คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #237 : [AkaFuri (B)] Goei 2
Title : Goei 2
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Akashi (Masaomi) x Furihata (Kyon)
Notes : มาตามเสียงเรียกร้อง (หรือเปล่า?) ตอนนี้ของให้ใช้ความเมา (?) ในการอ่านเพราะมั่วมาก WWW
ปล. ตอนนี้ต่อจากนี่จ้า Goei
.....................................................................................
Goei2
ภายในบ้านเดี่ยวหลังน้อยแสนธรรมดาแห่งหนึ่งที่ยามนี้นั้นได้มีชายหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้ติดกิ๊บสีเหลืองไว้ที่ปอยผมด้านซ้ายกำลังคิ้วกระตุกเป็นจังหวะสามซ่า ดวงตาสีเดียวกับเรือนผมจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มผมสีแดงสดนัยน์ตาสองสีกับชายวัยกลางคนผมแดงหงอกๆ (?) ซึ่งน้องชายตนมาพามาที่บ้านพร้อมกับบอกเรื่องสุดช็อกกับตน
“ถามจริง...เอากันจริงดิ?” นายตำรวจหนุ่มนามฟุริฮาตะ เคียวเอ่ยเสียงแผ่วราววิญญาณกำลังจะออกจากร่างอยู่ร่อมร่อเมื่อน้องชายตนอยู่ๆ พาแฟนหนุ่มมาแนะนำกับตนแถมพวงว่าที่พ่อตา (?) มาอีก...ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี่จะไม่น่าปวดหัวนัก หากไม่ติดว่าว่าที่พ่อตานี่ดันเป็นคนที่ช่วงหนึ่งเคยไปทำหน้าที่คุ้มกันเนี่ย!
...ถึงเขาจะไม่ได้อะไรกับตาลุงนี่นัก แต่ลุงนี่ดันบังเอิญมาเป็นพ่อของแฟนโคกินี่มันรู้สึกแปลกๆ นะเฮ้ย...
“ครับ...” โคกิ (เนื่องจากมาซาโอมิในฟิคเรียกเคียวว่าฟุริฮาตะ เพราะงั้นเพื่อกันความสับสนพวกคู่ akafuri ทั้งสองคู่ใช้ชื่อจริงไปเลยแล้วกันเนอะ // s) เอ่ยด้วยเสียงสั่นนิดๆ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตราวแมวฉายแววกังวล “...พี่คงไม่ว่า...นะครับ”
“พี่น่ะไม่ว่าน้องหรอก แต่...” เคียวที่รู้ว่าน้องตัวเองกำลังกลัวว่าตนจะรับไม่ได้เอ่ยเช่นนี้เพื่อคลายความกังวลอีกฝ่าย ก่อนที่จะเหล่มองยังเด็กหนุ่มผมแดง “...นายจริงจังกับน้องฉันแน่นะไอ้หัวแดง?”
“ครับ” เด็กหนุ่มผมแดงหรืออาคาชิ เซย์จูโร่เอ่ยอย่างหนักแน่นกับว่าที่พี่เขย (?) “รับรองดูแลตลอดชีวิตด้วย”
“แล้ว...” เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มผมแดงคอบอย่างหนักแน่นจนไม่น่าห้วงอะไรแล้วเลยเหล่มองไปทางผู้อาวุโสสุดภายในห้องนี่แทน “...ไหงมาด้วยเนี่ยลุง? คงไม่คิดว่าสู่ขอโคกิให้ลูกลุงมันตอนนี้เลยนะ?”
...ถ้าใช่เขาจะตอบกลับไปเลยว่า...เร็วเกินไปเฟ้ย!...
“เปล่าๆ แค่รู้สึกว่านามสกุลเด็กคนนี้มันคุ้นๆ เลยมาดูว่าใช่อย่างที่คิดหรือเปล่าน่ะ” ชายวัยกลางคนหรืออาคาชิ มาซาโอมิตอบกด้วยใบหน้าตายสนิท “แต่น้องเธอกับเธอนี่ต่างกันดีเนอะ”
“หลายๆ คนก็ว่างั้นแหละลุง” เคียวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะแปดสิบเปอร์เซ็นที่รู้จักเขาและน้องชายมักจะพูดเช่นนี้กันทั้งสิ้น
“เออ...ขอขัดหน่อยนะครับ” โคกิมองพี่ชายตนสลับกับว่าที่พ่อตา (?) “มาซาโอมิซังกับพี่รู้จักกันได้ไงเนี่ย?”
“อ๋อ ช่วงหนึ่งพี่เคยได้รับงานให้ไปคุ้มกันตาลุงนี่น่ะ” เคียวเอ่ยพร้อมชี้ตาลุงที่ว่าอย่างไม่เกรงใจคนอายุมากกว่าหรือตำแหน่งที่สูงกว่าของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
“...ใครช่างกล้าเอาพี่ไปทำงานคุ้มกันคนเนี่ย?” โคกิพอได้ยินแบบนี้ถึงกับคุมขมับ เนื่องจากรู้ดีว่านิสัยพี่ตนนั้นชอบทำให้ปวดจิตชวนหัวใจวายขนาดไหน...แล้วนี่ใครกันที่กล้าเอาคนอย่างพี่เขาไปคุ้มกันคนแบบไม่กลัวว่าชาวบ้านจะหัวใจวายตายเนี่ย!?
“อย่าทำหน้าปวดจิตสิน้องรัก พอดีตอนนั้นไม่มีใครกล้ารับงาน ไดสึเกะซังเลยถีบพี่ไปทำเฉยๆ” เคียวหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าน้องตัวเอง ส่วนมาซาโอมิก็ตบบ่าปลอบเด็กหนุ่มผมน้ำตาลด้วยความที่ว่าเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย...เพราะเผชิญนิสัยป่วนชวนหัวใจวายจากเคียวมาแล้ว
“...ทำไมทำหน้าเหมือนปวดจิตนักล่ะโคกิ?” เซย์จูโร่ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับเขาถามด้วนท่าทางงงๆ ...สำหรับคนรักเขาน่ะไม่แปลก แต่มีคนทำให้พ่อเขาทำหน้าเหนื่อยใจได้ด้วยเหรอ?
“อย่ารู้เลย” โคกิกับมาซาโอมิเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน...เล่นซะ เซย์จูโร่เอ๋อกินไปชั่วขณะเลย
“ฟุริฮาตะคุง...มาทางนี่กับฉันแป๊บนะ...” มาซาโอมิลุกขึ้นพร้อมกับ ‘ลาก’ นายฟุริฮาตะ เคียวออกจากห้องไป
“เหวอ! อะไรของลุงเนี่ย!?” เคียวโวยวายเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ขืนตัวอะไรคล้ายแค่โวยเล็กๆ พลางเดินตามมาซาโอมิออกมานอกห้อง “ลากผมออกจากห้องทำไมเนี่ยลุง!?”
“ก็เห็นทำหน้าเหมือนเริ่มอยากแกล้งคนนิ ลูกชายฉันยังปกติดี อย่าเอาความบ้าไปใส่เซย์จูโร่เชียวล่ะ” มาซาโอมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ถึงลูกชายเขาจะค่อนข้างรับเรื่องแปลกๆ ได้มากกว่าคนปกตินิดหน่อยก็เถอะ แต่ถ้าเจอแบบเคียวเขามั่นใจว่าร้อยทั้งร้อยสติหลุดชัวท์และมีแววว่าหากเคียวคิดจะป่วนลูกชายตนตอนนี้คงเล่นหนักชัวท์…
...เพราะงั้นรอให้รายนี้ทำใจที่ได้น้องเขยก่อนแล้วค่อยปล่อยให้ป่วนน่าจะดีกว่า (อ้าว? ไม่ใช่จะห้ามเหรอ? // s , อย่างฟุริฮาตะคุงห้ามอยู่ที่ไหนล่ะ อีกอย่าง...ยังไงก็ต้องเจอป่วนอยู่แล้วเพราะงั้นให้เซย์จูโร่เจอจากน้อยๆ ไปมากให้ชินเลยดีกว่า // มาซาโอมิ)
“โธ่ ที่แท้ก็คุณพ่อขี้หวงนี่เอง” เคียวแซวคนอายุมากกว่าเล็กน้อย “ว่าแต่คืนดีกับลูกแล้วเหรอลุง? เห็นก่อนหน้านี้บ่นเรื่องลูกหนีอยู่นิ?”
“อื้ม คืนดีกันเพราะน้องชายเธอนั้นแหละ...” ...ที่ดันมาเป็นแฟนลูกฉันจนหาข้ออ้างเนียนมาหาเธอได้เนี่ย
“เหรออออ” เคียวลากเสียงยาวอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เอาเป็นว่าเราปล่อยๆ เด็กๆ คุยกันสองคนเถอะ...อยู่ในห้องเดี๋ยวกลายเป็น กขค. เปล่าๆ” มาซาโอมิที่อยากหาโอกาสอยู่กับคนที่ตนหมายจีบกันสองคนใช้ลูกตัวเองเป็นข้ออ้างเสียดื้อๆ
“ปฏิเสธได้ไหมลุง? ผมกลัวลูกลุงลวมลามน้องผมอ่ะ” เคียวทำหน้ามุ่ย
“ไม่ต้องห่วง ฉันบอกเซย์จูโร่ว่าห้ามทำอะไรเกินเลยก่อนแต่งไปแล้ว” มาซาโอมิยิ้มขำๆ แล้วส่ายหน้าไปมา...หวงน้องเอาโล่พอดูเลยแฮะ
“งั้นแล้วไป” จากที่เคยคุ้มกันรายนี้มา เคียวเลยรู้ว่ารายนี้หากเป็นเรื่องประเภทนี้จะพูดจริงเลยหายห่วงไป “แล้วจะไปรอไหนดีเนี่ย?”
“ไม่รู้สิ ห้องเธอมั้ง” มาซาโอมิเอ่ยขึ้นมาเล่นๆ แต่...
“โอเค งั้นไปกัน” ...นายฟุริฮาตะ เคียวกลับเอาจริงเสียอย่างงั้น
“เดี๋ยวๆ ล้อเล่นๆ” มาซาโอมิรีบห้ามก่อนที่คนซื่อบื้อจะพาตนไปห้องตัวเองจริงๆ ...ถึงตั้งแต่เหตุการณ์คราวก่อนเขาจะรู้ว่ารายนี้ไม่ค่อยมีสามัญสำนึกแบบคนปกติธรรมดาก็เถอะ แต่ไอ้แบบนี้มันเกินไปไหมเนี่ย?
“อ้าวเหรอ?” เคียวเกาหัวตัวเองด้วยท่าทีไม่ใส่ใจอะไรมากนัก “แล้วนี่เราจะไปไหนดีล่ะลุง?”
“...ไปหาอะไรกินด้านนอกกันก่อนก็แล้วกัน” มาซาโอมิครุ่นคิดสักพักก่อนที่จะเสนอความคิดเห็นขึ้นมา
“งั้นเดี๋ยวไปบอก...” เคียวที่ขี้เกียจปฏิเสธหรืออะไรกับผู้ชรา (?) ให้มากความทำท่าจะเดินไปบอกน้องตัวเองว่าตนจะออกไปข้างนอก
“ส่งข้อความบอกแทนเถอะ ช่วยเลิกคิดจะไปขัดพวกเด็กๆ ด้วย” มาซาโอมิรีบดึงคอเสื้อเคียวไว้...ถึงรู้ว่าจริงๆ แล้วหากเคียวคิดจะเดินไปดูแล้วตนคงรั้งไว้ไม่อยู่ด้วยแรงช้างสารของรายนี้ แต่คนอย่างเคียวคงเกรงใจไม่ลากคนแก่ (ยังไม่แก่!! // มาซาโอมิ , ลูกเป็นหนุ่มแล้วเนี่ยนะตัวเธอ? // s) ติดไปด้วยหรอกมั้ง
“...นี่ลุงเป็นเอสเปอร์ใช่ไหมเนี่ย?” เคียวคิ้วกระตุกนิดๆ ...รู้ได้ไงหว่าว่าความจริงเขาอยากรู้ว่าไอ้เด็กหัวแดงนั้นแอบทำอะไรน้องเขาลับหลังหรือเปล่าอยู่เลย
“ใช่ที่ไหน ฉันทำงานอะไรเธอก็รู้นิ...ถึงแม้ปกติจะไม่ค่อยได้ผลกับเธอก็เถอะ” มาซาโอมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ด้วยความที่เขาทำงานด้านธุรกิจและติดต่อคนมาเยอะย่อมต้องดูคนให้ขาดรวมทั้งต้องคาดเดาความคิดคู่ค้าให้ออกอยู่แล้ว แม้ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามาเนี่ยใช้กับนายฟุริฮาตะเคียวแทบจะไม่ได้เลยก็เถอะ... “เอ้าๆ ไปกันได้แล้ว”
...และด้วยความไม่อยากปวดสมองกับชายหนุ่มผมน้ำตาลที่อาจเปลี่ยนความคิดได้เพียงในเสี้ยววิ นายอาคาชิ มาซาโอมิจึงลากฟุริฮาตะ เคียวออกจากบ้านไปเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกชายตัวเองได้จู๋จี๋กับคนรักได้ในที่สุด
ณ ร้านน้ำชาสุดหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมืองโตเกียว นักธุรกิจผู้กุมอำนาจแทบทั้งประเทศเอาไว้กับนายตำรวจหนุ่มผู้แสนจะเกินมนุษย์มาได้เดินเข้ามาภายในร้านโดยที่คนหนึ่งเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉยส่วนอีกคนมองไปมาภายในร้านอย่างสนอกสนใจ
“ร้านนี่หรูชะมัด...หากเผลอทำอะไรพังจะโดนเรียกค่าเสียหายไหมเนี่ย?” เคียวบ่นอุบอิบขึ้นมาเบาๆ ...นี่ถ้าทำแก้วแตกจะใช้กี่ชาติถึงจะหมดล่ะวะ?
“โดนแหงล่ะ...อย่าว่าแต่ร้านหรูๆ เลย ร้านปกติก็โดนเรียกแน่...” มาซาโอมิเอ่ยอย่างปลงๆ ...คงไม่คิดเล่นอะไรชวนหัวใจวายอีกนะ? “...เพราะงั้นห้ามคิดไปปีนโคมไฟเล่นหรืออะไรเด็ดขาดเชียวล่ะ”
“แหมๆ ไม่ปีนหรอกน่าลุง...โคมระย้าที่นี่มันอันเล็ก เล่นไม่มันส์เท่าที่บ้านลุงน่ะ” เคียวเอ่ยอย่างอารมณ์ดี
“อย่าเห็นโคมระย้าเป็นของเล่นสิ” มาซาโอมิคุมขมับเมื่อนึกไปถึงยามที่อีกฝ่ายเคยไปปีนโคมไฟบ้านตนเล่น...คราวนั้นกลัวแทบตายว่าอีกฝ่ายจะร่วงตกลงมาจากความสูงห้าเมตรน่ะ “เข้าไปหาที่นั่งเลย เกะกะหน้าร้านเข้า”
“ขี้บ่น~~~” เคียวลากเสียงยาวอย่างกวนๆ แล้วแว่บไปที่นั่งด้านในสุดของร้านทันที
“เฮ้อ...” มาซาโอมิยิ้มอย่างอ่อนใจพลางส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ แล้วเดินตามเคียวไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับนายตำรวจหนุ่ม “...จะสั่งอะไรก็สั่ง เดี๋ยวเลี้ยง”
“เอาจริงนะลุง?” เคียวถาม
“เออ” มาซาโอมิขานรับไป
“หมดตูดอย่าว่ากันก็แล้วกันนะ~~~” เคียวลากเสียงด้วยสีหน้ารื้นเริง
“ฉันว่าเธอทำฉันหมดตูดไม่ได้หรอก” มาซาโอมิส่ายหน้าไปมาอย่างขำๆ ...พวกเขาเคยอยู่ด้วยกันตั้งหลายวันย่อมรู้อยู่แล้วว่าเคียวนั้นไม่ได้กินถึงขนาดล่มจมแบบนั้นหรอก
“แหม มั่นใจจ...” เคียวเอ่ยปากจะแซวคนอายุมากกว่า แต่แล้ว...
“หยุด! นี่คือการปล้น! ส่งของมีค่ามาให้หมดซะ!!!” ...กลับมาคนสวมไอ้โม่งจำนวนหนึ่งพรวดพลาดเข้ามาในร้านพร้อมยกอาวุธปืนขึ้นมาขู่เสียอย่างนั้น
“...เดี๋ยวนี้โจรปล้นร้านน้ำชาแทนธนาคารแล้วเหรอ?” เคียวมองพวกโจรแล้วเอ่ยอย่างติดตลกนิดๆ
“ร้านหรูแบบนี้ต้องมีบ้าง” มาซาโอมิเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนักเช่นกัน...ก็ในร้านนี่มีทั้งยามมีทั้งความปลอดภัยระดับสูงเพื่อคนที่มาใช้บริการนิ จะมีอะไรต้องกังวลล่ะ “แต่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวหน่อยรักษาความปลอดภัยก็ไล่ไปเอง”
“แต่ผมเห็นงานอยู่ตรงหน้าคงอยู่เฉยๆ ไม่ได้อ่ะลุง” เคียวฉีกยิ้มร่าพลางลุกจากที่นั่ง “ขอไปจัดการแป๊บนะ”
“อย่าทำอะไรพังล่ะ” มาซาโอมิรู้ดีว่าห้ามไปก็เท่านั้นได้เพียงเอ่ยเตือน
“จะพยายาม...” เคียวตอบกลับพร้อมทำท่าเตรียมจะลงมือ แต่แล้ว...
“เค้กสามลังที่สั่งมาส่งครับ~~~” ...กลับมีชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองคนหนึ่งเปิดประตูร้านเข้ามาโดยที่บนบ่ามีลังขนาดใหญ่วางอยู่ พร้อมเดิมผ่านกลุ่มโจรอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น เท่านั้นไม่พอ...ยังมีสีหน้าติดรำคาญพวกโจรที่ยืนขวางทางตนอีกต่างหาก “ไปชิ้วๆ เกะกะ ฉันต้องรีบส่งรีบกลับนะเฮ้ย”
“เฮ้ย! นี่แก!” หนึ่งในกลุ่มโจรตวาดลั่นเมื่อผู้มาใหม่เมินพวกตน...นี่กำลังปล้นร้านอยู่นะเว้ย! อย่าทำท่าเหมือนเขาเป็นแค่นักเรียนยกพวกตีกันสิวะ!!!
“หนวกหูเฟ้ย!” ชายหนุ่มถีบคนที่ขวางตนพร้อมเอาลังที่ตนแบกอยู่วางตรงเคาร์เตอร์ “ทั้งหมด ××× เยนนะครับ ขอจ่ายสดงดเชื่อนะครับ”
“เออ...จากคาเฟ่มิสึกิใช่ไหมครับ?” พนักงานในร้านเอ่ยอย่างเอ๋อๆ เมื่อชายหนุ่มดันเมินพวกที่มาปล้นร้านตนซะงั้น
“ครับ และเซ็นรับด้วย” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองเอ่ยพร้อมยื่นใบรับของให้อีกฝ่ายเซ็น
“นี่พวกแก...อย่ามาเมินกันนะเว้ย!!!” เสียงแว๊ดลั่นดังออกจากปากคนที่โดนถีบก่อนหน้านี้
“ก็พวกนายไม่มีอะไรต้องสนใจนิ” ชายหนุ่มเมื่อส่งของเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ยักคิ้วกวนๆ ใส่กลุ่มโจรที่กลายเป็นตัวประกอบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“หน็อย...จัดการมันซะ!!!” คนที่น่าจะเป็นหัวหน้าและตัวต้นคิดในการปล้นครั้งนี้กัดฟันกรอดก่อนที่จะสั่งการลูกน้องตนให้จัดการคนผมสีน้ำตาลทอง
“เฮ้ยๆ! ฉันยังไม่อยากโดนเรียกค่าเสียหายนะเฟ้ย!!!” ทางคนที่กลายเป็นเป้าหมายโวยลั่นพร้อมกับโดดเตะก้างคอคนที่เข้ามาถึงตัวตนคนแรกทันที
...นั้นใช่เรื่องควรห่วง?...
หลายๆ คนภายในร้ายคิดอย่างเอ๋อๆ กับความคิดของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองที่ดูจะไม่กลัวโจรผู้ร้ายแม้แต่น้อย แถมยังห่วงในเรื่องค่าเสียหายมากกว่าการสู้กับคนจำนวนมากเสียอีก
“...บนโลกนี่มีคนมีความคิดแบบเดียวกับฟุริฮาตะคุงด้วยเหรอเนี่ย?” มาซาโอมิที่ได้ยินคำพูดที่ชายหนุ่มผมน้ำตาลทองพูดถึงกับคิ้วกระตุก...เพราะไอ้ความคิดแบบนี้มันดันคล้ายกับไอ้นายตำรวจที่ดูท่าจะไม่ไปทำหน้าที่ตนแล้วกลับมานั่งลงตามเดิม
“พูดแบบนี้หมายความว่างไงลุง? ความคิดผมออกจะปกติ” เคียวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ว่าแต่จะไหวไหมนั้น...” มาซาโอมิที่ปลงกับนิสัยคนผมน้ำตาลไปนานแล้วเอ่ยเปลี่ยนเรื่องเนื่องจากขี้เกียจเถียงกับอีกฝ่าย
“ไอ้นั้นไหวอยู่แล้ว” เคียวตอบกลับไป “ไอ้นั่นน่ะ...ฝึกต่อสู้ที่เดียวกับผม ถึงจะในระดับความยากน้อยกว่าก็เถอะ”
“...บ้าเท่าเธอไหม?” พอได้ยินแบบนี้ มาซาโอมิก็อดถามต่อเช่นนี้เสียมิได้
“ผมไม่ได้บ้าสักหน่อย” เคียวทำหน้ามุ่ยเล็กน้อยแบบเซแซรงสุดๆ กับคำพูดอีกฝ่าย “ไม่ต้องห่วง ไอ้ชิโระมันกากว่าผม”
“ไม่กากเฟ้ย!!!” ทันทีที่เคียวพูดจบประโยค...ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองที่ก่อนหน้านี้ซัดกับกลุ่มโจรอยู่ก็เดินมาหาพร้อมแยกเขี้ยวใส่
“จัดการเสร็จแล้วเหรอ?” เคียวเมินท่าทางปานจะขบหัวของอีกฝ่ายแล้วถามกลับไปด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“เออ และพวกยามก็ลากไปส่งตำรวจแล้วด้วย” ชิโระหรือชิโรบะตอบกลับพร้อมตวัดมือโบกหัวอีกฝ่ายทีหนึ่งข้อหาทำเสียงกวน ซึ่งแน่นอนว่านายเคียวนั้นหลบได้อย่างทันทวนที
“ส่งโรงพยาบาลมากกว่ามั้ง...” มาซาโอมิที่มองผ่านไปด้านหลังคนผมสีน้ำตาลทองและเห็นสภาพแต่ล่ะคนที่โดนลากออกจากร้านไป...ดูแล้วคงต้องนอนโรงพยาบาลยาวกันทุกหน่อเลย
“ก็นะ” ชิโรบะยักไหล่น้อยๆ “ว่าแต่นี่...ถ้าจำไม่ผิด ใช่อาคาชิ มาซาโอมิที่เป็นนักธุรกิจหรือเปล่าหว่า?”
“ใช่” มาซาโอมิพยักหน้ารับ
“...ไหงแกมาอยู่กับคนระดับนี่ได้วะเคียว? อย่าบอกนะว่าเดี๋ยวนี่มีเสี่ยเลี้ยง?” ชิโรบะหันไปถามเพื่อนตนเป็นอย่างต่อไป
“จะบ้าหรือไงวะไอ้ชิโระ! ลุงเป็นคนที่ฉันเคยคุ้มกันบวกกับพ่อแฟนโคกิเว้ย!” เคียวแยกเขี้ยวใส่คนที่พูดอะไรชวนให้ชาวบ้านเข้าใจผิด
“อ๋อ ว่าที่พ่อตานี่เอง” ชิโรบะหัวเราะในลำคอเบาๆ ...ที่จริงเขารู้อยู่แล้วล่ะว่าอย่างไอ้เคียวคงไม่คิดหาเสี่ยเลี้ยงหรอก เพราะมันซื่อบื้อ (?) แต่ก็แค่แกล้งนิดๆ พอเป็นพิธีแค่นั้นแหละ
“ตามนั้น” เคียวเอ่ย
“งั้นแกก็คุยกับพ่อตาแกไปแล้วกัน ฉันกลับไปทำงานล่ะ” ชิโรบะที่ไม่อยากขัดขวางเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวชาวบ้านนักเอ่ย “อ๋อ...และแกอย่าลืมที่นัดเจ๊กับไอ้โยชิกิในคืนนี่ด้วยล่ะ เดี๋ยวโดนตีหัวเอา”
“รู้แล้วๆ” เคียวขานรับไป ในขณะที่ชิโรบะเดินออกจากร้านไปโดยไม่คิดฟังตอบรับเลยเหมือนแค่พูดเตือนเฉยๆ เท่านั้น
“เธอจะไปไหนเหรอคืนนี้?” พอสภาพในร้านกลับมาเป็นปกติและที่โต๊ะเหลือเพียงพวกตนสองคน มาซาโอมิก็ทำการยิงคำถามใส่นายเคียวทันที
“ผับน่ะลุง นัดเพื่อนไว้” เคียวตอบ
“อย่างเธอเที่ยวด้วย?” มาซาโอมิที่เคยเจอด้านเด็กอนามัย (?) ของอีกฝ่ายมาแล้วถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“ปกติไม่ แต่สำหรับผับนี่ก็ไปบ่อยๆ น่ะ” เคียวยักไหล่น้อยๆ
“อื้อ...” มาซาโอมิพอได้คำตอบแบบนี้ก็ทำท่าครุ่นคิดก่อนที่จะ... “...งั้นไปด้วย”
“ห๊า?” ...เอ่ยในสิ่งที่ทำให้นายเคียวเกิดอาการงุนงงขึ้นมาในฉับพลัน “ลุงว่าไงนะ?”
“ฉันไปด้วย” มาซาโอมิเน้นย้ำคำพูดเดิมอีกรอบชัดๆ
“จะไปทำไมลุง? จะปล่อยแก่หรือไง?” เคียวรู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่ตาแก่บ้างานยี่สิบสี่ชั่วโมง (?) คนนี้อยู่ๆ อยากไปเที่ยว...ก็ไอ้ตอนที่เขาทำหน้าที่คุ้มกันรายนี้คราวก่อนเห็นทำแต่งาน งานและก็งานโดยไม่มีความกังวลเรื่องโดนลอบทำร้ายสักนิดนีนะ ไม่คิดว่าจะมีต่อมอารมณ์อยากเที่ยวกับเขาด้วยแฮะ
“ไปตามคุมเธอมั้ง” มาซาโอมิเอ่ย
“พูดยังกับภรรยาไปตามคุมความประพฤติสามีไปได้” เคียวหลุดขำออกมาเบาๆ กับคำพูดอีกฝ่าย
“ก็นะ...” ...ที่จริงก็ตามไปคุมเธอจริงๆ นั้นแหละ กลัวมีไอ้บ้าที่ไหนจีบตัดหน้าเขาน่ะ
“เดี๋ยวนี้ส่งมุขรับมุขเก่งนะลุง” เคียวแซวคนอายุมากกว่า
“ติดจากเธอนั้นแหละ” มาซาโอมิยอมรับว่าเมื่อก่อนเขาเป็นพวกจริงจังจนเรียกได้ว่าทุกคำพูดไม่มีการล้อเล่นแน่...แต่ตั้งแต่เขารู้จักฟุริฮาตะ เคียวมาเนี่ยรู้สึกว่าเขาจะเริ่มพูดเล่นบ่อยขึ้นเยอะเลย ทำเอาลูกชายเขาตอนแรกที้กลัวเขาแทบตายสนิทกับเขาขึ้นจมเลย...
...ควรขอบคุณที่รายนี้แพร่เชื้อบ้า (?) มาให้ไหมเนี่ย?
“น่าๆ” เคียวยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจนัก “ว่าแต่ลุงไปเที่ยวผับเนี่ยไม่กลัวมีข่าวลือเสียๆ หายๆ หรือไง?”
“แค่เข้าผับนี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสักหน่อยนิ” ถึงมาซาโอมิไม่รู้ว่าคำว่านักธุรกิจในหัวเคียวนั้นเป็นไง แต่ที่แน่ๆ คือคงคิดว่าคนทำอาชีพนี่ต้องเนียบให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้แหง “ที่น่าห่วงคงมีแค่เรื่องคนเมาตีกันหรือเจออริแค่นั้นแหละ”
“ไม่ต้องห่วงลุง ถ้าเรื่องนั้นไม่เกิดในผับนั้นแน่...ถ้ายังรักชีวิตตัวเองอ่ะนะ” เคียวยิ้มร่าแบบที่...ดูไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
“หมายความว่าไง?” มาซาโอมิถาม
“เดี๋ยวก็รู้” เคียวเอ่ย ซึ่งทางมาซาโอมิที่รู้ว่าง่าวปากรายนี้ไปก็เท่านั้นเลยเลือกที่จะปล่อยๆ มันไปเสียอย่างนั้นพร้อมกับสั่งของว่างและเครื่องดื่มมาทานเล่นพลางคุยกันไป...ซึ่งเนื้อหาในเรื่องที่ทั้งสองคุยส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวกับเรื่องของอาคาชิ เซย์จูโร่กับฟุริฮาตะ โคกิแทบทั้งสิ้น...
...และการสนทนาของคุณพ่อลูกหนึ่งกับคุณพี่หวงน้องคงดำเนินไปอีกนาน
????????????????????????????????
เสียงดนตรีดังก้องกังวาลออกมาเบาๆ จากอาคารเดี่ยวแห่งหนึ่งที่รูปร่างภายนอกอาคาร...ปานบ้านผีสิง หากไม่ติดว่ามีป้านติดหน้าทางเข้าเด่นหราว่า ‘ผับซันไนท์’ พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอายุผู้เข้าที่หน้าทางเข้าล่ะก็ คงไม่มีใครรู้เป็นแน่ว่านี่เป็นผับไม่ใช่บ้านผีสิง
“...เป็นผับที่แหวกแนวดีเนอะ” มาซาโอมิวิจารณ์สถานที่ตรงหน้าด้วยสีหน้านิ่งๆ ...อาจเป็นเพราะอยู่กับเคียวในช่วงหนึ่งทำให้ตนมีภูมิคุ้มกันเรื่องเหนือความคาดหมายมากขึ้นกระมั้ง
“รสนิยมเจ๊กแกน่ะ” เคียวยักไหล่น้อยๆ “รีบเข้าไปเถอะลุง ยืนตรงนี้เกะกะคนอื่นเขา”
“ไม่ต้องกัดเป็นของแถมก็ได้นะ” มาซาโอมิบ่นคนอายุน้อยกว่าน้อยๆ ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับเคียว...ซึ่งภายในผับนั้นตรงข้ามกับภายนอกลิบลับด้วยตกแต่งแนวคลาสิคสีโทนสว่างเพื่อที่จะได้ไม่มีใครเดินเตะอะไรเมื่อปิดไฟ บรรกาศภายในร้านนั้นออกไปทางครื้นเคร้งแต่ก็สงบแบบขัดแย้งกันสุดขั้ว แถมมีผู้คนล้นหลามบ่งบอกได้ว่าที่นี่เป็นที่ที่คนนิยมชมชอบกันน่าดู
“เคียว~~~~!!!” ระหว่างที่นักธุรกิจหนุ่มกำลังมองภายในผับอย่างสนใจอยู่นั้นเอง...เสียตะโกนหวานๆ ของใครสักคนก็ดังขึ้น เรียกให้มาซาโอมิมองยังต้นเสียง จึงเห็นหญิงสาวผมสีดำระบ่าคนหนึ่งวิ่งเข้ามา ดวงเขียวจ้องที่เคียวราวล็อกเป้าหมายและ... “แก - มา - สาย!!!”
...ไม่กี่วิต่อมาสาวเจ้าก็โดดเตะนายเคียวเสียราวกับโกรธแค้นมาตั้งแต่ชาติปานไหน
“เฮ้ย! แค่สองนาทีเองนะ!” เคียวแว๊ดลั่นพร้อมยกแขนขึ้นมากันอย่างรวดเร็ว “คิดเล็กคิดน้อยแบบนี้เดี๋ยวแก่เร็วหรอก!”
...นี่จะใส่เชื้อไฟเพิ่มเพื่อ?...
มาซาโอมิถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางนึกในใจว่าคงต้องหาครอสมารยาทหรือครอสสอนวิธีการพูดให้ถูกหูคนกับรายนี่จริงๆ เสียแล้ว...นี่ไม่รู้หรือไงว่าสำหรับผู้หญิงคำว่าแก่เป็นคำต้องห้าม! (เหรอ? // S , โอเค เว้นเธอไว้คนหนึ่งแล้วกัน // มาซาโอมิ)
“ใครแก่ห๊าไอ้ง่าว!” สาวเจ้าแยกเขี้ยวใส่ก่อนที่จะ...จับนายเคียวทุ่ม
“แอ๊ก! ป่าเถื่อน!” เคียวที่โดนทุ่มหาทางหลุดจากน้ำมือสาวเจ้าได้อย่างรวดเร็วก่อนที่ตะเตะตัดขาอีกฝ่ายด้วยความเร็วไม่แพ้กัน
“ไม่ได้แอ้มหรอกย่ะ!” สาวเจ้ากระโดดหลบ
“...” มาซาโอมิมองการต่อสู้ตรงหน้าอย่างไม่รู้ว่าควรชมเฉยๆ หรือว่าห้ามดี...ถึงเขาไม่ค่อยเห็นด้วยการที่ฟุริฮาตะ เคียวสู้กับผู้หญิง แต่จากที่ดูแล้วต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้หญิงแต่ก็สู้สูสีกับนายตำรวจแรงช้างนี่พอดูเลย
“นี่...คุณ...” เสียงฟังดูยานๆ เหมือนคนเพิ่งตื่นนอนดังขึ้นที่ด้านหลังทำให้นักธุรกิจหนุ่มที่ยืนชมการต่อสู้เพลินๆ (?) อยู่นั้นสะดุ้งโหยงและรีบหันขวับไปทางต้นเสียง...ก่อนจะพบว่ายามนี้มีชายหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวยืนหน้าง่วงอยู่หลังตนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบ “...ปล่อย...เดี๋ยวจบ...แล้ว”
“หื้อ?” มาซาโอมิมองอีกฝ่ายอย่างงงๆ พลางพยายามประติดประต่อคำพูดของอีกฝ่าย
“โยชิกิมันบอกว่าปล่อยไว้งั้นแหละ เดี๋ยวสองคนนั้นเลิกเอง” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองที่ก่อนหน้านี้มาซาโอมิเจอที่ร้านน้ำชาเดินมาสมทบเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายแปลคำพูดของชายหนุ่มนามโยชิกิไม่ออก
“...แน่ใจว่าจะเลิก?” มาซาโอมิถาม
“แน่ เพราะ...” ชิโรบะแสยะยิ้มน้อยๆ ก่อนที่...
“ยัยคานะ! ครบสามนาทีแล้ว!” ...เคียวเอ่ยคำพูดที่ดูจะไม่เข้ากับสถานการณ์ออกมา
“ชิ! เสมออีกแล้ว!” หญิงสาวนามคานะหรือคานาเดะดีดตัวออกห่างก่อนที่จะยืนด้วยสีหน้าเซ็งๆ
“สองคนนี้กำลังแข่งกันว่าใครจะชนะก่อนในสามนาทีน่ะ...เห็นเล่นมานานแล้วยังไม่รู้ผลเลยเนี่ย” ชิโรบะเอ่ยอธิบายหน้าตายราวกับเคยชินที่ต้องอธิบายอะไรเช่นนี้
“...” ส่วนมาซาโอมิก็ถึงกับกินจุดไปครู่ใหญ่ๆ ...นี่สรุปที่สู้กันนี่คือสู้เล่น เฉยๆ สินะ?
“เฮ้ ลุง...โทษทีที่ให้รอ” เคียวที่เป็นหนึ่งในตัวต้นเหตุของความวุ่นวายเมื่อครู่เดินกลับมาหามาซาโอมิที่รออยู่
“ใครวะไอ้เคียว?” คานาเดะที่เดินตามหลังมาถาม
“ว่าที่พ่อตามันน่ะเจ๊” คำถามที่ถูกส่งมานั้นเคียวไม่ทันตอบอะไร ชิโรบะก็ทำหน้าที่ตอบแทนเสียอย่างนั้น
“อ๋อ ที่แกบอกน่ะนะ?” คานาเดะเลิกคิ้วน้อยๆ
“เออ” ชิโรบะขานรับไปห้วนๆ ก่อนที่จะได้จานรองแก้วบินจากหญิงสาวกระแทกหัวไปหนึ่งที
“ขานรับดีๆ หน่อยสิย่ะ!” คานาเดะแยกเขี้ยวใส่
“เจ๊ป่าเถื่อน! จะฟ้องฮิโระจัง!” ชิโรบะโวยวายใส่
“ไม่ต้องเลยย่ะ!” คานาเดะแว๊ดใส่และ...เริ่มฟัดกับชิโรบะเป็นการต่อสู้รอบสอง (?)
“ปล่อยพี่น้องทะเลาะกันไปเถอะลุง ไปที่หน้าเคาเตอร์เถอะ” เคียวหัวเราะเบาๆ
“อื้ม” มาซาโอมิขานรับสั้นๆ ด้วยความปลงกับความวุ่นวายที่เจอตั้งแต่เข้ามาสถานที่แห่งนี้เล็กน้อยๆ
“...” ก่อนที่เคียวจะพามาซาโอมิไปไหน โยชิกิมองคนอายุมากกว่านิดๆ แล้วตบบ่าเบาๆ “...ทำใจ...นะ...ป่วน”
“...” ...จะพูดอะไรเนี่ย!? ใครก็ได้แปลกให้เขาที!
“ว่าใครป่วนห๊า!? ไอ้โยชิกิ!” เคียวแยกเขี้ยวใส่เพื่อนตัวเอง
“เคียว...” โยชิกิเอ่ยพร้อมที่เคียวอย่างเจาะจง
“นายก็พอกันแหละ!” เคียวเถียงกลับ
“ปกติกว่า...” โยชิกิเอ่ยก่อนที่โงกหัวไปเหมือนจะหลับ
“อย่าเพิงหลับเว้ยยยยย!!!” เคียวที่รู้ว่าท่าทางแบบนี้คืออะไรตะโกนใส่หูกฝ่ายเสียงดังลั่น...แถมไม่ใช่แค่เคียวอีก ทางสองพี่น้องเมื่อเห็นท่าทางของโยชิกิก็พากันมาแว๊ดใส่ไม่ต่างกัน...
...ขี้เกียจเก็บแกถ้าหากแกเผลอหลับในนะเว้ย! ไอ้โยชิกิ!!!
“อื้ม...” โยชิกิที่โดนตะโกนกรอกหูเอ่ยขึ้นอย่างัวเงีย
“...เพื่อนเธอนี่เฮฮาดีเนอะฟุริฮาตะคุง” มาซาโอมิไม่รู้จะว่าไงกับเหตุการณ์แบบนี้ได้เพียงเอ่ยเช่นนี้
“นั้นสิน้าาาาา” เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาสนับสนุนคำพูดของมาซาโอมิ ทำให้เจ้าตัวสะดุ้งโหยงและหันขวับไปมองต้นเสียง...และพบเด็กหนุ่มผมดำ ไม่สิ ต้องเป็นชายหนุ่มเพราะที่นี่ห้ามคนต่ำกว่ายี่สิบเข้า กำลังยืนยิ้มร่าอย่างกวนพระบาทาอยู่
“เฮ้ย!” หนุ่มสาวทั้งหลายสะดุ้งโหยงไม่ต่างกันและมองไปยังต้นเสียง “ยูโตะซัง! มาไงครับ / ค่ะ!?”
“ปีนหลังคาเข้ามา” ชายหนุ่มผมดำนามยูโตะเอ่ยยิ้มๆ
“เข้ามาทางปกติเถอะ!” คานาเดะะทำหน้าเหมืนกินยาขม “แล้วคิโยมิซัง...”
“โดนศรีภรรยาสุดที่รักไล่ออกจากบ้านอ่ะ...” ยูโตะทำท่าหง่อยๆ “...แถมคราวนี้หาทางกลับเข้าบ้านไม่ได้ด้วย”
“ปกติเข้าได้นิครับ?” เคียวถามอย่างแปลกใจ...เพราะปกติรายนี้หาทางเข้าบ้านตัวเองด้วยวิธีพิสดารต่างๆ นาๆ ได้ทุกครานิ?
“คิโยมิเอากับระเบิดขวดติดไว้ทุกทางที่ฉันเข้าได้อ่ะ” ยูโตะตอบ
“ช่างไม่กลัวบ้านไฟไหม้...” แต่ละคนเมื่อได้ยินแบบนี้ก็พากันคุมขมับแล้วส่ายหน้าไปมาอย่างปลงๆ
“บ้านฉันเป็นฉนวนกันไฟทั้งบ้าน ไม่เป็นไรหรอก” ยูโตะสวนกลับทันควัน
“เอาฉนวนกันไฟมาทำบ้านเนี่ยนะ?” เคียวเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“เปล่า วัตถุกันระเบิดเลยล่ะ...พอดีช่างที่มาช่วยซ่อมบ้านบ่อยๆ เริ่มขี้เกียจเลยเอาวัตถุกันระเบิดมาให้เลยน่ะ” ยูโตะอธิบาย
“ถึงว่า บ้านคุณเดี๋ยวนี้ดูดีขึ้น” คานาเดะทำหน้าถึงบางอ๋อ...ถึงว่าช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นบ้านรายนี่ทะลุ (?) เพราะแบบนี้สินะ
...เออ...นี่ช่วยบอกทีว่าที่คุยกันนี่คือเรื่องปกติ...
มาซาโอมิทียืนฟังมานานชักอยากตบมุขขึ้นมาตงิดๆ กับบทสนทนาที่แสนไม่ปกติของแต่ล่ะหน่อนี่แล้วสิ...มีใครที่ไหนพูดเรื่องแบบนี้กันได้หน้าตาเฉยห๊า!? แล้วที่บ้านคนชื่อยูโตะนี่มันยังไงกันถึงกับต้องใช้วัตถุกันระเบิดมาทำบ้านเนี่ย!?
“ว่าแต่เคียวคุง...นี่ใครอ่ะ? เพื่อนใหม่เหรอ?” ยูโตะที่เพิ่งสังเกตเห็น...ไม่สิ ที่จริงเพิ่งนึกอยากถาม ถามถึงมาซาโอมิที่ยืนฟังเงียบๆ มานานเอ่ยขึ้น
“ประมาณนั้นแหละครับ” เคียวตอบไปส่งๆ
“ที่จริงว่าที่พ่อตาไอ้เคียวน่ะครับ” ชิโรบะที่อยากมีส่วนร่วมหรืออย่างไรไม่ทราบเอ่ยแทรกขึ้นมา
“อ๋อ~~~ งั้นตำแหน่งเดียวกับฉันเลยยยย” ยูโตะยิ้มร่าพลางเดินไปตบบ่ามาซาโอมิอย่างอารมณ์ดี
“อ้าว? ลูกคุณก็มีแฟนแล้ว?” คานาเดะถามต่อ
“ช่ายยยย ทั้งสองเลยยยย” ยูโตะลากเสียงยาวอย่างอารมณ์ดี
“...” ...ถามจริง...นี่สภาพคนมีลูกสองแล้ว? ดูยังไงก็ไม่น่าเกินยี่สิบนะ “เออ...ขอเสียมารยาทหน่อยนะครับ ลูกคุณที่ว่าอายุเท่าไหร่?”
“คนโตสิบแปด คนเล็กสิบเจ็ดน่ะ” ยูโตะตอบหน้าตาเฉย
“...เอาจริงสิ” มาซาโอมิคิ้วกระตุกยิกๆ ...นี่ทำอีท่าไหนหน้าอ่อนได้ขนาดนี้เนี่ย!? ที่สำคัญกว่านั้น...
...ลูกรายนี่แก่กว่าลูกชายเขาอีก!...แสดงว่ารุ่นราวคราวเดียวกันหรือไม่ก็อาจแก่กว่าเขาน่ะสิ!...
“น่าๆ ลุง...ยูโตะซังแค่หน้าอ่อนน่ะ” เคียวที่ดูจะชินกับเรื่องแบบนี้มากเอ่ย
“ถ้าเจอคิโยมิซังหน้าอ่อนกว่านี่อีกนะ ทำใจเถอะลุง” คานาเดะะเอ่ยเหมือนปลอบ...แต่ขอโทษ สีหน้าเนี่ยเหมือนกำลังสนุกชัดๆ เลย
“ลุง...อย่าเพิ่งสติแตก...” โยชิกิเอ่ยนิ่งๆ แต่ท่าทางก็ทำให้คนฟังคิ้วกระตุกอยู่ดี
“สามัคคีเรียกลุงจังนะ!” มาซาโอมิโวยเล็กน้อย...สำหรับฟุริฮาตะคุงโอเค ชินแล้ว แต่อีกสองหน่อนี่เพิ่งรู้จักกันแป๊บเดียวอย่ามาเรียกลุงอย่างสนิทสนมสิ!
“ก็เป็นลุงจริงๆ นี่~~~” สามหน่อที่แซวมาซาโอมิเมื่อครู่ลากเสียงยาวอย่างกวนบาทาเป็นที่สุด
“ฮะๆๆๆ โดนสามหน่อสุดโหดป่วนแล้ว!” ชิโรบะที่ไม่ได้เข้าร่วมวงแกล้งกับเขาด้วยหัวเราะออกมาเสียงดัง
“สามหน่อสุดโหด?” มาซาโอมิหันมาสนใจชิโรบะที่ยังเป็นผู้เป็นคนปกติอยู่ (?) ...ไอ้สามหน่อสุดโหดนี่มันอะไรฟะ?
“ฉายาเมื่อก่อนของสามคนนี่น่ะ” ชิโรบะตอบ
“เคียวคุง คานาเดะคุงและโยชิกิคุงเป็นเพียงสามคนที่ฝึกต่อจบคลาสต่อสู้ระดับสูงสุดจากศรีภรรยาฉันมาได้น่ะ” ยูโตะเอ่ยอย่างเริงร่า
“...” ...เออ...อาจารย์ที่ฟุริฮาตะคุงเคยบอกเป็าภรรยารายนี่?
“เอ้าๆ อย่าเงัยบสิ~~~ อึ้งหรือไงที่คนสอนเคียวคุงเป็นผู้หญิงอ่ะ? นี่ถ้าคิโยมิมาเจอคงโดนตีหัวแตกแน่~~~” ยูโตะตบหลังมาซาโอมิป๊าบๆ ราวกับรู้จักกันมาแรมปี
“เปล่า...แค่กำลังคิดว่าสอนอีท่าไหนถึงออกมาแบบนี้เอง...” มาซาโอมิที่ไม่อยากถูกตบหลังจนหลังหักเอ่ยตอบส่งๆ ไป...นี่ตีสนิทคนอื่นเร็วไปไหมเนี่ยรายนี้?
“งั้นเหรอๆ” ยูโตะพยักหน้าอย่างเข้าใจแบบไม่ติดใจอะไรนัก “อ๋อ จะว่าไปยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยนี่เนอะ~~~ มาสนิทๆ กันดีกว่าในฐานะผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันน่ะ~~~”
“...ที่จริงควรคิดเรื่องนี้เป็นอย่างแรกนะ” มาซาโอมอบ่นนิดๆ ...ปกติการแนะนำตัวควรทำเป็นอย่างแรกไม่ใช่เหรอ!?
“น่าๆ อย่าเครียดสิ เดี๋ยวแก่เร็วหรอก” ยูโตะยิ้มอย่างร่าเริง
“เพราะชอบพูดว่าแก่นี่เลยทะเลาะกับคิโยมิซังทุกครั้งไม่ใช่หรือไง...” คานาเดะบ่นพึมพำขึ้นมาเบาๆ
“อย่างน้อยคิโยมิก็แก่กว่าฉันจริงๆ นิ” ยูโตะเถียงสาวผมดำเล็กน้อยก่อนที่จะหันมาคุยกับมาซาโอมิต่อ “อ๋อ และฉันชื่อมิยาจิ ยูโตะนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“อาคาชิ มาซาโอมิ” มาซาโอมิเอ่ยแนะนำตัวสั้นๆ
“ที่เป็นนักธุรกิจน่ะนะ?” ยูโตะเอียงคอน้อยๆ อย่างน่ารัก และสิ่งที่ได้กลับมาคือการพยักหน้ารับของมาซาโอมิ “พ่อตารวยน่าดูเนอะ เคียวคุง”
“เป็นตาลุงบ้างานมากกว่า” เคียวเอ่ยโดยเมินสายตาคอดค้อนของว่าที่พ่อตาไป
“ไม่เท่า...” โยชิกิมองมาซาโอมิก่อนที่จะเหล่ไปยังคานาเดะ
“ไม่ต้องเหล่มองฉันเลยย่ะ!” คานาเดะที่ดูจะเข้าใจว่าโยชิกิหมายถึงอะไรจัดการเขกหัวอีกฝ่ายไปหนึ่งที
“...แต่ล่ะคนดูไม่คิดอะไรเลยเนอะ” มาซาโอมิมองความวุ่นวานที่เกิดขึ้นอีกรอบ
“เกินปกติไปกันหมดแล้วนี่คงคิดกันหรอก” ชิโรบะยักไหง่น้อยๆ และในขณะนั้นเอง...
ปัง!
“คานาเดะซัง ชิโรบะซัง! เกิดเรื่องแล้วครับเว้ยยยยย!!!” ...ก็มีชายหนุ่มร่างเล็กผมสีฟางข้าวคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้ามาภายในร้านด้วยสภาพหอบแฮ่กๆ ดวงตาสีเขียวตวัดมองไปยังสองชื่อที่ตนเรียกเมื่อครู่อย่างรวดเร็ว
“หื้อ? อะไร?” คานาเดะกับชิโรบะถามผู้มาใหม่อย่างงงๆ
“น้องเล็กพวกคุณโดนโจรอุ้มไปแล้ว!” คนโดนถามรีบตอบแม้จะยังมีอาการหอบน้อยๆ ก็ตาม
“ห๊า!?” สองหนุ่มสาวยังคงทำหน้างงอย่างคนตามไม่ทัน
“เมื่อกี้มีโจรปล้นร้านสะดวกซื้อ แล้วน้องพวกคุณซวยเดินผ่านไปพอดี...” ชายหนุ่มผมสีฟางข้าวเมื่อปรับลมหายใจตัวเองได้แล้วอธิบายเพิ่มเติม
“เลยโดนจับเป็นตัวประกัน...สินะ?” เคียวที่จับประเด็นได้แล้วเอ่ยสรุป
“ฮิโระจางงงงงง!!!” เพียงรู้ความเท่านั้นแหละ...ทั้งคานาเดะทั้งชิโรบะก็ต่างวิ่งออกจากร้านไปด้วยความเร็วแสง
“...เธอไม่ไป?” มาซาโอมิมองคนที่วิ่งชนิดที่น่าจับไปเป็นนักวิ่งก่อนจะถามนายตำรวจหนุ่มที่อยู่กับตน
“ไม่ล่ะลุง แค่สองคนนั้นโจรจะรอดชีวิตกลับมาหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” เคียวยักไหล่น้อยๆ
“รอดชัวท์ ถ้าไปแค่สอง...แต่ถ้าคุณไปด้วยมีหวังมีคนปวดจิตตายของแท้” ชายหนุ่มผมสีฟางข้าวมั่นใจว่าถ้าหากอีกฝ่ายไปร่วมวงกับสองคนที่ออกไปก่อนหน้านี่ล่ะก็...หายนะมาชัวท์
“ก็นะ” มาซาโอมิไม่เถียงว่าอาจมีคนปวดจิตตายหากนายเคียวไปร่วมป่วนด้วย...และในเวลาที่คุยกันอยู่นี่แหละ...
ปัง!
“ไอ้โยชิกิ! น้องแก...” ...ชายหนุ่มผมสีทองท่าทางจิ๊กโก๋คนหนึ่งวิ่งเข้ามาภายในร้านเพื่อบอกอะไรสักอย่าง...แต่ไม่ทันพูดจบประโยค นายโยชิกิก็วิ่งออกจากร้านไปเสียแล้ว “...อ้าวเฮ้ย! ไม่ฟังให้จบหน่อยเหรอ!?”
“คงคาดเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้นน่ะ เรียว” ชายหนุ่มผมสีฟางข้าวถอนหายใจออกมาเบาๆ ...บังเอิญหรืออะไรเนี่ยที่มาบอกข่าวคล้ายๆ กันในเวลาไล่เลี่ยกันเนี่ย?
“อย่างน้อยฟังให้จบหน่อยเถอะ!” ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเรียกเรียวโวยเล็กน้อย
“สำหรับโยชิกิซังคงยากน่ะ” ชายหนุ่มผมสีฟางข้าวเอ่ยอย่างใจเย็น
“...รู้สึกแต่ละคนนี่ชวนปวดหัวดีนะ” มาซาโอมิที่แทบถูกลืมส่ายหน้าไปมาด้วยความปลงกับแต่ล่ะคนที่ไม่ปกติเอาเสียเลย
“ก็แบบนี้แหละลุง” เคียวตอบมาซาโอมิก่อนหันไปทางเรียว “แล้วทำไมวันนี้มางานสายเนี่ยพวกนาย?”
“พอดีมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” เรียวตอบ...และจากนั้นทั้งสามก็ต่างคุยกันไปเรื่อยอย่างเมามันส์ ปานแม่บ้านยามเย็น โดยไม่รู้สึกถึงสายตาของมาซาโอมิที่มองไปยังเคียวแม้แต่น้อย
“นี่ๆ มาซะคุง” ระหว่างที่มาซาโอมิมองสามหนุ่มที่คุย...ออกไปทางนินทาชายสองหญิงหนึ่งที่วิ่งออกไปช่วยน้องตัวเองกันก่อนหน้านี้อยู่ ยูโตะก็เรียกพลางเขย่าตัวนักธุรกิจหนุ่มปานน้ำผลไม้เพื่อให้หันมาสนใจตน
“หื้อ?” มาซาโอมิขานรับก่อนที่จะโดนเขย่าจนเวียนหัวตาย
“อย่าหึงไปน่า สองคนนั้นไม่คิดอะไรกับเคียวคุงเกินเพื่อนหรอก...คานาเดะคุง ชิโรบะคุงและโยชิกิคุงด้วย” ยูโตะเอ่ยหน้าตาเฉย
“เหรอ...เฮ้ย! ไม่สิ! มาบอกกันทำมายยยย!?” มาซาโอมิที่หลุดตอบรับไปรีบหาทางแก้คำทันที...ทำธุรกิจมาหลายสิบปีไม่เคยหลุดมาดหรือหลุดรับคำอะไรโดยไม่คิด เพิ่งมาเป็นเอาปานนี้ได้ไงเนี่ย...
...หรือว่าเขาติดเชื้อบ้าจากฟุริฮาตะคุงมาจริงๆ แล้วหว่า?
“ก็กลัวเข้าใจเคียวคุงผิดอ่ะ...อย่าคิดนะว่าดูไม่ออกว่ากำลังจะจีบเคียวคุงน่ะ~~~~” ยูโตะยิ้มยี่ยัวอย่างน่าถีบ “พยายามเข้านะ...หากไม่กล้าบอกเดี๋ยวบอกให้แทนเอง”
“อย่านะ!” มาซาโอมิรีบหาทางห้ามไม่ให้อีกฝ่ายที่รู้ความลับของตนปากพล่อยอย่างรวดเร็ว หากแต่ด้วยความที่ยูโตะนึกสนุกหรืออย่างไรก็ไม่ทราบจึงพยายามมุดไปบอกเรื่องนี้กับเคียวทุกครั้งที่มีโอกาส...เลยทำให้เกิดความวุ่นวายจากผู้อาวุโสทั้งสองขึ้นเป็นอย่างถัดไป
“...ทำไมสุดท้ายกลายเป็นงี้ล่ะ?” เสียงบ่นเบาๆ ดังออกจากปากชายผู้คุมเศรษฐ์กิจแทบทั่วทั้งญี่ปุ่นขณะที่เดินข้างชายหนุ่มผมน้ำตาลซึ่งแบกชายผมดำที่เมาหลับอยู่อย่างอ่อนอกอ่อนใจ...ส่วนสาเหตุที่ในตอนนี้ทั้งมาซาโอมิทั้งเคียวต้องมาทำอะไรเช่นนี้ต้องย้อนกลับไปก่อนหน้านี้...
...ก่อนหน้านี้นั้นหลังจากที่มาซาโอมิหาทางปิดปาดยูโตะ (?) ไม่ให้พูดอะไรแปลกๆ ให้เคียวฟังได้แล้ว ยูโตะที่ดูจะเซ็งที่ไม่ได้แกล้งมาซาโอมิเลยลากนักธุรกิจหนุ่มไปนั่งก๊งกับตน...และด้วยความที่ยูโตะคออ่อนหรือมาซาโอมิคอแข็งก็มิทราบ นายมิยาจิ ยูโตะเลยเมาหลับไปทั้งๆ อย่างนั้นแหละ
...แล้วด้วยความที่ไม่อยากให้ยูโตะตื่นขึ้นมาป่วนหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ พนักงานทั้งผับเลยโยนหน้าที่ให้พายูโตะกลับบ้านก่อนที่ศรีภรรยารายนี้จะมาตามตัวถึงที่...จนสุดท้ายทั้งมาซาโอมิทั้งเคียวเลยต้องนำตัวคนเมาไปส่งบ้านด้วยประการนี่แล
“น่าๆ ลุง...ก็แบบนี้ประจำแหละ” เคียวเอ่ยอย่างร่าเริง...ดูท่าจะชินกับเหตุการณ์เช่นนี้พอดู
“แล้วแบบนี้...” ...ศรีภรรยารายนี้ไม่ตีหัวตายเหรอนั้น?
“ไม่หรอก ถ้าเดา...คิโยมิ้ซังคงต้องการให้ยูโตะซังไปเมาแบบนี้อยู่แล้วล่ะ แต่ด้วยเหตุผลอะไรนี่ไม่รู้สิ” เคียวอธิบายอย่างรู้ทันขณะที่มาหยุดที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
“งั้นเหรอ” มาซาโอมิพยักหน้ารับพลางมองเคียวที่เอื้อมมือไปกดกริ๊งหน้าบ้าน
กิ๊งก๊อง...
“ค่า...” หลังเสียงกริ๊งดังขึ้นไม่นานประตูบานก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นผู้หญิงผมสีน้ำผึ้งคนหนึ่งซึ่งหน้าตาเรียกได้ว่าสวยพอดู...หากใบหน้านั้นไม่ทำสีหน้าเซ็งๆ ทันที ที่เห็นหน้าเคียวพร้อมกับคำพูดที่ขัดกับหน้าตาสุดแสน “...อ้าว? แกเองเหรอ? เอายูโตะมาส่งสินะ...แล้วข้างๆ นั้นใคร?”
“สวัสดีครับ ผมอาคาชิ มาซาโอมิแบบ...เป็นว่าที่พ่อตาของฟุริฮาตะคุงน่ะครับ” มาซาโอมิเอ่ยแนะนำตัวตามมารยาท
“อ๋อ งั้นเชิญเข้ามาก่อน ส่วนยูโตะ...ทิ้งไว้หน้าบ้านนั้นแหละ” คิโยมิเอ่ย
“เอาจริง?” เคียวถามกลับ
“ล้อเล่น เอามันไปเก็บที่ห้องมันนั้นแหละ” คิโยมิยักไหล่น้อยๆ ...คิดว่าเธอจะให้ทิ้งสามีตัวเองไว้นอกบ้านจริงๆ เหรอ? หากมันป่วยขึ้นมาเธอขี้เกียจดูแลนะ
“โอเค” เคียวพยักหน้ารับพลางเดินเข้าบ้านไปอย่างถือวิสาสะ
“ส่วนคุณก็มารอไอ้เคียวในห้องรับแขกนั้นแหละ” สาวเจ้าเอ่ยพร้อมกับส่งสีหน้าประมาณว่า ‘ไม่ทำตามโดน’ ไปให้
“อา...ครับ...” มาซาโอมิที่ไม่อยากลองดีกับรายนี่เท่าไหร่นักพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปในบ้านไป คิโยมิก็เดินนำชายหนุ่ม (เหลือน้อย... #หลบตรีน // S) ไปยังห้องรับแขกก่อนที่จะหยิบชามาเสริฟ์ประสาเจ้าบ้านที่ดี
“นี่นาย...” คิโยมิที่ทิ้งตัวนั่งตรงข้ามมาซาโอมิมองอีกฝ่ายตาแป๋ว “...เป็นพ่อตาไอ้เคียวสินะ? แน่ใจ?”
“แค่ว่าที่ครับ ยังไม่ได้เป็นตอนนี้สักหน่อย” มาซาโอมิเอ่ย
“ฉันว่าไม่ได้แค่นั้นนะ” คิโยมิฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ “กะจีบอ่ะสิ”
“...” มาซาโอมิที่เกือบสำลักน้ำชาเพราะคำพูดตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย “ชัดเจน...ขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ก็ไม่นะ หากเป็นคนธรรมดาหรือไอ้เคียวคงดูไม่ออกหรอก” คิโยมิเอ่ย “เล่นหน้านิ่งเหมือนพวกขี้เก๊กแบบนี้ปกติคงดูไม่ออกกัน ส่วนไอ้เคียว...มันซื่อบื้อเรื่องความรัก ไม่รู้ตัวชัวท์”
“งั้นเหรอครับ” มาซาโอมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...แสดงว่ารายนั้นยังไม่รู้สินะ?
“อื้ม” คิโยมิพยักหน้ารับ “แล้วคิดบ้าอะไรจะจีบไอ้เคียวล่ะ?”
“ก็...ไม่มีอะไรครับ รู้ตัวก็...” มาซาโอมิหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย...ก็ไอ้อาการปานหนุ่มเจอรักแรกทั้งที่มีเมียมีลูกมาแล้วนี่ให้พูดมันน่าอายนะ!
“โอเค พอเข้าใจล่ะ” คิโยชิที่พอเดาประโยคต่อไปออกจึงตัดบทไป “แต่จะจีบมันต้องทำใจหน่อยล่ะ...มันซื้อบื้อ”
“พอรู้มาบ้างแล้วครับ” มาซาโอมิไม่เถียงว่าเคียวมีความบื้อจริงๆ นั้นแหละ...ก็มีอย่างที่ไหนตอนคุ้มกันเขาวันสุดท้ายดันมานอนห้องคนอื่นหน้าตาเฉยล่ะ!?
“แสดงว่าทำใจไว้แล้ว” คิโยมิเลิกคิ้วน้อยๆ
“ครับ” มาซาโอมิพยักหน้ารับ ขณะนั้นเอง...
“คิโยมิซัง~~~” ...เสียงเคียวก็ลอยมาก่อนที่เจ้าของเสียงก็เดินเข้ามาภายในห้องด้วยสภาพที่...หน้าดำปิ๊ด หัวฟู เสื้อผ้ารุ่ยราวไปลุยอะไรมา “ติดกับดักไว้ทำไมไม่บอก!?”
...เล่นซะระเบิดใส่หน้าเต็มๆ เลย! ดีนะเขาอึดไม่งั้นได้ไปนอนโรงพยาบาลแล้ว!...
“เออ ลืม” คิโยมิเกาหัวนิดๆ “ปลดระเบิดทั่วบ้านแล้ว แต่ลืมที่ห้องนอนน่ะ โทษที”
“...” มาซาโอมิเกิดอาการเอ๋อกับการที่มีคนวางระเบิดที่ห้องนอนตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะ...
“อย่าขำดิลุง!” ...หลุดขำออกมาน้อยๆ เมื่อมองเคียวไปนานๆ เข้าโดยสลัดความเอ๋อกับการกระทำของคิโยมิไปจนสิ้น
“ท...โทษที...” มาซาโอมิพยายามหยุดอาการขำของตน
“อย่าคิดเล็กคิดน้อยเลยน่า” คิโยมิโบกมือไปมา
“ก็ได้...” เคียวทำหน้ามุ่นเล็กน้อย “...แล้วนี่คิดอะไรไล่ยูโตะซังออกนอกบ้านครับเนี่ย?”
“ก็ไม่มีอะไร...วันนี้ยูยะบอกว่าจะไปเที่ยวกับแฟนแล้วกลับดึกหน่อยน่ะ และแน่นอนถ้ายูโตะมันเห็นว่ายูยะไม่กลับมาภายในสามทุ่มจะเดินวนไปวนมาแถมบ่นไปบ่นมาจนน่ารำคาญ อาจมีโดดเกาะยูยะตอนกลับมาอีก...” คิโยมิอธิบาย “...เพราะงั้นไล่ออกนอกบ้านสบายหูฉันสุดล่ะ”
“อ๋อ” เคียวพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “แล้วนี่ลูกเจ๊กลับมายัง?”
“กลับมาก่อนพวกนายสักพักน่ะ” คิโยมิตอบ
“งั้นถ้ายูโตะซังตื่นมาก็ไม่ต้องห่วงว่าจะโวยวายสินะ?” เคียวเอ่ยยิ้มๆ
“ฉันว่ายังไงก็คงไม่ตื่นมาในคืนนี้หรอก” มาซาโอมิไม่คิดว่าคนที่ดื่มหนักขนาดนั้นจะตื่นขึ้นมาแล้วลุกมากวนชาวบ้านไหวหรอก แถมอาจมีอาการเมาค้างเป็นของแถมอีก
“ถ้าสำหรับคนปกติคงใช่อยู่” คิโยมิยิ้มเยาะในขณะที่...
“คิโยมิ~~~~” ...เสียงของคนที่กำลังนินทาเมื่อครู่ก็ลอยมา ก่อนจะตามด้วยที่ร่างของชายหนุ่มผมดำก็กระโจนเข้ามาจากประตูไปกอดหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
“นี่ไง ตื่นแล้ว” คิโยมิเอามือดันหน้าสามีตนไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะกอดตนได้สำเร็จ
“...เร็วไปไหม!?” มาซาโอมิคิ้วกระตุกยิกๆ ...นี่ไหงฟื้นเร็วแท้! แถมไม่มีอาการเมาค้างสักนิดอีกต่างหาก!
“ไอ้นี่มันฟื้นตัวเร็วน่ะ” คิโยมิเอ่ยอย่างเคยชิน
“อย่าว่างั้นสิตัวเธอ~~~” ยูโตะลากเสียงยาว
“อย่าไปสนเลยลุง แบบนี้ทุกรอบแหละ” เคียวโบกมือไปมา
“จะพยายามชินแล้วกัน” มาซาโอมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...ที่จริงทำใจตั้งแต่เห็นเพื่อนแต่ละคนของรายนี้แล้วล่ะ เล่นไม่ปกติสักคนเนี่ย
กริ้งงงง
ในระหว่างที่มาซาโอมิกำลังปลงอยู่นั้นเอง เสียงกริ่งบางอย่างก็ดังขึ้นมาขัดบทสนทนาภายในห้อง
“หื้อ?” เคียวหยิบโทรศัพท์มือถือของตนที่ลั่นขึ้นมาดูแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย “เดี๋ยวมานะลุง ที่ทำงานโทรมา”
“อื้ม” มาซาโอมิขานรับไป เมื่อได้รับคำตอบเคียวก็ทำการเดินออกไปคุยโทรศัพท์ทันที
“...” คิโยมิมองตามเคียวที่ออกจากห้องไปก่อนที่จะหันกลับมามองที่มาซาโอมิ “นี่ๆ มาซะคุงเมื่อไหร่จะเริ่มจีบเคียวคุงอ่ะ?”
“ยังไม่จบอีกเหรอ?” มาซาโอมิถาม...นี่เห็นหยุดพูดเรื่องนี้ไปแล้ว คิดว่าจะจบเรื่องนี้ไปแล้วเสียอีก
“ไม่จบง่ายๆ หรอก เพราะฉันก็อยากรู้” คิโยมิเอ่ยหน้าตาเฉย
“ก็เริ่มไปแล้ว” มาซาโอมิที่รู้ว่าเถียงไปก็เท่านั้นเหมือนลูกศิษย์นั่นแหละเลยตอบไป...ที่จริงเขาเริ่มแจกขนมจีบให้ฟุริฮาตะ เคียวไปตั้งแต่อยู่กันที่คาเฟ่ไปแล้ว เสียแต่รายนั้นไม่รู้เรื่องเลยนี่สิ
“แต่ไอ้เคียวมันบื้อ ไม่รู้เรื่องสินะ?” คิโยมิเอ่ยต่ออย่างรู้ทัน
“อื้ม” มาซาโอมิพยักหน้ารับ
“งั้นแนะนำวิธีให้เอาไหม?” คิโยมิเริ่มยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“ถ้าให้บอกตรงๆ บอกก่อนนะว่าไม่เอา” มาซาโอมิเอ่ยดักไว้ก่อน
“หว่า รู้ทันอีก” คิโยมิหัวเราะในลำคอเบาๆ ตรงข้ามกับคำพูด “งั้นไม่เป็นไร ลองวิธีนี่...”
...เอิ่ม...คิดถูกหรือคิดผิดที่ยอมทำตามรายนั้นเนี่ย?...
นักธุรกิจใหญ่นามอาคาชิ มาซาโอมิยืนเอ๋อๆ อย่างที่ในช่วงนี้เป็นบ่อยๆ หลังจากที่แอบเนียนตามลูกชายตนไปบ้านแฟนลูกตัวเองเพื่อจีบพี่แฟนลูก (ทำไมอ่านแล้วชวนงงๆ เนี่ย? // มาซาโอมิ , เราอยากแกล้งคน // s , เอาความจริง // มาซาโอมิ , เรานึกคำบรรยายไม่ออกล่ะ เริ่มตัน // s , ว่าแล้วเชียว // มาซาโอมิ) มันเสียทุกรอบนี่ จนในที่สุดมาซาโอมิก็ได้โอกาสทำตามแผนที่มิยาจิ คิโยมิซึ่งเป็นอาจารย์สอนต่อสู้ของฟุริฮาตะ เคียวได้เสนอออกมาในคราวก่อนที่เจอกัน...และมันเป็นข้อเสนอที่ทำเอาจนปานนี้เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสาวเจ้าถึงขยักขยอยให้ใช้วิธีนี้นัก...
...ไอ้การชวนมาดูหนังผีเนี่ยมันเกี่ยวอะไรเนี่ย!? เขาไม่คิดว่าอย่างฟุริฮาตะ เคียวจะกลัวผีหรือชอบหนังแนวนี้หรอกนะ!
“ลุงคิดยังไงชวนผมมาดูหนังผีเนี่ย?” ราวกับอ่านความคิดของผู้อาวุโสกว่าได้ เคียวได้ถามในประโยคเดียวกันกับในความคิดมาซาโอมิเป๊ะ
“บังเอิญได้ตั๋วฟรีมา...” มาซาโอมิทำหน้าตายตอบไป...ก็จะให้บอกไปว่าชวนมาเดทได้ไงล่ะ!?
“อ๋อ ถึงชวนมาสินะ...ถึงว่า อย่างลุงไม่น่าชอบหนังผี” เคียวเอ่ย
“แล้วเธอชอบไหม?” มาซาโอมิถามกลับ
“ก็ชอบอยู่นะลุง ใช้เป็นไอเดียใหม่ๆ ได้ดีเลย” เคียวยิ้มรับ
“ไอเดีย?” มาซาโอมิเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจนัก...ไอเดียอะไรได้จากหนังผีเนี่ย?
“ผมมีงานอดิเรทชอบสร้างผีปลอมน่ะลุง บางทีครั้งไหนขี้เกียจเล่นไล่จับก็เอาไปใช้จับคนร้ายด้วยนะ~~~” เคียวยิ้มร่าอย่างภูมิใจมากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
“ผีปลอม?” มาซาโอมิทวนคำพูดของอีกฝ่าย
“ใช่ เอาไว้ดูหนังเสร็จผมจะพาไปดูแล้วกัน” ด้วยความขี้เกียจหรืออย่างไรไม่ทราบ เคียวจึงเอ่ยออกมาเช่นนี้
“อื้ม” มาซาโอมิที่รู้ว่าซักไซไปก็เท่านั้นจึงพยักหน้ารับไปก่อนที่จะลากเคียวเข้าไปในโรงหนังที่ใกล้เวลาฉายแล้ว
ท่ามกลางความมืดมิดในโรงหนัง ภาพยนตร์เริ่มดำเนินเรื่องไปเมื่อถึงเวลา...ซึ่งก็ดูไม่ต่างจากคนดูหนังปกติเท่าไหร่นักจนเมื่อผ่านไปสักยี่สิบนาที...
“หึๆ” ...นายฟุริฮาตะ เคียวดันหลุดหัวเราะออกมาเมื่อถึงฉากที่ผีร้ายปรากฏตัวขึ้นมา
“ฟุริฮาตะคุง...ดูหนังผีอย่าหัวเราะสิ...” มาซาโอมิเอ่ยเตือนคนที่ดันหัวเราะตอนดูหนังผีแทนที่จะกลัวอย่างชาวบ้านเขาซะงั้น
“ก็มันขำอ่ะ...รู้ทั้งรู้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติยังเดินไปหาอีก” เคียวเถียงกลับ
“มันเป็นความอยากรู้อยากเห็นของคนน่า” มาซาโอมิไม่เถียงว่าคนที่เดินไปหาอันตรายคนเดียวนั้นมันน่าขันนิดๆ แต่มันก็ถือเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ที่ความอยากรู้อยากเห็นทำให้ลืมคิดวิเคราะห์เหตุผลต่างๆ ไป
“ผีมาแค่นี้ก็เตะกระเด็นซะสิ” เคียวที่ไม่สนคำบ่นของคนอายุมากกว่านักมองผีในหนังที่ถือมีดไล่แทงพระเอกของเรื่อง
“คนปกติไม่เหมือนเธอนะ” มาซาโอมิไม่คิดว่าจะมีใครสามารถสู้กับคนถือมีดด้วยมือเปล่าง่ายๆ โดยไม่เคยฝึกต่อสู้หรืออะไรพวกนี่หรอก
“ตัวนี่เหมือนตัวที่เจอในบ้านร้างคราวก่อนเลย” เคียวที่ยังคงดูหนังต่อไปชี้ที่หน้าจอที่เป็นฉากที่ผีอีกตัวโผล่มาไล่พระเอกที่หลุดจากผีถือมีดมาได้
“บ้านร้าง?” มาซาโอมิเอ่ยทวนเชิงถาม
“มีคนแจ้งว่ามีเสียงดังออกมาจากบ้านร้างทุกคืน สร้างความรำคาญให้ชาวบ้านน่ะ” เมื่อโดนถามเคียวก็ตอบกลับไป
“แล้วเธอก็บุกไปหน้าตาเฉยสินะ?” มาซาโอมิเดาได้เลยว่าอย่างเคียวคงบุกบ้านผีหน้าตาเฉยแบบไม่สนใจอะไรแน่
“ถูก” เคียวขานรับหน้าตาเฉย “แต่พูดถึงแล้วเซ็งชะมัด...บุกเข้าไปไม่เจออะไรเลย เจออย่างมากแค่ลูกไฟลอยได้ ไอ้ที่ไปด้วยกันก็เผ่นป่าราบทิ้งให้ผมทำงานคนเดียวอีก”
“...ฉันว่าสมควรเผ่นนะ” มาซาโอมิไม่คิดว่าคนปกติธรรมดาเจอไฟวิญญาณแล้วจะไม่เผ่นหรอกนะ
“แค่ไฟลอยได้น่ากลัวตรงไหน? เจ๊คิโยมิยังน่ากลัวกว่าอีก” เคียวทำหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจ
“นั้นน่ากลัวคนละความหมายนะ” มาซาโอมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...น่ากลัวสำหรับคนกับสิ่งที่ไม่ใช่คนมันไปคนละความหมายเลย “แล้วหลังจากเจอ...เออ ไฟลอยได้ของเธอนี่ทำไงต่อล่ะ?”
“เอาหินโยนใส่เล่นเหมือนเป้าบินน่ะลุง...สนุกดี” เคียวตอบอย่างเริงร่า
“...” กินจุดสิ...มาซาโอมิไม่คิดว่าจะได้คำตอบแบบนี้กลับมา “เจอแค่นั้นใช่ไหม?”
“เปล่า มีตัวแปลกๆ เหมือนคนแต่ตัวขาดครึ่งน่ะ...มีถามด้วยแหน่ะว่า ‘ขาฉันอยู่หน่ายยยยยย’” เคียวอธิบายต่อ
“แล้วทำไงต่อ?” มาซาโอมิถามอย่างใคร่รู้...
...หนังผงหนังผีไม่สนล่ะ ที่รายนี้เล่าน่าสนใจกว่าเยอะ!...
“ผมเลยบอกกลับไปว่าของหายก็แจ้งความสิ หากไม่สะดวกไปเองเดี๋ยวทำเรื่องให้ เอาเอกสารมาอยู่...” เคียวตอบอย่างซื่อๆ “...จากนั้นไอ้ตัวแปลกๆ นั้นก็เอ๋อกินไปสักพัก ก่อนตอบกลับมาว่า... ‘จะเอาขาตอนนี้~~~ เอาขาแกมา~~~’ น่ะ”
“...หนีมาได้ไงเนี่ย?” มาซาโอมิถาม...เล่นมาปานตำนานเมืองแบบนี้สามารถหนีรอดมาได้ไงนะ? ไม่สิ อย่างรายนี้อาจหนีด้วยวิธีสารพัดพิสดารของรายนี้ก็ได้ ใครจะรู้
“ก็ไม่ได้หนี ผมแค่บอกว่าให้ไม่ได้ เอาขาหุ่นไปแทนแล้วกันน่ะ...พอดีตอนนั้นซื้อหุ่นมาเตรียมเอามาทำผีปลอมเล่นพอดี กะว่าทำงานเสร็จก็จะกลับบ้านเลย” เคียวยักไหล่น้อยๆ “จากนั้นไอ้ตัวนั้นก็เบ้หน้าพร้อมพูดว่า ‘นี่ข้าหลอกคนบ้าอยู่เหรอ’ ก่อนจะหายไป...คิดแล้วน่าโมโหอ่ะ ว่ากันได้”
“...เล่นไปเสนออะไรแปลกๆ แบบนั้นโดนเข้าใจผิดคงไม่แปลกหรอก” มาซาโอมิหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้...เขาไม่แปลกใจสักนิดว่าทำไมอีกฝ่ายโดนว่ากลับเช่นนี้ ก็มีคนปกติที่ไหนเจอคนตัวขาดครึ่งนอกจากไม่กลัวแล้วยังไปเสนออะไรแบบนั้นอีก
“โธ่ อย่าขำดิลุง” เคียวทำแก้มป่อง
“โทษทีๆ” มาซาโอมิที่ไม่อยากถูกงอนพยายามหยุดขำ “แล้วสรุปเธอเจอแค่นั้นสินะ?”
“เปล่า มีอีกเยอะ” เคียวส่ายหน้าวืด
“งั้นขอตัดไปตอนสรุปสุดท้ายเลย” มาซาโอมิที่คิดว่าถ้าฟังต่ออาจได้ยินอะไรชวนให้หลุดขำออกมาจริงๆ แน่ เลยตัดสินใจให้อีกฝ่ายเปลี่ยนไปเล่าบทสรุปไปเลย
“สุดท้ายผมไปเจอตัวแปลกๆ คล้ายซอมบี้เลยอัดจนทำบ้านร้างพังน่ะ...” เคียวเกาหัวตัวเองนิดๆ “...เซ็งมากเลย โดนเรียกไปรายงานเรื่องทำบ้านพังอีก”
“จบแล้วสินะ?” มาซาโอมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ...กะแล้วเชียวว่าสุดท้ายเรื่องก็จบแบบไม่ปกติสิน่า
“หมดล่ะ” เคียวพยักหน้ารับ
“มีเรื่องอื่นอีกไหม?”
“ใครเนี่ย!?” มาซาโอมิสะดุ้งน้อยๆ กับเสียงหวานๆ ของผู้หญิงที่อยู่ๆ ดังขึ้นมา ต่างจากเคียวที่ดูจะรู้ว่าอยู่แล้วว่ามีคนแอบฟังอยู่เลยหันไปมองต้นเสียงอย่างสงสัยเท่านั้น
“ผู้กำกับหนังที่พวกคุณกำลังดูอยู่นี่ไง” คนที่ทักเมื่อครู่หรือก็คือหญิงสาววัยกลางคนคนหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกจะมาเช็คเรทติ้งสักหน่อย กลายเป็นว่าได้ไอเดียใหม่ซะงั้น หึๆ”
“เออ...ครับ...” สองหนุ่มขานรับอย่างเอ๋อๆ ...ทำไมเสียงมันคุ้นๆ หว่า? (ขอเวลาหน่อยนะ...เจ๊เนี่ยเธอใช่ไหม? ชิโกะ? // มาซาโอมิ , แม่น // s , แล้วไหงดูแก่จัง... // เคียว , เราลองปรับอายุตัวเองให้เพิ่มขึ้นน่ะ // S , โอเค เข้าใจล่ะ...งั้นกลับเข้าเรื่องต่อเถอะ)
“ไม่ต้องทำหน้าเอ๋อเลย...ว่าแต่มีเรื่องอื่นอีกไหม?” หญิงสาวถามด้วยรอยยิ้มท่ามกลางความมืดทำให้รู้สึกหลอนแปลกๆ
“...ไอ้มีมันก็มีหรอกครับป้า” เคียวเอ่ยตอบกลับไป
“อย่าเรียกป้าสิ ต้องเรียกพี่สาวสิ” คนโดนเรียกป้าบ่นเล็กน้อย
“ดูอายุพอๆ กับลุงนิ งั้นต้องเป็นป้า” เคียวเถียงกลับ
“นกบวกเกลือ (?) จนปานนี้เพราะงั้นต้องเรียกพี่” หญิงสาวที่ไม่ยอมรับที่อักฝ่ายเรียกตนว่าป้าเถียงกลับไปก่อนที่...ไปๆ มาๆ สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นการเถียงกันสุดไร้สาระองสองคนนี้ไปในที่สุด
“...กลายเป็นเถียงกันไปแล้วสินะ” มาซาโอมิถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนที่จะตัดสินใจหันไปดูหนังต่อเพราะไม่รู้จะทำอะไรระหว่างรอ...ยังดีที่สองคนนี้พูดเถียงกันด้วยเสียงเบาจนไม่เป็นการรบกวนคนอื่น ไม่งั้นได้โดนถีบออกนอกโรงหนังยกหมู่เป็นแน่
วันเวลาผ่านไปนับจากวันที่เคียวกับมาซาโอมิได้ไปดูหนังกันและเจอคนเขียนแปลงกาย เอ้ย! ผู้กับกำหนังที่ดันคุยกับเคียวจนลามไปถึงสิง (?) เคียวกลับไปดูหุ่นผีจำลองของรายนั้นแถมโดนชวนให้ไปร่วมวงการหนังผีหน้าตาเฉย ระดับความสัมพันของเคียวกับมาซาโอมิก็ขยับขึ้นมานิดนึง...นิดนึงจริงๆ เพราะในคราวนั้นผู้กับกำสาวดูออกหรืออย่างไรไม่ทราบจึงหาทางช่วยเสียจนทั้งคู่สนิทกันขึ้นมาอีกระดับได้...
...ทว่าถึงอย่างนั้น ปัจจุบันนี้แม้เวลาผ่านไปหลายปี...อาคาชิ มาซาโอมิก็ยังคงจีบนายฟุริฮาตะ เคียวที่ซื่อบื้อเรื่องความรักเกินที่มนุษย์ปกติธรรมดาควรมีไม่ติดเลย แถมความสัมพันของทั้งสองในตอนนี้ออกไปทางเพื่อนสนิทต่างวัยกันแทนเสียแล้วด้วย
“คุณพ่อครับ...ขอถามจริงครับเมื่อไหร่จะจีบติดครับเนี่ย?” เสียงถามออกไปทางอ่อนใจดังออกมาจากชายหนุ่มผมแดงวัยยี่สิบห้าปีซึ่งแต่ตัวด้วยชุดสูทเต็มยศและผมโดนหวีจนเรียบแบบไม่มีเส้นผมกระดิกขึ้นมาสักเส้น เมื่อผู้เป็นพ่อตนนั้นจีบคนที่หมายตาไว้ไม่ติดจนมาถึงวันแต่งของตนเช่นนี้ “เล่นพยายามจีบนานจนผมจะแต่งงานแล้วเนี่ย ใจคอจะรอให้ผมมีลูกหลานเหลนเต็มบ้านเต็มเมืองก่อนหรือไงครับ?”
“แหม นับวันยิ่งกัดพ่อเหลือเกินนะ” มาซาโอมิที่โดนลูกชายตัวเองบ่นกรอกตาไปมา...รู้สึกว่าตั้งแต่ทั้งเขาทั้งลูกชายเขารู้จักฟุริฮาตะ เคียวเนี่ยความสัมพันพ่อลูกนี่ดีขึ้นถนัดตาเลย จากที่ลูกชายเขาทำตามคำสั่งตลอดแบบไม่มีเถียงนั้นก็กลายเป็นปากจัดซะอย่างนั้น...
...ไม่ต้องคิดให้เปลื้องสมองก็รู้ได้เลยว่าคนที่ตนพยายามจีบนั้นแพร่เชื้อแปลกๆ มาติดลูกชายตนแน่...ดีไม่ดี เขาเองก็คงติดมาเช่นกันแหละ ถึงมีอารมณ์ต่อล้อต่อเถียงกับลูกตัวเองเนี่ย “และลูกคงมีลูกหลานให้พ่อไม่ได้หรอก อย่าสิโคกิคุงเป็นผู้ชายนะ”
“ให้ชินทาโร่ทำยาที่ทำให้ผู้ชายท้องออกมาครับ เพราะงั้นคุณพ่อได้อุ้มหลานแน่นอน” เซย์จูโร่เอ่ยแย้งคำพูดของพ่อตนทันควัน
“...” ...หมดคำเถียงเลยแฮะ
“และอย่าเพิ่งนอกเรื่องสิครับ ตกลงเมื่อไหร่จะจีบเคียวซังติดครับเนี่ย?” เซย์จูโร่คาดคั้นพ่อตนเล็กน้อย...เขาลุ้นเรื่องระหว่างพ่อเขากับพี่เขยมาหลายปีแล้วนะ! จนปานนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะจีบติดเลยสักนิด!!!
“อีกไม่นาน...มั้ง” มาซาโอมิได้แต่ยินแห้งๆ อย่างไม่รู้จะตอบยังไง...ชิโอริจ๋าา ตอนนี้ลูกดุเหมือนเธอเป๊ะเลยอ่ะ...
“ฉันว่านาน”
“อีกนานชัวท์”
“ดูท่าไอ้เคียวจะได้ผัวยากนะ”
“อุตสาห์แอบแนะนำวิธีจีบไปหลายรอบแล้วนะ ยังแห้วได้ทุกทีสิน่า”
“มันน่าอัดเสียงไปให้เคียวคุงฟังแทนจริงๆ นะเนี่ย”
“เฮ้ย!!!” เสียงที่ดังขึ้นมาหลายเสียงทันทีที่มาซาโอมิพูดจบประโยค ทำให้สองพ่อลูกอาคาชิสะดุ้งโหยงและหันไปมองต้นเสียอย่างพร้อมเพรียง...ก่อนที่จะพบว่าในห้องยามนี้นอกจากพวกตนแล้วมีชายหนุ่มสามหญิงสาวสองมายืนแอบฟังอยู่ข้างๆ ทั้งสองเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ทั้งๆ ที่ทั้งมาซาโอมิทั้งเซย์จูโร่นั้นยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า ดังนั้นหากมีใครเข้ามาทางประตูพวกตนก็ต้องรู้สึกสิ “มาเมื่อไหร่!? ไม่สิ! เข้ามาทางไหนเนี่ย!?”
“หลังคา!” ทั้งห้าตอบพร้อมชี้ไปที่หลังคา...ซึ่งทะลุเป็นรูเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เออ...คุณพ่อ คนพวกนี่...” เซย์จูโร่เมื่อตั้งสติได้ก็ชี้ไปยังบุคคลแปลกหน้าที่บุกเข้ามาในห้องนี่เสียดื้อๆ
“ฉันอาจารย์ไอ้เคียวมัน ส่วนนี่สามีฉัน ส่วนสามตัวนั้นเพื่อนไอ้เคียว” หญิงสาวผมสีน้ำผึ้งเอ่ยอธิบาย “รู้สึกว่าลูกคุณนี่ยังจีบชาวบ้านได้ดีกว่าคุณอีกนะ เล่นซะจนได้เป็นน้องเขยเคียวมันแล้วเนี่ย...ว่างๆ หัดให้ลูกตัวเองสอนจีบหนุ่มบ้างนะ”
“ไม่ต้องแซวเลยครับ” มาซาโอมิค้อนใส่คนที่ว่าตนเล็กน้อย
“ก็มันจริงนี่นา~~~~” ยูโตะส่งเสียงกวนๆ ไปให้
“ว่าง...สอนด้วย...” โยชิกิเดินไปตบบ่าเซย์จูโร่พร้อมเอ่ยประโยคที่ไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไหร่ตามนิสัยเจ้าตัว
“ไอ้โยชิกิหมายถึงว่างๆ ก็สอนพ่อนายบ้างนะ” ชิโรบะที่เห็นคนที่เพื่อนตนพูดด้วยทำหน้างงๆ เลยแปลความให้
“อยากอยู่ครับ แต่คุณพ่อไม่ยอม” เซย์จูโร่เมื่อได้ยินดังนี้ตอบออกมาตามตรงแบบไม่ไว้หน้าพ่อตัวเองสักนิด
“โธ่...พ่อคนหัวแข็ง” คิโยมิหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น
“หยุดแซวเลยครับ!” มาซาโอมิแยกเขี้ยวใส่หญิงสาว
“ไม่สนหรอกกกกก” คิโยมิลากเสียงยาวคล้ายกวนประสาทอีกฝ่ายเล่น
“ช่ายยยย” ทางยูโตะที่ทำตัวเป็นลูกคู่กับภรรยาตน
“ปล่อยไปเถอะ ป่วนไปสักครู่เดียวคงหยุดเองแหละ...มั้ง?” ชิโรบะมองความวุ่นวายของคนแก่สามคน (#หลบเกิบ // s) เล็กน้อยก่อนหันมาคุยกับเซย์จูโร่ต่อ
“ใช่ๆ ฉันว่าเรามาคุยเรื่องพ่อนายกับไอ้เคียวมันดีกว่า” คานาเดะที่ตอนนี้เมินพวกผู้อาวุโสซึ่งเริ่มเถียงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วไป
“นั้นสิ...” โยชิกิที่ดูจะไม่สนใจความวุ่นวายภายในห้องนี้มาแต่แรกแล้วพยักหน้ารับ “...ฉันว่าช่วย...น่าจะดีกว่า”
“...ผมก็ว่างั้นแหละครับ ผมก็สงสารคุณพ่อเหมือนกัน” เอาตามจริงเซย์จูโร่ก็รู้สึกสงสารปนอ่อนใจกับพ่อตัวเองที่จีบหนุ่มไม่ติดสักทีเหมือนกัน “พอมีแผนไหมครับ? ผมนึกไม่ออกว่าบ้าๆ บอๆ (?) อย่างเคียวซังใช้วิธีไหนถึงจะได้ผล”
“ได้เลย...เอาหูมานี่...” คานาเดะ ชิโรบะและโยชิกิจับคนผมแดงมาสุมหัวกับพวกตนพร้อมอธิบายแผนการที่พวกตนเตรียมมาอย่างละเอียด
“...เล่นงี้?” พอได้ฟังแผนทั้งหมด เซย์จูโร่ก็ถึงกับเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเนื่องจากแผนที่ได้ยินนั้นฟังดูเรียบง่ายกว่าที่คิดมากนัก
“แหงสิ ถือว่าบีบบังคับพ่อนายให้กล้าๆ พูดด้วยเลยไง” ชิโรบะยกนิ้วประมาณว่า ‘แผนนี้แหละ เจ๋งแน่นอน!’ มาให้
“ถึงอาจได้เสียงบ่นเป็นของแถมหลังจากนี้ก็เถอะ” คานาเดะยักไหล่น้อยๆ
“ทำไม่ทำ?” โยชิกิถาม
“ทำครับ...จะได้เลิกลีลากันสักที” เซย์จูโร่เอ่ยตอบรับไป “เดี๋ยวผมจะไปเตี๊ยมกับโคกิให้อีกทีนะครับ”
“ไม่ต้องๆ ส่งข้อความไปเตี๊ยมกันก่อนมาหานายแล้ว” คานาเดะเอ่ย “นายพยายามทำหน้านิ่งๆ ให้เนียนๆ ก็พอ”
“ครับ” เซย์จูโร่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนที่จะ...มีเก้าอี้ตัวหนึ่งอยู่ๆ ลอยมาเฉี่ยวหัวไปซะอย่างนั้น “อ่ะ?”
“อะอ้าว? กลายเป็นทะเลาะกันเองซะแล้ว” ชิโรบะมองไปยังจุดที่เก้าอี้ลอยมาเมื่อครู่ ก่อนที่จะพบว่าผู้อาวุโสทั้งสามที่ถียงกันก่อนหน้านี้นั้นสองคนกลายเป็นทะเลาะกันส่วนอีกคนกลายเป็นผู้พยายามห้ามปรามไปเสียแล้ว
“นี่ลุงไปทำอีท่าไหนให้สองคนนั้นทะเลาะกันล่ะนั้น?” คานาเดะถามคนที่พยายามห้ามสองคนที่ทะเลาะกัน
“เปล่าสักหน่อย อย่าใส่ร้ายกันสิ...” มาซาโอมิค้อนใส่สาวเจ้าที่เด็กกว่าตนมากเล็กน้อย “...แค่มีคนปากพาจนเหมือนเดิมนั้นแหละ”
“อ๋อ ยูโตะซังพูดไม่คิดอีกตามเคย” คานาเดะพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
“เอาไงต่อดี? ใครมีความคิดดีๆ บ้าง?” มาซาโอมิที่เริ่มขึ้เกียจห้ามแล้วถาม
“ปล่อยไว้งั้นแหละ...เอ้า ใกล้เวลาเริ่มพิธีแล้ว รีบไปเถอะไป” คานาเดะตอบไป “ไม่ต้องห่วง อย่างมากก็ทะเลาะกันแค่ภายในห้องนี้แหละไม่ป่วนงานแต่งลูกลุงหรอก”
“โอเค งั้นปล่อยไว้งั้นแหละ” มาซาโอมิที่ก่อนหน้านี้พยายามห้ามเพราะกลัวสามีภรรยาคู่นี้ล่มงานแต่งลูกตนเท่านั้นพยักหน้ารับ
“...สองคนนั้นไม่ทะเลาะกันตายแน่นะครับ?” เซย์จูโร่มองสองหนุ่มสาวที่สู้กันปานจะฆ่ากันให้ตาย...ไม่สิ ถ้าให้ถูกคือหญิงสาวเพียงฝ่ายเดียวมากกว่าที่พยายามฆ่าชายหนุ่ม ส่วนฝ่ายชายดูท่าจะพยายามเข้าไปอ้อนเสียมากกว่า
“ไม่หรอก เกิดขึ้นประจำ” สี่คนที่รู้ดีว่าทั้งสองไม่มีวันฆ่ากันตายเอ่ยอย่างพร้อมเพียงก่อนที่จะลากชายหนุ่มผมแดงออกจาห้องไป ทิ้งให้สามีภรรยาทะเลาะกันไป
หลังจากที่ทิ้งสองสามีภรรยามิยาจิไว้ในห้องทั้งอย่างนั้นเพื่อพาเจ้าบ่าวในวันนี้หรืออาคาชิ เซย์จูโร่ไปร่วมในพิธีตามธรรมเนียมแบบตะวันตก...ซึงที่จริงตอนแรกมาซาโอมิอยากให้จัดแบบญี่ปุ่น ทว่าเคียวกลับอยากให้จัดแบบนี้สุดท้ายมาซาโอมิเลยยอมตามเคียวซะอย่างนั้น...
...พิธีการดำเนินไปอย่างปกติ...ไม่มีความป่วนหรือใครมาป่วนภายในงานเนื่องคนมหาโหดอย่างเคียวคุม (?) จนมาถึงยังช่วงท้ายของพิธีการหรือก็คือการโยนช่อดอกไม้นั้นเอง
“ต่อไปเป็นพิธีโยนช่อดอกไม้นะครับ...เชิญเจ้าสาวเตรียมโยนช่อดอกไม้ได้” เด็กหนุ่มผมดำหน้าสวยหรือฮิมุโระ ทัตสึยะที่โดนลากมาเป็นพิธีกรในงานแต่งเพราะโดนน้องชายร่วมสาบานขอเอาไว้เอ่ยตามหน้าที่
“เอาแม่นๆ นะโคกิ” เซย์จูโร่กระซิบเบาๆ กับเจ้าสาวของตน
“จะพยายาม...ฉันก็อยากให้มาซาโอมิซังสมหวังสักทีเหมือนกัน” โคกิเอ่ยพลางคิดว่าจะโยนไปด้านหลังยังไงให้ไปลงเป้าหมายดี
“พยายามกันคนที่จะมาแย่งช่อดอกไม้ไว้นะ เดี๋ยวแผนเสียเอา” ทางคานาเดะที่รออีกด้านกระซิบกับชายหนุ่มผมสีดำเหลือบเขียวเบาๆ
“ได้” โยชิกิพยักหน้ารับ
“ผมก็เตี๊ยมกับเพื่อนโคกิที่จืดจางโคตรๆ ไว้แล้วว่าหากช่อดอกไม้ลงไม่ตรงจุดให้ปัดไปที่เป้าหมายด้วย” ชิโรบะเอ่ย
“เตรียมตัว...จะเริ่มแล้ว” พวกคานาเดะเริ่มแยกย้ายไปทำตามแผนของตน ส่วนทางคิโยมิกับยูโตะที่เลิกทะเลาะกันเองและเดินมาร่วมงานด้วยแล้วจับตามองยังเจ้าสาวบนเวทีซึ่งยืนหันหลังแล้วโยนช่อดอกไม้ไปด้านหลังและ...
พรึบ!
“อ่ะ?” ...ลงไปยังมือเป้าหมายหรือนายอาคาชิ มาซาโอมิพอดีเป๊ะเลย “ฉันได้...เนี่ยนะ?”
“โอ๊ะ? ดูท่าลุงจะได้เมียใหม่งานนี้แหละนะ” เคียวหัวเราะร่า “ยินดีล่วงหน้านะลุง เป็นม่ายมานานในที่สุดก็มีคนแต่งด้วยเสียที”
“ฟังแปลกๆ นะนั้น” มาซาโอมิเกิดอาการคิ้วกระตุกนิดๆ ...พูดยังกับเขาไม่มีใครเอาเชียวนะ! ที่จริงเขาเลือกไม่แต่งเองต่างหาก!!!
“น่าๆ” เคียวยักไหล่น้อยๆ “ว่าแต่ลุงกำลังคบใครอยู่อ่ะ? อยากรู้จังว่าใครจะมาเป็นแม่ยาย~~~”
“ไม่ต้องมาทำเสียงกวนเลยและฉันก็ไม่ได้คบใครในตอนนี้ด้วย” มาซาโอมิที่กลัวว่าเคียวจะเข้าใจผิดรีบปฏิเสธไป
“อ้าว แล้วแบบนี้ลุงจะแต่งกับใครล่ะ? แมวแถวบ้าน?” เคียวเอียงคอน้อยๆ
“ฉันไม่คว้าแมวมาแต่งแน่ล่ะ” มาซาโอมิเอ่ยก่อนที่จะเหลือบไปเห็นลูกชายตนที่กำลังแสยะแล้วขยับปากพูดแบบไม่มีเสียง...
‘รีบ - รีบ - ขอ - เคียว - ซัง - คบ - สัก - ที - สิ - คุณ - พ่อ!!!’
...เป็นคำพูดนี้พร้อมกับส่งสายตาเขียวๆ มาให้อย่างชัดเจน...ดูท่าลูกเขาจะทนลุ้นกับนานจนเหลืออดเลยแฮะ และให้เดาไอ้ที่ดอกไม้มาลงมือเขาพอนี่เป็นแผนของลูกเขาหรือคนรอบข้างฟุริฮาตะ เคียวสักคนแหงแซะ!
“แล้วลุงจะแต่งกับใครล่ะ...ไม่สิ ต้องบอกว่าคบกับใครมากกว่า เขาว่าได้รับดอกไม้งานแต่งจะได้แต่งเป็นคนต่อไปนะ~~ แบบนี้ความเชื่อเขาก็เสียหมดสอถ้าลุงไม่ยอมแต่งน่ะ~~~” เคียวยังคงแซวอย่างกวนโอ๊ยไม่เลิก
“ก็...กับเธอนั้นแหละ” มาซาโอมิที่โดนจ้องด้วยหลากสายตา...ที่มีแรงกดดันบางอย่างเร่งให้ตนรีบๆ สารภาพในใจเสียที สุดท้ายได้แต่จำใจต้องพูดออกมา
“ห๊า?” เคียวชะงักไปเล็กน้อย...เมื่อกี้เหมือนได้ยินอะไรแปลกๆ หว่า?
“ฉันชอบเธอ! คบกับฉันนะ!” มาซาโอมิตะโกนลั่นด้วยใบหน้าที่ขึ้นสีแดงปานจะระเบิด...
...อ๊ากกกกก! อายเฟ้ย!...
“...” เคียวนิ่งอึ้งไปสามวิก่อนที่...หน้าจะเริ่มแดงขึ้นมาอีกคน “...ลุงป่วยหรือเปล่าเนี่ย?”
“ยังสบายดี ถึงมีจิตหลุดจากจากอาจารย์เธอมานิดหน่อยก็เถอะ” มาซาโอมิเอ่ย “ฉัน...จริงจังนะ”
“...ก็พอเดาออกอยู่” เคียวรู้ดีว่าคนอย่างมาซาโอมินั้นหากตนไม่เริ่มมุขก่อนก็จะไม่พูดเล่นเท่าไหร่นัก และยิ่งเป็นเรื่องแบบนี้ยิ่งไม่มีทางพูดเล่นแน่
“แล้ว...คำตอบล่ะ?” มาซาโอมิถาม...ไหนๆ ก็อายแล้ว ด้านให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน! (เดี๋ยวๆ แปลกๆ นะนั้น // S , ช่างฉันเถอะน่า! // มาซาโอมิ)
“...” เคียวเงียบไปเมื่อโดนทวงคำตอบก่อนที่จะ...
“ห้ามหนีนะเว้ยไอ้เคียว! อุตสาห์มีหนุ่มมาจีบทั้งที!” ...พยายามหนีด้วยความอาย ทว่าหญิงสาวผมดำดันรู้ทันเลยโดดมาล็อกคอนายเคียวไว้อย่างทันทวนที
“ปล่อยฉันนะยัยคานะ!” เคียวดิ้นพล่านๆ เพื่อพยายามสลัดสาวเจ้าให้หลุด...เสียแต่ไม่หลุด เท่านั้นไม่พอชิโรบะกับโยชิกิยังมาช่วยเกาะอีกแรงอีกต่างหาก
“ไม่มีทางงงงง” คานาเดะลากเสียงยาวแบบชวนให้หลอนเล่นๆ “โอ๊ะ? หายากนะที่นายหน้าแดงด้วย...เขินหรือไง?”
“เออดิ!” เคียวแยกเขี้ยวใส่เพื่อนแต่ล่ะหน่อของตน...ลองมาอยู่ๆ โดนสารภาพรักกลางงานแต่งน้องตัวเองดูบ้างเซ! ไม่อายให้มันรู้ไป!
“แนะนำ...อย่าหนี...” โยชิกิเอ่ยเสียงเนิบๆ ตามปกติ “...ตอบไปเถอะ...ลุงรอจนจะแก่ตายแล้ว”
“ไม่ตายง่ายๆ หรอก” เคียวเถียงกลับ...เขาคิดว่าอย่างมาซาโอมิไม่มีทางตายง่ายๆ แน่นอน เพราะหากจะตายคงปวดประสาทเพราะเขาตายไปนานแล้ว
“เอ้าๆ รีบๆ ตอบเลย...ชาวบ้านลุ้นอยู่นะ” ชิโรบะเอ่ยเร่ง และเป็นดังการใส่เชื้อไฟ...เพราะพอจบประโยคนี้ก็เริมมีเสียงเชียร์ให้ทั้งสองคบกันดังจากผู้คนโดยรอบ
“...” ...ใจคอจะให้กูตอบตอนนี้จริงๆ ดิไอ้เพื่อนบ้า!!!
...โอเค เขายอมรับว่าเขาสนิทกับลุงแก ชอบไปป่วนไปเล่นกับลุงแกมากกว่าคนอื่นๆ ไม่ชอบให้ลุงไปเล่นกับคนอื่นนอกจากเขานัก...แต่เขาก็ไม่ได้คิดไปถึงขั้นนี้นะเฟ้ย!!! แล้วจะตอบไงดีฟะ!?...
“ฟุริฮาตะคุง...” มาซาโอมิที่เริ่มหน้าเจื่อนเพราะเคียวเงียบไป พลันหวั่นใจนิดๆ ว่างานนี้อาจจะแห้วก็ได้
“ต...ตกลง! แล้วห้ามเปลี่ยนใจทีหลังล่ะลุง!!!” เคียวที่สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหวตัดสินใจตอบไปก่อนที่จะรีบสลัดคนที่เกาะตนบางด้วงออกด้วยความเร็วแสงแล้วรีบใส่เกียร์หมาวิ่งออกไปอย่างงานแต่งราวติดเทอร์โบ
“...” มาซาโอมินิ่งอึ้งไปสักพักกับคำตอบที่เหนื่อยความคาดหมายก่อนที่จะวิ่งไปขึ้นรถที่เลขาตนสตาร์รถรอไว้ราวรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นเช่นนี้ขับตามไป... “เฮ้ย! เดี๋ยว! รอด้วย! ฟุริฮาตะคุง!”
...แถมมีเสียงนี้ลอยแว่วมาทั้งที่ตัวไปแล้วอีกต่างหาก
“...เอาไงต่อ?” เซย์จูโร่มองทั้งพ่อทั้งพี่เขยตนที่เล่นไล่จับกันแบบแปลกๆ เสียแล้วด้วยอาการจุด จุด จุด
“ปลอยให้ไล่กันนั้นแหละ นายอุ้มเจ้าสาวเข้าห้องหอต่อเลยแล้วกัน” คิโยมิที่รู้นิสัยของลูกศิษย์ตนดีเอ่ย
“ไม่เป็นไรแน่นะครับ?” เซย์จูโร่แม้จะมีคนยืนยันแล้วก็ยังคงอดห่วงพ่อตนไม่ได้อยู่ดี
“ไม่เป็นไรหรอก” สามคนที่ถูกเคียวสลัดหลุด (ซึ่งที่จริงก็ตั้งใจปล่อยไปนั้นแหละ) และคู่สามีภรรยามิยาจิตอบกลับมาเป็นเสียงเดียวกัน
“พี่แค่เขินน่ะ...เขินจนอยากเอาหน้ามุดดินซะด้วย” โคกิเอ่ยสนับสนุนคำพูดเมื่อครู่
“หายห่วง หมอนั้นแค่เขิน เดี๋ยวหายเขินเมื่อไหร่ก็กลับไปคุยกับลุงแกเองแหละ” คานาเดะยักไหล่น้อยๆ เป็นเชิงว่าอย่าใส่ใจเรื่องนี้เลย
“งั้นเหรอครับ” ท้ายที่สุดเซย์จูโร่ก็ยอมรับเรื่องนี้แต่โดยงานแล้วเริ่มพิธีพาเจ้าสาวตนเข้าห้องกอตามพิธีที่ถูกกำหนดไว้ โดยปล่อยให้ผู้เป็นพ่อและพี่เขยไปตามเวรตามกรรมไป (?)
END
ความคิดเห็น