คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #226 : [MayuFuri] Cosplay
Title : Cosplay
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Mayuzumi x Furihata
Notes : S // สวัสดีจ้า! (#โผล่ขึ้นมาจากกองหนังสือ)
มายุสุมิ // !!! มาแบบปกติบ้างเถอะ!!! (#สะดุ้งโหยง)
s // ถ้าปกติก็เราตัวปลอมแล้วจ้า (#เสกปลายักษ์มางาบมายุสุมิ)
มายุสุมิ // ให้ไปแบบปกติสักครั้งจะตายเหรอวะ?!!! (# โวยขณะกลายเป็นอาหารปลา)
s // (#เมินคำบ่นจนเสียงเงียบไปแล้วหันมายิ้มให้คนอ่าน) ขอให้สนุกน่อ! อาจมั่วนิดๆ กรุณาทำใจ!
.....................................................................................
Cosplay
“อากาศดีแฮะวันนี้...” เสียงพึมพำเบาๆ ดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมสีเงิน ดวงหน้าดูเฉยชามองขึ้นไปบนท้องนภาที่สดใสไร้เมฆฝน ทว่าก็ไม่ทีแดดสาดแรงให้ร้อนด้วย...ซึ่งนั้นเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับมายุสุมิ จิฮิโระตัวจริงปีสามคนเดียวของชมรมบาสราคุซันเพราะวันนี้นั้นเป็นวันงานอีเวนท์ที่เจ้าตัวรอคอยและเป็นวันที่เจ้าตัวขอไอ้กัปตันทีมหัวแดงของตนลาชมรมมาได้แบบเลือดตาแทบกระเด็นด้วย “...วันนี้เริ่มจากบูธไหนก่อนดีนะ”
...วันนี้เป็นวันที่หนังสือเล่มใหม่ของริโกะตันออกด้วยนี่นา สินค้าออกใหม่ของริงโกะตัน แถมมีงานแสดงคอสเพรย์อีก...งั้นไปซื้อหนังสือก่อนจะไปซื้อสินค้าออกใหม่แล้วค่อยไปต่อที่งานคอสเพรย์แล้วกัน...
มาสุยุมิกำหนดเป้าหมายใจการเที่ยวครั้งนี้ในใจก่อนที่จะเริ่มก้าวขาเข้าไปในงานอีเว้นที่เต็มไปด้วยฝูงชนก่อนจะ...โดนพัดไปตามคลื่นมนุษย์อย่างรวดเร็วเนื่องจากความจืดจางเฉพาะตัว และนั้นทำให้มายุสุมิสามารถเข้าไปในงานได้อย่างสบายๆ เนื่องจากไม่ต้องเหนื่อยเบียดเสียดกับชาวบ้านเพราะโดนคลื่นมนุษย์พาไปเอง
เมื่อมาถึงมาภายในตัวงานเด็กหนุ่มก็ทำตามเป้าหมายที่ตนตั้งเอาไว้โดยอย่างแรกก็ไปที่บูธที่จำหน่ายหนังสือเล่มโปรดของตน ก่อนที่จะตามด้วยบูธทำหน่ายสินค้า ปิดท้ายด้วยงานแสดงคอสเพยร์ที่มีคนจำนวนมากอัดแน่นไปหมดซึ่งส่วนใหญ่จะแต่งตัวราวกับหลุดมาจากอีกโลกหนึ่งหรือก็คือผู้เข้าแข่งขันนั้นเอง
“คนแข่งเยอะใช้ได้แฮะ” มายุสุมิมองไปรอบๆ ที่มีคนแต่งชุดตามตัวละครจากอนิเมะหรือนิทานจำนวนมาก “อ่ะ? นั้นมัน...”
ดวงตาสีเงินหยุดที่ร่างของคนคนหนึ่งซึ่งคอสเป็นตัวละครโปรดของตนอย่างริงโกะตันได้อย่างแนบเนียนจนเหมือนหลุดมาจากหนังสือกำลังยืนสั่นอยู่ท่ามกลางวงล้อมของคนจำนวนหนึ่งที่ถ่ายรูปอีกฝ่ายแบบไม่สนใจว่าเจ้าตัวจะเต็มใจหรือไม่...และนั้นทำให้มานุสุมิรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ ...
...ข้อแรกเพราะพวกนั้นถ่ายรูปคนที่คอสเป็นตัวละครโปรดของเขาทั้งๆ ที่เจ้าตัวดูจะไม่เต็มใจ ข้อสองการทำแบบนี้มันเสียชื่อทุกคนที่เป็นโอตาคุแบบเขา...และแค่สองข้อนี้ก็มากพอที่จะทำให้เขาไม่พอใจได้แล้ว
ว่าแล้วสองขาของคนผมเงินก็เดินไปหาร่างที่โดยล้อมด้วยคนจำนวนมากอย่างรวดเร็วหมายจะช่วยอีกฝ่ายออกมาจากพวกที่ทำตัวไม่เหมาะสมในงานนี้
“เออ...พอเถอะครับ ผมเป็นผู้ชายนะ...เลิกถ่ายเถอะครับ” เสียงทุ้มที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายเพศอะไรดังออกจากปากคนที่แต่งเป็นตัวละครหญิง หากแต่แม้เสียงจะทุ้มไปนิดมันกลับไม่ทำให้รู้สึกขัดกับภาพลักษณ์ในยามนี้สักนิดด้วยความอ่อนโยนที่แฝงมาในน้ำเสียงที่จะแสนไม่มั่นใจนั้น
...ดูเหมือนนายจะหาวิธีปฏิเสธพวกนี้ผิดไปหน่อยนะ...
มายุสุมิที่เข้าใกล้แบบไม่มีใครสักเกตเห็นคิดในใจ...ไอ้ในงานแบบนี้การที่หญิงแต่งเป็นตัวละครชาย ชายแต่งเป็นตัวละครหญิงไม่ใช่เรื่องแปลกสักหน่อย สงสัยหมอนี่มางานแรกแหงถึงไม่รู้เรื่องนี้
“ไม่เป็นไร พี่ชายรับได้” ชายคนหนึ่งเอ่ยอย่างหื่นกระหายก่อนที่จะเดินเข้าไปใกล้คนที่เอ่ยเมื่อครู่และ...แอบจับก้นอีกฝ่ายซะงั้น
“หว่า!” คนแต่งคอสริงโกะถึงกับสะดุ้งโหยงแล้วรีบถอยห่างตามสัญชาตญาณ
“ลวมลามคนอื่นผิดกฎหมายนะ” มายุสุมิที่ชักอยากถีบคนที่กำลังทำเรื่องน่ารังเกียจเข้าไปขวาง...โดยปรากฏตัวมันกลางวงระหว่างคนโดนรุมกับคนรุมเลยทีเดียว
“เฮ้ย!” เหล่าคนที่ทำตัวถ่อยเมื่อครู่สะดุ้งโหยง ทางคนถูกช่วยเองก็สะดุ้งแต่ไม่มากเท่าไหร่นัก “มาเมื่อไหร่ฟะ!?”
“ทำไมต้องบอก?” มายุสุมิถามกลับอย่างกวนๆ “และบังคับถ่ายรูปคนอื่นโดยเจ้าตัวไม่ยินยอมแบบนี้มันเสียชื่อโอตาคุทั้งโลกหมด”
“ฉันจะทำแล้วทำไมฟะ!?” หนึ่งในคนที่ตอแยถ่ายรูปชาวบ้านถามกลับ
“ก็ไม่ทำไง...” มายุสุมิแสยะยิ้มน้อยๆ ...อย่างเขาต่อยตีชาวบ้านไม่ชนะหรอก เพราะงั้นเลยใช้วิธีให้พวกนี้ ‘เรียกตาสาย’ ทุกคนมายังจุดนี้ต่างหากและเขารู้ดีว่าพวกโอตาคุระดับ999 (?) เมื่อรู้ว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจะเป็นเช่นไรต่อไปด้วย “...เพราะเริ่มมีคนทั้งงานมาสนใจพวกนายแทนแล้วล่ะ”
“อ่ะ...” กลุ่มคนที่บังคับถ่ายรูปชาวบ้านก่อนหน้านี้หน้าซีดลงเมื่อเจอรังสีอาฆาตจากคนที่อยู่บริเวณนี้พร้อมให้ส่งสายตาประมาณว่า ‘คนที่มาทำให้งานนี้แปลกเปื้อนมันต้องตาย!’ มาให้อีกต่างหาก
“ฉันว่าพวกนายควรไปให้พ้นจากที่นี่ซะตอนนี้เลย” มายุสุมิเอ่ยเตือน...เพราะหากโดนลากออกไป งานประเภทนี้ในครั้งต่อๆ ไปจะแบนคนพวกนี้ไม่ให้เข้าง่ายๆ อีกเลย
“เออ...ผมว่าไปตอนนี้คงไม่ทันแล้วล่ะ...” คนแต่งคอสริงโกะทำหน้าเจื่อนๆ “...มาซะแล้ว”
“หื้อ?” มายุสุมิมองคนที่ตนช่วยไว้อย่างไม่เข้าใจนักก่อนที่จะได้คำตอบ เมื่อได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรบางอย่างถูกถอนและเสียงแหวกอากาศตามมาด้วย...
ตูม!!!
...ตู้ขายน้ำเครื่องเขื่อนลอยมาตกตรงใกล้ๆ เหล่าคนที่ก่อเรื่องก่อนหน้านี้ ทำให้เหล่าคนที่เกือบโดนตู้ทับตายและคนที่มุงดูอยู่ต่างพากันหน้าซีด...ตู้กดน้ำมันลอยมาจากไหนเนี่ย!? แถมเป็นตู้ของจริงไม่ใช้ของจำลองที่ทำให้เหมือนอีก!!!
“ทำอะไรกานนนนนน!?” เสียงลากยาวชวนสยองดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่ง...ซึ่งแต่งเป็นตัวละครจากเรื่อง Drrr กำลังเดินมาพร้อมลากป้ายจราจรมาได้เหมือนตัวละครที่เจ้าตัวคอสสุดๆ ...และมันเหมือนมากเลยตรงที่ดันยกตู้น้ำขว้างมาได้กับลากป้ายจราจรของจริงมาเนี่ย! “แหม เผลอไม่ได้เลยนะ เมื่อกี้น่ะ...คิดจะทำอะไรน้องฉันเอ่ย?”
“เออ...” เหล่าตัวคนก่อเรื่องต่างเหงื่อแตกซิกๆ กับความน่ากลัวของผู้มาใหม่
“พี่! หยุดก่อน! เดี๋ยวก็มีคนกลั้นใจตายหรอก!!!” เด็กหนุ่มที่แต่งคอสเป็นริงโกะแว๊ดลั่นอย่างกลัวว่าพี่ตนจะฆ่าคนเข้าพร้อมกับ...เขวี้ยงกระทะที่ตนเอามาใช้แต่งคอสใส่หัวผู้เป็นพี่
“แอ๊ด!” คนโดนปาหัวกุมหัวนิดๆ โดยที่กระทะใบไม่น้อยตกอยู่ข้างๆ ในสภาพบุบไปด้านหนึ่ง
...โอ๋ ปาแรงดีแฮะ...ไม่สิ กระทะยังไม่น่าสนใจเท่าไหร่ ไอ้ที่น่าสนใจและน่าสงสัยกว่าคือทำไมไอ้คนโดนปากลับทำท่าเหมือนแค่โดนยางลบปาหัวฟะ!?...
มายุสุมิเริ่มรู้สึกตงิดๆ กับความถึกของผู้มาใหม่...ถึงรายนี้จะคอสเป็นตัวละครที่ค่อนข้างอึดแต่โดยปกติแค่แต่งตามไม่มีทางถึกจริงๆ แน่ เว้นแต่เจ้าตัวเป็นแบบนี้อยู่ก่อนแล้ว ซึ่งหมายความว่าเขาเจอคนเหนือคนของจริงเข้าแล้วสิ
“ปาหัวพี่ทำไมอ่ะโคกิ~~~?” คนที่โดนกระทะปาหัวเสียบุบร้องโอดครวญอย่างน่าถีบสักทีสองทีเหลือหลาย
“ก็ทำคนเขาเกือบกลั้นใจตายเองนี่ครับ” เด็กหนุ่มทำท่าเหนื่อยใจกับพี่ชายตนเอง
“แหม ก็มันองค์ลงไปนิด...” คนโดนบ่นก็ทำแก้มป่องอย่างน่ารักแต่ก็น่าถีบไปด้วยในขณะเดียวกัน
...ไม่นิดแล้วเพ่!...
คนผมเงินชักอยากตบมุขแล้วสิกับคำพูดและท่าทางของคนแรงช้างสาร เสียแต่กลัวว่าเล่นๆ ไปบรรยากาศในงานอาจถูกเปลี่ยนเป็นตลกคาเฟ่น่ะสิ ยิ่งดูบ้าจี้อยู่
“เฮ้อ...” เด็กหนุ่มที่ดูจะเหนื่อยใจกับพี่ตัวเองถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะหันไปมองพวกที่เกือบโดนตู้น้ำทับดับอนาถก่อนหน้านี้ “...แล้วนี่...จะทำไงต่อดีครับ?”
“โยนออกไปนอกงานก็จบ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ถ้าจะโยนออกไปกรุณาโยนแบบคนปกติจะครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทางปลงๆ
“แหม รู้ทันอีก” ชายหนุ่มบ่นนิดๆ ...ซึ่งมายุสุมิ ที่ยืนฟังอยู่เงียบๆ ชักอยากรู้เหมือนกันว่าไอ้การโยนออกไปแบบไม่ปกติมันเป็นไง คงไม่ใช่โยนไปสุดขอบฟ้าหรอกนะ...
“นี่นาย...” มายุสุมิที่มองชายหนุ่มที่ทำท่าจะลากพวกตัวก่อเรื่องออกจากงานไป ก่อนที่คนผมเงินจะนึกบางอย่างขึ้นได้จึงหันไปคุยกับเด็กหนุ่มผู้เสียหาย “...แค่ให้โยนออกไปจะดีเหรอ? ฉันว่านายให้พี่นายลบรูปในกล้องพวกนั้นด้วยดีกว่า เดี๋ยวเอารูปถ่ายนายไปใช้ในทางไม่ดีจะยุ่งเอา”
“คงไม่เป็นไรหรอกครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับเช่นนี้บ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่คิดจะเอาเรื่องกลุ่มคนที่ก่อเรื่องก่อนหน้านี้เลย
“แต่พี่ว่าความคิดนั้นดีนะ พวกมิจฉาชีพมันเยอะอยู่ช่วงนี้” ชายที่ถึงอยู่ห่างออกไปแต่ยังหูผีได้ยินเอ่ยด้วยเสียงดังพอประมาณก่อนที่จะแอบฉกกล้องของคนที่ตนกะจะโยนออกนอกงานไปขึ้นมาเปิดดูเพื่อลบภาพ...ก่อนที่เจ้าตัวจะขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อเห็นภาพภายในกล้อง “...ดูท่าควรเปลี่ยนจากโยนออกนอกงานเป็นโยนเข้าตารางแทนแล้วล่ะ”
“ทำไมล่ะครับ?” เด็กหนุ่มถามกลับ
“มีรูปถ่ายใต้กระโปงชาวบ้านเพียบเลย แถมมีรูปถ่ายตอนเปลี่ยนชุดด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยตอบกลับไปและนั้นทำให้คนในงานนี้ต่างมองผู้กระทำผิดด้วยสายตาอาฆาตยิ่งกว่าเดิม...ทางชายหนุ่มที่พูดให้คนในงานอาฆาตใส่ชาวบ้านเล่นก็จัดการเอากุญแจมือจากไหนไม่รู้มาล็อกข้อมือผู้ต้องสงสัยทั้งหมด
“เฮ้ย! ทำแบบนี้ไม่ได้นะ!” หนึ่งในตัวก่อเรื่องโวยขึ้นมา
“ทำไมจะทำไม่ได้?” ชายหนุ่มถามกลับ
“แบบนี้มันรุกล้ำสิทธิ์ส่วนบุคคลนะ!!!” คนโวยคนเดิมเถียงแบบชัดถ้อยชัดคำ...ทำให้ได้รองเท้าจากชาวบ้านลอยมาใส่หัวหลายคู่เลย
“พวกนายก็รุกล้ำผู้อื่นเหมือนกันแหละ” ชายหนุ่มกรอกตาไปมา...มันใช้หัวแม่เท้าคิดหรือไงถึงเถียงกลับแบบนี้น่ะ?
“ฉันไม่ยอมไปกับนายหรอก! ไม่น่าไว้ใจสักนิด!” ถึงแม้จะโดนรองเท้าบินใส่หัวหลายคู่ แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมเลิกรา “ถ้าจะต้องไปโรงพักล่ะก็เรียกตำรวจมาลากพวกฉันไปเซ่!”
“เฮ้ๆ แบบนี้ก็ป่วนทั้งงานเซ่” มายุสุมิบ่นเล็กน้อย...ขืนให้เรียกตำรวจมามีหวังวุ่นวายไปทั้งงานแหงๆ แถมอาจมีข่าวลือเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับงานนี้ด้วยแถมลมปากคนน่ะน่ากลัวจะตายชัก บางครั้งข่าวลือก็เล่นซะทำให้งานอีเว้นบางอย่างไม่จัดอีกเลยก็มี
“ไม่ต้องเรียกหรอก ฉันนี่แหละตำรวจ...” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมกับชูบัตรตำรวจที่มีรูปและชื่อที่ติดไว้ว่า ‘ฟุริฮาตะ เคียว’ ให้กลุ่มผู้ต้องหาที่โวยวายดู “...ทีงี้ยอมไปหรือยัง?”
“ม...ไม่เชื่อเว้ย! ของปลอม! ของปลอมแน่!” คนโวยวายยังเป็นคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“แล้วจะให้เอาไงล่ะ?” นายเคียวขมวดคิ้ว...จับโยนไปสน. มันเลยดีไหมเนี่ย? แต่ไม่ดีแฮะ เดี๋ยวโดนบ่นข้อหาทำชาวบ้านบาดเจ็บ งั้นเปลี่ยนเอายัดใส่ถังแล้วค่อยโยนดีไหมนะ?
“ไม่ต้องสน แล้วพาไปเลยไงครับ” ราวกับรู้ความคิดสุดพิสดารของพี่ชายตน เด็กหนุ่มหรือฟุริฮาตะ โคกิเลยเอ่ยขัดขึ้นมา
“แต่ถ้ามันโวยวายจะพาไปลำบากสิ...กลัวมือลั่นทำพวกนี้ตายคามือด้วย” เคียวตอบกลับแบบไม่สนใจว่าคนที่ได้ยินคำพูดนี้แล้วพากันหน้าซีดลงไปขนาดไหน
“เรียกไดสึเกะซังหรือเซย์ซังมารับสิครับ จะได้ยัดรถตำรวจพาไปเลย” ฟุริฮาตะเอ่ย
“ความคิดดีนี่น้องรัก” เคียวยิ้มร่าพลางหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาใครบางคน คุยกับปลายสายสักพักก่อนที่จะกดตัดสายแล้วเก็บมือถือเข้ากระเป๋าพร้อมหันมายิ้มให้น้องชายตนเอง “งั้นพี่ไปล่ะ คงไม่ได้แข่งกันเล่นแล้ว...และนายผมเงินนั้นฝากน้องฉันจนกว่าโคกิจะเปลี่ยนชุดกลับด้วย ไปล่ะ”
“เฮ้ย! เดี๋ยว!” มายุสุมิที่อยู่ๆ ถูกโยนงานให้เสียดื้อๆ พยายามทักท้วงชายหนุ่ม ทว่าไม่ทัน...นายตำรวจหนุ่มได้ ‘แบก’ ผู้ต้องสงสัยนับสิบหนีออกไปแล้ว ทำให้สุดท้ายคนผมเงินก็ได้เพียงส่ายหน้าไปมาอย่างปวดขมับ...
...ไหงโยนงานให้น่าตาเฉยล่ะเฮ้ย! ไม่สิ! ไม่กลัวว่าฉันเป็นพวกแสร้งทำดีด้วยหรือไง!?...
“เออ...ขอโทษนะครับ ที่พี่ผมพูดไม่คิดแบบนั้นน่ะ” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆอย่างรู้สึกผิดนิดๆที่พี่ตนโยนหน้าที่ให้ชาวบ้านหน้าตาเฉย “คุณไม่ต้องทำตามที่พี่ผมบอกก็ได้นะครับ”
“...” ดวงตาสีเงินมองอีกฝ่ายนิ่งๆในขณะที่ฟุริอาตะก้มหัวขอโทษตนและเดินจากไปด้วยความเกรงใจแบบไม่รอคำตอบใดมายุสุมิเอียงคออย่างครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะ...แอบเนียนตามไปเงียบๆ เพื่อดูว่าอีกฝ่ายสามารถดูแลตัวเองได้จริงๆหรือเปล่า...
...เอาตามจริงมายุสุมิกล้าพูดเลยว่าอีกฝ่ายไม่ให้ความรู้สึกว่าจะสามารถดูแลตัวเองได้เลยด้วยท่าทีที่ดูจะยอมคนและใจดีเกินเช่นนี้แถมยังอยู่ในชุดผู้หญิงทำให้ดูบอบบางยิ่งขึ้นไปอีก...มันทำเอาคนผมเงินรู้สึกว่าหากไม่ตามไปก็เหมือนคนใจร้ายที่ปล่อยให้เด็กหลงทางเดินตามหาผู้ปกครองคนเดียวชอบกล
...ซึ่งจากนั้นก็เป็นดังคาดเมื่อตามกันได้สักพักเด็กหนุ่มผมเงินก็เห็นว่าคนที่ตนตามอยู่นั้นทั้งโดนล้อมทั้งโดนคนบางคนแอบเนียนลวมลามเสียหลายรอบ...แม้หากนับระยะเวลาจริงๆ มายุสุมิเพิ่งตามมาได้เพียงแค่สิบนาทีก็ตาม แต่จำนวนที่อีกฝ่ายโดนคนอื่นลวมลามนี่กลับมากเกินไป ที่สำคัญบางรอบเจ้าตัวยังไม่รู้ตัวอีกต่างหาก
“เฮ้อ...” มายุสุมิถอนหายใจอย่างปลงๆ ก่อนที่จะเดินไปหาฟุริฮาตะที่โดนล้อมอีกแล้ว “...นี่นาย”
“อ่ะ!” ฟุริฮาตะสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะโดนคนผมเงินลากออกมาเสียดื้อๆ “เอ๊ะ? เดี๋ยวสิครับ! จะพาผมไปไหนเนี่ย!?”
“พาไปที่นายจะหายซื่อบื้อมั่ง” มายุสุมิตอบกลับอย่างไม่สนใจอะไรนัก
“ห๊า?” ฟุริฮาตะหลุดร้องออกมาอย่างงงๆ
“ฉันเห็นนายโดนลวมลามโดยที่นายไม่รู้ตัวหลายรอบแล้วน่ะ เลยคิดว่าควรทำตามที่พี่นายบอกน่ะ” มายุสุมิอธิบายเพิ่มเติม
“ผมดูแลตัวเองได้น่า” ฟุริฮาตะเถียงเสียงอ้อมแอ้ม
“ไม่มีทาง ล้านเปอร์เซ็น” มายุสุมิกรอกตาไปมาขณะเดียวกันนั้น...เสียงประกาศเรียกให้ผู้เข้าแข่งประกวดคอสเพลย์ก็ดังขึ้นพอดี “หมดเวลาเถียงแล้ว รีบไปเลยนาย”
“เดี่ยวสิครับ!” ฟุริฮาตะเอ่ยทักทวงเล็กน้อย หากแต่คนผมเงินกลับไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
การแข่งขันคอสเพรย์ดำเนินไปโดยที่มายุสุมิเมื่อจับตัวคนที่ตนโดนใช้ให้ดูแลเข้ากลุ่มผู้เข้าแข่งเรียบร้อยแล้วก็ไปนั่งชมการแข่งไปตรงที่นั่งผู้ชมแบบไม่สนใจอะไรมากนักมีแต่จะกังวลเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายจะไปโชว์ซื่อบื้ออะไรอีกไหม...ซึ่งโชคดีที่ไม่มี เพราะเจ้าตัวพอขึ้นเวทีก็สวมบทตัวละครที่ตนแต่งได้อย่างดีเยี่ยมจนมายุสุมิเอ๋อนิดๆ ว่ามันใช่คนเดียวกันแน่เหรอ
เมื่อการแข่งจบลง...โดยที่ผู้ชนะไม่ใช่ใครอื่น คนคนนั้นคือคนมายุสุมิจ้องมองมาตลอดเพราะอีกฝ่ายแต่งเป็นตัวละครโปรดตนบวกกับโดนใช้ให้ดูแลรายนี้อยู่หรือฟุริฮาตะ โคกินั้นเอง และเมื่อรับรางวัลเสร็จ คนผมเงินก็รีบจัดการลากคนที่เพิ่งลงจากเวทีหนีกองทัพกองอวยที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ก่อนที่จะถูกกลืนไปกับฝูงชน
และเพราะไม่อยากให้เกินโศกนาฏกรรมจากการโดนชาวบ้านรุม มายุสุมิจึงพาฟุริฮาตะมาที่ห้องน้ำเพื่อให้อีกฝ่ายเปลี่ยนชุดทันที
“เสร็จยัง?” มายุสุมิถามขึ้นหลังยืนรอหน้าห้องน้ำมาได้ประมาณยี่สิบนาที...ทำไมเปลี่ยนชุดนานจังวะ!?
“เออ...เสร็จแล้วครับ” เสียงเรียกคุ้นหูที่ดังขึ้นพร้อมกับร่างเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งเดินมาหา
“...ฉันรู้สาเหตุที่พวกผู้หญิงมักบอกว่าการแต่งหน้าคือเวทย์มนต์แล้วสิ” มายุสุมิเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่ายามนี้มีเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งยืนตรงหน้าตน ดวงตาสีน้ำตาลใสดูราวแมวจับจ้องมาที่ตนอย่างตรงไปตรงมา...ช่างดูต่างกับยามที่แต่งตัวก่อนหน้านี้มากมายเลยล่ะ
“ก็นะครับ” ฟุริฮาตะที่รู้ตัวดีว่าตนยามแต่งหน้ากับไม่แต่งนั้นต่างกันขนาดไหนเอ่ย “ขอโทษนะครับที่ทำให้วุ่นวายน่ะครับ”
“ไม่หรอก” มายุสุมิส่ายหน้าไปมาเป็นเชิงบอกว่าตนไม่ถือโทษโกรธอะไรทั้งสิ้น
“งั้นขอตัวนะครับ” ฟุริฮาตะโค้งศีรษะลงให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนที่จะเดินแยกตัวออกไปและหลังแยกไปไม่ทันถึงสิบนาที...อยู่ๆ คนผมน้ำตาลก็มีคนมาหาเรื่องเสียแล้ว
“...นี่ชีวิตนายทำไมพัวพันกับคนแบบนี้เยอะจังเนี่ย!?” มายุสุมิรีบวิ่งไปฉกตัวคนผมน้ำตาลออกจากคนที่ล้อมอีกฝ่ายอยู่และรีบใส่เกียร์แมวเผ่นทันที...หลังจากที่วิ่งมั่วๆ ไปได้พักใหญ่ๆ ท้ายที่สุดมายุสุมิก็พาอีกฝ่ายออกมาจากงานอีเว้นท์ได้สำเร็จโดยไม่มีใครตามมาทัน “ฉันว่าฉันไปส่งนายดีกว่า”
...ปล่อยกลับคนเดียวนี่ไม่ต่างจากให้เด็กอนุบาลกลับบ้านเองตอนสี่ทุ่มเลยแหง...
“ไม่ต้องหรอกครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยปฏิเสธไป
“ต้องสิ มากด้วย” มายุสุมิมั่นใจเลยว่าปล่อยกลับบ้านคนเดียวนี่คงไม่ถึงบ้านง่ายๆ แน่ “และห้ามปฏิเสธ เพราะฉันไม่สน”
...ขอยืมความเผด็จการของนายมาใช้หน่อยแล้วกันนะ ไอ้จูนิเบียวตาสองสี...
“...งั้นก็ได้ครับ” ฟุริฮาตะที่เห็นว่าปฏิเสธไปก็เท่านั้นถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ดี งั้นนำทางไปบ้านนายเลย” มายุสุมิเอ่ยไปแม้ในใจอดคิดไม่ได้ว่า...พยายามปฏิเสธให้นานกว่านี้ก็ได้นะ เพราะนั่นจะแสดงให้เห็นว่านายไม่ใสซื่อมากไปจนไว้ใจชาวบ้านง่ายๆ น่ะ
“ครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับก่อนที่จะพามายีสุมิเดินไปยังสถานีรถไฟใกล้ๆ เพื่อเดินทางกลับบ้านตน...ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมากนักจนกระทั่งขึ้นรถไฟที่แออัดด้วยผู้คนแล้วดันมาเจอพวกโรคจิตชอบลวมลามคนบนรถไฟจนคนผมเงินต้องรีบทำตัวเป็นที่กั้นให้คนผมน้ำตาลในที่สุด
“ให้ตายเถอะ นายเจอแบบนี้ทุกวันเลยหรือไง?” มายุสุมิบ่นออกมาอย่างเหนื่อยใจ...ก็จะไม่ให้เหนื่อยใจได้ไง ในเมื่อตั้งแต่ขึ้นรถไฟมาเนี่ยมีคนพยายามลวมลามหมอนี่สามรอบแล้วเนี่ย! ขนาดผ่านมาไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ! เสน่ห์แรงไปไหนวะ!? ยังดีนะที่หมอนี่เปลี่ยนชุด ถ้ามาทั้งชุดคอสสงสัยวุ่นกว่านี้แน่!
“ก็ไม่นะครับ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าวืด
“งั้นเปลี่ยนคำถาม ปกตินายกลับคนเดียวหรือเปล่า?” มายุสุมิไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเพิ่งมาเนื้อหอมมันวันนี้หรอก และเป็นไปได้อย่างมากว่าคงมีใครสักคนมักพารายนี้ไปส่งบ้านมากกว่า
“เปล่า ปกติเพื่อนผมมักมาส่งผมเอา”
“เพื่อนดีนิ” มายุสุมิเดาได้เลยว่าเพื่อนรายนี้คงรู้ว่าการปล่อยให้กลับคนเดียวมันอันตรายขนาดไหนเลยไปส่งทุกครั้งแน่ “เออ จะว่าไปฉันยังไม่รู้จักชื่อนายเลยนิ? ยังไงก็ร่วมหัวจมท้ายกันมานานพอดูแล้ว แนะนำตัวหน่อยไหม? ...ฉันมายุสุมิ จิฮิโระอยู่ปีสามโรงเรียนมัธยมปลายราคุซัน”
“อยู่ไกลจังนะครับ” ฟุริฮาตะที่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาไกลขนาดนี้เพื่อร่วมงานอีเว้นท์ยิ้มแห้งๆ “ส่วนผมฟุริฮาตะ โคกิอยู่ปีหนึ่งโรงเรียนมัธยมปลายเซย์รินครับ”
“อายุเท่าจูนิเบียวนั้นสินะ” มายุสุมิบ่นพึมพำขึ้นมาเบาๆ เมื่อรู้ว่ารายนี้อยู่ชั้นเดียวกับรุ่นน้องหัวแดงสุดเผด็จการของตน...นึกๆ ดูแล้ว เขาชักอิจฉารุ่นพี่ของหมอนี่นิดๆ แฮะ...
...ทำไมเขาไม่มีรุ่นน้องน่ารักๆ แบบนี้บ้างเนี่ย!? ของเขาแต่ละคนน่าถีบทั้งนั้น!..
“จูนิเบียว?” ฟุริฮาตะทวนอย่างงงๆ
“รุ่นน้องและกัปตันชมรมฉันน่ะ อยู่ปีหนึ่งเหมือนกันเลยเผลอเอามาเทียบน่ะ” มายุสุมิขยายามความให้อีกฝ่าย
“ดูท่าจะสนิทกันนะครับ ถึงเรียกกันแบบนี้เลย...” ฟุริฮาตะคิดว่าคนที่คนผมเงินเอ่ยถึงเนี่ยน่าจะสนิทกับเจ้าตัวพอดู ไม่งั้นคงไม่ตั้งฉายาให้แบบนี้หรอก
“ไม่หรอก ฉันไม่กล้าเรียกต่อหน้าเจ้าบ้านั้นแน่...ไม่งั้นโดนกรรไกรบินชัวท์” มายุมิเอ่ย...ที่จริงพูดไปงั้นแหละ เขาเรียกกัปตันทีมตัวเองแบบนี้ต่อหน้าเจ้าตัวบ่อยจะตาย แต่เขาแค่กลัวว่าหากวันใดอีกฝ่ายไปเจอไอ้รุ่นน้องหัวแดงของตนจะซื่อบื้อไปเรียกกัปตันทีมตนแบบเดียวกันเฉยๆ
“งั้นอยากโดนตอนนี้ไหม? จิฮิโระ?” ทันทีที่จบประโยคพูดของคนผมเงิน...เสียงเหี้ยมๆ ของใครบางคนก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรรไกรดัง ฉับๆๆๆๆ
“ชะแว๊กกกกก!!?” มายุสุมิหลุดร้องลั่นก่อนหันไปมองยังต้นเสียง...และพบว่ามีเด็กหนุ่มผมสีแดงยืนอยู่โดยถือกรรไกรไว้ในมือ ดวงตาสองสีจ้องมองยังคนผมเงินสลับกับคนผมน้ำตาล “มาไงฟะ!? ไม่สิ! ไหงนายมาอยู่นี่ได้กัน! อาคาชิ!”
“อยู่ๆ โค้ชก็ให้งดซ้อม ผมเลยว่างงานเลยมาหาเพื่อนสมัยเด็กผมน่ะครับ” อาคาชิเอ่ยพร้อมบู้ใบ้ไปทางคนผมน้ำตาลข้างๆ มายุสุมิ “และไม่คิดว่าจะอยู่กับจิฮิโระได้นะเนี่ย”
“เอ๋?” มายุสุมิส่งสีหน้างุนงงออกมาก่อนที่จะรุ่นน้องตนสลับกับคนผมน้ำตาล “พวกนาย...เพื่อนสมัยเด็ก?”
“อา...ครับ...” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับให้มายุสุมิก่อนที่จะมองไปยังอาคาชิ “...แล้วนี่เซย์รู้จักกับมายุสุมิซังเหรอ?”
“รุ่นพี่ฉันน่ะ” อาคาชิตอบ “ว่าแต่โคกิเถอะ ทำไมมาอยู่กับจิฮิโระได้ล่ะ?”
“มายุสุมิซังอาสามาส่งฉันน่ะ” ฟุริฮาตะตอบอย่างตรงไปตรงมาตามประสามคนซื่อ
“...” อาคาชิคิ้วกระตุกนิดๆ “คงไม่คิดอะไรแปลกๆ กับเพื่อนผมหรอกนะ?”
“จะใช่ได้วะไอ้เด็กบ้า!” มายุสุมิแว๊ดใส่อาคาชิและหยุดทำหน้าที่เป็นกั้นให้ฟุริฮาตะชั่วขณะเพื่อจะได้เถียงกับรุ่นน้องตัวได้ได้สะดวกๆ (?) “แค่หมอนี่ซื่อบื้อเกินจนไม่กล้าปล่อยกลับคนเดียวเว้ย!”
...เป็นเพื่อนกันได้ไงวะสองคนนี้!? คนหนึ่งเด็กดีจ๋าคนหนึ่งกวนโอ๊ยบวกเผด็จการเนี่ย!...
“...คงซื่อบื้อโดยลวมลามโดยไม่รู้ตัวอีกแล้วสินะ?” อาคาชิทำหน้าเอือมแบบไม่มีปิด
“ถูก” มายุสุเอ่ยง่ายๆ สั้นๆ “หมอนี่โดนบ่อย?”
“ประจำเลยต่างหากล่ะ แทบเป็นกิจวัตรแล้ว” อาคาชิเอ่ย “นี่ถ้าไม่ติดว่าเคียวซังโหดนี่สงสัยโดนลักพาตัวด้วยแหง”
“ไม่...มั้ง?” มายุสุมิไม่อาจเถียงได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นจริงๆ ดังที่อีกฝ่ายว่า “ว่าแต่เคียวซังที่ว่านี่?”
“พี่ชายของโคกิ” อาคาชิตอบ
“ไอ้คนที่โยนตู้น้ำนั้นสินะ...” พอพูดถึงพี่ชายของฟุริฮาตะ สิ่งที่มายุสุมิก็นึกถึงตู้กดน้ำก่อนที่จะนึกถึงหน้ารายนั้นออกเสียอีก
“เห็นแรงช้างสารรายนั้นแล้วเหรอครับ?” อาคาชิถาม
“เออ” มายุสุมิขานรับห้วนๆ “ว่าแต่ไหงฟุริเงียบไปเลยหว่า?”
“เออแฮะ” อาคาชิที่เพิ่งนึกแปลกใจที่เพื่อนตนไม่เอ่ยแทรกมาสักประโยคหันไปมองยังจุดที่ฟุริฮาตะยืนก่อนหน้านี้...แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าก่อนที่จะเลื่อนตาออกห่างไปอีกนิดและพบว่าคนที่พวกตนกำลังเอ่ยถึงนั้นโดยบุคคลหนึ่งลากตัวไปท่ามกลางฝูงชนที่แออัดเสียแล้ว “เฮ้ย! โดนเอาตัวไปแล้ว!”
“ฟุริ! เฮ้ย!” มายุสุมิที่ไม่คิดว่าเพียงคลาดสายตาเพียงเล็กน้อยอีกฝ่ายจะโดนพาตัวรีบแทรกตัวตามฝูงชนไปพร้อมกับอาคาชิเพื่อชิงตัวคนผมน้ำตาลคืนให้ได้ในเร็วไว
“ขอโทษด้วยนะ...ที่ทำให้วุ่นวายกันน่ะ” เสียงที่บ่งบอกถึงความรู้สึกผิดดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่ยกน้ำมาเสริฟ์ให้เด็กหนุ่มสองคนที่ทำหน้าราวกับปลงโลกสุดแสน
หลังจากที่เรื่องวุ่นๆ บนรถไฟจบลงได้ด้วยที่มายุสุมิสามารถชิงตัวฟุริฮาตะคืนมาได้พร้อมกับอาคาชิแจกกรรไกรบินให้แก่ผู้ที่ริอาจมาลักพาตัวเพื่อนตน สองตัวจริงทีมบาสราคุซันก็จัดการรีบพาฟุริฮาตะกลับมาส่งบ้านแต่ก็ไม่วายเจอคนน่าสงสัยพยายามเข้าหาฟุริฮาตะอีก แถมเมื่อมาถึงบ้านฟุริฮาตะก็เจอสโตเกอร์แอบดักอยู่หน้าบ้านให้อาคาชิไปสอยอีกหนึ่งด้วย ทำให้สุดท้ายทั้งอาคาชิทั้งมายุสุมิก็ไม่กล้าปล่อยนี่ไว้คนเดียวจึงสามัคคีช่วยกันเฝ้าคนผมน้ำตาลไว้จนกว่าผู้เป็นพี่อีกฝ่ายจะกลับมา
“แทนที่จะขอโทษ นายหาทางแก้อาการซื่อบื้อของนายหรือไปฝึกต่อสู้แทนเถอะ” มายุสุมิอยากรู้จริงๆ ว่ารายนี้รอดมาจนปานนี้ได้ไง เล่นดึงดูดอาญากรมาได้ขนาดนี้เนี่ย
“สุดท้าย...ก็มีโดนลักพาตัวจริงๆ” อาคาชิที่ไม่คิดว่าสุดท้ายจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ ได้เพียงถอนหายใจเท่านั้น “ไอ้อาการดึงดูดอาญากรนี่เมื่อไหร่จะหายเนี่ย?”
“พูดอย่างกับฉันอยากเป็นงั้นแหละ” ฟุริฮาตะทำหน้ามุ่ย
“ดึงดูดอาญากร?” มายุสุมิทำหน้างงๆ อย่างไม่เข้าใจความหมายที่รุ่นน้องหัวแดงของตนเอ่ย
“อา จิฮิโระไม่รู้นี่เนอะ” อาคาชิมองยังคนผมเงินพลางบู้ใบ้ไปทางเพื่อนสมัยเด็กของตน “โคกิเป็นพวกดึงดูดอาญากรเข้ามาหาได้ง่ายน่ะ ไม่รู้จะซวยอะไรนักหนา”
“...” มายุสุมิเริ่มเข้าใจสาเหตุที่คนทั้งงานมีตั้งเยอะตั้งเยอะแต่เรื่องกลับลอยมาหารายนี้คนเดียวแล้วสิ แต่คำพูดของอาคาชินั้นกลับทำให้คนผมเงินสงสัยบางอย่างขึ้นมาอีกอย่าง “แล้วนี่พี่ฟุริฮาตะกล้าฝากน้องตัวเองไว้กับฉันได้ไงเนี่ย?”
...ไม่กลัวเขาทิ้งฟุริฮาตะไว้คนเดียวเป็นอาญากรเลยหรือไง!?...
“เคียวซังเขาดูออกน่ะ ว่าใครไว้ใจได้...เลยฝากไว้กับนายไง” อาคาชิอธิบาย
“ช่ายยยยย” เสียงอีกเสียงดังขึ้นสนับสนุนคำพูดของนายกรรไกรแดง (S // ...#หนีกรรไกรบิน) และนั้นทำให้...
“เฮ้ย!” ...เด็กหนุ่มทั้งสามพากันหลุดออกมาไม่เว้นแม้แต่คนที่มักจะนิ่งเฉยได้ทุกสถานการณ์อย่างอาคาชิ ทั้งสามพร้อมใจกันหันไปทางต้นเสียง...และพบว่าชายหนุ่มผมน้ำตาลหรือก็คือนายเคียวที่พวกตน (มีเพียงอาคาชิและฟุริฮาตะที่รู้ ส่วนมายุสุมิแค่พอเดาได้ว่าอีกฝ่ายคือใคร) กำลังนินทากันอยู่นั้นกำลังยืนยิ้มร่าให้อยู่ “มาทางไหนเนี่ย!?”
...พวกเขามั่นใจว่าไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาเลยนะ!...
“ปีนฝ้าเข้ามา” นายฟุริฮาตะ เคียวตอบไปอย่างเริงร่า
“มีประตูทำไมไม่เข้าดีๆ ล่ะพี่?” พอได้ทำตอบจากผู้เป็นพี่ ฟุริฮาตะก็ทำหน้าเหนื่อยใจในทันใด
“อยากให้พวกน้องตื่นเต้นอ่ะ” เคียวยังคงยิ้มร่าอย่างไม่รู้สึกรู้สาต่อไป
...เออ ตื่นเต้น...จนเกือบหัวใจวายเลย! เมื่อกี้เกือบนึกว่ามีโจรบุกเข้ามาแล้ว!...
มายุสุมิแอบโวยนายเคียวในใจกับความคิดพิเรนท์ๆ ราวเด็กๆ ของอีกฝ่าย
“คุณยังทำอะไรชวนเหวอเหมือนเดิมเลยนะ” อาคาชิส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ
“ก็นะ” เคียวยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
“เฮ้อ ไม่สำนึกเลยสินะครับ?” อาคาชิกรอกตาไปมา “แต่เอาเถอะ...ในเมื่อคุณกลับมาแล้ว พวกผมก็ขอกลับเกียวโตก่อนนะครับ”
“โอเค~~~” เคียวลากเสียงยาว “กลับดีๆ นะเซย์จูโร่ จีจัง...และอย่าโดนใครเข้าใจเป็นผีอีกล่ะ”
“เอ๊ะ?” มายุสุมิส่งสีหน้างุนงงออกมากับคำพูดของอีกฝ่าย...
...ไหงรู้ชื่อเขาได้ล่ะ? ตั้งแต่รายนี้โผล่มายังไม่มีใครเรียกชื่อเขาเลยนะ! ที่สำคัญไอ้ประโยคหลังนี่หมายถึงเขาเต็มๆ เลยนี่หว่า!...
“ไม่ต้องเอ๊ะน่า...จำไม่ได้สินะ?” เคียวยังคงยิ้มร่าเหมือนเดิม “ช่างเถอะ เอาเป็นว่ารีบๆ กลับกันก่อนรถไฟเที่ยวสุดท้ายจะหมดเด้อ”
“เฮ้ย! เดี๋ยว!” มายุสุมิทักทวงอีกฝ่ายเพื่อให้อธิบายคำพูดเมื่อครู่ให้กระจ่าง แต่อนิจา...นายเคียวกลับไม่สนใจคำทักทวงแล้ว ‘ลาก’ ทั้งมายุสุมิทั้งอาคาชิออกจากบ้านตนด้วยท่าทีเหมือนกลัวว่าพวกตนจะมัวลีลาแล้วตกรถไฟกันจริงๆ
“ไม่ทันล่ะ...” อาคาชิที่ถูกโยนอออกมานอกบ้านได้เพียงถอนหายใจออกมาเป็นรอบที่เม่าไหร่ไม่รู้ของวันพลางมองนายเคียวที่ปิดประตูบ้าน คาดว่าคงเพื่อรีบกลับไปอ้อนน้องตัวเองตามปกติ “...รู้จักกับเคียวซังมาก่อนหรือไง? เคียวซังถึงพูดอย่างนี้?”
“จำได้ว่าไม่เคยเจอนะ” มายุสุมิส่ายหน้าวืด
“...เคียวซังนำพาปริศนาให้ขบคิดอีกแล้ว” อาคาชิที่รู้ว่าคำตอบที่ได้รับจะเป็นแบบนี้หรืออย่างไรไม่ทราบเลยทำเพียงส่ายหน้าไปมาและลากมายุสุมิไปขึ้นรถไฟกลับเกียวโตโดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติมอีกเลย
หลายเดือนต่อมาหลังจากเหตุการณ์ที่ไปเจอเพื่อนสมัยเด็กของกัปตันทีมตนโดยบังเอิญมายุสุมิ จิฮิโระก็ใช้ชีวิตประจำวันตามปกติไม่ว่าเรียน อ่านไลท์โนวเวล ซ้อมบาสและไปงานอีกเว้นท์บ้างในบางครั้งบางคราว แต่จะมีสิ่งที่ต่างออกไปเพียงอย่างเดียว...
“...ไหงฉันมาเจอนายที่งานคอสทุกทีเลยเนี่ย?” ...นั้นคือการพบกับฟุริฮาตะ โคกิที่แต่งตัวมางานคอสเพรย์ทุกครั้ง โดยแต่ละรอบก็รายนี้แหละที่มักได้รางวัลชนะเลิสไปครอง
“งานอดิเรกส่วนตัวน่ะครับ” ฟุริฮาตะที่คราวนี้แต่งเป็นเด็กสาวในชุดกิโมโนสีแดงในเรื่อง Bungou ได้เหมือนสุดๆ เช่นเดิมเอ่ย
“แล้วทำไมต้องแต่งเป็นผู้หญิงทุกทีเลย” มายุสุมิเข้าใจอยู่หรอกว่ามันอาจเป็นความชอบส่วนตัว แต่ไอ้การแต่งหญิงกับคนที่โดนอาญากรเข้าหาประจำเนี่ยมันเหมือนการเพิ่มอันตรายให้ตัวเองชัดๆ
“ก็คานาเดะซังชอบจับผมแต่งแบบนี้นี่ครับ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มแห้งๆ กลับไป...ใช่ว่าเขาอยากคอสเป็นผู้หญิงสักหน่อย! เขาก็อยากคอสเป็นตัวละครเท่ๆ นะ!
“คานาเดะ?” มายุสุมิทวนชื่อที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาเป็นเชิงถาม
“เพื่อนพี่ผม” ฟุริฮาตะเอ่ยพลางชี้ไปยังหญิงสาวผมดำดูท่าทางแมนๆ ที่อยู่ไม่ห่างจากตนนัก “นั้นไงครับ”
“อ๋อ” มายุสุมิพยักหน้ารับ “โหดเท่าพี่นายไหม?”
...ที่จริงก็น่าจะโหดนั้นแหละ ไม่งั้นเคียวซังคงไม่ให้มาช่วยเฝ้ารายนี้หรอก แต่ถามเผื่อไว้ก่อนก็ดี...
“ด้านแรงไม่ แต่ด้านความเถื่อน เอ้ย! ความเก่งด้านต่อสู้นี่พอๆ กันครับ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มแห้งๆ ให้
“...” ...เป็นคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วยสินะ? ขนาดฟุริฮาตะยังหลุดคำว่าเถื่อนออกมาเนี่ย...
“เพื่อนเหรอโคกิ?” ระหว่างที่คุยๆ กันอยู่นั้นเอง หญิงสาวผมดำที่เด็กหนุ่มทั้งสองกำลังพูดถึงอยู่นั้นก็เดินมาหาพอดี
“ครับ” ฟุริฮาตะที่ขี้เกียจอธิบายให้มากความหรืออย่างไรไม่ทราบ พยักหน้ารับไป
“เออ สวัสดีครับ” ทางมายุสุมิเอ่ยเพียงเอ่ยทักทายตามมารยาทไป โดยไม่คิดแก้ความเข้าใจของหญิงสาวแม้แต่น้อยเพราะเห็นว่าไม่จำเป็น
“สวัสดี...” คานาเดะเอ่ยทัก พร้อมกันนั้น...เสียงโครมครามเหมือนคนวิวาห์กันก็ดังขึ้นทำให้สองชายหนึ่งหญิงพากันหันไปมองที่ต้นเสียง และหญิงสาวก็ถึงกับคุมขมับเมื่อเห็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองคนหนึ่งกำลังฟัดกับคนฝูง เอ้ย! กลุ่มหนึ่งอยู่ “...ไอ้ชิโระ! แกจะไปก่อเรื่องทำไอ้น้องบ้า! ฝากโคกิแป๊บนะ! เดี๋ยวมา!”
“...เพื่อนพี่นายเหมือนพี่นายเลยเนอะ” มายุสุมิได้เพียงแต่ยิ้มแห้งๆ เมื่ออยู่ๆ ถูกโยนหน้าที่ดูแลฟุริฮาตะ...เหมือนตอนนายเคียวไม่มีผิดเลย
“ไม่หรอกครับ” ฟุริฮาตะพอได้ยินคำนี้ก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา “คานาเดะซังปกติกว่าพี่เยอะครับ”
“ถ้าแบบนั้นก็ดีแล้ว” มายุสุมิก็ไม่อยากให้มีคนแปลกๆ อย่างเคียวเพิ่มขึ้นอีกคนหรอก...แค่ที่บังเอิญเห็นแต่ละทีนั้นเจ้าตัวก็ทำให้ตนปวดหัวลามไปถึงตับแล้ว “เออ จริงสิ...ฉันขอถามอะไรนายหน่อยได้ไหม?”
“ครับ?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ และส่งสีหน้าประมาณว่าเชิญถามได้มาให้
“ฉันกับนาย...เมื่อก่อนเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า? แบบเมื่อนานมาแล้วน่ะ” มายุสุมิถาม...ที่จริงเขาตงิดๆ ตั้งแต่เคียวพูดในวันแรกที่เจอกันแล้วแต่ไม่มีโอกาสถามเสียที คราวนี้มีโอกาสก็ถามมันเลยแล้วกัน
“...” ฟุริฮาตะเงียบไปสักพักพร้อมทำสีหน้าครุ่นคิดกับคำถามของอีกฝ่ายก่อนที่จะตอบกลับมา “ใช่แล้วครับ”
“ตอนไหน?” มายุสุมิถามต่อ
“ก็...” ฟุริฮาตะอ้าปากกำลังจะตอบ แต่ทว่า...ไม่ทันได้ตอบอะไรไปก็มีใครบางคนพุ่งเข้ามาหาและอุ้มร่างเจ้าตัวขึ้นบ่าแล้ววิ่งหนีเสียก่อน
“เฮ้ย!” มายุสุมิสะดุ้งโหยงเมื่อคนตรงหน้าถูกฉกไปเสียดื้อๆ “เล่นโดนลักพาตัวต่อหน้าแบบนี้เลยเหรอ!?”
...นับวันยิ่งโดนหนักไปไหมเนี่ย!?...
“ฟุริ! กลับมาก่อนนนนน!!!” มายุสุมิตะโกนลั่นพร้อมไล่ตามโจรลักพาตัวที่เลือกลงมือหน้าด้านๆ ...โชคยังดีที่มายุสุมิยังมีดีกรีเป็นถึงนักกีฬาบาสของราคุซันจึงวิ่งตามได้ทันพร้อมเอากระเป๋าโยนใส่หัวโจรลักพาตัวได้อย่างแม่นยำและโชคดีที่กระเป๋าที่คนผมเงินใช้โยนหนักพอตัวเลยทำเอาโจรลักพาตัวสลบคาดที่ ทางมายุสุมิเมื่อชิงตัวฟุริฮาตะคืนได้แล้วก็รีบลากคนผมน้ำตาลหนีจากจุดเกิดเหตุ (?) เพื่อไม่ให้มีเรื่องวุ่นวายไปมากกว่านี้ “ให้ตายสิ...เกือบไปอีกแล้ว”
“ก็นะครับ” ฟุริฮาตะที่ดูจะชินชากับเรื่องนี้มากได้เพียงหัวเราะออกมาเบาๆ เท่านั้น
“นายนี่นะ” มายุสุมิถอนหายใจออกมาเบาๆ กับท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอีกฝ่าย...ถึงเขาจะพอรู้มาจากอาคาชิว่ารายนี้กรณีเป็นเรื่องอันตรายจริงๆ จะป้องกันตัวเองได้ก็เถอะ แต่เห็นหน้าซื่อบื้อๆ แบบนี้ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี “เฮ้อ...เอาเถอะ กลับมาเรื่องคำถามดีกว่า...ตกลงนายกับฉันเมื่อก่อนเคยเจอกัน?”
“ครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับ
“ทำไมฉันจำไม่ได้หว่า” มายุสุมิถึงแม้จะไม่สนโลกมากนัก แต่เจ้าตัวก็ไม่คิดว่าตนจะความจำสั้นถึงขนาดจำคนที่ซวยบรมแบบนี้ไม่ได้เช่นกัน
“ผมว่าไม่ใช่จำไม่ได้ แต่ในตอนนั้นคุณไม่อยากจำมากกว่า” ฟุริฮาตะที่ไม่แลกใจที่อีกฝ่ายจำเรื่องนี้ไม่ได้เท่าไหร่นักเอ่ย “ก็ตอนนั้นน่ะ...ผมเล่นทำเอาคุณโดนลักพาตัวไปพร้อมกับผมนี่ครับ”
“ห๊า?” มายุสุมิหลุดร้องออกมา...เขาเนี่ยนะเคยโดนลักพาตัว? ทำไมเรื่องใหญ่แบบนั้นถึงจำไม่ได้สักนิดฟะ!?
“ไม่เชื่อไปถามน้ายูมิดูแล้วกันนะครับ” ฟุริฮาตะที่เดาได้ว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่เอ่ยเสริม
“...” ...โอเค เชื่อล่ะ ถึงขนาดรู้ชื่อแม่เขาเนี่ย “ถึงงั้นก็ไม่น่าลืมง่ายๆ นะ”
“ผมว่าถ้าคุณจำได้มากกว่าถึงจะแปลก เพราะขนาดผมยังรู้เรื่องเพราะได้ฟังจากพี่เลย” ฟุริฮาตะเอ่ย “เพราะตอนนั้นคุณเพิ่งราวๆ สามขวบเอง และผมว่าอายุเท่านั้นยังไม่ทันจำอะไรได้มากมายนักหรอกครับ ยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่อยากจำด้วยแล้วเนี่ย”
“เอ๊ะ? งั้นตอนนั้นนายก็เพิ่งหนึ่งขวบสิ?” มายุสุมิไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเจอเรื่องบ้าๆ อย่างการลักพาตัวแต่เด็กเลย
“เปล่าครับ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าวืด “ผมเพิ่งเกิดเลยล่ะ”
“...ไอ้ดวงเฮงซวยของนายนี่มันติดมาตั้งแต่ชาติก่อนหรือไงเนี่ย?” มายุสุมิเริ่มคิดว่าความซวยอีกฝ่ายอาจเป็นเวรกรรมแต่ชาติก่อนก็ได้...นี่หมอนี่ดึงดูดอาญากรเข้าหาตัวเองได้ตั้งแต่เกิดเลยเหรอ!?
“อาจจะนะครับ” ฟุริฮาตะไม่เถียงว่ามันอาจเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“ยังจะมายอมรับอีก...” มายุสุมิทำหน้าเหนื่อยหน่ายใจ เวลาเดียวกันนั้น...เสียงคล้ายประทัดก็ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างแต่ตื่นของผู้คน ทำให้ทั้งมองต้องหยุดการสนทนาลงและหันไปยังต้นเสียง...ก่อนที่จะเห็นว่ามีคนปิดหน้าปิดตาจำนวนหนึ่งเข้ามาปิดล้อมทุกคนภายในงานไม่ให้ออกไปไหนโดยผู้มาใหม่ทุกคนต่างพกอาวุธที่ดูยังไงก็เป็นของจริงติดตัวไว้ “หว่า! อะไรอีกฟะ!?”
“คราวนี้เหมือนจะโดนปล้นกันนะครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“ในงานอีเว้นท์เนี่ยนะ!? เกินไปไหม!?” มายุสุมิสบถออกมาเบาๆ พลางมองกลุ่มโจรที่เริ่มทำการมัดคนในงาน...งานแบบนี้ใครๆ ก็รู้ว่าคนต้องเยอะ มันยังกล้ามาบุกอีก! อยากดังหรือไง!? เท่านั้นไม่พอ! ยังมียิงขู่ว่านี่ของจริงนะเว้ยอีก!
“ผมก็ว่างั้น” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “แต่พวกโจรพวกนั้นคราวนี้ซวยจังนะครับ...เล่นมาตอนคานาเดะซังกับชิโรบะซังอยู่เนี่ย”
“หมายความว่าไง?” มายุสุมิถามคนที่ใจเย็นเกินเหตุ
“ก็...” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ ในเวลาเดียวกัน...ก็มีร่างมนุษย์ถูกซัดกระเด็นมาจากจุดๆ หนึ่งพอดี
“หนวกหูย่ะไอ้ง่าว! และยิงปืนเพื่อ!!? อันตรายนะยะ!” เสียงหวานๆ พร้อมมือเท้าเน้นๆ อัดเข้าที่ร่างที่อยู่ใกล้ๆ ตนโดยไม่คำนึงว่าฝ่ายตรงข้ามมีอาวุธครบมือแม้แต่น้อย...หรือไม่จำเป็นต้องสนใจก็ไม่ทราบ เนื่องจากสาวเจ้านั้นสามารถจัดการคนที่มีอาวุธครบมือได้แบบไร้รอยขีดข่วนเลย
“ขอโทษนะ นอนไปเฉยๆ เถอะพวก...ฉันกลัวอาเจ๊ฆ่าคนวะ” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองที่ทำหน้าที่ระวังหลังให้สาวเจ้าด้วยความอยากร่วมวงตื้บคน (?) เอ่ยด้วยรอยยิ้มเหี้ยมๆ พร้อมจัดการคนใกล้ๆ อย่างรวดเร็วไม่ต่างจากสาวเจ้านัก
“...ดูเองเถอะครับ” ฟุริฮาตะได้เพียงชี้ให้อีกฝ่ายดูการต่อสู้แบบสองรุมคนฝูงหนึ่ง (?) อย่างจนใจ
“ควรสวดไหม?” พอเห็นสภาพเหล่าคนที่ริอาจจะปล้นงานอีเว้นท์นี้แล้ว เด็กหนุ่มผมเงินก็อดถามเช่นนี้ไม่ได้
“คงไม่...” ฟุริฮาตะส่ายหน้า ก่อนที่จะชะงักเมื่อ...มีจุดที่คนซัดกันเพิ่มขึ้นอีกจุด แถมดูรุนแรงกว่าจุดแรกนิดๆ เสียด้วย
“อา มีกองโจรสองมาด้วย...” มายุสุมิมองกลุ่มโจรที่น่าจะเป็นคนละกลุ่มจากที่มาตอนแรกกำลังหนีจากหญิงสาวผมสีน้ำผึ้งคนหนึ่งที่ไล่เชือด (?) ผู้ร้ายทั้งหลายอย่างโหดเหี้ยม “...แล้วโดนอัดกระเด็นด้วย”
“...ดูท่าต้องสวดจริงๆ แล้วล่ะครับ” ฟุริฮาตะพอเห็นหญิงสาวผมสีน้ำผึ้งก็ทำท่าสวดให้เหล่าผู้โชคร้ายอย่างเสร็จสัพ
“หื้อ? เมื่อกี้ยังบอกไม่อยู่นิ?” มายุสุมิเลิกคิ้วน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายอยู่ๆ เปลี่ยนคำพูดเสียดื้อๆ
“สถานการณ์เปลี่ยนแล้วครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยพลางบู้ใบ้ไปทางสาวเจ้าผมน้ำผึ้ง “ผู้หญิงคนที่อัดคุณโจรกลุ่มสองน่ะ...อาจารย์สอนต่อสู้พี่ครับ และรายนี้สำหรับพวกโจร ขโมยหรือพวกทำผิดกฎหมายไม่มีออมมือหรอกครับ”
“รายนี้บ้าเท่าพี่นายไหม?” พอได้ยินว่าเป็นอาจารย์ของนายเคียว ความคิดแรกที่เข้ามาภายในหัวมายุสุมิเลยคือ...บ้าตามนายเคียวไปหรือยังนั้นเอง (?) เพราะดันต้องสอนคนเกินคนแบบนั้น...
...ว่าแต่พี่แกก็เก่งอยู่แล้วนิ? จำเป็นต้องเรียนต่อสู้เพิ่มด้วยเหรอวะ?...
“ไม่บ้า แต่ต่อสู้เก่งกว่าพี่ครับ...ขนาดพี่เอาจริงขนาดไหนยังไม่เคยชนะเลย” ฟุริฮาตะเอ่ย
“...” ...คนอันตรายเพิ่มมาอีกคนแล้วสิ ว่าแต่หน้าอาจารย์เคียวซังนี่คุ้นๆ แฮะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
“เพราะงั้นเตรียมสวดให้เถอะครับ” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ อย่างมั่นใจว่าต้องมีคนได้นอนโรงพยาบาล (?) เป็นแน่แท้
“นั้นสินะ” มายุสุมิพยักหน้าอย่างเห็นด้วย...
...ไปที่ชอบๆ เถอะนะ ซวยมาปล้นงานที่มีคนโหดอยู่เองนิ....
“นี่อาคาชิ...” เสียงเรียกเบาๆ ดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมเงินท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ดังสนั่นจากเหล่าผู้เข้าชมการแข่งบาสระดับม.ปลายหรือวินเทอร์คัพในคราวนี้ นัยน์ตาสีเงินมองไปยังที่นั่งตัวสำรองของทีมบาสน้องใหม่อย่างเซรินด้วยอาการคิ้วกระตุกนิดๆ
“มีอะไรจิฮิโระ?” คนผมแดงถามกล้บด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“นายรู้อยู่แล่วสินะ?” มายุสุมิถามคนอายุน้อยกว่าด้วยท่าทางเหมือนอดกลั้นอะไรสักอย่าง
“เรื่อง?” อาคาชิถามกลับ
“ก็เรื่อง...” มายุสุมิหันมาแยกเขี้ยวใส่กัปตันทีมตน “...ที่ฟุริอยู่ชมรมบาสด้วยเนี่ย!”
“ผมเองก็เพิ่งรู้ตอนเพิ่งเริ่มการแข่งวินเทอร์คัพนี่เหมือนกันแหละ” อาคาชิปฏิเสธข้อกล่าวหาของอีกฝ่าย...เอาตามจริงเขาไม่คิดว่าคนซวยตลอดกาลอย่างฟุริฮาตะ โคกิจะกล้าสมัครเข้าชมรมกีฬาด้วยซ้ำ
“หมอนั้นไม่ได้บอกนาย?” มายุสุมิที่ไม่คิดว่าคนอย่างฟุริฮาตะจะเป็นฝ่ายคิดปิดบังเรื่องแบบนี้กับปีศาจสีแดงคนนี้หรอก
“อื้อ น่าจะลืมบอกน่ะ” อาคาชิราวกับรู้ความคิดอีกฝ่ายเอ่ยตอบกลับไปและนี่เป็นดังตัวจบบทสนทนาของทั้งคู่ลงพร้อมกับไปแข่งกับคู่แข่งทางฝั่งของตน พอแข่งเสร็จโดยที่ทางทีมราคุซันเป็นฝ่ายชนะ เหล่าคนในชมรมบาสราคุซันก็พากันไปนั่งดูการแข่งของทีมเซยินกับไคโจวต่อ...ซึ่งตอนแรกๆ ก็ชมการแข่งขันอย่างปกติดี ก่อนที่จะมีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำเอามายุสุมิถึงกับสำสักน้ำลายตัวเองและอาคาชิแทบหน้าทิ่มด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าอยู่โค้ชทีมเซย์รินดันให้ฟุริฮาตะที่ตอนนี้ตื่นสนามจนตัวสั่นลงแข่งซะงั้น
“...โค้ชของเซรินตัดสินใจได้เลือดเย็นมาก” มายุสุมิเอ่ยเสียงแผ่วกับการตัดสินใจของโค้ชทีมเซริน
“นั้นสินะ” อาคาชิพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“เออ โทษทีนะ...นี่คุยอะไรกันสองคนอ่ะ?” เด็กหนุ่มผมสีคาราเมลที่เกิดอาการอยากรู้อยากเห็นทำการกระโดดปานลิง (?) มาเกาะคนผมเงิน
“อย่าเกาะหัวฉันสิฮายามะ!” มายุสุมิแว๊ดใส่คนที่เกาะตน
“อย่าซนสิ โคทาโร่จัง” คนหน้าสวยผมดำที่กลัวเพื่อนตัวเองโดนตื้บ รีบทำการลากฮายามะออกมาจากมายุสึมิ...เป็นการจบเรื่องวุ่นวายทางนี้ไปได้โดยไม่มีใครโดนถีบหรืออะไร
จากนั้นทุกคนก็ชมการแข่งต่อไปจนในท้ายที่สุดผลการแข่งก็ออกมาทีมที่ชนะคือเซริน...ซึ่งหมายความว่าในการแข่งวันถัดไปในรอบชิงชนะเลิศทั้งอาคาชิและมายุสุมิต้องแข่งกับทีมของฟุริฮาตะนั้นเอง ทว่านั้นก็ไม่ได้สร้างความหนักใจให้ทั้งสองมากนักเพราะอีกฝ่ายเป็นตัวสำรอง คงไม่ได้ลงแข่งบ่อยนักหรอก
แต่มันก็ไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อถึงเวลาการแข่งขันระหว่างเซรินกับราคุซัน...พอมาถึงช่วงหนึ่งในการแข่ง ไอดะ ริโกะผู้เป็นโค้ชของเซรินก็ได้ตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้เล่นและให้ฟุริฮาตะ โคกิไปประกบอาคาชิ...
...ซึ่งในสายตาชาวบ้านนั้นมันแทบไม่ต่างจากการเอาชิวาว่าไปล่อสิงโตเลยสักนิด
“เฮ้ย! ทำอะไรลงปายยยยย!!?” สามราชันไร้มงกุฎของทีมราคุซันต่างร้องเสียงหลงออกมาเนื่องจากในสายตาตนนั้นกัปตันตนนั้นโหดเหี้ยมเกินสิ่งใดเปรียบ (?)
“คุณเธอเลือดเย็นไปแล้วนะเฮ้ย!” มายุสุมิสบถออกมาเบาๆ ...นี่ถ้าไม่ติดว่าอาคาชิเป็นเพื่อนสมัยเด็กรายนี้คาดว่าคงไม่ต่างอะไรกับโยนเนื้อให้สิงห์แน่
“เออ...ไหวไหมโคกิ?” อาคาชิมองคนผมน้ำตาลที่ตัวสั่นงกๆ ด้วยอาการเหงื่อตนนิดๆ
“ว...ไหว” ฟุริฮาตะตอบกลับมาเสียงสั่นๆ ไม่ต่างจากตัวที่สั่นเท่าไหร่นัก
“แต่อาการตื่นคนออกแล้วนะ” อาคาชิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ถึงเขาไม่อยากแข่งกับรายนี้นัก แต่ยังไงก็คงต้องดำเนินการแข่งต่อไป...
...ต่อให้เป็นเพื่อนเขาก็ไม่ออมมือให้หรอกนะ
“เซย์จัง! ส่งบอล!” คนหน้าสวยจากทีมราคุซันหรือมิบุจิ เรโอะซึ่งกลัวว่ากัปตันทีมตนจะเผลอไปกดดันใครจนกลั้นใจตาย (?) เข้าจึงเรียกอีกฝ่ายเพื่อไปส่งบอลเริ่มเกม
“อา...” อาคาชิขานรับไปและเดินไปหามิบุจิ ฟุริฮาตะก็พยายามเดินตามไปประกบตามที่โค้ชตนสั่ง...ก่อนที่จะสะดุดขาตัวเองล้มเสียอย่างนั้น เล่นซะอาคาชิส่งสีหน้าจุด จุด จุดออกมาแบบไม่มีปิดเลยสักนิด
“...” ทางมายุสุมิก็มีอาการไม่ต่างจากอาคาชิเท่าไหร่ ได้เพียงมองภาพตรงหน้าแล้วส่ายหน้าไปมาด้วยความปลงเท่านั้นก่อนที่จะเริ่มดำเนินการแข่งต่อไปเนื่องจากคงไม่มีใครรอให้พวกตนมาเล่นมาคุยอะไรกันมากกว่านี้แล้ว...ซึ่งในท้ายที่สุดการแข่งขันวินเทอร์คัพก็จบลงด้วยการที่ทีมบาสเซรินได้ตำแหน่งชนะเลิศไปในที่สุดสร้างความแปลกใจให้หลายๆ คนเป็นอย่างมาก
ทุกอย่างก็ดูจะไม่มีอะไรมาก จนกระทั่งหลังจากที่ทางชมรมบาสโรงเรียนมัธยมปลายเซรินรับรางวัลกันเรียบร้อยและในระหว่างที่กำลังจะกลับกันนั้นเอง...
“นี่! ยืมตัวแป๊บ!” ...นายมายุสุมิ จิฮิโระก็วิ่งมาหาเหล่านักกีฬาของเซรินและรีบลากตัวผู้เล่นเบอร์สิบสองของทีมไปในทันใด
“เฮ้ย! เดี๋ยว!” เหล่าคนของเซรินต่างหลุดร้องตะโกนลั่นเมื่อคนในทีมโดนฉกไปดื้อๆ หากแต่มายุสุมิก็หาได้สนใจไม่ รีบลากฟุริฮาตะไปทางห้องพักนักกีฬาทางฝั่งตนอย่างรวดเร็ว
“มีอะไรเหรอครับมายุสุมิซัง?” ระหว่างที่วิ่งๆ กันอยู่นั้นฟุริฮาตะก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย...เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายมาลากตนถึงที่นี่จะเป็นการกระทำโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ
“อาคาชิเป็นอะไรไม่รู้! จู่ๆ พูดจาน่าขนลุกเฉย!” มายุสุมิเอ่ยด้วยสีหน้ารับไม่ได้สุดแสน
“ห๊า?” ฟุริฮาตะหลุดร้องออกมาอย่างไม่เข้าใจคำพูดอีกฝ่ายนัก ขณะที่คนผมเงินเมื่อมาถึงห้องพักของนักกีฬาบาสราคุซันก็รีบเปิดประตูเข้าไปในทันทีโดยไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมเลย
“มายุซัง! ไปพาคนทีมเซย์รินมาทำไม!? ไหงบอกจะหาคนมาช่วยไง!” และทันทีที่เข้ามาภายในห้อง...คนผมเงินก็เจอคำถามนี้จากมิบุจิ เรโอะผู้เป็นรองกัปตันทีมทันที
“ก็นี่แหละคนช่วย!” มายุสุมิสวนกลับทันควัน โดยทางฟุริฮาตะก็มองภาพภายในห้องที่ยามนี้...ดูวุ่นวายสุดๆ ทั้งจากมายุสุมิกับมิบุจิที่กำลังเถียงกันและจากด้านในที่นั่งที่มีเด็กหนุ่มผมแดงโดนคนผมสีคาราเมลกับคนร่างโตผลักกันเขย่าไปมาปานน้ำผลไม้
“จะไงก็ช่างเถอะ! มาช่วยกันดูว่าอาคาชิเป็นไรไปเร็ว!” ฮายามะเอ่ยอย่างตื่นตะนก คาดว่าสติคงไปหมดแล้ว
“ฉันว่าพาไปหาหมอดีกว่ามั้ง!” เนบุยะเอ่ยด้วยท่าทีไม่ต่างจากฮายามะมากนัก
“เออ...” อาคาชิซึ่งโดนเขย่าไปมาทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่พูดไม่ออกเนื่องจากยามนี้เจ้าตัวมึนหัวจากการโดนเขย่าไปเสียแล้ว
“ใจเย็นๆ ครับ...เดี๋ยวก็ตายหรอกนั้น” ด้วยความที่กลัวเพื่อนตนจะตายเพราะโดนรุ่นพี่ตัวเองเขย่า ฟุริฮาตะจึงเอ่ยเตือนสติฮายามะกับเนบุยะ
“อุ๊บ!” สองคนที่โดนว่ารีบหยุดเขย่าทันทีและ...เมื่อทั้งสองปล่อยมือจากอาคาชิ เด็กหนุ่มผมแดงก็ล้มตึงไปในเวลาต่อมา
“กรี๊ด! เซย์จังวิญญาณออกจากร่างแล้ว!!!” มิบุจิเกิดอาการสาวแตก (?) ทันทีที่หันไปเห็นคนผมแดงดูเหมือนวิญญาณจะออกจากร่างเพราะโดนเขย่าแรงไปเสียแล้ว
“มีวิธีเรียกวิญญาณหมอนี่กลับร่างไหม?” มายุสุมิถามฟุริฮาตะอย่างใจเย็น...เพราะไม่คิดว่าไอ้จูนิเบียวหัวแดงนี่จะตายง่ายๆ หรอก
“น่าจะนะครับ” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะตะโกนประโยคหนึ่งซึ่งทำให้อาคาชิ... “เซย์...ข้าวของบินจากพี่มาแล้ว!”
พรึบ!
...รีบลุกพรวดขึ้นมาและหาที่แอบในทันที
“ดูผวาพี่นายดีนิ” มายุสุมิแทบหลุดก๊ากออกมาเมื่อคนที่มักเก๊กได้ตลอดเวลาอย่างอาคาชิมาดหลุดเช่นนี้
“พอดีเมื่อก่อนเซย์เคยโดนข้าวของบินของพี่สอยสลบไปน่ะครับ” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ
“แค่สลบยังดี” มายุสุมิคิดว่าแค่สลบนั้นแหละดีแล้ว...ก็ของแต่ล่ะอย่างที่ฟุริฮาตะ เคียวโยนเล่นแต่ละอย่างต่อให้เป็นของชิ้นเล็กๆ ก็มีอันตรายสูงถึงตายได้นี่หว่า
“ข้อนี้เห็นด้วย” อาคาชิเมื่อมองซ้ายมองขวาจนมั่นใจว่าไม่มีของบินโผล่มาจริงๆ แล้วก็เริ่มออกมาจากที่ซ่อนอย่างอายๆ ที่ดันปล่อยไก่ต่อหน้าลูกทีมตน “แล้วจะแกล้งฉันทำไมเนี่ย?”
“ดึงสตินายเข้าร่างไง” ฟุริฮาตะหัวเราะเบาๆ “แล้วนี่ที่เขาโวยวายกันเพราะ ‘พวกนาย’ สลับตัวกันเนี่ยนะ?”
“อื้ม แต่วิธีเรียกคนของฉันต่างจากรายนั้นเลยแตกตื่นกัน...นิดหน่อยน่ะ” อาคาชิพยักหน้ารับ
“จากสภาพไม่นิดนะ” ฟุริฮาตะไม่คิดว่าสภาพแต่ละคนที่ห่วงรายนี้จนคลั่งแบบนี้จะเรียกว่านิดได้หรอก...แต่เอาเถอะ เพราะอย่างน้อยก็ทำไปเพราะห่วงล่ะนะ
“เออ...โทษทีนะ...” สามราชันไร้มงกุฎที่เห็นว่ากัปตันทีมตนกับตัวสำรองเบอร์สิบสองของเซรินดันคุยกันหน้าตาเฉย ต่างจากที่แข่งกันในสนามก่อนหน้านี้ก็เกิดอาการงงงวยกันทั่วหน้า “...รู้จักกัน?”
“สองคนนี้เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันน่ะ” มายุสุมิเอ่ยตอบแทนตัวต้นประเด็นทั้งสอง ก่อนที่จะหันไปถามคนผมน้ำตาลต่อ “แล้วที่นายพูดเนี่ยหมายความว่าไงฟุริ? สลับตัวอะไร?”
“จะว่าไงดีครับ? ...ประมาณว่าเซย์เขามีสองบุคลิกน่ะครับ” ฟุริฮาตะอธิบาย
“สองบุคลิก?” มายุสุมิเลิกคิ้วน้อยๆ ก่อนถอนหายใจออกมาเบาๆ “เหรอ...โชคดี คิดว่าแข่งแพ้แล้วเพี้ยนไปซะอีก”
“ปากหรือครับมายุสุมิซัง” อาคาชิค้อนใส่รุ่นพี่ผมเงินเล็กน้อย
“ปากสิ...และช่วยเรียกฉันเหมือนนายอีกคนเถอะ! สยอง!” มายุสุมิยอมรับว่าเคยอยากให้อีกฝ่ายเรียกตนดีๆ ในฐานะรุนพี่บ้าง แต่พอเจอเข้าจริงๆ เนี่ยขอบอกเลยว่าน่าขนลุกมาก!
“ขอปฏิเสธครับ” อาคาชิเอ่ย...เขาว่าเขาเรียกผู้อาวุโสกว่าแบบนี้ยังดีกว่าตัวเขาอีกคนนะ
“ไม่ให้ปฏิเสธเว้ย!!!” มายุสุมิ มิบุจิ ฮายามะและเนบุยะต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน “ไอ้การเรียกของนายตอนนี้มันหลอนนะเฮ้ย!!!”
“ใจร้ายกันจังนะ” อาคาชิส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจกับรุ่นพี่ตนแต่ล่ะคนที่ดูจะรับวิธีเรียกของเขาในตอนนี้ไม่ได้เอามากๆ
“น่าๆ” ฟุริฮาตะยิ้มปลอบเพื่อนตนเล็กน้อยก่อนที่จะไปคุยกับคนผมเงิน “แล้วนี่ผมกลับได้ยังครับมายุสุมิซัง? คนอื่นๆ คงหาผมกันวุ่นแล้ว”
“ได้ / ไม่” มายุสุมิกับอาคาชิตอบกลับเป็นเสียงเดียวกัน หากแต่เนื้อความกลับไปคนละทางกันเลย
“ทำไมเหรอเซย์?” ฟุริฮาตะถามอย่างงงๆ ที่อาคาชิไม่ยอมให้ตนกลับ คนอื่นๆ ภายในห้องก็มองมาที่คนผมแดงอย่างงุนงงไม่แพ้กัน
“นายต้องไปเป็นไม้กันหมาให้ฉันก่อน พ่อฉันยิ่งบ้าความสมบูรณ์แบบอยู่” อาคาชิเอ่ยอธิบายสั้นๆ
“อีกแล้ว?” ฟุริฮาตะทำหน้าเหนื่อยใจ
“อื้ม” อาคาชิพยักหน้ารับ
“ไม้กันหมานี่อะไรฟะ?” มายุสุมิขมวดคิ้วน้อยๆ ...อย่างอาคาชิมันจำเป็นต้องมีคนเป็นไม้กันหมาด้วยเหรอ? ปกติเห็นจัดการทุกเรื่องได้ด้วยตัวเองนิ?
“พอดีคุณพ่อของเซย์เข้มงวดไปนิดน่ะครับ เซย์เลยกลัวโดนดุ” ฟุริฮาตะไขข้อสงสัยให้คนผมเงิน
“ไม่นิดล่ะ แต่ยังดีที่คุณพ่อเกรงใจโคกิ...เพราะกลัวโดนเคียวซังป่วนหากทำให้โคกิกลัวหรืออะไรเนี่ย” อาคาชิเอ่ยต่อ
“โอเค เข้าใจแจ่มแจ้งล่ะ” มายุสุมิพอเข้าใจนิดๆ ว่าทำไมถึงให้ฟุริฮาตะไปด้วย...ก็ใครมันอยากไปมีเรื่องกับพี่ฟุริฮาตะที่เกินคนไปไกลแล้วล่ะฟะ!?
“เออ แค่พวกเราไม่เข้าใจอ่ะ” ฮายามะที่งุนงงกับบทสนทนานี้มากๆ เอ่ยขึ้น
“จะว่าไงดีล่ะ ก็แบบ...” มายุสุมิทำหน้าครุ่นคิดเพราะไม่รู้จะอธิบายความบ้า (?) ของคนที่ตนเอ่ยถึงได้ไง และในตอนนั้นเอง...
“...แบบไหนอ่ะ?” ...เสียงถามของใครบางคนกลับดังขึ้นมาขัด...ที่กลางวงเลยทั้งๆ ที่ประตูห้องนั้นมิบุจิไปปิดตั้งแต่เริ่มเถียงกันเพราะไม่อยากให้เสียงดังไปรบกวนคนอื่นแท้ๆ และแน่นอนว่าไม่มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นแม้แต่น้อยกลับดันมีคนเพิ่มขึ้นมาเสียงได้
“ชะแว๊กกกกก!!!” เด็กหนุ่มทั้งห้องต่างร้องเสียงหลงแล้วพากันโดดไปที่มุมห้องอย่างรวดเร็วเมื่อยู่ๆ มีชายหนุ่มผมน้ำตาลคนหนึ่งโผล่มากลางวงได้ไงก็ไม่รู้ “ใครเนี่ย!? /เคียวซัง! มาไงเนี่ยครับ!? / พี่มาไง!?”
“แหม ร้องกันแทบหูดับเลย...” ชายหนุ่มผมน้ำตาลทำหน้าแหย่ๆ เพราะเสียงแต่ล่ะคนร้องนั่นแสบแก้วหูมาก
“ก็สมควรไหมล่ะครับ?” ฟุริฮาตะที่ทำใจกับเรื่องแปลกๆ ได้เร็วกว่าคนอื่นถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ก็นะ” ชายหนุ่มหรือฟุริฮาตะ เคียวยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก
“เข้ามาทางไหนครับเนี่ย?” อาคาชิที่ได้สติเป็นคนต่อมาเดินไปหาเคียว
“ทางนั้นน่ะ...” เคียวชี้ไปยังท่อระบายอากาศที่...ฝายังเปิดอยู่เลย
“ทำไมไม่เข้ามาทางประตู...” อาคาชิถามอย่างเหนื่อยใจ
“ก็มันไม่ตื่นเต้นอ่ะ” เคียวตอบกลับ...และคำตอบนี้เรียกเสียงถอนหายใจจากเด็กหนุ่มทั้งสองได้เป็นอย่างดี
“มายุซังๆ ...นี่คือเคียวซังที่พูดถึงเหรอ?” มิบุจิที่ยังเอ๋อๆ อยู่ถามคนผมเงินที่อยู่ใกล้ตนสุดในตอนนี้
“เออดิ” มายุสุมิขานรับห้วนๆ
“คนแน่นะ?” ฮายามะถามอย่างหวั่นๆ
“แน่สิ” มายุสุมิเอ่ย
“รายนี้แน่นอน ฉันรู้จัก...” เนบุยะสนับสนุนคำพูดของคนผมเงิน
“หื้อ? นายรู้?” คราวนี้มายุสุมิ มิบุจิและฮายามะต่างหันขมับมามองที่คนร่างโตที่สุดในกลุ่มตน
เป็นเพื่อนที่ทำงานพี่คนโตฉัน” เนบุยะตอบ “และตอนนี้เข้าใจแล้วว่าทำไมพ่ออาคาชิไม่อยากมีเรื่องด้วย...ไม่สิ ใครที่รู้ทั้งรู้ความป่วนรายนี้แล้วยังไปมีเรื่องด้วยก็บ้าล่ะ”
“ฉันก็ว่างั้น” มายุสุมิไม่เถียงว่าหากใครรู้จักตัวตนของฟุริฮาตะ เคียวแล้วจะบ้ามีเรื่องด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องหรอก
“แหม นินทากันมันส์เชียว...” เสียงทุ้มๆ ดังขึ้นมาข้างๆ คนผมเงิน “...ว่าแต่นายเป็นน้องของใครคนไหนในที่ทำงานฉันเนี่ย? เท่าที่รู้ไม่น่ามีคนตัวเขื่อนขนาดนี้ในเขตฉันนะ”
“แว๊ด!!!” สามหน่อราชันไร้มงกุฎบวกหนึ่งหน่อจืดจางต่างสะดุ้งโหยงเมื่อคนที่ตนนินทาเมื่อครู่อยู่ๆ โผล่มาอยู่ข้างๆ มายุสุมิซะงั้น “มาเมื่อไหร่เนี่ย!?”
“เมื่อกี้” เคียวตอบพลางมองยังเนบุยะ “และนายยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ...พี่นายคนไหนล่ะนั้น?”
“เออ...พี่คนโตผมชื่อเนบุยะ อันเซย์น่ะครับ” เนบุยะตอบกลับไปอย่างเอ๋อๆ ...นี่มาแอบฟังตั้งแต่ตรงไหนกันวะเนี่ย!?
“ไอ้เซย์น่ะนะ? ไม่ยักเหมือน” เคียวเลิกคิ้วน้อยๆ “นายขโมยความสูงไอ้เซย์มาหมดหรือเปล่าเนี่ย? มันถึงได้ตัวเล็กนักน่ะ?”
“คงไม่...มั้ง” เนบุยะถึงไม่คิดว่าตนจะแย่งความสูงพี่ตัวเองมาจริงๆ เนื่องจากตนเป็นคนเล็กสุดของบ้าน แต่ก็อดคิดแบบที่เคียวพูดไม่ได้จริงๆ
“เอ้าๆ หยุดเล่นกันก่อนเถอะครับ” อาคาชิที่เห็นว่าหากคุยเรื่องนี้ต่อคงอีกยาวรีบเอ่ยขัดขึ้นมา “ผมว่าตอนนี้มันก็ค่ำแล้ว รีบกลับเถอะครับ...ส่วนโคกิมาช่วยกันคุณพ่อให้ผมเลยรับรองอีกไม่นานผมโดนตามตัวไปหาแน่ เคียวซังมาด้วยยิ่งดี”
“อื้ม / ได้เลยยยยย” สองพี่น้องฟุริฮาตะต่างขานรับอย่างพร้อมเพรียง
“ส่วนคนอื่นๆ ก็เชิญกลับบ้านใครบ้านมันเลยแล้วกัน” อาคาชิเอ่ยกึ่งไล่ลูกทีมที่เหลือของตน...ก็ยังไงเขาต้องโดนเรียกตัวกลับบ้าน คงกลับพร้อมพวกนี้ไม่ได้อยู่แล้วล่ะ
“ยังไม่อยากกลับอ่ะ...อยากเที่ยวต่อ...” ฮายามะเอ่ย...ถึงการแข่งนั้นจบไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อยากกลับเกียวโตในยามนี้เสียเท่าไหร่นักเพราะยังไม่ได้เที่ยวเล่นอะไรเลยบวกกับช่วงนี้เป็นวันหยุด จะรีบกลับทำไมล่ะ “...เอย์จัง วันนี้ของไปค้างด่วยนะ”
“นายรู้ว่าฉันจะไปค้างบ้านพี่เซย์เหรอ?” เนบุยะถามเมื่อฮายามะขอมาดื้อๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าตนจะกลับเกียวโตหรือค้างที่นี่ด้วยซ้ำ
“ก็กรณีแบบนี้ส่วนใหญ่นายจะไปค้างกับอันเซย์ซังนิ” มิบุจิที่มักร่วมหัวจมท้ายกับเพื่อนสองคนนี้ของตนตลอดได้เพียงถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยใจ
“...อาคาชิ” ส่วนทางมายุสุมิเมื่อโดนกัปตันทีมตัวเองไล่กลับก็เรียกชื่ออีกฝ่ายขึ้นมาเบาๆ
“ครับ?” อาคาชิขานรับ
“ไปด้วย” มายุสุมิเอ่ยด้วยหน้าตายสนิท
“ห๊า?” อาคาชิเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“วันนี้ขอไปกับนายด้วย” มายุสุมิย้ำคำพูดของตัวเองอีกครั้ง ชัดๆ
“ผมต้องไปหาคุณพ่อนะครับ ไม่ได้ไปเที่ยวเล่น...” อาคาชิเอ่ย...ปกติเขาอาจให้ไปด้วยได้หรอก แต่ในกรณีนี่กลัวว่ามันจะมีเรื่องยุ่งยากตามมานี่สิ
“ไม่สน” มายุสุมิเอ่ยพร้อมส่งสีหน้าประมาณว่า ‘หากไม่พาไป จะแอบตามไปเอง’ มาให้คนผมแดง
“...ดื้อเหมือนเท็ตสึยะเลย” อาคาชิถอนหายใจออกมาเบาๆ กับความดื้อด้านคล้ายเพื่อนสมัย ม.ต้น ของตน จะต่างก็มีแค่คนผมเงินไม่กดดันด้วยหน้าตายๆ เหมือนราวนั้นเท่านั้น
“อย่าเอาฉันไปเทียบกับหมอนั้นจะได้ไหมห๊า?” มายุสุมิแยกเขี้ยวใส่...เทียบกับคนอื่นไม่เท่าไหร่ แต่เทียบกับรายนั้นแล้วจี๊ดเว้ย!
“คงยากล่ะครับ” อาคาชิทำการแหย่อีกฝ่ายเล่น...ก่อนที่มันจะกลายเป็นการเถียงระหว่างอาคาชิกับมายุสุมิขึ้นและการเถียงก็จบลงด้วยการที่เคียวซึ่งขี้เกียจรอหรืออย่างไรไม่ทราบลากทั้งอาคาชิทั้งมายุสุมิไปยังบ้านของเด็กหนุ่มผมแดง โดยมีฟุริฮาตะที่ยิ้มแห้งๆ เดินตามไป
ส่วนทางสามราชันไร้มงกุฎเมื่อเห็นว่ารุ่นพี่หัวเงินกับกัปตันผมแดงของตนโดนพาตัวไปแล้วก็ได้เพียงมองหน้ากันเองก่อนที่จะตัดสินใจพากันไปค้างบ้านของเนบุยะ อันเซย์ผู้เป็นพี่ของเนบุยะ เอย์คิจิแบบไม่สนใจสองคนที่โดนลากตัวไปเลย
“...เกิดความวินาศตามคาด” เสียงบ่นเบาๆ ดังออกจากปากเด็กหนุ่มผมเงินหลังจากที่ตนติดสอยห้อยตามมายังบ้านผู้เป็นกัปตันทีมของตนที่พอมาถึง...ก็เจอผู้เป็นพ่อของอาคาชิยืนหน้านิ่งรออยู่เลยและด้วยความนึกคึกอะไรของฟุริฮาตะ เคียวก็ไม่ทราบจึงเริ่มทำการป่วนใส่พ่อของอาคาชิหรืออาคาชิ มาซาโอมิผู้เป็นเจ้าของบ้านทันที ทางผู้เป็นเจ้าของบ้านก็ไม่อยากให้บ้านตนโดนพังเลยต้องหาทางเถียงกับนายเคียวเสียครู่ใหญ่ๆและหลังป่วนไปป่วนมาได้สักพัก...
...สุดท้ายนี้มายุสุมิกับอาคาชิก็โดนผู้ใหญ่สองคนที่กว่าจะคุยกันดีๆ แบบมนุษย์ปกติได้เสียทีไล่มารอในห้องรับแขก ฟุริฮาตะก็ไปทำมื้อเย็นให้เนื่องจากเห็นว่าค่ำแล้ว
“จากเคียวซังนี่หายห่วงเลย” อาคาชิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ถ้าหากความปั่นป่วนไม่เกิดคงเป็นฟุริฮาตะ เคียวตัวปลอมแล้วล่ะ
“ว่าแต่อาคาชิ...ฉันคิดไปเองหรือว่าพ่อนายมองเคียวซังแปลกๆ น่ะ?” มายุสุมิไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าแต่รู้สึกว่าก่อนที่จะโดนไล่มารอที่ห้องรับแขกนี่เหมือนพ่อของอาคาชิมีสายตาแปลกๆ ชอบกล
“ดูออกเหรอครับ?” อาคาชิเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ก็ตาไม่ได้บอดนิ” มายุสุมิสวนกลับทันควัน
“ตอบดีๆ ก็ได้นะครับ” อาคาชิหัวเราะออกมาเบาๆ “ส่วนที่คุณพ่อมองเคียยซังแปลกๆ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ...แค่กำลังหาทางจีบเคียวซังแค่นั้นเอง”
“แค่ก!” พอได้คำตอบเช่นนี้ มายุสุมิถึงกับสำลักลมหายใจตัวเองทันที “พ่อนายจะบ้าหรือไง!? อย่างเคียวซังเนี่ยนะ!?”
“ไม่บ้าครับ...ถึงอดคิดแบบนั้นไม่ได้เหมือนกันก็เถอะ” อาคาชิยอมรับว่าตนก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
“นี่นายก็ยอมให้พ่อนายจีบเคียวซัง?” มายุสุมิไม่คิดว่ามีลูกที่ไหนอยากให้พ่อตัวมีแม่ใหม่ให้ตัวเอง แถมเป็นผู้ชายด้วยกันนักหรอกมั้ง
“แน่นอนครับ นั้นเรื่องส่วนตัว...อีกอย่างเคียวซังทำให้พ่อผมเหมือนมนุษย์มนา แถมยังเข้มงวดน้อยลงขึ้นเยอะเลย เพราะงั้นเพื่อความสบายในชีวิตผม ให้พ่อติดเชื้อความบ้าของเคียวซังไปเยอะๆ นั้นแหละดีแล้วครับ” อาคาชิเอ่ย
“ฟังแปลกๆ นะ” มายุสุมิบ่นพึมพำ...ไอ้ช่วงแรกๆ พอเข้าใจ แต่ช่วงหลังๆ นี่เหมือนกับว่าอาคาชิจงใจใช้เคียวล้างสมองพ่อตัวเองชอบกลแฮะ
“ก็นะ” อาคาชิยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก “คุณเองก็ระวังติดความบ้าจากเคียวซังด้วยแล้วกันนะครับ”
“หมายความว่าไง?” มายุสุมิถามกลับ
“ก็จะจีบโคกิไม่ใช่เหรอครับ? แบบนั้นก็ต้องเจอเคียวซังบ่อยๆ อยู่แล้ว...เพราะงั้นโอกาสติดความบ้านี่สูงเลยครับ” อาคาชิเอ่ย
“...” มายุสุมิพอได้ยินแบบนี้ก็สตั้นไปสักห้านาทีก่อนที่ดวงหน้าจะเริ่มขึ้นสีแดงขึ้นมา “จะบ้าเหรอ!? ไม่คิดจีบเฟ้ย!”
“อย่าซึนหน่อยเลยครับ ดูออกนะ” อาคาชิเย้าแหย่อีกฝ่าย
“ไม่ซึน!” มายุสุมิเถียงกลับ
“ซึน” อาคาชิตอกย้ำคำเดิม
“ไม่!” มายุสุมิเริ่มแยกเขี้ยวใส่
“ซึนสุดๆ” อาคาชิเริ่มยิ้มร่าอย่างสนุกสนานกับการกระทำเช่นนี้
“บอกว่าไม่ซึนไงเฟ้ย!” มายุสุมิแว๊ดลั่นและเวลาเดียวกันนั้น...
แอ๊ด...
“...ทำอะไรอยู่ครับเนี่ย?” ...เสียงทักพร้อมเสียงเปิดประตูที่ดังขึ้นมาทำให้สองคนจากทีมบาสราคุซันพากันหยุดเถียงไปชั่วขณะ
“เปล่า!” มายุสุมิกับอาคาชิปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกัน
“แหม ตอบพร้อมเพรียงกันเชียว” ฟุริฮาตะที่มาเพียงเรียกทั้งสองไปทานมื้อเย็นแซวเล็กน้อย
“ก็นะ” มายุสุมิยักไหล่น้อยๆ ด้วยใบหน้าตายสนิท “แล้วพี่นายกับพ่อของอาคาชิล่ะ?”
“คุยกันเล่นอยู่...และเซย์ ฉันว่าเตรียมยาแก้ไมเกรนให้คุณลุงเขาด้วยก็ดีนะ” ฟุริฮาตะตอบคนผมเงินก่อนที่จะหันไปคุยกับเพื่อนหัวแดงของตน
“อา เดี๋ยวไปเตรียมให้...” อาคาชิเดินไปยังกล่องหนึ่งที่ใช้เก็บยาในห้องรับรองนี่ โดยที่ตอนที่เดินผ่านคนผมเงินนั้น...เจ้าตัวก็ไม่วายแซวรุ่นพี่ตัวเองเล่นอีกระรอบ “...พยายามเข้านะมายุสุมิซัง ไม่ต้องกลัวพี่สะใภ้รับไม่ได้เพราะเดี๋ยวผมช่วยเอง”
“บอกว่าไม่ใช่ไงเว้ยยยย” มายุสุมิแว๊ดลั่น แต่มีรึอาคาชิจะสนใจ...เด็กหนุ่มผมแดงทำเพียงรีบเดินออกห่างเพื่อไม่ให้โดนเขกหัวเท่านั้น “ให้ตายเถอะ”
“เล่นอะไรกันครับเนี่ย?” ฟุริฮามองการเถียงกันของทั้งสองอย่างขบขันเล็กน้อย
“ถามอาคาชิเองเถอะ” มายุสุมิตอบปัดๆ ไป “ว่าแต่นายเถอะ...โทรบอกเพื่อนร่วมทีมนายหรือยังว่ามานี่น่ะ”
“เออ ลืม...” ฟุริฮาตะส่งยิ้มแห้งๆ ให้ก่อนที่จะปรีตัวออกจากห้องไปเพื่อโทรบอกเพื่อนร่วมทีมตนที่ปานนี้คงวุ่นวายสุดๆ กันไปแล้ว
“ขี้ลืมจริง” คนผมเงินส่ายหน้าไปมาอย่างอ่อนใจ และจากนั้นเพียงไม่นาน...
โครม!
“หื้อ?” ...ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ทำให้มายุสุมิที่ได้ยินเสียงโครมครามหันไปมองตามต้นเสียงและ...เวลาเดียวกันนั้นก็มีคนแปลกหน้าสวมไอ้โม่งซึงเข้ามาภายในบ้านได้ไงก็ไม่ทราบวิ่งสวนมาแล้วโดดหนีไปทางหน้าต่าง...โดนที่ร่างนั้นแบกฟุริฮาตะที่โดนมัดราวดักแดไปด้วย “เฮ้ย! โดนอีกแล้ว!!!”
“คราวนี้ตามมาถึงนี่...” อาคาชิมองเพื่อนตนโดนหิ้วไปแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ...
ฟิ้ว...ปัง!
...และในเวลาต่อมาก็มีเก้าอี้ตัวใหญ่ลอยไปกระแทกเกือบหัวโจรลักพาตัว...ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเก้าอี้บินนั้นเป็นฝีมือของใคร
“และโดนสอยในชั่วอึดใจ...” มายุสุมิมองของบินที่ลอยออกมาจากหน้าต่างห้องข้างๆ ...หรือห้องที่เคียวกำลังคุยกับพ่อของอาคาชิอยู่ ก่อนที่นายเคียวจะโดดออกมาจากหน้าต่างไปเล่นงานคนที่คิดจะลักพาตัวน้องชายตน “...หมอนี่ดวงซวยไม่มีลิมิตจริงๆ”
“ถึงเป็นนี่แล้วชอบไหมล่ะครับ? โคกิน่ะ?” อาคาชิอาศัยช่วงที่รุ่นพี่ตนกำลังปลงกับเหตุการณ์ในยามนี้ถามถึงเรื่องความรู่สึกที่อีกฝ่ายมีต่อเพื่อนตนหน้าตาเฉย
“ชอบสิ...เฮ้ย! ไม่ใช่!” มายุสุมิที่เผลอเอออ่อตามรีบกลับคำพูดทันควัน
“ไม่ทันล่ะครับ” อาคาชิยิ้มร่าพร้อม...ชูเครื่องบันทึกเสียงให้คนผมเงินดู “ผมเอาไปให้โคกิฟังนะครับ...ไปล่ะ!”
“เดี๋ยว! อย่านะเว้ย!!! อาคาชิ!!!” มายุสุมิรีบตามคนผมแดงที่วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว...แต่เรื่องจะตามทันหรือไม่ และอาคาชิจะเอาคลิปเสียงไปให้ฟุริฮาตะได้สำเร็จหรือเปล่า ก็แล้วแต่ดวงล่ะนะ~~~~
END
มายุสุมิ // เดี๋ยว! ไหงตัดบทดื้อๆ แบบนี้ฟะ!?
S // เพราะเราอยากแกล้งนายไง
มายุสุมิ // ยัยสมองไม่ปกติเอ้ย!
S // จ้า!!!
มายุสุมิ // ยังจะมายอมรับอีก!!!
ความคิดเห็น