อย่างสงสัย
“คุณเจ้าที่น่ะ” ไฮซากิตอบกลับไป
“…ไม่ได้แอบนอกใจฉันใช่ไหม? เจ้าที่เล่นหล่อขนาดนั้นเนี่ย” นิจิมุระเอ่ย…ถึงรู้ว่านิสัยซากิคงไม่มีทางทำเช่นนั้น แต่ก็อดคิดแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
“จะบ้าเหรอ!? ใครมันจะปันใจให้ตาแก่อายุหลายร้อยปีแบบนั้นกัน!?” ไฮซากิแยกเขี้ยวใส่คนรักตน
“งั้นก็ดี” นิจิมุระยิ้มอย่างพอใจ ในขณะที่วิญญาณเจ้าที่ที่รู้สึกเหมือนว่าตอนนี้ตนเป็น กขค. อยู่นั้นก็เดินไปหลบที่ห้องอื่น ปล่อยให้คู่รักข้ามภพ (?) นี้ได้คุยกันไป
“ว่าแต่…คุณเล่นตายแบบนี้ ใครจะมาเก็บร่างคุณล่ะเนี่ย?” ไฮซากิพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะรู้ตัวว่า กขค. ได้หนีไปแล้วและ…เมื่อไม่มีใครยืนขัดบรรยากาศแล้วนั้นมีโอกาสสูงมากที่นิจิมุระอาจทำอะไรแปลกๆ กับตนแน่หากไม่ทางเรื่องอื่นคุยแทน
“ไม่รู้ โผล่ไปหลอกอาคาชิให้มาเก็บร่างให้มั้ง” นิจิมุระยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
“เอาจริง?” ไฮซากิเลิกคิ้วน้อยๆ …ถ้าทำจริงเขากล้าพนันเลยว่าอาคาชิได้บ่นนิจิมุระแบบสลับบทบาทรุ่นพี่รุ่นน้องแน่ อย่างอาคาชิเขาว่าคงไม่กลัวผีหรอก
“ล้อเล่น” นิจิมุระหัวเราะเบาๆ “ปกติทุกวันโชจิซังจะมาหา นายก็รู้นิ?”
“ก็นะ…และพี่มาเจอคุณตายแล้วเนี่ยคงตกใจน่าดู” ไฮซากิรู้ว่าพี่ตนมักมาหานิจิมุระทุกวันเนื่องจากกลัวว่ารายนี้จะทำอะไรบ้าๆ อย่างการตายตามเขามาและแน่นอนว่าเป็นเช่นนี้แล้ว ไม่เกินพรุ่งนี้พี่เขาก็คงมาเก็บศพรายนี้เป็นแน่แท้
“นั้นสินะ” นิจิมุระพยักหน้าอย่างเห็นด้วย…คงตกใจมากแถมดีไม่ดีด่าส่งเขาด้วยแหงหากรู้ว่าความจริงเขารู้ว่ากำลังจะตายอยู่แล้วเนี่ย
หลังจากที่จบประเด็นเรื่องหาคนมาเก็บศพกันแล้ว ทั้งคู่ก็นั่งคุยกันเล่นไปตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน…ถึงความจริงก็คุยกันทุกวันก็เถอะ แต่มันก็ไม่เหมือนการนั่งคุยกันต่อหน้านี่หว่า
สองคู่รักติ๊ดต๊อง (เฮ้ยๆ! เอาดีๆ! // นิจิมุระ&ไฮซากิ) สองคู่รัก SM (ยัยชิโกะ!!! // นิจิมุระ&ไฮซากิ , เราไม่แก้แล้วเด้อ ขี้เกียจคิดคำบรรยายแล้วจ้า // S) นั่งคุยกันไปจนกระทั่งเวลาผ่านไปจนถึงเช้าวันใหม่และโชจิมาเจอร่างไร้วิญญาณของนิจิมุระนั้นแหละทั้งสองถึงหยุดรำลึกความหลังราวคนแก่ (?) เพราะเสียงโวยวายของโชจิที่ดังไปสามบ้านแปดบ้าน วิญญาณทั้งสามดวง (รวมเจ้าที่ที่ลอยมาดูเพราะเสียงโวยวายด้วย) ยืนมองโชจิที่ไม่รู้จะทำยังไงกับเหตุการณ์นี้แล้วเรียกตำรวจที่รู้จักกันหรือนายเคียวนั้นมายังที่เกิดเหตุจนทำให้บ้านหลังน้อยเต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ…ความวุ่นวายภายในบ้านถูกเฝ้ามองด้วยร่างที่มองไม่เห็นทั้งสามดวงไปเรื่อยๆ ก่อนที่ความวุ่นวายจะจบลงในสามวันต่อมาเมื่อผลชันสูตรออกมาว่าสาหตุการตายของนิจิมุระคือไหลตายและพอได้ผลออกมาดังนี้ทางครอบครัวนิจิมุระก็นำร่างไร้วิญญาณไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป
หลายปีผ่านไปหลังจากที่นิจิมุระเสียชีวิตภายในบ้านจนไม่มีใครกล้าซื้อบ้านต่อ สุดท้ายบ้านหลังนี้ผู้มาอาศัยคนใหม่เลยกลายเป็นน้องสาวของนิจิมุระที่แต่งงานจนมีลูกกันแล้วและอยากได้บ้านที่ใกล้ๆ ที่ทำงานจนได้มาอยู่ในบ้านที่พี่ชายคนโตเคยอยู่ ทางนิจิมุระเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ใหม่เป็นน้องสาวตัวเองก็ตัดสินใจทำหน้าที่คอยดูแลทั้งน้องทั้งหลานตัวเองไป ส่วนคุณคนที่กลายมาเป็นน้องเขยนั้นนิจิมุระไม่ได้สนใจอะไรมากนักเพราะดูเป็นคนดีอยู่แต่หากไปมีชู้หรือทำให้น้องสาวตนเสียใจเจ้าตัวก็พร้อมจะจัดการทันที
ครอบครัวของน้องสาวนิจิมุระ…มานามินั้นอยู่อย่างสงบไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ว่าถูกปกป้องโดยวิญญาณพี่ชายตนเองอยู่ แถมวันดีคืนดีเจ้าตัวยังโผล่ไปดูหลานชายตัวเองพร้อมคนรักถึงโรงเรียนอีกต่างหากโดยทิ้งปู่เจ้าที่ให้เฝ้าบ้านคนเดียว
“เราต้องอยู่ที่นี่อีกนานไหมหว่า?” เสียงบ่นเบาๆ ดังออกจากปากเด็กหนุ่มผมเทาซึ่งกำลังนั่งมองเด็กชายผมสีน้ำตาลดำตัวน้อยวัยห้าขวบซึ่งกำลังนั่งวาดรูปเล่นภายในห้องรับแขกแก้เบื่อ
“นั้นสิ…อยู่จนเราจะกลายเป็นเจ้าที่แทนปู่เจ้าที่แล้วเนี่ย” ชายหนุ่มผมดำเอ่ยอย่างติดตลกกลับไป
“น่าๆ ถือว่าเป็นเจ้าที่เป็นเพื่อนปู่แล้วกัน” ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินหัวเราะเบาๆ “แต่ไม่คิดเลยนะว่าเจ้าของบ้านคนต่อเป็นน้องสาวเจ้าน่ะ”
“ก็นะครับ” นิจิมุระตอบกลับเจ้าที่ที่ดูหนุ่มแต่ความจริงอายุเกินหลายร้อยปีไปแล้ว พลางมองเด็กชายอย่างสุขใจ “และการได้มาดูแลหลานตัวเองแบบนี้ก็ไม่เลวนะครับ”
“ดีไม่ดีไม่ใช่แค่หลาน อาจมีเหลนโหลนให้คุณดูด้วย” ไฮซากิเดาได้เลยว่าอยู่ต่อไปเรื่อยๆ อาจได้ดูเหลนของนิจิมุระด้วยแน่
“ถ้าอยู่ได้นานขนาดนั้นก็ดีสิ” เอาตามจริงนิจิมุระเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าหลานตนจะเป็นไงในอนาคต จะแต่งงานไหมหรืออะไรเหมือนกัน…ในขณะที่คิดเพลินๆ อยู่นั้น เสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้นมาและทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น เด็กชายที่กำลังวาดรูปเล่นอยู่ก็พลัดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและวิ่งกระโจนไปทางประตูหน้าบ้าน
เพราะทางทางแปลกๆ แบบนั้นทำให้นิจิมุระลอยตามออกมาดูเด็กชายที่วิ่งไปเปิดประตูบ้านอย่างตื่นเต้น เผลอให้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งและชายหนุ่มอีกสองคนที่ทำให้นิจิมุระชะงักกึก
“โมจางงงงง” เด็กชายกระโจนใส่เด็กหญิงผมดำที่หน้าตาสะสวยจนเดาได้เลยว่าในอนาคตต้องเป็นสาวงามแน่อย่างร่าเริง
“จูจางงงง” เด็กหญิงที่โดนเรียกโมจังก็มีท่าทางร่าเริงไม่ต่างกัน
“แค่ก!” ไฮซากิที่ลอยตามออกมาพร้อมกับคุณปู่หน้าหนุ่มถึงกับสำลักอากาศเมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่เป็นใคร “นั้นพี่กับเคียวซังนี่หว่า!? มาไงวะ!?”
“ไม่รู้อ่ะ” นิจิมุระส่ายหน้าวืด…ที่จริงเขาก็ตกใจเหมือนกันแหละที่เห็นสองคนนี้มาอยู่ที่นี่น่ะ
“สวัสดีค่ะ โชจิซัง เคียวซัง…พาโมโมะจังมาเที่ยวบ้านหนูตามสัญญาแล้วสินะคะ” ระหว่างที่วิญญาณทั้งสองดวงกำลังมึนงงกับอีกหนึ่งดวงหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก หญิงสาวผมดำคนหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องครัวมาหาผู้มาเยือน
“ก็นะ” ชายหนุ่มผมดำหรือนายไฮซากิ โชจิ…ซึ่งตอนนี้กลายเป็นฟุริฮาตะ โชจิไปแล้วยักไหล่น้อยๆ
“ถ้าทั้งพี่ชูทั้งโชโงะซังยังอยู่คงแปลกใจน่าดูที่เห็นพวกพี่มีลูกด้วยกันเนี่ย” มานามิเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“อาจอ้าปากหวออย่างน่าขันเลยล่ะ” โชจิเอ่ยอย่างติดตลก…โดยหารู้ไม่ว่าบุคคลที่เอ่ยถึงนั้นต่างอ้าปากค้างกันจริงๆ เมื่อรู้ว่าเด็กหญิงผมดำนั้นเป็นลูกของใคร
…นี่ไปมีลูกกันอีท่าไหนฟะ!? หรือว่ามิโดริมะมันทำยาให้ผู้ชายที่ทำให้ผู้ท้องได้สำเร็จจริงๆ เนี่ย!?...
นิจิมุระกับไฮซากิคิดเช่นนี้อย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมายพลางพยายามดึงสติของตนเองกลับเข้าร่างตัวเองกัน
“ผมได้หลานเหมือนคุณแล้วสินะ…” ไฮซากิถอนหายใจออกมาเบาๆ
“อา เท่าที่ฟังก็ใช่ล่ะนะ” นิจิมุระตบบ่าปลอบคนรักตน
“น่าๆ หลานเจ้าน่ารักออก” ปู่เจ้าที่…มิคาสึกิเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“แล้วนี่เอาไอ้นั้นมาหรือเปล่าคะ?” มานามิที่ไม่เห็นเหล่าวิญญาณทั้งสามเอ่ยขึ้นมา
“เอามาสิ” โชจิพยักหน้ารับก่อนที่จะหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมายื่นให้หญิงสาว “เอ้า นี่…รูปถ่ายสมัยม.ต้นของโชโงะกับนิจิมุระ”
“ขอบคุณมากค่ะ” มานามิยิ้มอย่างร่าเริง
“ว่าแต่อัลบัมส่วนของนิจิมุระหายไปไหนล่ะ?” โชจิถามขึ้นมา
“พี่ซ่อนไว้ไหนไม่รู้ค่ะ หนูหาไม่เจอ” มานามิเอ่ย…เอาตามจริงเธอก็สงสัยนะว่าพี่ตัวเองเอาของไปซ่อนไว้ที่ไหน หามุมไหนก็ไม่เจอเลยเนี่ย ทั้งๆ ที่บ้านนี้หลายพี่เธอตายก็มีเพียงครอบครัวเธอที่มาอยู่ต่อแท้ๆ
“อ๋อ” โชจิพยักหน้าหงึกๆ อย่างเข้าใจ
“…แม่จ๋า นั้นอะไรอ่ะ?” เด็กชายมองมารตาตนอย่างสงสัย เช่นเดียวกับเด็กหญิงที่ดูจะสงสัยไม่แพ้กัน
“รูปคุณลุงของลูกไงจ๊ะ” มานามิตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน “มีคุณน้าของโมโมะจังด้วยนะ”
“จูจังขอดูหน่อย!” เด็กชายพอได้ยินแบบนี้ก็ตาวาวพร้อมพยายามใช้มือเล็กๆ ปีนขึ้นไปเอาสิ่งที่อยู่ในมือมารดาตน
“โมจังด้วย!” เด็กหญิงเองก็มีท่าทางไม่ต่างกันมากนัก
“จ้าๆ” มานามิหัสเราะเบาๆ อย่างเอ็นดูก่อนที่จะย้องตัวลงแล้วเปิดอัลบัมให้เด็กทั้งสองดู
“อา!” เด็กชายร้องเสียงดังลั่นขึ้นมาเมื่อเห็นรูปในอัลบัม “พวกคุณลุงที่ชอบลอยไปมาในบ้านนิ!”
“เอ๊ะ?” ผู้ใหญ่สามคนที่ยืนอยู่ด้วยกันหลุดร้องออกมาอย่างงงๆ กับคำพูดที่ออกมาจากปากของเด็กชาย
“ดูท่าจูจิจะเห็นเรานะ” นิจิมุระเลิกคิ้วน้อยๆ …จะว่าไปคนโบราณมักบอกว่าเด็กมักเห็นสิ่งที่ผู้ใหญ่มองไม่เห็น คงหมายถึงแบบนี้สินะ?
“นั้นสินะ” ไฮซากิขานรับไป
“เออ…จูจิคุง ที่พูดงี้หมายความว่าไงเหรอ?” มานามิที่กำลังงงๆ ถามลูกชายตน…ที่ว่าเห็นพี่ชายตนกับคนรักของพี่เธอนี่หมายความว่าไงกัน? หรือว่าพี่ชายเธอยังอยู่ที่นี่?
“ก็พวกคุณลุงชอบลอยไปมาในบ้านไง” จูจิตอบกลับไปอย่างใสซื่อพลางชี้ไปบริเวณหน้าห้องรับแขก “อยู่ตรงนั้นไง!”
“ใช่ๆ โมจังก็เห็น!” เด็กหญิง…โมโมะเอ่ยสนับสนุนอีกคนบ่งบอกว่าเด็กหญิงเองก็เห็นไม่ต่างกัน
“…โมจัง สองคนนั้นกำลังทำอะไรกันอยู่เหรอ?” เคียวที่โดนลืมมานานถามขึ้น…เขามั่นใจว่าลูกสาวเขาและจูจิไม่มีทางที่จะโกหกแน่จึงเอ่ยถามกลับไป
“กำลังยิ้มให้โมจังกับจูจังล่ะ!” โมโมะตอบบิดาตนอย่างร่าเริง “นอกจากนี่ยังมีคุณลุงอีกคนด้วย!”
“เอ๊ะ?” เหล่าผู้ใหญ่หลุดร้องออกมาอีกรอบ…นอกจากสองคนนั้นยังมีคนอื่น?
“แหมๆ เห็นปู่ด้วย” มิคาสึกิหัวเราะเบาๆ ตามประสาคุณปู่อารมณ์ดี (?)
“…ลืมไปเลยว่าคุณก็อยู่ตรงนี้ด้วย” ไฮซากิบ่นพึมพำออกมาเบาๆ …มัวตกใจคำพูดของเด็กๆ จนลืมปู่เจ้าที่ไปเลยเขา
“ใจร้ายจังนะ” มิคาสึกิบ่นเล็กน้อยก่อนหันไปทางเด็กชายหญิงทั้งสองแล้วส่งยิ้มบางๆ ให้ “นี่เด็กน้อย…ฝากบอกพ่อแม่เจ้าหน่อยสิ ว่าสองคนนี้หวานแหววกันตลอดไม่สงสารคนแก่เลย”
“เฮ้ย! ไปพูดแบบนั้นกับเด็กได้ไงตาแก่!!!?” ไฮซากิแว๊ดลั่น
“อย่าพูดน้าาาาา!!!” นิจิมุระร้องลั่นไม่ต่างกัน
“พูดเลยๆ” มิคาสึกิไม่สนใจเสียงโหยหวน (?) และเอ่ยยั่วยุให้เด็กทั้งสองพูดตามที่ตนบอกด้วย
“???” เด็กน้อยทั้งสองมองหน้ากันเองอย่างงงๆ ว่าตนควรจะพูดตามที่มิคาสึกิบอกดีหรือไม่
“มีอะไรเหรอจูจิ โมโมะ?” เคียวถามเมื่อสังเกตท่าทางแปลกๆ ของเด็กน้อยทั้งสอง
“คุณลุงอีกคนเขาฝากให้บอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่าพวกคุณลุงหวานแหววกันตลอดไม่สงสารคนแก่เลยน่ะ” โมโมะตัดสินใจพูดตามมิคาสึกิไปเนื่องจากได้รับการสอนมาว่าถ้าผู้ใหญ่ถามมาก็ควรที่จะตอบ…บวกกับติดนิสัยตัดสินใจเร็วมาจากนายเคียวผู้เป็นพ่อมานิดๆ ด้วย
“แว๊ดดดดดด!!! บอกทำมายยยยยย!?” ไฮซากิถึงกับร้องโอดครวญ…แบบนี้มันน่าอายเกินไปแล้วนะ!!!
“แกล้งกันได้นะคุณเจ้าที่!” นิจิมุระหันไปโวยเจ้าที่ที่เป็นตัวต้นเหตุ
“นิดๆ หน่อยๆ น่า แหม เด็กยุคนี้ขี้อายจัง” มิคาสึกิหัวเราะเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจคำโวยวายนัก
“…ได้อยู่ด้วยกันจริงๆ สินะสองคนนั้น” โชจิเมื่อได้ยินที่ลูกสาวตนพูดก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความโล่งอก…ดีจริงๆ ที่ในที่สุดสองคนนั้นก็ได้อยู่ด้วยกัน แถมดูท่าจะมีความสุขดีด้วย
“น่ายินดีออก น้องนายกับนิจิมุระได้อยู่ด้วยกันหลังโดนพรากกันมาซะนานเนี่ย” เคียวเอ่ย
“นั้นสิค่ะ” มานามิยิ้มแย้มอย่างดีใจ…ก็แหม พี่เธอแทบจะกลายเป็นพวกเก็บตัวอยู่แต่ในห้องไปเลยนี่นา หลังจากที่ไฮซากิซังตายไปเนี่ย (เอิ่ม ความจริงพี่แกแค่หาที่สวีทกับน้องเทาจ้าคุณน้อง // S)
“…นิจิมุระ…ถ้านายยังอยู่ตรงนี้ขอบอกเลยนะว่าหากแกทำน้องฉันเลยใจโดนแน่” ถึงแม้จะโล่งอกที่น้องเขาได้อยู่กับคนรักแล้ว แต่โชจิก็อดไม่ได้ที่จะขู่นายหน้านก (?) ตามนิสัย
“คร้าบบบบ!!!” นิจิมุระพอได้ยินแบบนี้ก็เผลอขานรับไปอย่างเคยชิน…ก็แหม เขาได้ยินประโยคนี้ตั้งแต่ตอนม.ต้นที่โชจิซังรู้ว่าเขาคบกับไฮซากินี่นะ มันเลยติด
“เขาบอกว่าคร้าบบบบบน่ะครับ” จูจิที่เห็นนิจิมุระรีบขานรับก็เอ่ยขึ้นมาเมื่อเห็นว่าโชจินั้นไม่ได้ยินที่นิมุระขานรับ
“งั้นดี” โชจิพยักหน้ารับอย่างพอใจ
“พี่สะใภ้เจ้าโหดดีนะพ่อหนุ่ม” มิคาสึมองภาพตรงหน้าแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็นะครับ” นิจิมุระไม่เถียงว่าด่านพี่สะใภ้ของตนนี่โหดจริง…นี่ขนาดตายแล้วยังไม่วายมาขู่เขาได้อีก
“ว่าแต่…มีผีในบ้านแบบนี้ไม่กลัวเหรอ?” ระหว่างที่มิคาสึกิกับนิจิมุระกำลังคุยกันอยู่นั้น เสียงของเคียวก็ดังขึ้นเรียกความสนใจของวิญญาณทุกดวงภายในบ้านหลังนี้
“ไม่หรอกค่ะ ก็เป็นพี่กับไฮซากิซังนี่ค่ะ” มานามิส่ายหน้าไปมา…เธอไม่คิดที่จะกลัวพี่ตัวเองหรอกนะ
“แล้วอีกตน” โชจิถามต่อ…สำหรับน้องเขากับนิจิมุนะน่ะเขาไว้ใจอยู่ แต่อีกตนนี่สิ
“ถ้าไม่ใช่คนดีจริงพี่อัดไปแล้วล่ะค่ะ” มานามิเอ่ยอย่างรู้นิสัยพี่ชายตนดี
“หมอนั้นโหดพอดูนี่หว่า” เคียวพูดอย่างติดตลกนิดๆ
“ไอ้เกินคนแบบแกกล้าพูดเนอะ” โชจิเตะเคียวไปทีหนึ่ง…ซึ่งแน่นอนว่านายเคียวนั้นไม่สะท้นสะท้านอะไรเลย
“นั้นสิ น่ากลัวกว่าฉันอีก” นิจิมุระบ่นพึมพำขึ้นมาเบาๆ …อย่างนายฟุริฮาตะ เคียวเนี่ยเขากล้าพูดเลยว่าไม่มีทางที่ตนจะเทียบได้หรอก เล่นเกินมนุษย์มนาไปไกลแบบนี้เนี่ย
“เฮฮากันดีจริง” มิคาสึกิหัวเราเบาๆ พลาง…ยกชาที่มาจากไหนไม่รู้ขึ้นมาดื่ม “ชาไหม?”
“เอามาจากไหนเนี่ยตาแก่!?” ไฮซากิมองถ้วยชา…แถมมีกาน้ำชาซึ่งอยู่ในลักษณะเลือนลางเป็นการบ่งบอกว่าเป็นของทางโลกวิญญาณมิใช่ของที่มนุษย์ปกติเห็นได้ในมืออีกฝ่ายอย่างสงสัย
“ชงมาตอนไหนเนี่ย?” นิจิมุระคิ้วกระตุกนิดๆ …เมื่อกี้ยังไม่มีเลยนี่หว่า? ชงมาตอนไหนเนี่ย?
“คนรักข้าชงมาให้” มิคาสึกิตอบง่ายๆ สั้นๆ
“…ห๊า?” นิจิมุระกับไฮซากิหลุดร้องออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย…นี่นอกจากพวกตนยังมีวิญญาณดวงอื่นสิงที่นี่อีกเหรอ!? อยู่มาตั้งนานทำไมไม่เคยเห็นเลยฟะ!?
“พวกเจ้าไม่รู้เหรอว่ามีวิญญาณคนรักข้าอยู่ที่ห้องใต้หลังคาน่ะ?” มิคาสึกิถามกลับมา
“บ้านนีมีห้องใต้หลังคาด้วยเหรอ…” นิจิมุระเอ่ยพึมพำขึ้นมาเบาๆ …อยู่ตั้งแต่ตอนมีชีวิตยันตายนี่เขาไม่เคยรู้ว่าที่นี่มีห้องใต้หลังคาเลย
“มีสิ” มิคาสึกิเอ่ยพลางเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบน “นี่…ลงมาหน่อยได้หรือไม่?”
“ถ้าไม่มาท่านก็ไปลากข้ามาอยู่ดีมิใช่หรือ?” เสียงหนึ่งดังตอบกลับมาก่อนที่…ร่างของชายหนุ่มผมสีเหลืองนัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวคนหนึ่งซึ่งมีผ้าสีขาวคลุมหัวเอาเอาไว้จนเห็นหน้าไม่ชัดลอยทะลุลงมาจากด้านบน
“ก็นะ” มิคาสึกิหัวเราะเบาๆ อย่างไม่สนใจคำพูดเหมือนเหน็บแหนบของอีกฝ่ายนัก
“…บ้านนี่มีวิญญาณกี่ดวงเนี่ย?” ไฮซากิถาม
“มีแค่สี่น่า มิต้องห่วง” มิคาสึกิตอบ ในขณะที่เด็กชายหญิงทั้งสองที่เห็นวิญญาณตนใหม่ลอยลงมาก็วิ่งไปหาพลางมองอีกฝ่ายตาวาว
“ว้าว…สวยจัง…” จูจิเอ่ยขึ้นมา…ด้วยความที่ยังเด็กแล้วตัวเล็กกว่าวิญญาณที่โผล่มาใหม่มากก็เลยทำให้เด็กน้อยสามารถมองเห็นใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมได้อย่างชัดเจน
“พี่สาวสวยจัง…เหมือนน้าคิเสะเลย” โมโมะเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกคน
“เออ…ข้าไปล่ะ!” ทางคน…เออ วิญญาณที่โดนชมทำท่าเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกและทำท่าจะลอยกลับไปอยู่ในห้องใต้หลังคาดังเดิม…
“เดี๋ยวๆ ยามัมบะกิริ…อยู่ให้พวกเด็กๆ ชมก่อน” …ทว่ากลับโดนมิคาสึกิดึงตัวกลับมาเสียก่อน
“ข้าไม่ชอบท่านก็รู้” แขกรับเชิญพิเศษอีกหนึ่งหน่อทำหน้าเหมือนกินยาขม บ่งบอกว่าไม่ชอบสถานการณ์เช่นนี้จริงๆ
“สวยก็ยอมรับว่าสวยหน่อยสิ” มิคาสึกิเอ่ยแซวเล็กน้อย...และนั้นทำให้คนโดนแซวยั๊วะหรืออย่างไรก็ไม่ทราบค้อนใส่คนว่าตนทีหนึ่งก่อนจะแงะมือของมิคาสึกิออกแล้วลอยหนีไปเป็นเหตุทำให้ท้ายที่สุดคุณปู่ (?) ก็ต้องรีบไปงอนศรีภรรยาตนเองก่อนโดนงอนยาว ส่วนทางนิจิมุระกับไฮซากิที่ยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดมาตลอดก็ได้เพียงมองหน้ากันก่อนตัดสินใจปล่อยให้ปู่เจ้าที่จัดการปัญหาของตัวเองไปแล้วนั่งดื่มชาที่มิคาสึกิทิ้งไว้อย่างสบายใจเฉิบซะงั้น
“…คราวนี้มีผีเพิ่มมาอีกตนเหรอ?” ทางด้านโลกคนเป็นนั้นที่ไม่รู้ว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่พอเดาได้ว่าภายในบ้านนี้มีผีอีกตนเพิ่มขึ้นมาจากคำพูดของเด็กน้อยทำให้โชจิคุมขมับอย่างปวดจิตสุดแสน
“คงงั้น” เคียวตบบ่าศรีภรรยาตนเบาๆ เป็นการปลอบ
“แต่ถ้าอยู่กับพี่ได้คงไม่เป็นอันตรายอะไรหรอกค่ะ” มานามิซึ่งเป็นเจ้าของบ้านซึ่งมีปีสิงอยู่ถึงสี่ตนยิ้มบางๆ อย่างไม่เดือดร้อนกับเรื่องผีในบ้านตนแม้แต่น้อย
“นั้นสินะ” โชจิที่พยายามทำใจยอมรับเรื่องแปลกๆ เช่นนี้อยู่ขานรับไป...เอาเถอะ ถึงมันน่าปวดจิตขนาดไหน แต่ขนาดเจ้าของบ้านยังไม่เดือดร้อนอะไร แล้วเขาจะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนทำไมล่ะ...
...คิดแง่ดี อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าน้องเขาเป็นไงบ้างทางโลกฝั่งนั้น...จนกว่าจะถึงวันที่ลูกสาวเขาและจูจิไม่สามารถเห็นวิญญาณได้อีกต่อไปล่ะนะ....
END
จบอย่างมึนๆ งงๆ ด้วยความหมดมุขจ้า WWW!!!
ความคิดเห็น