คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #224 : [KagaFuri] KAGAMI
Title : KAGAMI
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Kagami x Furihata
Notes : S // มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า มาแล้วจ้า (#เสียงดังผ่านลำโพงออกมาราวในหนังผี)
คางามิ // จะพูดซ้ำๆ เป็นแผ่นเสียงตกร่องเพื่อ!?
S // แกล้งนายเล่นไง พ่อเสือน้อย
คางามิ // เพื่อ!?
S // อยากทำไง มีไรไหม?
คางามิ // เล่นงี้!?
S // จ้า! และ...โชคดีเด้อ!!!
คางามิ // แว๊กกกกก!!! ยัยบ้าชิโกะ!!!! (#อยู่ๆ มีผีดิบโผล่มาอุ้มตัวลงหลุมไป)
.....................................................................................
KAGAMI
ตึง...ตึง...
เสียงก้าวเดินดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในห้องๆ หนึ่งของแมนชั่นแห่งหนึ่งโดยเด็กหนุ่มผมสีเพลิงซึ่งกำลังยกข้าวยกของเข้ามาภายในห้องจำนวนมากแล้วเดินไปมาภายในห้องเพื่อจัดข้าวของจากภายในกล่องกระดาษที่วางระเกะระกะให้เรียบร้อย
“เฮ้อ~~~ เสร็จสักที~~~” คางามิ ไทกะเด็กหนุ่มตัวโตแต่กลัวหมา (?) ผู้เพิ่งย้ายจากอเมริกามาเรียนที่ญี่ปุ่นแบบสดๆ ร้อนๆ มองสภาพห้องที่ตนเอาข้าวของเข้าที่เข้าทางและทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วอย่างพอใจ
...ย้ายมาที่ใหม่นี่เหนื่อยเหมือนกันแฮะ...
“แต่ห้องมันโล่งๆ เหมือนขาดอะไรแฮะ...หาอะไรมาตกแต่งเพิ่มดีกว่า” คางามิเกาหัวตัวเองน้อยๆ ขณะที่มองภาพรวมของห้องก่อนที่จะตัดสินใจเดินออกไปหาซื้อของเพิ่มเติมสำหรับห้องใหม่ของตน เด็กหนุ่มเดินไปตามทางเรื่อยๆ จนมาหยุดที่ร้านเก่าๆ ร้านหนึ่ง ที่ดีไซน์จะว่าแปลกหรือเจ้าของร้านขี้เกียจกันแน่ก็ไม่รู้กับป้ายร้านที่แมงมุมเกาะเขียนว่า ‘ร้านขายอุปกรณ์ตกแต่งภายใน’ แต่ถึงแม้ร้านจะมีสภาพแมงมุมขึ้นเจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจและเดินเข้าไปในร้านตามปกติ “ร้านนี่น่าจะถูกดีแฮะ”
“ยินดีต้อนรับ~~~” เสียงต้อนรับที่เริงร่าเสียจนชวนหลอนดังขึ้นมาจากพนักงานสาวร่างเล็ก ซึ่ง...
“อ่ะ...ไหงมาแสดงล่ะชิโกะ?” ...คางามิจำได้ว่าคือตัวผู้แต่งนั้นเอง
“เราขี้เกียจหาคนแสดงเลยแสดงแทนเลย และอย่าขัดดิ...รีบๆ กลับเข้าบทไปเลย” เราเอ่ยด้วยสีหน้าเริงร่าเช่นเดิม
“อาๆ ก็ได้ๆ” คางามิขานรับไปส่งๆ ด้วยความกลัวว่าจะถูกแกล้ง
“โอเค งั้นเราต่อนะ” เราเอ่ยพร้อมเข้าสู่บทเดิมอย่างรวดเร็ว “มีอะไรให้ช่วยไหมเอ๋ย~~~”
“เออ...พอดีอยากได้ของตกแต่งห้องน่ะ...ครับ พอจะดีไหม...ครับ?” คางามิเอ่ยอย่างกระกุกกระกักเล็กน้อยเมื่อถูกถาม
“มีแน่นอน~~~” พนักงานสาวยิ้มร่าพร้อมเอ่ยเสียงลากยาวแบบให้หลอนเล่นต่อไป~~~ “อยากใช้ตกแต่งห้องไหนล่ะ~~~?”
“ก็...ห้องนั่งเล่น” คางามิตอบ
“งั้นนี่เลย” พนักงานสาวชี้ไปยังกระจกเงาบานใหญ่ที่วางอยู่...เป็นกระจกที่มีกรอบไม้สีน้ำตาลอ่อนแกะสลักเป็นรูปเถาล์ไม้อย่างสวยงาม สงราวๆ 170 ซม.
“เอ๊ะ? กระจกเงา?” คางามิมองของที่ถูกนำเสนออย่างแปลกใจ
“ช่ายยยย ถึงเงาสะท้อนจะมัวไปหน่อยแต่ถ้าใช้แค่ประดับห้องนี่พอได้อยู่” ตัวเรา เอ้ย! พนักงานสาวเอ่ยอย่างมั่นใจสุดแสน
...ผู้ชายตัวโตๆ กับกระจกเงาอันบักเขื่อนนี่มันเข้ากันเหรอวะ?...
คางามิอดคิดเช่นนี้ไม่ได้เมื่อสาวเจ้าแนะนำกระจกบานนี้แถมดูมั่นใจเสียจนน่าหมั่นไส้อีกต่างหาก หากแต่ด้วยความที่เจ้าตัวไม่ใช่พวกคิดเล็กคิดน้อยหรืออะไรกับผู้หญิงนักจึงเมินไอ้ท่าทีน่าหมั่นไส้นั้นไปแล้วให้ความสนใจกับกระจกเงาแทน...แต่ก็เอาเถอะ มันก็สวยดีแถมขี้เกียจไปร้านอื่นด้วย...
“งั้นเอานี่แหละครับ ราคาเท่าไหร่ครับ?” ...พอคิดได้แบบนี้คางามิก็ตัดสินใจซื้อกระจกบานนี้มาทันที
“ห้าร้อยเยน” พนักงานสาวตอบทันควัน
“ห๊า?” คางามิหลุดร้องออกมาด้วยความงุนงง
“ห้าร้อยเยนไง...ทำไม? แพงไปหรือ?” พนักงานสาวเอียงคอน้อยๆ ด้วยความสงสัย
“เปล่าครับ...” ...มันถูกไปต่างหาก
“แล้วหาทำไม? อะไรหายเหรอ?” พนักงานสาวถามกลับด้วยความซื่อหรือความกวนก็ไม่อาจทราบ
“ไม่มีอะไรหรอก” คางามิถอนหายใจออกมาเบาๆ กับคำพูดของอีกฝ่าย “เอาเป็นว่าห่อกันแตกให้ด้วยนะครับ”
“รับทราบ~~~” พนักงานสาวที่ดูไม่เหมือนพนักงานเท่าไหร่รีบจัดการห่อกระจกตามคำสั่งอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า...เพียงไม่กี่นาทีกระจกที่สูงกว่าตัวพนักงานเสียอีกก็ถูกห่อเรียบร้อย “เรียบร้อย จะให้เรายกไปให้ไหม?”
“ไม่อ่ะ เดี๋ยวยกเอง” คางามิส่ายหน้าวืด...ให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ ยกของไปให้นี่คงน่าอายน่าดูหากมีใครมารู้เข้าเนี่ย
“ขอบคุณที่ใช้บริการเด้ออออออ” เมื่อการซื้อขายเสร็จสิ้นพนักงานสาวก็เอ่ยอย่างร่างเริงต่างจากคางามิที่ดูจะปลงจนไม่รู้จะปลงยังไงแล้ว แต่สุดท้ายคางามิก็เลือกที่จะเมินพนักงานสาวสุดเพี้ยนแล้วยกสิ่งที่ตนซื้อมากลับห้อง
พอมาถึงคางามิก็ทำการแกะห่อกระดาษที่คลุมกระจกไว้ออกแล้วจัดตั้งไว้ที่มุมห้องที่ว่างอยู่
“...ก็ดูดีขึ้นจริงๆ แฮะ” คางามิเกาหัวนิดๆ อย่างยอมรับวาพนักงานในร้านที่ตนไปเลือกได้เก่งจริงๆ ก่อนที่จะเหล่มองนาฬิกาที่ติดผนังที่เข้าสั้นเริ่มเลื่อนไปเลขเก้า... “อา...ค่ำแล้วแฮะ วันนี้เข้านอนเร็วหน่อยดีกว่าเรา ยินต้องไปเรียนวันแรกด้วยพรุ่งนี้”
...และด้วยความที่รีบเร่งนั้น...ทำให้เด็กหนุ่มผมสีเพลิงไม่ทันสังเกตเงาจางๆ ที่ปรากฏขึ้นมาภายในกระจกแม้แต่น้อย
กึก...กึก...เคร้งๆๆๆ!...
“เฮ้ย!” เสียงดังสนั่นที่ดังขึ้นรับวันใหม่ทำให้เด็กหนุ่มผมสีเพลิงสะดุ้งโหยงตื่นขึ้นจากนิทรา สติที่ความงวยเงียจากการตื่นขึ้นมากะทันหันกลับเข้าร่างเต็มร้อยแบบไม่ต้องเสียเวลามากนัก “เสียงอะไรวะ!!?”
...มีตัวอะไรเข้ามาในห้องหรืองไง!? เสียงดังซะ!...
คางามิ ไทกะคิดอย่างหัวเสียพลางนึกเอ๊ะใจที่มีเสียงในห้องตน ทั้งๆ ที่ภายในห้องมีตนอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น ทำให้เจ้าตัวต้องตรวจทุกห้องเพื่อดูว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ แต่เมื่อตรวจดูทุกห้องกลับไม่พบสิ่งใดอยู่เลย มีเพียงห้องที่ว่างเปล่าและตัวเองเท่านั้น
“ก็ไม่มีอะไรนี่หว่า...” คางามิเกาหัวตัวเองนิดๆ ด้วยความงงก่อนหันไปมองยังนาฬิกาที่ติดผนัง ดวงตาสีเพลิงก็ถึงกับเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาใด “...เฮ้ย! จะสายแล้ว!!!”
เท่านั้นแหละคางามิรีบแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างรวดเร็วและออกจากห้องไปด้วยความเร็วแสงโดยไม่สนใจเรื่องเสียงปริศนานั้นอีกเลย และเมื่อกลับมาหลังจากเสร็จเรื่องที่โรงเรียนและเรื่องชมรมเจ้าตัวก็ลืมเรื่องเมื่อเช้าไปเสียสนิท ถ้าไม่ติดว่า...
เคร้ง...เคร้ง...
...เสียงเวลาทำกับข้าวของเจ้าตัวช่วยกระตุ้นความทรงจำเมื่อเช้าให้กลับมาอีกระรอบ
“จะว่าไปเสียงเมื่อเช้ามันอะไรหว่า? เสียงข้างห้องเหรอ?” คางามิเอียงคอน้อยๆ ขณะทำอาหารปริมาณมหาสารมากิน “อ่ะ จะว่าไปห้องก็ดูเรียบร้อยขึ้นมาหน่อยๆ ด้วยนี่นา เสื้อผ้าที่โยนมั่วๆ เมื่อเช้าก็ถูกเก็บเรียบร้อยด้วย...นี่ฉันลืมว่าเป็นคนเก็บเองเปล่าเนี่ย?”
...แต่ปกติเขาขี้ลืมขนาดนี้เลยเหรอ?...
คางามิเริ่มสับสนในตัวเองนิดๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนักแล้วเลือกที่จะปล่อยเรื่องราวในวันนี้ให้มันผ่านๆ ไป...จนเมื่อผ่านไปเกือบเดือนคางามิ ไทกะถึงจะยอมรับว่าห้องตนมีสิงผิดปกติจริงๆ หลังจากสังเกตถึงความเรียบร้อยบวกกับเสียงปริศนาที่ปลุกตนในยามเช้าในช่วงที่ตื่นสายนั่นมันเกิดขึ้นแบบสม่ำเสมอและตรงจังหวะมากเกินไป
“นี่คุโรโกะ...” คางามิเอ่ยเรียกคนผมฟ้าซึงนับได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทตนในยามนี้ที่อยู่ด้านหลังตนในช่วงเวลาก่อนเรียน
“ครับ” เด็กหนุ่มผมฟ้าที่ถูกเรียกว่าคุโรโกะขานรับ
“วันนี้มาบ้านฉันได้ไหม?” คางามิเอ่ยชวน
“หื้อ?” คุโรโกะส่งสีหน้าสงสัยออกมา “ก็ได้อยู่หรอกครับ ว่าแต่ทำไมล่ะครับ?”
“คือ...ห้องฉันมันมีอะไรแปลกๆ น่ะ เลยอยากขอให้นายใช้ความจืดจางของนายตรวจดูหน่อย” คางามิเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม...เขาไม่อยากยอมรับหรอกนะ แต่เขาเริ่มกลัวห้องตัวเองจนไม่อยากกลับห้องตัวเองเท่าไหร่เลย
“สิ่งแปลกๆ?” คุโรโกะทวนด้วยท่าทีสนใจ
“อย่างข้าวของเป็นระเบียบเองหรือมีเสียงประหลาดมาปลุกตอนที่กำลังจะตื่นสายน่ะ” คางามิบอกไปตามจริง
“...” คุโรโกะนิ่งเงียบไปเล็กน้อย “น่าสนใจจังนะครับ งั้นวันนี้ผมไปค้างห้องคุณก็ได้ แต่คุณต้องทำเหมือนผมไม่มีตัวตนนะครับ”
“ทำไมล่ะ?” คางามิถาม...ปกติก็แทบไร้ตัวตนอยู่แล้ว จะให้เขาพยายามทำเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตนอีกทำไมล่ะ?
“จะได้จับสังเกตสิ่งที่ว่านั้นง่ายๆ ไงครับ” คุโรโกะบอก...เขาคิดว่าหากสิ่งที่ว่านั้นสามารถหลบคางามิได้ตลอดนี่ ถ้าหากเขาไปแบบให้เห็นง่ายๆ สิ่งที่ว่าก็คงหลบเขาไม่ให้เห็นได้เหมือนกัน
“โอเค ตามนี้” คางามิพยักหน้ารับเชิงเข้าใจ ขณะเดียวกันนั้นครู่ที่สอนในคาบนี้เข้ามาสอนพอดี
ในวันนี้ทั้งวันคางามิก็ดำเนินกิจวัตรประจำวันตามปกติตั้งแต่เช้าเสียจนเวลากลับบ้าน...ซึ่งที่แปลกกว่าเดิมคือตอนกลับนี่แหละ เพราะเจ้าตัวรู้ว่าคุโรโกะตามตนกลับมาด้วยตามที่ขอไปแน่ หากแต่ก็ไม่รู้ว่ายามนี้คุโรโกะอยู่ตรงไหนเหมือนกัน ทำให้อดหลอนนิดๆ เสียไม่ได้
...แต่เอาเถอะ อย่างน้อยคุโรโกะก็คนร้อยเปอร์เซ็นล่ะวะ...
เอสหนุ่มแห่งทีมบาสเซย์รินพยายามคิดในแง่ดีแล้วเปิดประตูเข้าห้องมาตามปกติ...ซึ่งก็เหมือนเคย ภายในห้องสะอาดเกินไป แม้แต่จานชามที่เขาลืมล้างเมื่อเช้ายังถูกล้างจนสะอาดแล้วบนซิงค์ล้างจาน เสื้อผ้าที่พาดไว้บนโซฟาถูกเก็บลงตะกร้าเตรียมซักอย่างเรียบร้อย
“วันนี้ก็อีกแล้ว” คางามิถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเริ่มทำอาหารเช่นทุกวัน หากแต่ในระหว่างทีทำอาหารอยู่นั้นเอง...เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้นมา ทำให้คางามิต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านแล้วถึงกับคิ้วขมวดในเวลาต่อมา “อะไรวะเนี่ย?”
‘ช่วยกรุณาแกล้งทำเหมือนลืมทำอะไรทิ้งไว้รีบออกจากห้องด้วยครับ’
นี่คือข้อความที่ถูกส่งมาจากคุโรโกะ ซึ่งคางามิเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายให้ทำเช่นนี้แต่คางามิก็เลือกที่จะทำตามโดยการที่เปิดแก๊สที่ทำกับข้าวทิ้งไว้แล้วรีบวิ่งออกจากห้องไป
“แล้วฉันต้องรอหน้าห้องตัวเองแบบนี้เนี่ยนะ...” คางามิได้เพียงบ่นเบาๆ แล้วทิ้งตัวลงนั่งที่หน้าห้องตัวเองด้วยความรู้สึกกลัวว่าห้องตนจะไหม้นิดๆ และจากนั้นไม่นาน...
ตึงๆ! โครม!
“เฮ้ย!” ...ก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นจากภายในห้องตนทำให้คนผมสีเพลิงต้องรีบพุ่งพรวดเข้าไป...ไม่แน่เสียนี่อาจมาจากเพื่อนเขาปะทะกับสิ่งที่เขาให้อีกฝ่ายมาช่วยดูแน่... “ไม่เป็นไรนะคุโรโกะ!?”
...และทันทีเปิดประตูเข้ามาคางามิ ไทกะก็พบว่าในยามนี้ที่กลางห้องมีเด็กหนุ่มผมฟ้าผู้เป็นเพื่อนตนกำลังนั่งทับหลังเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งที่คางามิไม่เคยพบมาก่อนเอาไว้
“ครบสามสิบสองดีครับ” คุโรโกะเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มขณะที่คนใต้ร่างตนกำลังดิ้นพล่านๆ อยู่ “อย่าดิ้นสิครับ”
“เออ...” คางามิมองคนผมน้ำตาลที่ดูจะตื่นกลัวแปลกๆ ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าเป็นโจรหรืออะไรสักอย่างที่บุกรุกเข้าห้องคนอื่นแน่ และในระหว่างที่สงสัยอยู่นี้...เด็กหนุ่มผมน้ำตาลก็รวบรวมแรงทั้งหมดลุกขึ้น ทำให้คุโรโกะกลิ้งตกจากหลัง “...เฮ้ย!”
“หว่า!” คุโรโกะหลุดร้องออกมาเล็กน้อยพร้อมพลิกตัวกลับอย่างรวดเร็วก่อนที่หัวจะกระแทกพื้น ทางคนผมน้ำตาลเองก็ใช้จังหวะที่สองตัวจริงแห่งทีมบาสเซย์รินกำลังสับสนนั้นหนี...เข้าไปในกระจกบานใหญ่ที่ดูขุ่นมัวภายในห้องอย่างรวดเร็ว “ว้า หนีไปซะแล้วล่ะครับ”
“ซะแล้วบ้าอะไรล่ะ! เมื่อกี้มันอะไรฟะ!?” คางามิเมื่อตั้งสติได้ก็แว๊ดลั่นขึ้นมา...ไอ้เมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องที่คนปกติทำได้เลยนะเว้ย! แถมมันยังออกมาจากกระจกที่เขาซื้อมาอีก...
...หรือที่ร้านนั้นขายให้เขาถูกนักเพราะแบบนี้กันฟะ!?
“ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ รู้แค่ว่าเขาออกมาจากกระจกเท่านั้นเองครับ” คุโรโกะเอ่ย...ว่าตามจริงตอนแรกที่เขาเห็นมีคนออกมาจากกระจกแล้วเดินไปปิดเตาแก๊สที่กำลังไหม้กระทะนั้นเขาก็ตกใจเหมือนกัน แต่ด้วยท่าทางที่ไม่แสดงถึงเจตนาร้ายอะไรเลยทำให้เขาไม่ได้รู้สึกกลัวหรืออะไรรายนั้น แค่แปลกใจกับเหตุการณ์นี้เท่านั้น
“ไม่ใช่แค่แล้วเว้ย!” คางามิโวยลั่นพลางมองไปที่กระจก ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อมีเงาจางๆทีไม่ใช่ของพวกตนปรากฏในกระจกเงา “อะจึ๋ย! ตกลงว่านั้นผีหรืออะไรฟะ!?”
“ไม่รู้ครับ รู้แค่ไม่น่าใช่ผีหรอกครับ ผมทับเมื่อกี้ตัวยังอุ่นๆ อยู่เลย” คุโรโกะตอบหน้าตายแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไรนัก
“แล้วมันอะไรกันล่ะ!?” คางามิที่เรียกได้ว่าสติจะแตกแล้วถามเสียงดัง
“ไม่ทราบครับ และเลิกคลั่งได้แล้วครับ” คุโรโกะที่เกิดรำคาญคู่หูตนที่โวยวายหรืออย่างไรก็ไม่ทราบหยิบเชือกจากไหนไม่รู้มามัดคนผมสีเพลิงด้วยความเร็วแสง
“เฮ้ย! ทำอะไรฟะ!!?” คนที่อยู่ๆ โดนมัดเป็นหนอนดิ้นพล่านๆ
“ช่วยอยู่นิ่งๆ สักครู่นะครับ ผมมีแผนบางอย่าง” คุโรโกะตอบด้วยสีหน้าน่ากลัวก่อนที่จะหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋า
“จ...จะทำอะไร หยุดนะเฮ้ย!” คางามิเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยิบอะไรออกมาก็รู้สึกได้ถึงลางไม่ดีจึงพยายามห้าม หากแต่คุโรโกะไม่ใส่ใจแล้วเริ่มลงมือตามแผนตนอย่างเลือดเย็นโดยการ... “ก๊าก! ฮาๆๆๆๆ!!! ห...หยุดสิฟะ!!!”
...เอาขนนกปัดไปปัดมาที่ปลายเท้าคนที่โดนมัดจนขยับไม่ได้ให้หัวเราะจนแทบกรามค้างอย่างในตอนนี้
“ไม่ครับ” คุโรโกะปฏิเสธทันควันแล้วหันไปทางกระจกเงา “นี่คุณคนในกระจก...ถ้าคุณไม่ออกมาคุยกับผมดีๆ ผมจะจักกะจี้คางามิคุงจนหัวเราะจนตายเลยนะครับ”
“จ...จะบ้าเหรอ! ฮาๆๆๆๆ!!!” เสียงหัวเราะลั่นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง...ถึงแม้คางามิไม่คิดว่าการโดนจักกะจี้จะทำให้คนตายได้ แต่งานนี้ก็ทำให้เจ้าตัวรู้ว่าการหัวเราะนานๆ ก็ทรมานแบบแปลกๆ เหมือนกัน
“...” เงาในกระจกค่อยๆ ขยับน้อยๆ ก่อนที่...เด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่หนีเข้าไปก่อนหน้านี้จะโผล่หน้าออกมา “...เออ...กรุณาหยุดเถอะครับ เดี๋ยวเขาตายจริงหรอก”
...ออกมาจริงวุ้ย!...
คางามิที่ไม่คิดว่าสิ่งแปลกๆ ในกระจกห้องตนจะออกมาด้วยวิธีขู่แบบนี้จริงๆ คิดในใจขณะที่คุโรโกะหยุดเอาขนนกจักกะจี้เท้าแล้วค่อยๆ แก้มัดให้
“ใจดีจริงนะครับ เห็นแค่นี้ก็ยอมออกมาแล้วเนี่ย” ดวงตาสีฟ้าใสจ้องเป้งไปยังเด็กหนุ่มผมน้ำตาล “มาคุยกันเถอะครับ ไม่งั้นผมจับคางามิคุงจักกะจี้อีกรอบนะ”
“อย่านะเฮ้ย!” คางามิรีบถอยห่างจากคนผมฟ้าก่อนโดนอีกรอบ
“แหม ทำท่าน่าแกล้งเชียวนะครับคางามิคุง” คุโรโกะหัวเราะออกมาเบาๆ “เอาเป็นว่าคุณ...เออ...”
“ผมชื่อฟุริฮาตะ โคกิครับ” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลเอ่ยแนะนำตัว
“ฟุริฮาตะคุง ผมคุโรโกะ เท็ตสึยะครับ ส่วนคนผมสีเพลิงนั้นคางามิ ไทกะนะครับ คุณกรุณามานั่งคุยกันก่อนเถอะครับ” คุโรโกะเอ่ยพลางพายมือเป็นเชิงให้อีกฝ่ายมานั่งตรงหน้าตน
“ครับ...” ฟุริฮาตะเดินมานั่งตรงหน้าคนผมฟ้า ส่วนคางามินั้น...หลบอยู่หลังโซฟากันโดนคุโรโกะแกล้งอีกรอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ผมขอเริ่มถามเลยนะครับ” คุโรโกะที่ไม่อยากเสียเวลามากไม่รีรอ ทำการเริ่มถามทันที “อย่างแรกเลย...คุณอยู่ในกระจกเหรอครับ?”
“เออ...จะว่างั้นก็ไม่เชิงจะว่าไงดีล่ะ...” ฟุริฮาตะทำหน้ายุ่งแบบคนไม่รู้จะตอบยังไง “...กระจกอันนี้ว่าตามตรงมันเหมือนแค่ทางผ่านมาอีกที่หนึ่งเอง”
“เหมือนทางผ่าน? หมายความว่า...” คุโรโกะครุ่นคิดเล็กน้อย...ถึงที่เขากำลังคิดนี่จะแฟนตาซีไปหน่อย แต่ว่ากับคนที่ทะลุกระจกเงาออกมาได้หมาดๆ เนี่ยสิ่งที่เขาคิดมันก็เป็นไปได้เหมือนกัน “...หรือว่าคุณ...คุณเองก็มีกระจกเงาอันหนึ่งแล้วบังเอิญมันผ่านมาที่นี่ได้?”
“อื้ม ตอนแรกก็งงๆ ที่เห็นเหมือนมีเงาวูบวาบภายในกระจกจากนั้นพอลองแตะดูก็หลุดมาห้องนี่แล้ว...” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับ
“เอาจริงดิ...” คางามิคุมขมับน้อยๆ ...กลายเป็นว่ากระจกที่เขาซื้อมาเป็นทางผ่านซะงั้น “...นี่นายได้กระจกทางนายมามาวันไหน?”
“วันที่ ×× เดือน ×× ของปีนี้ครับ” ฟุริฮาตะตอบ
“วันเดียวกับที่ฉันซื้อมาเลย...” คางามิเริ่มคิดว่าเรื่องนี้มันออกจะบังเอิญเกินไปหน่อยแล้ว...มีอย่างที่ไหนได้มาวันเดียวกันไม่พอกันทะลุผ่านถึงกันได้อีก!
“บังเอิญจังนะครับ” คุโรโกะรูสึกว่ามันบังเอิญเหลือเกินงานนี่...บังเอิญเสียจนเหมือนมีคนจงใจให้เกิดขึ้นงั้นแหละ “แล้วนี่เดินข้ามโลกคู่ขนานมาหรือแค่เดินทางข้ามสถานที่มาครับเนี่ย?”
“ไม่รู้สิ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าวืด...ขนาดไอ้กระจกนี่เชื่อมต่อกันอีท่าไหนเขายังงงๆ อยู่เลย เรื่องนี้อย่ามาถามเขาเลยเถอะ
“งั้นผมขอถามที่อยู่คุณหน่อยครับ ผมกับคางามิคุงจะได้ไปตรวจสอบวันพรุ่งนี้” คุโรโกะถามต่อ...ถ้าหากไปตามที่บอกแสดงว่าพวกเขาอยู่โลกเดียวกัน แต่ถ้าไม่คงได้งมหาความจริงกันต่ออีกพักใหญ่เลย
“โรงพยาบาล ××× เมืองคานาคาว่า ห้อง 512 น่ะ” ฟุริฮาตะเอ่ยตอบกลับไป
“เอ๊ะ? คุณอยู่โรงพยาบาลเหรอครับ?” คุโรโกะเอียงคอน้อยๆ ...ดูจะภายนอกอีกฝ่ายดูไม่เหมือนคนที่ต้องอยู่โรงพยาบาลสักนิด
“อื้ม ฉันป่วยแล้วอยู่ในโรงพยาบาลมานานแล้วล่ะ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับ
“แล้วโรงพยาบาลเอากระจกบานใหญ่ๆ เข้าไปได้?” คางามิถามอย่างสงสัย...ถ้าเอากระจกบานใหญ่ๆ เข้าบ้านตัวเองไปคงไม่แปลกเท่าไหร่ แต่นี้เป็นโรงพยาบาลมันเอาเข้าไปได้ไงเนี่ย?
“แน่นอนว่าปกติไม่ได้ แต่บังเอิญกระจกทางฉัน...พี่ฉันแอบยกเข้ามาตั้งให้ บอกว่าเป็นของนำโชคอะไรสักอย่างน่ะ” ฟุริฮาตะตอบด้วยสีหน้าเหมือนอยากรู้เหมือนกันว่าพี่ตนเอากระจกแบบนี้มาจากไหน
“มุขเดียวกับมิโดริมะคุงเลย...” คุโรโกะถึงกับยิ้มแห้งๆ เมื่อสถานการณ์ของอีกฝ่ายดันไปคล้ายกับเพื่อนหัวเขียวของตนเข้า
“ไม่คิดว่าจะมามุขนี้แฮะ” คางามิเกาหัวตัวเองนิดๆ “ว่าแต่...ในเมื่อบังเอิญผ่านมาที่ห้องฉันได้เฉยๆ ทำไมนายถึงทำความสะอาดห้องให้ฉันและปลุกฉันตอนตื่นสายล่ะ?”
“ก็ฉันว่างจัดนี่นา แถมนายดูเหมือนไม่อยากไปเรียนสายด้วย” ฟุริฮาตะตอบกลับอย่างซื่อๆ
“มันก็ใช่อยู่หรอก” คางามิไม่เถียงว่าตนไปอยากไปเรียนสาย...แน่ล่ะไปสายนอกจากโดนอาจารย์ลงโทษแล้วยังอาจโดนโค้ชลงโทษข้อหาซ้อมตอนเช้าไม่ทันด้วย แต่ไม่ทีวิธีปลุกอย่างอื่นนอกจากการทำเหมือนมีผีในห้องเขาแล้วหรือไง
“คิดแง่ดีสิครับ อย่างน้อยเพราะแบบนี้คุณเลยไม่เคยโดนโค้ชเล่นงานนะครับ” คุโรโกะเอ่ยปลอบ
“ก็จริง” คางามิพยักหน้ารับอย่างหมดข้อโต้เถียงในเรื่องนี้
“เออ คือ...” ฟุริฮาตะที่เห็นเด็กหนุ่มผมฟ้าและผมสีเพลิงกำลังจะคุยกันเองโดยลืมตนไปเอ่ยขัดขึ้นมา “...ฉันขอกลับเลยได้ไหม? ใกล้เวลาพยาบาลมาตรวจห้องฉันแล้ว”
“ครับ เชิญเลยครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะครับ” คุโรโกะเอ่ย และคำนี้ทำให้คนผมน้ำตาลรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปที่กระจกเงาทันที
“แล้วเจอกัน” ฟุริฮาตะบอกลาเล็กน้อยก่อนที่จะเดินหายเข้าไปในกระจกในที่สุด
“...จะว่าโชคดีดีไหมเนี่ยที่หมอนั่นไม่ใช่ผีเนี่ย?” พอฟุริฮาตะไปแล้ว คางามิก็เอ่ยด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกว่าจะโล่งอกหรือปลงดีกับคุโรโกะ
“ไม่ทราบครับ รู้แค่เรื่องของฟุริฮาตะคุงนี่น่าสนใจดีนะครับ” คุโรโกะยักไหล่น้อยๆ “เอ้าเป็นว่าผมกลับบ้านก่อนล่ะครับ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ครับ”
“อื้ม แล้วเจอกัน” คางามิเอ่ยขณะที่คุโรโกะแว่บหนีออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วปานภูติผี...เล่นซะคางามิอดหลอนนิดๆ เสียมิได้ แต่ด้วยความเคยชินกับความจืดจางของเพื่อนตัวเองคางามิเลยหลอนไม่นานนักพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะเดินกลับไปทำมื้อเย็นที่ตนทำค้างไว้ต่อ
เช้าวันถัดมาที่แสนสดใส เด็กหนุ่มผมสีเพลิงนอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงขนาดใหญ่ด้วยความที่นี่เป็นวันหยุดบวกกับความขี้เกียจเลยทำให้เจ้าตัวเลือกที่จะนอนต่อแทนที่จะลุกขึ้นจากเตียงตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าแบบนี้ และเจ้าตัวควรกลิ้งอีกนานถ้าไม่ติดว่า...ดันมีคนมากดกริ่งหน้าห้องตนระรัวเสียจนน่ากลัวว่าปล่อยไว้นานๆ กริ่งจะพัง ทำให้คางามิจำต้องลุกจากเตียงมาเปิดประตูบ้านดูว่าใครมา...
“อรุณสวัสดิ์ครับ คางามิคุง” ...และพบเด็กหนุ่มผมฟ้าที่คุ้นตาดียืนหน้าตายอยู่หน้าประตูห้อง
“มาเช้าไปแล้วเฟ้ย!” คางามิบ่นใส่อีกฝ่ายเล็กน้อย
“คงงั้นแหละครับ” คุโรโกะยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่รู้สึกผิดที่มากดกริ่งหน้าบ้านชาวบ้านเล่นสักนิด “รีบแต่งตัวเถอะครับ ผมอยากรู้จะแย่แล้วว่าตกลงฟุริฮาตะคุงเป็นคนของโลกนี่หรือเปล่า”
“เออๆ” คางามิขานรับส่งๆ ก่อนที่จะรีบไปอาบน้ำแต่งตัวตามที่อีกฝ่ายบอกก่อนโดนคนหน้านิ่งแต่เกรียนแกล้งเอา จากนั้นประมาณสิบนาทีคางามิกับคุโรโกะก็ออกจากห้องแล้วเดินทางขึ้นรถไฟไปที่คานาคาว่า จากนั้นก็เดินทางไปยังโรงพยาบาลที่ฟุริฮาตะโคกิบอกเมื่อวาน...ซึ่งเมื่อมาถึงหน้าโรงพยาบาลที่ดูทันสมัยเหลือหลายคางามิก็เกิดอาการไม่แน่ใจขึ้นมานิดๆ เพราะเขารู้ว่าโรงพยาบาลที่นี่ออกไปทาง ‘พิเศษ’ เล็กน้อย “ที่นี่สินะ?”
“ครับ” คุโรโกะพยักหน้ารับพลางลากคนผมสีเพลิงเข้าไปในตัวอาคารแล้วลากไปที่เคาร์เตอร์สอบถามทันที “ขอโทษครับ ผู้ป่วยชื่อฟุริฮาตะ โคกิรักษาตัวที่นี่หรือเปล่าครับ?”
“ฟุริฮาตะคุงเหรอจ๊ะ? ใช่จ้า...อยู่ที่ห้อง 512 จ้า” พยาบาลสาวตอบแบบครบรายละเอียดสำคัญในรวดเดียวก่อนที่จะไปทำงานอื่นของตนต่อ
“ขอบคุณครับ” คุโรโกะตอบพลางลากไปคางามิไปขึ้นลิฟต์ต่อ “รู้สึกว่าจะเป็นคนของที่นี่นะครับ”
“นายลุ้นว่าหมอนั่นมาจากโลกคู่ขนานจริงๆ หรือไง?” คางามิถอนหายใจออกมาเบาๆ ดวงตาสีเพลิงมองคนผมฟ้าที่กดลิฟท์ไปที่ชั้นห้า
“ก็นะครับ” คุโรโกะไม่คิดจะปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่ายพยักหน้ารับ ขณะที่ลิฟต์มาเปิดที่ชั้นห้าพอดี เด็กหนุ่มผมฟ้าทำการลากเพื่อนตนตามหาห้องพักของคนที่พวกตนมาหา...สักพักทั้งสองก็มาหยุดที่หน้าห้อง 512 คุโรโกะยกมือเคาะประตูห้องอยางแผ่วเบาตามมารยาทก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปในห้อง “ฟุริฮาตะคุง พวกผมเองนะครับ”
“มาเช้าจังนะ” เมื่อเข้ามาภายในห้องนี่เป็นคำทักทายแรกที่ดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่อยู่บนเตียงคนไข้สีขาว
“พอดีผมอยากรู้เร็วๆ น่ะครับ” คุโรโกะตอบกลับไปตามตรง
“อื้อ กระจกเงาแบบเดียวกับห้องฉันเลยแฮะ” คางามิกวาดตาไปรอบๆ ห้องแล้วสะดุดเข้ากับกระจกบานใหญ่ที่ขนาด รูปแบบ ลักษณะเหมือนกับกระจกภายในห้องตนแบบเป๊ะๆ “พี่นายแบกเข้ามายังไงกันฟะ?”
“ก็แบบ...” ฟริฮาตะกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ทว่า...
“โคกิจ้าาา พี่มาเยี่ยมแล้วจ้า!” ...ดันมีเสียงใครบางคนดังขึ้นขัดเสียก่อนพร้อมกับมีมือคนมาเกาะจากนอกหน้าต่าง
“เหวอ!” เด็กหนุ่มจากทีมบาสเซรินทั้งสองหลุดร้องออกมากับพื้นคนที่ปรากฏขึ้นมาที่หน้าต่าง หลังจากนั้นที่หน้าต่างก็ค่อยๆ มีร่างของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา...
...มาได้ไงกันเพ่!? นี่มันชั้นห้านะ!!!...
“ใครอ่ะ?” ดวงตาสีน้ำตาลของผู้มาใหม่มองเด็กหนุ่มทั้งสองที่กำลังตื่นตกใจภายในห้อง ในขณะที่คนไข้บนเตียงกลับทำหน้าปลงสุดแสน
“เออ เพื่อนผมครับพี่” ฟุริฮาตะตอบส่งๆ ไป...ก็เขาเพิ่งรู้จักกันเมื่อวานจะเรียกว่าเพื่อนได้เปล่าก็ไม่รู้นิ
“งั้นเหรอ งั้นยินดีที่ได้รู้จัก ฉันเป็นพี่โคกิชื่อเคียว” เคียวเอาขณะปีนเข้ามาภายในห้องเพื่อไม่ให้ใครต้องมาทนเสียวว่าตนจะตกหน้าต่างตายหรือโดนน้องตัวเองบ่นภายหลัง (?)
“เออ...คุโรโกะ เท็ตสึยะครับ” เด็กหนุ่มที่ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากเพื่อนแต่ล่ะหน่อสมัยม.ต้นของตนก็ไม่ปกติ (?) เอ่ยแนะนำตัวกลับไป
“คางามิ ไทกะ...ครับ” คางามิเอ่ยอย่างเอ๋อๆ ...เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าพี่ชายฟุริฮาตะเอากระจกบานใหญ่ๆ เข้ามาภายในห้องได้ไง เล่นเกินคนซะขนาดนี้
“ยินดีที่ได้รู้จัก...แอ๊ก!” เคียวยิ้มร่า ในขณะเดียวกันนั้น...หินก้อนไม่น้อยก็ถูกปาเข้ามาจากหน้าต่างใส่หัวเต็มๆ
“ไอ้เคียว! ไอ้เวร! แกขึ้นทางปกติบ้างจะตายไหมห๊า!?” เสียงด่าดังแว่วมาจากชั้นล่าง
“เซย์ขี้บ่น! เพราะแบบนี้ไงน้องถึงเมิน!” เคียวโวยกลับไปก่อนที่จะรีบปิดหน้าต่างด้วยความกลัวว่าจะโดนปาหัวอีกรอบ และคราวนี้ไม่มีอะไรปามาอีกเลยคาดว่าเพราะกลัวว่าจะทำกระจกโรงพยาบาลแตก
“จะไปกวนเซย์ซังทำไมล่ะครับเนี่ย” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ คล้ายกับเคยชิน
“ก็มันน่าแกล้งอ่ะ” เคียวยักไหล่น้อยๆ ขณะเดียวกันนั้น...
“ไอ้เคียว! กลับมาทำงานเลยเว้ย!” ...ชายหนุ่มผมดำคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามาดังปัง และการที่เจ้าตัวนั้นหอบแฮ่กๆ เป็นการบ่งบอกอย่างดีว่ารายนี้วิ่งขึ้นมา
“วิ่งเร็วขึ้นแฮะ” เคียวเอ่ยอย่างเริงร่า
“เงียบไปเลยไอ้บ้า!” ชายหนุ่มผมดำแว๊ดลั่นก่อนที่จะเดินไปลากคอนายเคียวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว
“...มาเร็วไปเร็วแฮะ” หลังชายหนุ่มทั้งสองออกจากห้องไปแล้วคางามิก็เอ่ยเช่นนี้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“พี่ฉันก็แบบนี้แหละ” ฟุริฮาตะยักไหล่ด้วยความเคยชินกับเรื่องแบบนี้ “จิตหลุดดีไหม?”
“ก็นะ” คางามิยอมรับว่าจิตหลุดหน่อยๆ กับพี่ชายรายนี้จริงๆ นั้นแหละ
“ถ้าไม่ติดว่าผมชินกับเรื่องแบบนี้พอสมควรคงจิตหลุดไปจริงๆ นั้นแหละครับ” คุโรโกะถอนหายใจออกมาเบาๆ “เอาเป็นว่าเราหยุดพูดเรื่องพี่คุณให้หลอนกว่านี้ดีกว่าครับ เรามาคุยเรื่องกระจกในห้องนี่กันต่อเถอะครับ”
“อื้ม” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับ
“โอเค” คางามิขานรับคำพูดของเพื่อนผมฟ้าแล้วเดินไปกระจกเงาบานใหญ่ที่สะท้อนได้แต่ภาพมัวๆ เหมือนที่ห้องพักตน มือหนาค่อยๆ เอื้อมไปแตะที่บานกระจกและ...ทะลุผ่านไปในทันที “...นี่แค่แตะก็ทะลุผ่านแล้ว?”
“ใช่ ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไม แต่มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่ฉันลองแตะครั้งแรกแล้ว” ฟุริฮาตะหัวเราะแห้งๆ ...เอาตามจริงตอนแรกที่เขาทะลุผ่านกระจกไปได้ก็เหวอกินเหมือนกัน แต่ดีที่ตอนที่ทะลุไปครั้งแรกคนผมสีเพลิงหลับไปแล้วไม่งั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่ตั้งแต่วันแรกแน่
“ในแง่การเดินทางนี่ถือว่าสะดวกดีนะครับ” คุโรโกะคิดว่าถ้าเดินทางผ่านกระจกนี่กลับห้องเพื่อนผมสีเพลิงของตนนี่ประหยัดค่าดินทางมากโข่งเลย
“และจะสะดวกกว่านี้ถ้ามันไม่เชื่อมกับห้องฉัน แต่เป็นในสวนสนุกหรืออะไรพวกนี่แทนล่ะนะ” คางามิคิดว่าหากกระจกในห้องตนไปอยู่ในที่ที่เข้าออกง่ายๆ น่าจะสะดวกกว่านี้
“ห้องคุณผมว่าก็สะดวกนะครับ ใกล้สถานีรถไฟดีด้วย” คุโรโกะเถียงกลับ
“ต่อให้เชื่อมที่ไหนฉันก็ไปได้ไม่ไกลหรอก ต้องกลับมาก่อนที่พยาบาลจะมาตรวจอยู่ดี” ฟุริฮาตะยิ้มขำๆ กับความคิดสุดบรรเจิดของเด็กหนุ่มทั้งสอง
“ก็นะครับ” คุโรโกะยักไหล่น้อยๆ “ว่าแต่ขอเสียมารยาทหน่อยนะครับ...คุณป่วยเป็นอะไรกันครับ? เท่าที่ดูคุณก็ปกติดีนิ?”
“โรคความจำเลือนน่ะ” ฟุริฮาตะตอบ
“ความจำเลือน?” เด็กหนุ่มทั้งสองทวนอย่างงงๆ เนื่องจากไม่เคยได้ยินชื่อโรคนี้...ถึงชื่อคล้ายๆ กันจะพอมีก็เถอะ...
...แต่ในโรงพยาบาลที่พิเศษกวาที่อื่นนี่...โรงพยาบาลที่มีแผนกสำหรับโรคที่ไม่มีใครรู้จักโดยเฉพาะเนี่ย โรคที่ฟุริฮาตะ โคกิเป็นอาจเป็นโรคที่เกิดใหม่ได้เช่นกัน
“อื้ม โรคที่ฉันเป็นมันไม่ได้มีชื่อเป็นทางการหรืออะไรเลยเรียกอย่างงี้น่ะ เป็นโรคที่ทำให้บ้างช่วงฉันจะวูบไปเฉยๆ แล้วความจำบางส่วนจะหายไปด้วยน่ะ” ฟุริฮาตะอธิบายเพิ่มเติม
“ฟังดูแย่อยู่นะครับ” คุโรโกะขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วความจำที่ว่าจะกลับมาไหมครับ?”
“ส่วนใหญ่ไม่” ฟุริฮาตะครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนตอบ “ฉันเลยต้องอยู่แต่ในนี้ไง จะได้ไม่มีความจำสำคัญๆ หายไปน่ะ”
“เพราะอยู่อย่างเดิมทุกวันจนไม่มีอะไรให้หายมากกว่า...” คางามิขยี้หัวตัวเองก่อนที่จะ... “...และแบบนี้น่าหงุดหงิดชะมัด!”
“อำอะไออ่ะ!?” ...ดึงแก้มของคนผมสีน้ำตาลเสียจนยืด
“ก็มันน่าหงุดหงิดนี่นากับการยอมแพ้ง่ายๆ เนี่ย” คางามิทำเสียงขึ้นจมูก
“อย่ารังแกคนป่วยสิครับ...ถึงผมเห็นด้วยก็เถอะ” คุโรโกะเอามือแท่งสีข้างของคางามิอย่างแรงด้วยหน้าตายสนิท
“แอ๊ก! เจ็บนะเฮ้ย!” คางามิหลุดร้องออกมาด้วยความเจ็บพลางปล่อยมือจากแก้มคนป่วย แล้วหันไปแยกเขี้ยวใส่คนผมฟ้า
“ด้านๆ อย่างคางามิคุงคงไม่เจ็บเท่าไหร่มั้งครับ” คุโรโกะเถียงกลับหน้าตาย
“เจ็บสิฟะไอ้บ้า!” คางามิโวยกลับ...เห็นเขาถึกขนาดไหนกันถึงคิดว่าโดนแบบนี้จะไม่เจ็บเนี่ย!?
“ครับๆ” คุโรโกะขานรับไปส่งๆ “แล้วอาการคุณตอนนี้ยังไม่มีทางรักษาเหรอครับ?”
“ไม่นะ” ฟุริฮาตะที่ลูบแก้มตนอย่างเจ็บๆ ตอบกลับไป
“อื้อ...” คุโรโกะทำหน้าเครียดคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง
“คิดมากปวดหัววุ้ย! ไปหาอะไรทำคลายเครียดเถอะ!” หลังจากที่ภายในห้องเงียบจนน่าอึดอัดไปพักหนึ่ง คางามิก็ตะโกนแว๊ดขึ้นมาตามประสาคนไม่ชอบอะไรน่าอึดอัดแบบนี้ “เราไปเล่นบาสกันดีกว่า! ฟุริก็ไปด้วยกันเถอะ!”
“เอ๊ะ? ฉันด้วย?” ฟุริฮาตะชี้ที่ตัวเองอย่างเอ๋อๆ ที่อยู่ๆ โดนชวนเฉย
“แหงสิ” คางามิตอบกลับราวกับที่ทำนี่เป็นเรื่องปกติ
“ฉันเล่นไม่เป็นนะ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“เดี๋ยวสอน” คางามิไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายนักทำการแบกฟุริฮาตะแล้วเดินออกจากห้องไป
“เฮ้อ ทำอะไรไม่เคยคิดเหมือนเดิมเลยนะครับ” คุโรโกะถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางหยิบกระดาษกับปากกาออกมาเขียนข้อความทิ้งไว้ก่อนที่จะตามคนผมสีเพลิงไปอีกคน “หวังว่าหมอหรือพยาบาลจะไม่มาดุภายหลังเพราะพาคนไข้เขาออกไปเล่นนอกห้องพักนะ”
...ยังดีที่ในโรงพยาบาลนี่มีสนามบาสด้วย ไม่ได้ออกนอกเขตโรงพยาบาลคงไม่โดยโวยมากนัก...มั้งนะ...
ตึง...ตึง...
เสียงบอลกระทบพื้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่องดังขึ้นภายในสนามบาสเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยในยามนี้ที่ด้านในสนามมีเด็กหนุ่มสามคนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน โดยที่การแข่งของเหล่าเด็กนั้นเล่นแบบสองรุมหนึ่ง...หากแต่ในสรุปสุดท้ายคนโดนรุมก็สามารถชนะไปได้อย่างง่ายดาย
“ฟุริ คุโรโกะ...ตายยัง?” คางามิเขี่ยๆ คนสองคนที่เล่นจนเหนื่อยและนอนแผ่กับพื้นอย่างไม่เกรงใจใครพลางคิดว่าตนควรไปหาน้ำมาให้สองรายนี้ดีหรือไม่
“ยัง...ครับ...” คุโรโกะที่เป็นสายบุ๋นมาแต่ไหนแต่ไรตอบกลับเสียงแผ่ว
“ยัง...แต่นายนี่เล่นเก่งชะมัด” ฟุริฮาตะเอ่ยเสียงอ่อย หากแต่ดวงหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มบ่งบอกว่าถึงแม้เหนื่อยเจ้าตัวก็สนุกเหมือนกัน
“แน่นอนอยู่แล้ว” คางามิว่าพลางดึงเด็กหนุ่มทั้งสองให้ลุกขึ้นนั่งก่อนเผลอเหยียบเข้า “นายก็เล่นเก่งนะ อย่างน้อยก็เก่งกว่าคุโรโกะล่ะ”
“ถ้ามีคนห่วยกว่าผมได้คงแปลกล่ะครับ” คุโรโกะมั่นใจได้เลยว่าคงมีน้อยมากล่ะที่จะมีคนห่วยกว่าเขาไปได้
“ยอมรับง่ายไปนะ” ฟุริฮาตะยิ้มแห้งๆ ก่อนที่จะดันตัวลุกขึ้นยืน เช่นเดียวกับคุโรโกะที่คล้ายกลัวว่าหากนั่งคนเดียวจะโดนคนผมเพลิงเหยียบเข้า และในขณะนั้นเอง...
“ฟุริ~~~~” ...ก็มีเสียงลากยาวของใครสักคนดังขึ้นก่อนที่เด็กหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวคนหนึ่งพุ่งเข้ามากอดคนผมน้ำตาล
“อ้าว? มาไงครับเนี่ย?” ฟุริฮาตะถามด้วยสีหน้าไม่จริงจังนักคล้ายเคยชิน ต่างจากเด็กหนุ่มอีกสองคนที่เริ่มเอ๋อกินกับภาพตรงหน้า
“ขึ้นรถมาจ้า!” คนผมดำเหลือบเขียวตอบอย่างร่าเริง
“เอะ? นี่นาย...โมริยามะ โยชิทากะตัวจริงของทีมบาสไคโจวนิ!” คางามิที่เริ่มจำได้ว่าตนเคยเจอผู้มาใหม่คนนี้เอ่ยเสียงดัง
“อ่ะ? พวกนายมานี่ได้ไงอ่ะ?” โมริยามะที่เหมือนเพิ่งสังเกตเห็นอีกสองชีวิตในสนามเอ่ยทักขึ้นมา
“ก็มีเรื่องนิดหน่อยน่ะ...ครับ” คางามิเกาหัวตัวเองนิดๆ ...ก็เรื่องสาเหตุที่เขามาที่นี่ตอนแรกมันแฟนซีเกินกว่าที่จะเล่าได้นิ
“รู้จักกันเหรอครับ?” ฟุริฮาตะถามขึ้นกับคำพูดที่เหมือนคนรู้จักกันของคางามิ
“เคยแข่งกันมารอบหนึ่งน่ะ” คางามิตอบ
“และทีมฉันแพ้อ่ะ ฟุริปลอบหน่อยยยย” โมริยามะเอ่ยพลางอ้อนคนผมน้ำตาลอย่างไม่จริงจังนัก คาดว่าทำเพีาะแค่อยากกวนคนเล่นๆ เฉยๆ
“อย่างคุณผมว่าคงไม่ต้องปลอบมั้งครับ” ฟุริฮาตะไม่คิดว่าคนที่ชิวล์ตลอดกาลแบบนี้ต้องปลิงหรอก “แล้ววันนี้โยชิกิซังไม่มาด้วยเหรอครับ?”
“เอ๊ะ? ก็มานี่น...” โมริยามะทำหน้างุนงงก่อนที่จะหันกลับไปมองด้านหลังตนเอง...ซึ่งมีเพียงความว่างเปล่า “...เฮ้ย! เดินหลับไปไหนอีกล่ะเนี่ย?!”
“ไม่ทราบครับ รู้แค่ว่าอาจเดินหลับในแล้วเรื่องลอยมาหาอีกล่ะมั้งครับ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าวืดเป็นเชิงว่าไม่รู้เช่นกัน
“เจริญล่ะพี่ฉัน” โมริยามะทำหน้าเหนื่อยใจพลางปล่อยมือจากฟุริฮาตะ “งั้นเดี๋ยวมา”
“ครับๆ” ฟุริฮาตะขานรับในขณะที่โมริยามะรีบวิ่งออกไปจากสนามเพื่อตามหาพี่ตัวเอง
“...ไม่คิดนะเนี่ยว่านายจะรู้จักรายนั้น คนละขั้วกับนายเลย” พอโมริยามะไปแล้ว คางามิก็เช่นนี้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“พวกนายเองก็คนละขั้วเหมือนกันนะ” ฟุริฮาตะหัวเราะออกมาเบาๆ
“ก็จริง” คางามิไม่เถียงว่าตนกับคุโรโกะเองก็ไปกันคนล่ะขั้วเลย
“เอาเถอะ เรามา...” ฟุริฮาตะทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง หากแต่พูดไม่ทันจบ...อยู่ๆ เด็กหนุ่มผมน้ำตาลก็หยุดกึกแล้วทรุดลงไปราวกับตุ๊กตาหมดลาน
“เฮ้ย! เป็นอะไรไป!!? ฟุริ!!!” คางามิรีบคว้าตัวฟุริฮาตะไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะกระแทกพื้นและนั้นทำให้คางามิรู้ว่าคนผมน้ำตาลนั้นได้สลบไปแล้ว
“ฟุริฮาตะคุง!” คุโรโกะเอ่ยอย่างตื่นตะนกไม่แพ้กัน และในเวลานั้นเอง...
“เกิดอะไรขึ้น...เหรอ?” ...เสียงเอื่อยๆ ง่วงๆ อย่างไม่เข้ากับสถานการณ์ในเวลานี้ของใครบางคนก็ดังขึ้นมา ทำให้สองตัวจริงแห่งทีมบาสเซรินหันไปมองยังต้นเสียงและพบว่าตอนนี้มีชายหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวคนหนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“คือ...เพื่อนผมเป็นลมไปน่ะครับ” คางามิตอบคนอายุมากกว่ากลับไป
“อา...โคกิเหรอ?” ชายหนุ่มมองคนในอ้อมแขนเด็กหนุ่มผมสีเพลิงนิ่งๆ “แบบนี้ความจำส่วนไหนจะหายนะ?”
“คุณรู้จักฟุริฮาตะคุงเหรอครับ?” คุโรโกะถาม...จากคำพูดอีกฝ่ายบ่งบอกได้ดีว่ารายนี้รู้จักกับฟุริฮาตะ โคกิในระดับหนึ่ง
“อื้ม” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ “ไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวก็ตื่นเอง”
“อื้อ...” และก็ดังปากว่า ทั้งทีที่ชายหนุ่มพูดจบประโยคฟุริฮาตะก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาพอดี
“ฟุริฮาตะคุง! / ฟุริ! ไม่เป็นไรนะ!?” คางามิกับคุโรโกะถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอกกันทั่วหน้าเมื่อเห็นว่าฟุริฮาตะไม่เป็นอะไรมาก
“เอ๊ะ? คุโรโกะ คางามิ...” ฟุริฮาตะที่ดูจะสับสนกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำหน้าเอ๋อๆ พลางมองไปรอบๆ ก่อนที่สายตาจะไปหยุดที่ชายหนุ่มที่ยืนหน้าง่วงอยู่ “...อ้าว? โยชิกิซังมาเมื่อไหร่ครับ?”
“สักพักแล้ว” คนที่ถูกเรียกว่าโยชิกิเอ่ย “และนายสลบไปอีกแล้วด้วย...คราวนี้จำได้ถึงไหน?”
“...อีกแล้วเหรอ?” ฟุริฮาตะทำหน้าเหนื่อยอกเหนื่อยใจเมื่อรู้ว่าตนได้สลบไปอีกแล้ว
“อื้ม หวังว่าคราวนี้ไม่ใช่ความจำสำคัญๆ อย่างเรื่องไอ้เคียวมันนะ” โยชิกิเอ่ย
“ผมยังจำเรื่องพี่ได้อยู่ครับ” ฟุริฮาตะตอบกลับไป
“จำได้ไหมว่าก่อนหน้านี้ทำอะไรอยู่?” โยชิกิถามต่อ
“ก็กำลังเล่นบาสกับคางามิและคุโรโกะจากนั้นก็วูบไปเลย”
“เดี๋ยวนะ เราเล่นจบเกมไปแล้วต่างหากฟุริ” คางามิเอ่ยแก้คำพูดอีกฝ่าย “แถมยังเจอโมริยามะ โยชิทากะด้วย นายจำไม่ได้เหรอ?”
“อ่ะ?” ฟุริฮาตะทำหน้างงไปวูบหนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีหน้าปลงๆ แทน “คราวนี้จำส่วนนี้เหรอ?”
“คราวนี้ดีนะ แค่เล็กน้อยน่ะ” โยชิกิเอ่ยอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรมากนัก
“ก็นะครับ” ฟุริฮาตะยักไหล่น้อยๆ ก่อนที่จะหันไปคุยกับคางามิ “ว่าแต่เมือกี้บอกว่าโมริยามะซังมา แล้วตอนนี้ไปไหนแล้วล่ะ?”
“เห็นว่าพี่หายเลยไปหา...อ๊ะ?” คางามิตอบก่อนที่จะนึกขึ้นได้ว่าพี่ชายของโมริยามะ โยชิทากะชื่อว่าโยชิกิ...เหมือนกับชายหนุ่มที่ยืนหน้าง่วงอยู่ในตอนนี้
“เขาไปหาคุณน่ะครับ” คุโรโกะที่เพิ่งนึกออกเหมือนกันเอ่ยต่อจากคู่หูตน
“อา...ยุ่งแล้ว” โยชิกิเกาหัวตัวเองเล็กน้อย “ฉันไปหาโยชิทากะก่อนดีกว่า เดี๋ยวมา”
“ครับ” เด็กหนุ่มทั้งสามในสนามบาสขานรับ และเมื่อได้รับคำตอบนายโยชิกิก็รีบเดินออกจากสนามไปในทันที
“ฟุริฮาตะคุง...” พอชายหนุ่มจากไปแล้วคุโรโกะก็เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าเครียดๆ
“ว่าไง?” ฟุริฮาตะขานรับ
“อาการของคุณเป็นแบบปุ๊บปั๊บจังนะครับ” คุโรโกะเอ่ย...เขากล้าพูดเลยอาการของคนผมน้ำตาลปุ๊บปั๊บและแปลกพิลึกเลยล่ะ
“ก็นะ เพราะแบบนี้ไงฉันถึงอยู่แต่ที่ห้องน่ะ” ฟุริฮาตะยักไหล่น้อยๆ ...ก็เขาเล่นอยู่ๆ สลบไปแถมยังความจำขาดหายไปแบบนี้การออกมาข้างนอกเรียกได้ว่าอันตรายพอสมควรเลยล่ะ
“แต่ฉันว่าอุดอู้แบบนั้นน่าเบื่อออก” คางามิลากเสียงยาว “อย่างนายแค่หาคนมาด้วยกันตอนออกนอกห้องก็หมดเรื่องนิ”
“ก็ใช่อยู่ แต่ใครจะว่างขนาดนั้นล่ะ” ฟุริฮาตะหัวเราะเบาๆ กับความคิดของคนผมสีเพลิง
“น่าจะมีสักคนล่ะนะ เพียงนายเอ่ยปากขอ” คางามิไม่คิดว่าคนรู้จักของคนผมน้ำตาลจะพร้อมใจกันไม่ว่างเวลาเดียวกันมันทุกวันหรอก อย่างน้อยคงมีสักวันที่มีคนมาเที่ยวเป็นเพื่อนล่ะน่า
“ไม่ล่ะ ลำบากเขาเปล่าๆ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าวืด
“ขี้เกรงใจจริงนะนาย” คางามิทำหน้ามุ่ย
“ก็นิสัยฉันเป็นอย่างนี้นี่นา” ฟุริฮาตะยักไหล่น้อยๆ
“แล้วไม่เหงาหรือไง?” คางามิถามต่อ...ไอ้การอยู่คนเดียวในห้องทุกวันแบบหมอนี่ เป็นเขาประสาทกินไปนานแล้ว
“เหงาสิ แต่ทำไงได้ล่ะ” ฟุริฮาตะยอมรับว่าตัวเองเหงา แต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้เช่นกัน...
...เขาไม่อยาก...ที่จะสร้างความเดือดร้อนให้ใคร...
“อื้อ” คางามิพอได้คำตอบแบบนี้ก็ทำหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย “งั้นเดี๋ยวว่างๆ ฉันจะเล่นกับนายแล้วกัน...เอามันทุกวันเลยเป็นไง?”
“เอ๊ะ?” ฟุริฮาตะหลุดร้องออกมาเล็กน้อย
“ก็มีคนมาเล่นมาอยู่ด้วยจะได้ไม่เหงาไง” คางามิตอบอย่างซื่อๆ ตามประสาคนบ้า... (เอาดีๆ เซ่! ยัยบ้า! // คางามิ , จ้าๆ แหม ขี้บ่นจังนะตัวเธอ // s) ตามประสาคนตรงไปตรงมา
“แต่เรื่องการเดินทาง...” ฟุริฮาตะทำหน้าลำบากใจ...จะเสียเวลาเดินทางมาหาเขาทุกวันมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ ขนาดโมริยามะซังที่อยู่ใกล้ๆ ยังมาไม่ได้ทุกวันเลย
“ก็กระจกไง” คางามิตอบหน้าตาเฉย
“...” ...เออ ลืมเรื่องกระจกนั้นไปสนิทเลย
“งั้นถือว่าตกลงตามนี้นะ” คางามิสุดท้ายก็มัดมือชกเอ่ยไปเช่นนี้
“...ก็ได้” ฟุริฮาตะทำหน้ามุ่ยเล็กน้อย แต่ก็ไม่ปฏิเสธความต้องการของคนผมสีเพลิง
“ขอโทษนะครับ” คุโรโกะที่เงียบมานานเอ่ยขึ้นมา “นี่จะจีบกันยังไงก็อย่าลืมว่าผมยืนอยู่สิครับ”
“ไม่ได้จีบเฟ้ย! เจ้าบ้า!” คางามิแว๊ดใส่คู่หูหัวฟ้าของตน ซึ่งแน่นอนว่าคุโรโกะย่อมเมินคำโวยวายนั้นไป
“อย่าทะเลาะกันสิ” ฟุริฮาตะพยายามเอ่ยหน้าเด็กหนุ่มทั้งสองที่เริ่มทะเลาะกัน หากแต่ดวงหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ คล้ายกำลังดีใจปนอ่อนใจกับคนที่ทะเลาะกันปานเด็กๆ ...
...บางทีได้เป็นเพื่อนกับสองคนนี้ก็ไม่เลวเท่าไหร่หรอกเนอะ?...
วันเวลาผ่านไปนับว่าที่ฟุริฮาตะบังเอิญถูกจับได้ว่าเข้าห้องคนอื่นด้วยวิธีแปลกๆ อย่างการเดินทางข้ามกระจกมาจนในยามนี้ได้ล่วงเลยมาเกือบครึ่งปีแล้ว ทั้งตัวฟุริฮาตะทั้งคางามิและคุโรโกะก็สนิทกันมากถึงขั้นแทบเดานิสัยกันเองออกอยู่แล้ว
แต่ถ้าถามว่าคนผมน้ำตาลสนิทกับใครมากที่สุดเจ้าตัวคงตอบทันทีเลยว่าคางามิ เพราะนั้นคางามิตั้งแต่วันที่เจ้าตัวบอกว่าจะไปหาทุกวันก็ทำการเดินทางไปหาฟุริฮาตะทุกวันจริงๆ ดังปากว่า แถมยังมักเอาพวกอาหารต่างๆ มาแบ่งให้กินอีกโดยบอกว่าฟุริฮาตะตัวเล็กเกินไป ให้กินเยอะๆ หน่อยน่าจะดี
และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่คางามิ ไทกะเอสแห่งทีมบาสเซรินมาหาฟุริฮาตะ โคกิผู้ป่วยในโรงพยาบาลในตอนนี้
“ไม่คิดเลยนะว่านายจะโผล่มาทุกวันจริงๆ อย่างที่บอกเนี่ย” ฟุริฮาตะหัวเราะเบาๆ กับเด็กหนุ่มผมสีเพลิงที่กำลังผ่าแอปเปิ้ลให้ตนกินด้วยท่าทางชำนาญราวแม่บ้าน ขัดกับภาพลักษณ์ภายนอกโดยสิ้นเชิง
“ก็นะ” คางามิยักไหล่น้อยๆ ก่อนที่จะยื่นจานแอปเปิ้ลรูปกระต่ายน้อยที่ถูกทำสวยงามให้ “แล้วเมื่อกี้ได้ยินพี่นายบ่นว่าอาการนายหนักขึ้น? ถึงขั้นห้ามออกไปเล่นนอกห้องแล้วด้วย”
“อื้ม” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับพลางนึกถึงพี่ชายตนที่ยามนี้ออกไปคุยกับหมอนิดๆ ...รู้สึกตอนนี้พี่เขาจะบอกเรื่องต่างๆ กับคางามิมากกว่าเขาชอบกลแฮะ “เมื่อเช้านี่ฉันอาการกำเริบไปรอบหนึ่งแล้ว...ลืมวิธีการเดินน่ะ”
“ห๊า?! แบบนี้หนักแล้วนะเฮ้ย!” คางามิหลุดร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ
“ก็นั้นแหละ เลยเป็นปัญหาอยู่นี่ไง” ฟุริฮาตะหยิบแอปเปิ้ลเข้าปากอย่างใจเย็นผิดกับคนผมสีเพลิงที่ร้อนร้นกว่าคนป่วยตัวจริงเสียอีก “หมอบอกว่าถ้าหากยังหาวิธีรักษาไม่ได้แล้วปล่อยนานกว่านี้ฉันอาจตายได้เลย”
“นั้นสิ” คางามิเริ่มรับรู้ได้ถึงอันตรายของโรคที่ฟุริฮาตะเป็นพยักหน้ารับ...
...ถ้าเกิดฟุริฮาตะ โคกิลืมวิธีการ ‘หายใจ’ ขึ้นมาล่ะก็คง...ได้ตายไปจริงๆ แน่...
“อย่าทำหน้าเศร้าสิคางามิ มันไม่ได้จะเกิดในเร็วๆ นี้สักหน่อย” ฟุริฮาตะยื่นมือไปดีดหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ เพื่อเป็นการเรียกสติ
“ไม่ได้ทำหน้าแบบนั้นสักหน่อย” คางามิลูบหน้าผากตัวเองเบาๆ ด้วยหน้ามุ่ยๆ ...ดูท่าเขาเผลอแสดงท่าทางออกไปมากเกินแฮะ “ว่าแต่นายลืมวิธีการเดินใช่ไหม? งั้นมาเลย...เดี๋ยวจะสอนให้”
“เอ๊ะ? แต่ถ้าจะสอนต้องเป็นแบบที่สอนเด็กๆ นะ แล้ว...” ...นายจะยกตัวฉันแล้วสอนฉันเดินไหวเหรอ?
“ตัวนายแห้งจะตาย ฉันยกด้วยมือเดียวยังได้เลย...แถมเตี้ยอีก” คางามิเอ่ย
“ไม่เตี้ยนะ! นายต่างหากที่สูงไปน่ะ!” ฟุริฮาตะโวยกลับ...เขาสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบนะ! แบบนี้ไม่ถือว่าเตี้ยสักหน่อย!
“เหรอ~~~” คางามิลากเสียงยาวแบบกวนๆ
“นี่จงฉันกวนฉันเล่นใช่ไหมเนี่ย!?” ฟุริฮาตะแยกเขี้ยวใส่
“คงงั้นแหละ” คางามิหัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะจับฟุริฮาตะมาฝึกเดินราวกับเด็กหัดเดิน ทางฟุริฮาตะเองก็ยอมทำตามโดยง่ายเนื่องจากอยากกลับมาเดินได้อีกครั้งเช่นกัน ทั้งสองพากันฝึกอยู่พักใหญ่ๆ จนกระทั่ง...มีเสียงเปิดประตูดังขึ้นทำให้สองหนุ่มชะงักไปเล็กน้อยแล้วมองไปยังต้นเสียง
“โคจัง พี่กลับมาแล้...อ้าว? นายยังไม่กลับอีกเหรอ? แล้วกำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” ชายหนุ่มผมน้ำตาลที่เปิดประตูพรวดเข้ามาในห้องพักถามด้วยสีหน้างงๆ
“สอนฟุริเดินครับ” คางามิตอบ
“เหรอ ก็ดีเพราะเป็นฉันคงสอนไม่ได้หรอก” ฟุริฮาตะ เคียวฉีกยิ้มร่า
“หื้อ? ทำไมล่ะครับ?” คางามิถามต่อพลางอุ้มฟุริฮาตะไปนั่งพักบนเตียง
“ฉันเป็นพวกแรงเยอะเกินน่ะ บางทีถ้าสอนอะไรแบบนี้ฉันอาจทำโคจังบาดเจ็บก็ได้” เคียวเอ่ย “เอาง่ายๆ คือฉันเป็นพวกที่ไม่เหมือนปกติเท่าไหร่ โดยมีแรงที่มากเกินไปน่ะ”
“แรงมากเกิน?” คางามิทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพยายามสื่อออกมา
“ก็อย่าง...” เคียวมองซ้ายมองขวาหาของที่ตะเอามาเป็นตัวอย่าง “...นี่นายคิดว่าสามารถหักมันง่ายๆ ได้ไหม?”
“ไม่ครับ” คางามิมองไม้กวาดด้ามหนาที่อีกฝ่ายฉกมาจากไหนไม่รู้แล้วส่ายหน้าวืด
“และดูนี่” เคียวเอานิ้วหนีบด้ามไม้กวาดและ...
กร๊อบ...
...ด้ามไม้กวาดก็หักครึ่งภายในพริบตา “เห็นไหม แค่นิ้วเดียวฉันก็หักมันได้แล้ว นี่แหละแรงที่มากเกินไปของฉัน”
“...น่ากลัวนิดๆ นะ...ครับ” คางามิขนลุกซู่ขึ้นมาเมื่อคิดว่าหากที่หักนั้นไม่ใช่ด้ามไม้กวาดแต่เป็นแขนคนขึ้นมา...อา น่ากลัวโคตรเลยนะนั้น
“ก็นะ” เคียวยักไหล่น้อยๆ ก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนเรื่องจ้อกับเด็กหนุ่มทั้งสองอย่างเมามันส์ไปเรื่อยๆ ในขณะที่คางามิสอนฟุริฮาตะเดินสลับกับพักบ้างไป จนกระทั่งผ่านไปราวๆ สามชั่วโมง... “โอ๊ะ? ได้เวลาเข้าเวรล่ะ ไปก่อนนะ”
...นายฟุริฮาตะ เคียวก็เอ่ยเช่นนี้ก่อนที่จะโดดลงจากหน้าต่างไป
“ฉันว่าพี่นายไม่เหมือนคนชอบกลนะ” คางามิเอ่ยอย่างเอ๋อ...ถ้าไม่ติดว่าเริ่มชินกับรายนี้เขาคงร้องจ๊ากไปแล้วแหง
“ก็ใกล้เคียงจะไม่ใช่แล้วล่ะ” ฟุริฮาตะหัวเราะออกมาเบาๆ “นี่คางามิ...”
“ว่าไง?” คางามิขานรับ
“คิดว่าจะมีวันที่ฉันจะหายไหม?” ฟุริฮาตะถามขึ้นมาลอยๆ
“มีสิ มีแน่นอน” คางามิตอบกลับทันที...ถึงเขาไม่รู้ว่ามันจะมีวิธีรักษาจริงๆ หรือเปล่า แต่ในใจเขาอยากให้มันมีและอยากให้ฟุริฮาตะหายจากโรคบ้าๆ นี่ด้วย
“งั้นเหรอ?” ฟุริฮาตะนิ้มออกมาบางๆ “ถ้างั้น...หากฉันหายเมื่อไหร่ นายอย่าลืมพาฉันไปเล่นด้วยกันกับนายบ่อยๆ ล่ะ”
“แน่นอน ฉันพาไปแน่” คางามิพยักหน้ารับ “และจะชวนคนมาเล่นด้วยเยอะๆ ให้สนุกสุดๆ กันไปเลยด้วย”
“น่าสนุกเนอะ” ฟริฮาตะยิ้มร่า “อยากให้วันนั้นมาถึงจังนะ”
...ถ้าเขาอยากจะฝันเรื่องนี้คงไม่ผิดใช่ไหม? อย่างน้อยแค่ในความฝันก็ยังดี...
“นั้นสินะ” คางามิเอ่ยอย่างเห็นด้วย แม้ไม่รู้ว่าวันนั้นที่ว่าจะมาถึงหรือเปล่า...หากแต่เขาก็เลือกที่จะหวังว่าวันนั้นจะมาถึงจริงๆ ในสักวัน...
คืนวันผ่านไปเฉดเช่นเดียวกับฤดูกาลที่ผันเปลี่ยนตามกาลเวลา ที่ราวกับฝันร้ายของคางามิเริ่มเปิดฉากขึ้นเมื่ออาการของฟุริฮาตะเริ่มหนักขึ้น...จากการลืมความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ของฟุริฮาตะเปลี่ยนเป็นอาการทางกาย ฟุริฮาตะเริ่มลืมมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากการเดิน การอ่าน การเขียนจนตอนนี้รวมไปทั้งการขยับร่างกายไปด้วยแล้ว ทำให้สภาพของฟุริฮาตะในยามนี้ไม่ต่างจากคนเป็นอัมพาตแม้แต่น้อย...
...มันคือฝันร้ายที่อาจปิดฉากลงเมื่อไหร่ก็ได้นี่...เป็นสิ่งที่คางามิหวาดกลัวที่สุดว่ามันจะจบลงที่ความตายของใครบางคน หากแต่ก็ไม่อาจห้ามหรือหยุดยั้งมันได้เลย
...ทำได้เพียงปล่อยให้กาลเวลาไหลผ่านไปพร้อมกับเวลาชีวิตของฟุริฮาตะ โคกิที่ลดลงไปเรื่อยๆ เท่านั้น...เท่านั้นจริงๆ
“นาย...โอเคแน่นะ?” คางามิถามขึ้นมาเสียงแผ่วพลางมองอีกฝ่ายที่สภาพแทบไม่ต่างจากตุ๊กตาที่ยังมีชีวิต
“แน่สิ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มบางๆ ให้ “อย่าทำหน้าเศร้าน่าคางามิ”
“นายนั้นแหละทำใจได้มากไปแล้ว...” คางามิเถียงกลับ...ที่จริงถ้าเป็นคนอื่นเขาว่าเจอแบบนี้คงสติแตกไปแล้วแหง
“ก็ฉันเตรียมใจมาตั้งนานแล้วนี่นา” ฟุริฮาตะหัวเราะออกมาเบาๆ ...ความจริงเขาได้ยินเรื่องความอันตรายของโรคที่เขาเป็นจากหมอมาตั้งนานแล้ว เพราะงั้นเขาเลยเตรียมใจไว้ก่อนเลยด้วยความที่รู้ว่าโรคนี้ไม่มีวันที่รักษาให้หายได้
“นายไม่กลัวตายเหรอ?” คางามิถามต่อกับคนที่ความตายเริ่มคืบคลานเข้ามาใกล้ทุกขณะหากแต่ยังยิ้มได้
“กลัวสิ...แต่ก็คงหนีไม่พ้นหรอก” ฟุริฮาตะเอ่ย
“...” คางามินิ่งเงียบไป ไม่คิดจะโต้เถียงในความจริงข้อนี่
“คางามิ...ถามอะไรหน่อยได้ไหม?” คราวนี้ฟุริฮาตะเป็นคนถามต่อ
“ได้สิ” คางามิพยักหน้ารับ
“ทำไมตอนนั้น...นายถึงยอมมาหาฉันทุกวันกันล่ะ?” เอาตามตรงฟุริฮาตะรู้สึกแปลกใจมากที่คางามิยอมมาหาตนทุกวันตามปากว่าแบบนี้
“ก็บอกแล้วนี่ว่ากลัวนายเหงาน่ะ” คางามิตอบไปทันทีอย่างไม่เสียเวลาคิดแม้แต่น้อย “บวกกับสงสารนายที่ไปไหนไม่ได้นิดหน่อยด้วย”
“งั้นเหรอ” ฟุริฮาตะหลุดหัวเราะพรืดออกมา...มีอย่างที่ไหนยอมลำบากมาหาทุกวันเพราะแค่เหตุผลสองข้อนี่เนี่ย? แต่ว่า... “นายนี่บื้อของแท้เลยเนอะ”
...เพราะว่าคางามิทำแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตนี่มีสีสันขึ้นมาทันตาเลย...จากชีวิตที่แทบเป็นสีขาวดำกลับมีสีสันอื่นเข้ามาแบบนี้คงต้องขอบคุณคางามิล่ะนะ
“ไหงว่างั้นเล่า” คางามิทำแก้มป่องแบบดูบ๊องแบ๋วเกินหน้ามาก
“ก็นะ” ฟุริฮาตะยิ้มร่าเหมือนกำลังขำกับสีหน้าคนผมสีเพลิง “คางามิ...พรุ่งนี้นายมีแข่งใช่ไหม?”
“อื้ม กับไอ้ดำกวนตรีนแต่เก่งโคตรๆ น่ะ” คางามิตอบ
“คงลำบากพอดู พยายามเข้าล่ะ” ฟุริฮาตะหัวเราะเบาๆ กับคำเรียกคู่แข่งของอีกฝ่าย
“นายเองก็พยายามเข้าล่ะ...พยายามมีชีวิตต่อไป...” คางามิเอ่ย “...อย่าเพิ่งจากฉันไปเร็วนักสิ เจ้าบ้า”
“จะพยายามแล้วกัน” ฟุริฮาตะยิ้มเศร้าๆ ออกมา...เขารู้ดีว่าอาการโรคของเขาอาจกำเริบขึ้นมาอีกตอนไหนก็ได้ เขาอาจตายไปในไม่กี่นาทีข้างหน้านี่ก็ได้หากโรคนี่ทำให้เขาลืมวิธีการ ‘หายใจ’ ขึ้นมาและเขาก็ไม่อาจหยุดยั้งมันได้ด้วยรวมทั้งไม่สามารถพยายามที่จะมีชีวิตต่อดังที่คนผมสีเพลิงขอมาด้วย...
...ได้เพียงรอเวลาแห่งความตายที่เข้ามาเท่านั้น
“ฉันต้องไปแล้ว...และเจอกันพรุ่งนี้นะฟุริ” คางามิลุกขึ้นแล้วเดินไปที่กระจกเงาซึ่งเป็นทางเชื่อมระหว่างที่นี่กับห้องพักตน...ถึงเขาอยากอยู่คุยกับฟุรินานกว่านี้ แต่เขาก็จำเป็นต้องพักผ่อนเพื่อการแข่งพรุ่งนี้เหมือนกัน
“อื้ม แล้วเจอกัน” ฟุริฮาตะส่งยิ้มให้คนผมสีเพลิง “พรุ่งนี้ขอให้ชนะการแข่งนะ”
“ฉันจะเอาชัยชนะมาฝากนายแล้วกัน” คางามิเอ่ยก่อนที่จะเดินทะลุกระจกเงาไป ทิ้งให้ภายในห้องเหลือเพียงฟุริฮาตะเพียงผู้เดียว
“เฮ้อ...” ฟุริฮาตะถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเหม่อมองดวงดาวที่ประดับบนฝากฟ้ายามค่ำคืน “...ขอร้องล่ะ...ขอให้ค่ำคืนนี้ผ่านไปได้ด้วยเถอะ”
หากแต่ก็ไม่เป็นดังหวังเมื่อเช้าวันต่อมา...ฟุริฮาตะ โคกิก็ได้จากไปอย่างสงบในวัยเพียงสิบหกปีเท่านั้น
ณ วันที่อากาศร้อนเสียจนแทบทำให้ลมจับ บริเวณสุสานแห่งหนึ่งที่เงียบสงบจนเข้าขั้นวังเวงได้มีชายหนุ่มผมสีเพลิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าป้ายหลุมศพป้ายหนึ่งนิ่งๆ ด้วยแววตาที่ยากจะอ่านออก...คางามิ ไทกะซึ่งปัจจุบันเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายของมหาลัยการกีฬาแห่งหนึ่งได้เพียงจ้องมองป้ายหลุมศพของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนตนแบบนี้โดยไม่คิดจะขยับหรืออะไร...
...นับจากวันที่ฟุริฮาตะ โคกิจากไปจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาห้าปีแล้วและคางามิเองก็มาที่สุสานนี่ทุกวันตลอดห้าปีเช่น...ดังคำสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะมาหาทุกวันยามเมื่ออีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่
...ว่าตามจริงในยามที่คางามิได้ยินข่าวการเสียชีวิตของฟุริฮาตะ เจ้าตัวแทบจะทิ้งการแข่งของตนเพื่อไปหาอีกฝ่ายหากแต่เมื่อนึกถึงที่ตนบอกอีกฝ่ายว่าจะชนะการแข่งครั้งนี้แล้วจึงยอมแข่งต่อจนจบก่อนที่จะไปหาฟุริฮาตะที่โรงพยาบาล...ในตอนนั้นที่ห้องพักฟุริฮาตะเงียบมาก ขนาดเคียวที่มักทนบรรยากาศเงียบๆ ไม่ค่อยได้ยังเงียบไปด้วย ภายในเต็มไปด้วยความเศร้าโศกกับร่างบนเตียงที่คางามิจำได้ดีว่าคือใครถูกผ้าสีขาวปิดที่ใบหน้า
...ตอนนั้นคางามิไม่รู้ว่าตนเสียสติไปมากแค่ไหน รู้แค่ว่ารู้สึกตัวอีกทีคือโดนคุโรโกะที่โดนตามตัวมาลากกลับห้องพักตัวเองเท่านั้นและกว่าเขาจะดึงสติตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ก็กินเวลาไปหลายวันเลยล่ะ
...ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะโศกเศร้าแค่ไหน แต่ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไปอยู่ดี...ดำเนินชีวิตต่อโดยที่คนที่จากไปยังไม่เลือนหายจากจิตใจตนไปแม้แต่น้อย
“นายนี่บ้าจังนะ...” คางามิบ่นพึมพำขึ้นมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มา ณ ที่แห่งนี้อย่างอดอั้นสุดแสน “...ทิ้งฉันไปเฉยเลย”
...แบบนี้สัญญาที่เคยบอกว่าจะเล่นด้วยกันก็ไม่มีวันเป็นจริงดิ...
“จะเป็นผีหรืออะไรก็ได้...กลับมาสักทีสิ เจ้าบ้า...” ถึงคางามิจะเป็นคนกลัวผี แต่ถ้าผีที่มาคือฟุริฮาตะ โคกิแล้วตัวคางามิคิดว่าตนคงไม่กลัวอีกฝ่ายหรอก...และในระหว่างนั้นเอง...
ปั๊ก!
“โอ๊ย!” ...ชายหนุ่มผมสีเพลิงก็หลุดร้องออกมาเบาๆ เมื่อมีบางอย่างมากระแทกหัว ดวงตาสีเพลิงจับจ้องยังวัตถุทรงกลมสีส้มที่คุ้นตากลิ้งมาที่แทบเท้าตน เจ้าตัวมองสิ่งนั้นก่อนตัดสินใจก้มลงเก็บสิ่งนั้นขึ้นมา
...ใครมันเอาบอลมาเล่นในสุสานวะ!?...
“ขอโทษครับ!!!” ในตอนที่สงสัยอยู่นั้นเองเจ้าของลูกบอล...หรือเด็กชายผมน้ำตาลอายุราวๆ สี่ห้าขวบคนหนึ่งวิ่งมาหาพอดี
“...” คางามิถึงกับนิ่งเงียบไปเมื่อเห็นเด็กชายชัดๆ ...เพราะเด็กตรงหน้านี้เหมือนกับฟุริฮาตะ โคกิทุกระเบียบนิ้วเลย!!!
“เออ...เป็นอะไรไปหรือเปล่าครับ?” เด็กชายมองคนตัวใหญ่ตรงหน้าด้วยท่าทีขลาดกลัวเล็กน้อย
“อา เปล่า คราวหลังระวังหน่อยล่ะ” คางามิที่ดึงสติกลับเข้าร่างได้อย่างรวดเร็วยื่นลูกบาสคืนพรอมกับ...
“โคกิ~~~ อย่าทิ้งพ่อไว้คนเดียวสิ~~~” ...เสียงโหยหวน (?) กับชายหนุ่มผมน้ำตาลคนหนึ่งโผล่มาพอดี “อ้าว? คางามิ?”
“เอ๊ะ? เคียวซัง?” คางามิเอ๋อกินอีกรอบเมื่อพ่อของเด็กชายดันเป็นนายฟุริฮาตะ เคียวพี่ชายของฟุริฮาตะ โคกิเพื่อนเขานั้นเอง และด้วยที่ไม่ได้เจอกันนานเคียวเลยลากทั้งลูกชายทั้งคางามิออกจากสุสานไปหาที่นั่งคุยกันดีๆ แทน คางามิกับเคียวก็คุยกันไปตามประสาคนแก่ (?) ส่วนเด็กชายนามโคกิก็ไปเล่นบอลอยู่คนเดียวไป “ไม่กี่ปีกลายเป็นพ่อคนแล้วเหรอครับเนี่ย?”
“ก็นะ...” เคียวยักไหล่น้อยๆ
“แล้วแม่เด็กคนนี้...” คางามิถามต่อ...ว่าตามจริงเขาไม่เคยคิดว่าคนอย่างนายเคียวจะหาแฟนได้เลยด้วยซ้ำ เล่นเพี้ยนซะขนาดนี้
“ถีบหัวส่งฉันไปแล้วน่ะ” เคียวเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“อ๋อ” คางามิทำหน้าเข้าใจ...สรุปโดนภรรยาทิ้งจนกลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวไปแล้วสินะ?
“คางามิ” เคียวเอ่ยเรียกคนผมสีเพลิง
“ครับ?” คางามิขานรับ
“เด็กคนนี้เหมือนโคกิเนอะ ว่าไหม?” เคียวถามขึ้นมาลอยๆ
“นั้นสิครับ” คางามิพยักหน้ารับ...ใช่ เหมือนมาก เหมือนจนน่ากลัวเลยล่ะ
“นี่ๆ” ในช่วงที่เคียวกับคางามิคุยกันอยู่นั้น เด็กชายก็มากระตุกชายเสื้อคนผมสีเพลิง
“หื้อ? มีอะไรเหรอ?” คางามิถามเด็กชายที่เหมือนเพื่อนตนที่จากไปเหลือหลายถาม
“พี่ชาย...มาเล่นกันเถอะ” โคกิเอ่ย
“อา...ได้สิ อยากเล่นอะไรล่ะ?” คางามิพยักหน้ารับ ขณะที่เคียวทำหน้างอนๆ ที่ลูกไม่ชวนตนแต่ก็ไม่ว่าอะไรเพราะรู้สาเหตุที่ลูกไม่ชวนตนเพราะตนไปทำลายข้าวของบ่อยนั้นเอง
“นั้น!” โคกิชี้ไปยังสนามบาสที่อยู่ใกล้ๆ
“บาสงั้นเหรอ?” คางามิถาม
“อื้ม!” โคกิพยักหน้ารับ “ก็พี่ชายเคยสัญญากับผมไว้นิ!”
“เอ๊ะ?” คางามิหลุดร้องอย่างงงๆ เมื่อได้คำตอบเช่นนี้...เขาเพิ่งรู้ว่าเคียวมีลูกด้วยซ้ำ แล้วจะไปสัญญาตอนไหนเนี่ย? “เออ...พี่ไปสัญญาตอนไหนอ่ะ?”
“ในฝัน!” โคกิตอบก่อนที่จะดึงชายเสื้อคนผมเพลิงยิกๆ “ไปกันเถอะ! และคราวหน้าพาเพื่อนมาเล่นด้วยกันเยอะๆ ตามสัญญาด้วยนะครับ!”
“อ่ะ! จ้าๆ” คางามิที่เอ๋อกับคำพูดของเด็กชายไปชั่วครู่รีบลุกตามอีกฝ่ายไป ริมฝีปากเริ่มเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา...คนที่รู้คำสัญญานี่มีเพียงคนเดียวเท่านั้น...
...สุดท้ายนายก็กลับมาทำตามที่สัญญากันจริงๆ สินะ...ฟุริ
END
ความคิดเห็น