คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #197 : [HanaFuri] Inu
Title : Inu
Fandom : Kuroko no Basket
Paring : Hanamiya x Furihata
Notes : S // สวัสดีจ้า! มาถึงอันดับสุดท้ายในสามคนที่ได้อันดับห้าในการโหวตมาแล้วจ้า!!! ขอให้สนุกกันเด้อ! และถ้าสงสัยว่าฮานามิยะหายไปไหน ตอบง่ายๆ คือเราถีบลงฟิคไปแล้วจ้า!!! WWW
.....................................................................................
Inu
ตึงๆๆๆๆ!
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในโรงยิมแห่งหนึ่งจากเหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลายที่วิ่งไปมาอย่างขยันขันแข็ง ทุกคนต่างมีหยาดเหงื่อจากการฝึกซ้อมเป็นเวลานานจนและยังไม่มีท่าทีจะหยุดกระทั่ง...
ปรี้ดดดดดด!!!
...มีเด็กสาวคนหนึ่งเป่านกหวีดเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาหยุดพัก ทำให้ทุกคนภายในที่นี้หยุดการกระทำทุกอย่างแล้วเดินไปล้อมวงเด็กสาวที่ขณะนี้กำลังยื่นแผ่นชาร์ตให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเดินมาหาหลังจากซ้อมเสร็จเมื่อครู่
“จดรายละเอียดครบนะ?” เด็กหนุ่มคิ้วลูกอ๊อช (เอาดีๆ เซ่! ยัยคนไม่สูง! อ้วนลงพุง! // ฮานามิยะ , สูงอยู่ย่ะ! // s , ไม่เถียงเรื่องน้ำหนักหน่อยเหรอ!? // ฮานามิยะ , ไม่อ่ะ จะเถียงทำไม? // s , ยัยเพี้ยนเอ้ย!!! // ฮานามิยะ) ผู้เป็นกัปตันทีมควบตำแหน่งโค้ชของทีมบาสคิริซากิไดอิจิเอ่ยถามพร้อมรับของในมือเด็กสาวมา
“แน่สิ ฮานามิยะคุง” เด็กสาวตอบยืนยัน ขณะที่คนที่ถูกเรียกว่าฮานามิยะพลิกกระดาษในแผ่นชาร์ตดูรายละเอียด
“โอเค ขอบใจมาก” เมื่อฮานามิยะตรวจดูข้อมูลที่เด็กสาวจดไว้หมดแล้วก็เอ่ยเช่นนี้ก่อนที่จะหันไปหาเหล่าเด็กหนุ่มที่ยืนรออยู่ “วันนี้จบการฝึกเพียงเท่านี้...ทุกคนกลับบ้านได้!”
“เย้!” เด็กหนุ่มทั้งหลายโห่ร้องอย่างดีใจพลางวิ่งไปเปลี่ยนชุดเพื่อกลับบ้านอย่างรวดเร็ว เว้นเพียงเด็กหนุ่มอีกราวๆ สามสี่คนที่ยังยืนอยู่ตรงจุดเดิม
“หื้อ? พวกนายยังไม่กลับเหรอ?” ฮานามิยะ มาโคโตะถามแต่ล่ะหน่อที่ยังยืนตรงหน้าตน
“ไม่อ่ะ ฉันอยากซ้อมต่ออีกหน่อย..ได้ไหมล่ะ?” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลส้มเอ่ยตอบ
“ฉันแค่รอกลับพร้อมซากิเฉยๆ” คนหัวสีเน่า (เฮ้ย! ไม่เน่าสักหน่อย! // ฮาระ) คนผมสีม่วงเทาตอบขณะทึ่เป่าหมากฝรั่งไปด้วย
“กะซ้อมต่ออีกหน่อยเหมือนยามาซากิน่ะ” เด็กหนุ่มผมดำที่หน้าตายสนิกบู๋ใบ้ไปทางคนผมน้ำตาลส้ม
“คร่อก...” ส่วนเด็กหนุ่มผมดำอีกคนที่หน้าแก่... (ไหงคราวนี้แซะฉันด้วยเล่า!? // เซโตะ , ก็อยากแซะไง // s) ก็หลับลูกเดียวทังๆ ที่ยังยืนอยู่
“โทษทีวะ แต่ฉันว่าอาจารย์คงไม่ยอมให้พวกนายซ้อมต่อหรอก ไปหาที่ซ้อมต่อข้างนอกเถอะ ส่วนเคนทาโร่...ก็ตื่นได้แล้วโว้ย!” ฮานามิยะตอบลูกทีมแต่ล่ะคนของตนกลับพร้อมยกเท้าถีบคนที่ยืนหลับหน้าตาเฉยจนหงายเงยหัวกระแทกพื้นอย่างแรง
“ง่ำๆ กลับบ้านได้แล้วเหรอ?” คนถูกถีบงวยเงี่ยตื่นขึ้นมาแบบ...ไม่รู้สึกรู้สากับการโดนถีบล้มหัวฟาดพื้นแม้แต่น้อย
“เออ” ฮานามิยะกรอกตาไปมา “เอ้าๆ รีบๆ กลับกันเถอะ เดี๋ยวโดนโวยกันหรอก”
“ก็ได้~~~” เด็กหนุ่มทั้งสี่ขานรับ โดยมีสองคนทำท่าเสียดายน้อยๆ กับอีกสองคนดูเฉยๆ แล้วพาไปเปลี่ยนชุดเช่นเดียวกับฮานามิยะที่เดินตามไปติดๆ
“นี่ๆ ฮานามิยะ...สนใจไปฝึกต่อด้วยกันไหมล่ะ?” ภายในห้องเปลี่ยนชุดที่เหลือกันเพียงห้าคนเนื่องจากคนอื่นๆ ไปกันหมดแล้ว อยู่ๆ ยามาซากิ ฮิโรชิผู้เป็นเด็กดีของกลุ่ม (?) ก็เอ่ยชวนคนคิ้วหนา (เป็นอะไรกับคิ้วฉันนักเนี่ย!? // ฮานามิยะ , เปล๊า! แค่แกล้งสนุกดีน่ะ! // s)
“ไม่ล่ะ เดี๋ยววันนี้ฉันต้องกลับไปทำรายงานของคณะกรรมการนักเรียนต่อน่ะ” ฮานามิยะทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะปฏิเสธคำชวนนั้น
“งานนายนี่เยอะจังเนอะ” ยามาซากิพยักหน้ารับเป็นเชิงว่าเข้าใจความจำเป็นของอีกฝ่าย
“นั้นสิ...แต่ทั้งที่ทำงานเยอะขนาดนี้ทำไมยังสอบได้เต็มเนี่ย?” ฮาระเบ้หน้าน้อยๆ ราวกับกำลังหมั่นไส้กัปตันทีมตัวเองที่สมองดีเหลือหลาย
“เพราะฉันไม่ได้มัวแต่เล่นแบบนายไง” ฮานามิยะแล่บลิ้นใส่
“แต่เล่นทำงานเยอะแบบนี้ระวังหน้าแก่เร็วล่ะ” ฟุรุฮาชิเอ่ย
“โคจิโร่...ถามก่อนนี้มุขหรือกำลังจริงจังอยู่?” ฮานามิยะถามกลับ
“มุข” ฟุรุฮาชิตอบ
“ดูไม่ออกเฟ้ย!” ฮานามิยะแยกเขี้ยวใส่
“เอ้าๆ อย่าเถียงกันสิ นายต้องรีบกลับไม่ใช่เหรอฮานามิยะ? ไม่กลับตอนนี้มีหวังกว่างานจะเสร็จเลยเที่ยงคืนไปแล้วแหง” เซโตะเอ่ยขัดก่อนที่กัปตันทีมตนจะหาอะไรสักอย่างตีหัวคนหน้าตาย
“อื้ม จริงแฮะ...งั้นไปล่ะ” ว่าแล้วฮานามิยะก็รีบคว้ากระเป๋าเดินออกจากห้องก่อนที่จะมีใครทันห้ามปรามหรืออะไรทั้งสิ้น
เด็กหนุ่มเจ้าของตำแหน่งกัปตันทีมบาสควบโค้ชก้าวเท้ายาวๆ ออกจากรั้วโรงเรียนแล้วลัดไปยังซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งเป็นทางลัดไปหอพักของตนเองเชดเช่นทุกวัน แต่ในวันนี้มีสิ่งที่ที่ต่างออกไป...
หงิก...หงิก...
“หื้อ?” ...นั้นคือเสียงร้องของอะไรสักอย่างที่ดังขึ้นมาภายในซอยอันเงียบกริบ ดวงตาสีน้ำตาลอมเทาหันไปมองยังต้นเสียง “อะไร? ลูกหมา? พันธุ์ชิวาว่าซะด้วย...”
...แปลกแฮะ...หมาพันธุ์นี้ที่ยังขนสวยน่ารักดูท่าขายได้ราคาแบบนี้ไม่น่ามีใครเอามาทิ้งนี่หว่า?...
ฮานามิยะมองลูกหมาขนฟูสีน้ำตาลในกล่องกระดาษเก่าๆ ใบหนึ่งอย่างพิจารณา เจ้าตัวค่อยๆ ย่องตัวลงนั่งตรงหน้ากล่อง
“หงิก?” เจ้าลูกหมาตัวน้อยเงยหน้ามองเด็กหนุ่มก่อนที่จะเอียงคอน้อยๆ
“เฮ้ๆ ถ้ากำลังอ้อนให้ฉันพากลับไปคงไม่ได้หรอกนะ หอพักฉันห้ามเลี้ยงสัตว์น่ะ” ฮานามิยะเอ่ยขึ้นมาเล่นๆ เมื่อลูกหมาตัวน้อยส่งสายตาน่าสงสารมา ทว่าเมื่อฮานามิยะพูดแบบนี้เจ้าหมาน้อยก็พยักหน้ารับพร้อมหูลู่ลงเล็กน้อย “เอ๊ะ? อย่าบอกนะว่า...เข้าใจที่ฉันพูด?”
เจ้าลูกหมาน้อยพอได้ยินคำถามก็พยักหน้าตอบอีกครั้ง
“...” ฮานามิยะนิ่งอึ้งเล็กน้อย เนื่องจากไม่คิดว่าสัตว์จะฟังที่ตนพูดออกและระหว่างที่งุนงงอยู่นั้น..ก็มีแรงบางอย่างกระชากกระเป๋านักเรียนที่ตนกำลังถืออยู่ แต่โชคดีด้วยความเป็นตัวโกง (?) ฮานามิยะจึงคว้ากระเป๋าที่ถูกกระชากไปได้แล้วพยายามยื้อแย่งกลับมาอย่างเต็มกำลัง“เฮ้ย! กระเป๋าฉัน! เอาคืนมานะเว้ย!!!”
“เอามานี่! เจ้าเด็กบ้า!” ชายแปลกหน้าที่เป็นคนที่พยายามเอากระเป๋าเมื่อครู่ตวาดลั่น
“ไม่โว้ย!!!” ฮานามิยะพยายามแงะมืออีกฝ่ายออกจากกระเป๋าตน
“โฮ่ง!” ระหว่างที่ทั้งสองยื้อแย่งกระเป๋ากันอยู่นั้น เจ้าหมาน้อยที่ดูลั่นกลัวกับสถานการณ์นี้ก็เห่าออกมาก่อนที่จะ...
“เฮ้ย?!” ...กระโจนใส่ชายแปลกหน้าด้วยความสูงที่เกินที่หมาพันธุ์นี้จะทำได้พร้อมฝังเขี้ยวลงไปบนแขนคนร้ายกระชากกระเป๋า ทำให้ฮานามิยะที่ไม่คิดว่าเจ้าหมาน้อยจะทำเช่นนี้หลุดร้องออกมา
“โอ๊ย!” ชายคนเดิมหลุดร้องออกมาเมื่อโดนกัดแต่มือก็ยังไม่ยอมปล่อยจากกระเป๋าของเด็กหนุ่มอยู่ “ปล่อยนะเว้ย! ไอ้หมาบ้า!”
“งื้อ!” เจ้าหมาน้อยคำรามเสียงต่ำ นันเป็นดั่งสัญญาณให้...
“แอ๊ก!” ...ฮานามิยะใช้จังหวะที่อีกฝ่ายกัดกับหมาถีบคนที่หมายกระชากกระเป๋าตนจนกระเด็นไปกระแทกกำแพง แถมถีบแรงมาเสียจนอีกฝ่ายสลบเลยด้วย ส่วนทางลูกหมาน้อยนั้นปล่อยปากจากชายหนุ่มทันทำให้ไม่ได้รับบาดเจ็บหรืออะไรไปด้วย
“...เออ...ขอบใจนะ” ฮานามิยะก้มลงลูบหัวเจ้าตัวน้อยที่ช่วยตนไว้เมื่อครู่
“โฮ่ง...” เจ้าลูกหมาเห่าเล็กน้อยคล้ายขานรับ ก่อนที่จะค่อยๆ เดินกลับไปนอนในกล่องของตนตามเดิม
“...” ดวงตาสีน้ำตาลอมเทามองเจ้าลูกหมาที่ฉลาดเกินหมาซึ่งนอนอยู่ในกล่องนิ่งๆ โดยในเวลานั้นเจ้าตัวได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
...สุดท้าย...ก็เอากลับมาจนได้...
เด็กหนุ่มผมดำคิ้วลูกอ๊อชถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางเอาเจ้าลูกหมาที่ตนแอบเอากลับมาห้องด้วยออกมาจากกระเป๋า...แม้รู้ว่าผิดกฏของห้องพักและเสี่ยงต่อการโดนจับได้จนโดนเจ้าของหอโวย แต่ไม่รู้ทำไมฮานามิยะถึงรู้สึกว่าไม่สามารถทิ้งเจ้านี้ไว้ตัวเดียวได้เลย จะว่าเพราะมันช่วยตนไว้ก็ไม่น่าใช่เพราะเจ้าตัวไม่ใช่พวกสำนึกบุญคุณอะไรพวกนี้นัก ถ้าเพราะน่ารักก็ไม่น่าใช่และไม่ใช่เด็ดขาดเนื่องจากต่อให้น่ารักขนาดไหนฮานามิยะก็ไม่ค่อยสนอยู่แล้ว...
...แล้วทำไม...สำหรับเจ้าตัวนี้มันไม่เหมือนตัวอื่นหว่า?...
...นี่เป็นคำถามที่ไม่มีใครสามารถตอบได้...แม้แต่ตัวฮานามิยะเองก็ตาม
“เฮ้อ...ช่างเถอะ...” ฮานามิยะถอนหายใจออกมาเบาๆ “...นี่เจ้าหนู...ห้ามส่งเสียงเด็ดขาดนะ ไม่งั้นได้โดนถีบออกจากที่นี่ทั้งคู่แน่”
ลูกหมามองฮานามิยะตาแป๋วก่อนพยักหน้ารับ
“โอเค ดีมาก” ฮานามิยะยิ้มอย่างพอใจพลางอุ้มตัวเจ้าน้อยขึ้นมา “ก่อนอื่นเริ่มอาบน้ำแกก่อนเลยดีกว่า ปล่อยตัวเองเน่ามากี่วันแล้วเนี่ย?”
เท้าปุกปุยเล็กๆ เขี่ยที่แขนเด็กหนุ่มสามที
“หื้อ? อะไร?” ฮานามิยะามอย่างงงๆ กับพฤติกรรมนี่และพยายามตีความว่าสิ่งที่ตนอุ้มอยู่พยายามสื่ออะไรออกมา “นี่แกจะบอกว่า...สามวันเหรอ?”
เจ้าหมาน้อยส่ายหน้าแทนคำติบว่าไม่ใช่
“งั้นสามชั่วโมง?” ฮานามิยะลองตอบใหม่ แต่คำตอบคือไม่ใช่เหมือนเดิม “หรือว่า...สามสัปดาห์?”
คราวนี้เจ้าหมาน้อยพยักหน้ารับ
“...” ฮานามิยะมองเจ้าหมาที่ฉลาดเกินหมาอย่างแปลกใจนิดๆ เพราะดูจากตัวแล้วไม่น่าจอายุเกินเดือนด้วยซ้ำ หรือเพราะว่าอดอาหารเลยตัวเล็กกว่าหมาพันธุ์เดียวกันตัวอื่นๆ เนี่ย? “นี่...แกถูกละเลยจนโดนเอามาปล่อยวันนี้เหรอ?”
การพยักหน้ารับคือสิ่งที่ถูกส่งกลับมา
“โอเค เข้าใจล่ะ” ฮานามิยะที่พอเดาที่ไปที่มาของหมาน้อยที่ตนเองเก็บได้เล็กน้อยเอ่ย “ไม่ต้องห่วง...เดี๋ยวฉันจะหาคนมาเลี้ยงแกเอง”
ดวงตาสีน้ำตาลใสของลูกหมาตัวน้อยมองเด็กหนุ่มตาแป๋ว
“เฮ้ๆ อย่ามองงี้สิ...ก็ที่นี่เลี้ยงสัตว์ไม่ได้นี่หว่า เว้นแต่แกกลายเป็นคนได้อ่ะนะ” ฮานามิยะพูดติดตลกเล็กน้อยพลางก้าวเท้ายาวๆ ไปยังห้องน้ำ “เอาไป...ไปอาบน้ำกัน”
เด็กหนุ่มรีบจัดการอาบน้ำเจ้าหมาน้อยอย่างรวดเร็วด้วยความที่ว่าตนยังมีงานค้างต้องทำอยู่เลยเสียเวลามากไม่ได้และโชคดีที่เจ้าลูกหมายอมอยู่นิ่งๆ ให้อาบน้ำอาบท่าให้แต่โดยดี ทำให้ฮานามิยะสามารถอาบน้ำเจ้าหมาน้อยและตัวเองได้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว จะเสียเวลาหน่อยก็ตรงที่เจ้าตัวต้องมาเซ็ดขนให้เจ้าลูกหมาก่อนจะเป็นปอดบวมตายเสียก่อนและเมื่อเช็ดจนแห้งแล้วเจ้าหมาน้อยข้างถนนก่อนหน้านี่ก็เพิ่มความน่ารักขึ้นอีกระดับทันตาเลย
หลังอาบน้ำเจ้าหมาเสร็จสิ่งต่อไปที่ฮานามิยะทำคือหาข้าวเย็นกินพลางนึกว่าอะไรที่หมาสามารถกินได้โดยไม่เป็นอันตรายพร้อมดูข้าวของในตู้เย็น...สุดท้ายด้วยวัตถุที่มีน้อยทั้งคนทั้งหมาเลยได้กินเนื้อต้มกับผักต้มไป ซึ่งตอนแรกฮานามิยะไม่คิดว่าหมาน้อยที่ตนเก็บได้จะไม่กินผักเพราะสัตว์ประเภทนี้ส่วนใหญ่กินแต่เนื้อ ทว่าเจ้าขนปุยสีน้ำตาลกลับโซดเรียบซะงั้น
จากนั้นพอกินข้าวล้างจานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ฮานามิยะก็เริ่มทำงานของตนต่อทันทีเพื่อจะได้ไม่ต้องนอนดึกมากนัก ทางเจ้าชิวาว่าก็ทำเพียงนอนมองฮานามิยะนิ่งๆ ไม่ได้ซนวิ่งทั่วบ้านแบบหมาในวัยเดียวกันส่วนใหญ่...และนั้นถือเป็นเรื่องดีสำหรับฮานามิยะที่แอบเอาสัตว์เข้ามาในหอพัก เพราะแบบนี้จะทำความแตกได้ยากขึ้นด้วย
ฮานามิยะทำงานของกรรมการนักเรียนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านไปสามชั่วโมง...งานที่ทำก็เสร็จเสียจนได้ เด็กหนุ่มบิดตัวเล็กน้อยด้วยความเมื่อยก่อนที่จะเดินไปปิดไฟเพื่อเข้านอนทันที แต่ทันทีที่ล้มตัวลงนอนก็มีเสียงหายใจแบบที่ว่าถ้าวันนี้เจ้าตัวไม่ได้เก็บสิ่งมีชีวิตติดมือกลับมาบ้านด้วยคงคิดว่าผีหลอกแน่ๆ ดังขึ้น
“หื้อ? อยากนอนด้วยเหรอ?” ฮานามิยะมองเจ้าหมาน้อยที่เกาะข้างเตียงตน “ก็ได้...แค่วันเดียวนะ ฉันยังไม่อยากเลือดจางตายเพราะหมัดกัดหรอก”
หมาน้อยพยักหน้ารับก่อนที่จะโดดขึ้นเตียงแล้วทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ฮานามิยะ และจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็ต่างจมลงสู่ห้วงนิทรา
จิ๊บๆ...
“อื้อ...” เด็กหนุ่มครางออกเบาๆ พลางลุกขึ้นมานั่งเพื่อดึงสติเข้าร่างตามปกติและสติที่ว่าก็กลับคือเข้าร่างเต็มร้อยในเวลาเมื่อมือของเด็กหนุ่มไปแตะโดนเส้นขนนิ่มๆ ...ในตอนแรกฮานามิยะคิดว่าเป็นขนของหมาน้อยที่ตนเก็บมาเมื่อวาน ทว่าเมื่อหันไปมองกลับพบว่า... “...เฮ้ย! ใครเนี่ย!?”
...มีร่างของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลรุ่นราวคราวเดียวกับตนนอนหลับในสภาพเปลือยเปล่านั้นเอง!!!
...ใครมันนอนข้างๆ เขาได้วะ!?...
“!!!” คนผมน้ำตาลที่ตกใจเสียงแปดหลอดของฮานามิยะลุกพรวดขึ้นมา ดวงตาสีน้ำตาลที่คุ้นสำหรับฮานามิยะแปลกๆ มองมาก่อนที่จะส่งยิ้มให้
“ไม่ต้องมายิ้มเลย! นายเป็นใครเนี่ย!?” ฮานามิยะถามพลางมองปฏิกิริยาที่ได้รับเมื่อครู่อย่างแปลกใจ...ที่อีกฝ่ายดูเหมือนรู้จักเขาเนี่ย ทั้งๆ ที่จำได้ว่าเขาไม่รู้จักคนหน้าตาแบบนี้แน่นอน!
“...” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลชี้ที่ตัวเองสลับกับฮานามิยะ
“หื้อ? ทำไมไม่พูดล่ะ?” ฮานามิยะขมวดคิ้ว...คงไม่ได้เป็นใบ้หรอกนะ? ไม่งั้นสอบถามอะไรลำบากแน่
“...” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลชี้ที่ฮานามิยะก่อนที่จะเอานิ้มกลับมาแตะที่กลางริมฝีปากตนเอง
“นายกำลังบอกว่าฉัน...ไม่ให้นายพูด?” ฮานามิยะที่พอแกะๆ ความหมายที่อีกฝ่ายพยายามสื่อออกมาได้เล็กน้อยถาม
“...” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
“...” คำตอบที่ได้รับทำให้ฮานามิยะรู้สึกไมเกรนขึ้นชั่วขณะ เพราะแบบนี้มันหมายความว่า... “...นายคือ...เจ้าลูกหมานั้น?”
“...” คนผมน้ำตาลพยักหน้าอีกรอบ
“เออ...” ฮานามิยะที่กำลังปวดหัวกับเรื่องแฟนตาซีเกินรับที่เกิดขึ้นกับตนคุมขมับเล็กน้อย...อยู่ๆ หมากลายเป็นคนได้ไงฟะ!? “...ถ้าอยู่ในร่างนี้ฉันว่านายจะพูดก็พูดเถอะ”
“...ได้เหรอครับ?” เสียงทุ้มฟังดูอ่อนโยนดังตอบกลับมา
“ได้สิ ก็ร่างนี้นายไม่ได้เห่านี่หว่า...” ฮานามิยะที่เผลอเคลิ้มไปเสียงอีกฝ่ายชั่วครู่เอ่ย “...เอาๆ มาจับคุยกันหน่อยแล้วกัน...ตกลงนายคือลูกหมาตัวเมื่อวานจริงๆ ดิ?”
“ครับ” เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
“มีชื่อไหม?” ฮานามิยะที่คิดว่าในร่างนี้คงเรียกว่าเจ้าลูกหมาหรือเจ้าหนูอะไรพวกนี้ไม่ได้แน่ เลยถามชื่ออีกฝ่ายจะได้เรียกง่ายๆ
“มีครับ...ผมชื่อฟุริฮาตะ โคกิครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยแนะนำตัว
“โอเคฟุริ...ตกลงนายเป็นตัวอะไรกันแน่?” ฮานามิยะที่ย่อชื่ออีกฝ่ายโดยไม่คิดถามเจ้าของชื่อสักนิดถามในเรื่องที่ตนสงสัยสุดแสน
“เป็นจิ้งจอกครับ”
“จิ้งจอก?” ฮานามิยะขมวดคิ้วเป็นปม...ไอ้ร่างลูกหมาก่อนหน้านี่ดูยังไงก็ชิวาว่าชัดๆ! จิ้งจองที่ไหนเหมือนชิวาว่าขนาดนี้วะ!? ผ่าเหล่าหรือไง!?
“ครับ จิ้งจอกแบบคกคุริซังน่ะครับ” ฟุริฮาตะที่เห็นว่าคนผมดำขมวดคิ้วคิดว่าคงไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ตนพูดเลยอธิบายเพิ่มเติม
“อ๋อ” ฮานามิยะพยักหน้ารับส่งๆ ไปพลางปัดข้อสงสัยที่อีกฝ่ายไม่เหมือนจิ้งจอกตามที่เจ้าตัวอ้างทิ้งไป “แล้วไหง...นายถึงถูกทิ้งข้างถนนได้เนี่ย?”
“มีคนเอาตัวผมมาจากภูเขามาที่นี่น่ะครับ จากนั้นเขาก็ให้ผมกับผู้หญิงคนหนึ่ง...แล้วอยู่ๆ สองคนนั้นทะเลาะอะไรกันไม่รู้จนสุดท้ายผมก็โดนผู้หญิงคนนั้นเอามาปล่อยนี่แหละครับ” ฟุริฮาตะเล่าตามที่ตัวเองจำได้
“ยังกับละครน้ำเน่าเลยแฮะ” แค่คำพูดแค่นี้ก็ทำให้ฮานามิยะสามารถสรุปได้ง่ายๆ แล้วว่าคนที่เก็บฟุริฮาตะมาคงเอาฟุริฮาตะไปให้เป็นของขวัญแฟน แต่ทีนี้พอทะเลาะกันก็ดันเอาเรื่องมาลงกับหมาเนี่ย “แล้วตอนถูกปล่อยถามหน่อย...ทำไมนายไมกลับไปที่ภูเขาล่ะ?”
...ถ้าไม่มีที่ไปการที่กลับที่อยู่เดินน่าจะดีกว่านั่งหง่อยในกล่องนิ?...
“อ๋อ จำทางกลับไม่ได้ครับ ผมถูกยัดใส่กระเป๋ามาเลยไม่รู้ทางเลย” ฟุริฮาตะบอกความจริงออกมาหน้าตาเฉย
“...” พอเจอแบบนี้ฮานามิยะถึงกัยคุมขมับรอบสอง “...สรุป...เพราะนายไม่รู้จะไปไหนเลยนั่งรอมีคนเก็บไปเลี้ยงสินะ?”
“เปล่าครับ ผมกะจะหาที่อยู่แถวๆ นั้นเลยต่างหากครับ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าวืด
“ถ้าทำจริงนายโดนเทศบาลจับแน่” ฮานามิยะถอนหายใจกับคนซื่อบื้อตรงหน้าพร้อมคิดว่างานนี้คงปล่อยคนที่ปานเด็กอนุบาลแบบนี้ไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้แน่ๆ
...ดูท่าต้องดูแลไอ้ซื้อบื้อนี่จริงๆ แฮะ...แต่ยังดีที่ดูไม่น่าโมโหเท่าไอ้บ้าคิโยชิล่ะวะ...
“นี่คุณ...” ระหว่างที่ฮานามิยะกำลังคิดกึ้งปลงอยู่นั้นเด็กหนุ่มก็เรียกให้กัปตันแห่งทีมทีมบาสคิริซากิให้รู้สึกตัว คนถูกเรียกขมวดคิ้วน้อยๆ กับคำเรียกตนของอีกฝ่าย
“ฮานามิยะ มาโคโตะ...” ฮานามิยะเอ่ย
“ครับ?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ อย่างสงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย
“ฉันชื่อฮานามิยะ มาโคโตะ เลิกเรียกฉันว่าคุณๆ ได้แล้ว...มันแปลกๆ” ฮานามินะเบ้หน้าน้อยๆ ...ไอ้คำว่าคุณๆ นี่ทำให้เขารู้สึกเหมือนพวกคู่สามีภรรยาอะไรพวกนี่ชะมัด! ฟังแล้วไม่เข้าหูสักนิด!
“ครับ ฮานามิยะซัง...” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “...เออ...ฮานามิยะซัง...นี่มันใกล้เวลาซ้อมเช้าของคุณแล้วไม่ใช่เหรอครับ?”
“หื้อ?” พอถูกถามอย่างนี้ฮานามิยะก็รีบหันขวับไปมองยังนาฬิกาที่อยู่หัวเตียง ดวงตาสีน้ำตาลอมเทาเบิกกว้างก่อนที่จะกระโจนลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว “ชิบหาย! ถ้าไปช้ามีหวังไอ้พวกนั้นก่อเรื่องอีกแน่!!!”
...ไอ้แต่ล่ะตัวตอนมีซ้อมแล้วเขาไม่อยู่ทีไรก็ขยันก่อเรื่องเหลือเกิน!!!...
“...” ฟุริฮาตะมองคนที่วิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้วค่อยๆ ลงจากเตียงไปเตรียมเสื้อผ้าให้คนผมดำ และห้านาทีต่อมาฮานามินะก็วิ่งออกจากห้องน้ำมาในสภาพเปียกโชก “นี่เสื้อผ้าครับ”
“ขอบใจ!” ฮานามิยะรีบคว้าชุดมาสวมใส่มันทันทีแบบไม่อายใคร...ก็จะอายทำไมล่ะ ในเมื่อไอ้ที่มองเขาอยู่ตอนนี้จริงๆ มันแค่ลูกหมาตัวหนึ่งเนี่ย! “นายเองก็รีบแต่งตัวเร็วๆ!”
“เอ๊ะ?” ฟุริฮาตะชี้ที่ตัวเองอย่างงงๆ
“ไม่ต้องเอ๊ะเลย! นายต้องไปด้วยกันกับฉันนั้นแหละ!” ฮานามิยะแว๊ดลั่น...ถึงแม้การพาคนนอกเข้าไปในโรงยิมอาจนำมาซึ่งคำถามมากมายที่เขาต้องตอบ แต่ยังไงเขาก็คิดว่าดีกว่าปล่อยหมอนี่ไว้ในห้องคนเดียวล่ะ!
“อา...ครับ...” ฟุริฮาตะแม้จะยังเอ๋อๆ แต่ก็ตอบรับพร้อมดีดนิ้วเบาๆ และ...
พรึบ...
...เพียงชั่วอึดใจก็บัดเกิดควันรอบๆ ตัวคนผมน้ำตาลทำให้ฮานามิยะสะดุ้งเล็กน้อย เมื่ควันจางลงก็เผยให้เห็นเด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่ได้แต่งกายด้วยชุดเสื้อดำกางเกงดำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“...นายทำได้ไงเนี่ย!?” ฮานามิยะมองคนที่แต่งตัวเสร็จภายในเวลาไม่กี่วิด้วยความสนใจ
“เป็นเวทพื้นฐานของจิ้งจอกน่ะครับ” ฟุริฮาตะตอบ
“สะดวกดีแฮะ...แต่ก็ดี รีบไปได้แล้ว!!!” ฮานามิยะที่ไม่มีเวลาสอบถามเรื่องที่ดูน่าสนใจอะไรแบบนี้มากนักรีบลากฟุริฮาตะออกจากห้องไปอย่างเร็วและไม่คิดจะรอให้ฟุริฮาตะทันตั้งตัวหรืออะไรแม้แต่น้อย
“...ฮานามิยะ...ข้างๆ นั้นใครอ่ะ?” เสียงถามเบาๆ ดังขึ้นมาจากเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลส้มเมื่อเห็นผู้เป็นกัปตันทีมตนเดินเข้ามาในโรงยิมพร้อมเด็กหนุ่มผมน้ำตาลในชุดสีดำคนหนึ่งที่ไม่ว่าตีลังดามองยังไงก็ไม่ใช่คนในโรงเรียนแน่ ดวงตาสีเขียวเข้มจับจ้องยังคนผมน้ำตาลไม่วางตา ทางคนโดนมองเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวเลยส่งยิ้มกลับมาให้...ซึ่งรอยยิ้มที่ถูกส่งกลับมาช่างให้ความรู้สึกต่างกับผู้เป็นโค้ชควบตำแหน่งกัปตันทีมลิบลับ ทำเอาอดสงสัยขึ้นมาเสียมิได้ว่ามาด้วยกันได้ไง
“ญาติที่มาขออยู่ด้วย...” ฮานามิยะตอบปัดๆ ไป “...พอดีมีปัญหา ตอนนี้หมอนี่ไม่มีที่เรียนจะปล่อยไว้ที่ห้องก็เปลื้องค่าไฟเลยพามาด้วยเนี่ย”
...ความจริงคือกลัวหมอนี่ทำข้าวของในห้องเขาพังต่างหาก...เขาไม่คิดว่าจิ้งจอกที่อยู่บนเขาจะรู้เทคโนโลยีสมัยนี้นักหรอก...
“อ๋อ” ยามาซากิซึ่งเป็นพวกว่าง่ายที่สุดในหมู่ตัวจริงทีมบาสคิริซากิอยู่แล้วพยักหน้ารับเป็นเชิงว่าเข้าใจ
“แต่ญาตินายเนี่ยไม่เหมือนนายเลยนะ~~~” เสียงลากยาวๆ ดังขึ้นพร้อมกับเด็กหนุ่มผมสีม่วงเทาลอยมา (?) เกาะไหล่ฮานามิยะ
“ก็ญาตินี่ฟะ ไม่ใช่พี่น้อง จะเหมือนกันได้ไง?” ฮานามิยะทำการศอกใส่คนที่เกาะตนทันที ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายหลบได้อย่างทันทวนที
“บู้! ช้านะเนี่ย~~~” ฮาระแล่บลิ้นใส่พร้อมวิ่งไปหลบหลังยามาซากิก่อนที่คนผมดำจะปาอะไรใส่หัวตน
“ฮานามิยะช้าแบบนี้แหละดีแล้ว นายอยากเจ็บตัวหรือไง?” ยามาซากิกรอกตาไปมา
“แหม~~~ อย่าทำหน้าปลงสิซากิ~~~” ฮาระเอานิ้วจิ้มๆ แก้มคนผมน้ำตาลส้มคล้ายๆ กำลังหยอดล้ออีกฝ่ายเล่นอยู่
“นั้นสิ...นายควรทำใจได้ตั้งแต่รู้จักไอ้นี่แล้วนะ...” เด็กหนุ่มหน้าปากตายเอ่ยพลางเดินมาหาพรอมจูงมือคนที่เดินละเมอ (?) มาทั้งๆ ที่ยังใส่ผ้าปิดตาอยู่มาด้วย
“ปากหรือนั้น!?” ฮาระหันไปแยก้ขี้ยวใส่คนที่ว่าตน
“ห้าว...อย่าทะเลาะกันสิ...” นายหมีง่วง (ไอ้หมีง่วงหรือมันอะไรฟะ!? เปลี่ยนเลยนะ! // เซโตะ , จ้าๆ แหม...ขี้บ่นจังตัวเธอ // s) เอ่ยพลางดึงผ้าปิดตาของตนขึ้น “...ว่าแต่นายชื่ออะไรอ่ะ?”
“ฟ...ฟุริฮาตะ โคกิครับ” ฟุริฮาตะที่กลายเป็นประเด็นในหัวข้อสนทนาเอ่ยแนะนำตัวอย่างขลาดกลัวนิดๆ
“...” เซโตะมองคนที่เริ่มสั่นนิ่งๆ “นายนี่ดูน่าแกล้งชะมัดเลย...”
“เอ๊ะ?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ เหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาก่อนที่จะหลุดร้องลั่นเมื่อบาทางามๆ ของฮานามิยะถีบเข้ากลางตัวของเซโตะเสียจนไปนอนตาย (?) กับพื้นโรงยิม “เฮ้ย! เป็นอะไรหรือเปล่าครับ!?”
“ช่างมันเถอะ ปล่อยมันไว้งั้นแหละ” ฮานามิยะเอ่ยเสียงเหี้ยม...
...สัตว์เลี้ยงของฉัน (?) ฉันแกล้งได้คนเดียวเฟ้ย!...
“เจ็บนะฮานามิยะ ทำอะไรของนายเนี่ย?” เซโตะที่มักโดนถีบ (เพื่อปลุก) บ่อยๆ อยู่แล้วลุกขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับลูกถีบเมื่อครู่มากนัก
“คิดว่าไงล่ะ?” ฮานามิยะตอบกลับอย่างกำกวม “อย่ามัวอู้...รีบไปซ้อมกันได้แล้ว! ส่วนฟุรินายไปนั่งรอตรงนั้นเลย!”
“ครับ...” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับพร้อมเดินไปนั่งรอตามที่ฮานามิยะบอกอย่างสมเป็นหมาน้องมากกว่าจิ้งจอกเสียอีก
“นี่ฮานามิยะ...แน่ใจนะว่านั้นแค่ญาติอ่ะ?” พอฟุริฮาตะไปห่างออกไปพอสมควรแล้วฮาระก็หันไปถามกัปตันทีมตัวเอง
“ใช่สิ จะอะไรได้ล่ะ?” ฮานามิยะถามกลับ
“ก็นายถีบเซโตะเมื่อกี้ยังกับคน ‘หึง’ แหน่ะ” ฮาระตอบไปตามจริง
“...ถ้านายตายถั่วก็รีบไปตัดแว่นซะไป!” ฮานามิยะแยกเขี้ยวใส่...เขาจะไปหึงหมอนี่เพื่ออะไรกันเล่า!
“แต่นายทำแบบนั้นจริงนะฮานามิยะ” ฟุรุฮาชิเอ่ยยืนยัน “เหมือนตอนฉันไปจีบยามาซากิแล้วฮาระมาขวางเลย”
“ถ้านายไม่อยากให้ขวางนายก็ไม่จีบคนอื่นที่ไม่ใช่แฟนฉันสิ!” ฮาระโวยกลับ...มีอย่างที่ไหนรู้ๆ อยู่ว่าซากิน่ะแฟนเขาแต่ยังมาจีบเนี่ย!
“ไม่ นายนั้นแหละไกลๆ เลย” ฟุรุฮาชิเถียงกลับด้วยหน้าตายสนิกเช่นเดิม
“เรื่องสิ!” ฮาระแยกเขี้ยวใส่
“พวกนายเลิกเถียงกันเถอะน่า ซากิเอ๋อกินแล้ว” เซโตะที่ทำหน้าที่ปิดหูยามาซากิไม่ให้ได้ยินเรื่องแปลกๆ ระหว่างสองคนนี้เพื่อป้องกันไม่ให้รายนี้นึกคึกบ้าตาม (?) ฮาระกับฟุรุฮาชิเอ่ย
“ก็ได้” เด็กหนุ่มทั้งสองทำหน้ามุ่ย แต่ก็ยอมเลิกเถียงกันแต่โดยดี
“เอ้าๆ เลิกเล่นแล้วไปซ้อมกันได้แล้ว! ถ้าช้าซ้อมเพิ่ม...” ฮานามิยะที่เห็นว่าความวุ่นวายจบลงแล้วเอ่ยไล่ลูกทีมตนไปซ้อมตามหน้าที่ แต่ไม่ทันพูดจบประโยคทั้งสี่คนที่อู้ซ้อมก่อนหน้าก็พากันกลับไปซ้อมอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินคำว่า ‘ซ้อมเพิ่ม’ ราวกับกลัวว่าถ้าช้าจะโดนให้ฝึกซ้อมจนกระอัดเลือดตาย (?)
กัปตันแห่งทีมคิริซากิไดอิจิมองลูกทีมอย่างขำๆ ก่อนที่จะเริ่มก้าวเข้าไปร่วมซ้อมยาสในยามเช้าร่วมกับคนอื่นๆ ด้วยอีกคน
การซ้อมภายในภาคเช้าของทีมบาสคิริซากิไดอิจิยังคงลากเลือด (?) ตามปกติ และกว่าผู้เป็นกัปตันทีมควบตำแหน่งโค้ชจะยอมให้พักก็เมื่อใกล้ถึงเวลาเรียนดังเดิม แต่สิ่งที่ต่างออกไปจากทุกทีมีเพียงเด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่นั่งดูการฝึกซ้อมพร้อมคอยปฐมพยาบาลคนเป็นลมแทนที่จะต้องลากคนเป็นลมไปห้องพยาบาลอย่างทุกที...ทำเอาหลายๆ คนทีเหนื่อยแทบขาดใจพากันลี้ภัยมาที่ฟุริฮาตะ (?) จนฮานามิยะต้องมาทำหน้าที่ไล่พวกที่มาเกาะแกะคนผมน้ำตาลเป็นงานเสริม
“ฟุริ...นายเป็นญาติฮานามิยะจริงสิ?” ฮาระที่ยังคงไม่ถูกไล่ไปเหมือนคนในชมรมคนอื่นๆ ที่มาเกาะฟุริฮาตะเอ่ยถาม
“เออ...” ฟุริฮาตะเหงื่อตกน้อยๆ พร้อมเผยรอยยิ้มแห้งๆ ออกมาคล้ายไม่รู้ว่าควรเออออตามดีหรือไม่เนื่องจากฮานามิยะมิได้เตี๊ยมกับตนเอาไว้ก่อนเลย
“บอกว่าใช่ก็ใช่สิวะ ถามอะไรมากมาย” ฮานามิยะที่ทำหน้าที่ไล่ชาวบ้านเสร็จแล้วเขกหัวฮาระ
“เจ็บนะ~~ ฉันแค่อยากรู้เอง” ฮาระโอดครวญอย่างน่าถีบเป็นที่สุด
“...ฮิโรชิ...ถ้าฉันทำนายเป็นม่ายคงไม่ว่ากันนะ?” ฮานามิยะกระตุกยิ้มเหี้ยมแล้วหันไปถามเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลส้มที่ยืนห่างออกไปเล็กน้อย
“อ...” ยามาซากิหันมาหมายจะตอบคำถามเมื่อครู่ ทว่ากลับโดนมือใครบางคนปิดปากเอาไว้เสียก่อน
“เชิญเชือดฮาระทิ้งไปเลย ยามาซากิไม่ว่าหรอก” ฟุรุฮาชิทำหน้าที่ตอบแทนหน้าตาเฉย
“ไม่ต้องมาฉวยโอกาสเลยโว้ย!!!” ฮาระเลิกเกาะฟุริฮาตะเพื่อกวนฮานามิยะเล่นแล้วพุ่งไปแยกคนหน้าตายออกจากแฟนตนทันที
“ปล่อยไว้งั้นแหละ” ฮานามิยะที่เห็นฟุริฮาตะทำท่าเหมือนจะเข้าไปห้ามคนสองคนที่กำลังจะเริ่มฟัดกันแล้ว
“จะไม่เป็นไรแน่เหรอครับ?” ฟุริฮาตะเหล่มองคนที่เริ่มปล่อยหมัดใส่กัน
“ไม่เป็นไรหรอก เป็นแบบนี้มันทุกวันนั้นแหละ” ฮานามิยะถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อพูดถึงเรื่องนี้...ว่าตามจริงสองคนนี้เล่นกันแบบนี้ตั้งแต่ปีหนี่งแล้ว แต่ไม่ยักเห็นว่าสองคนนี้เล่นกันแบบนี้แล้วบาดเจ็บกลับมาสักครั้งเขาเลยปล่อยๆ ไป
“และรับรองพวกนั้นไม่ฆ่ากันหรอก...ไม่งั้นโดนซากิเมินกันทั้งคู่แน่” เซโตะที่เดินตามมาสมทบคนในกลุ่มตนเอ่ยพร้อมอ้าปากห้าวน้อยๆ
“อย่าแช่งดิ!” ฮาระและฟุรุฮาชิหันไปโวยใส่คนที่มาแช่งพวกตนหน้าตาเฉย
“...นี่พวกนายทำอะไรกันอยู่เนี่ย?” ยามาซากิที่เห็นว่าเพื่อนทั้งสองของตนเริ่มเล่นอะไรแปลกๆ กันอีกแล้วถามขึ้น...ที่จริงเขาก็สงสัยนะว่าทำสองคนนี้ชอบทะเลาะกันตอนที่เขากำลังเอ๋อกินทุกทีเนี่ย?
“เปล่า” เด็กหนุ่มทั้งสองตอบอย่างพร้อมเพรียงและเลิกการวาวมวยใส่กันทันที
“เห็นไหมล่ะ...สองคนนั้นไม่กล้าทะเลาะกันจริงๆ จังๆ กันต่อหน้าฮิโรชิหรอก” ฮานามิยะเมินพวกติ๊งต๊องในทีมตนแล้วหันไปเอ่ยกับคนผมน้ำตาล
“ไม่งั้นโดนเมียหนี” เซโตะเอ่ยเสริม
“...งั้นเหรอครับ?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ
“ตามนั้น...” เซโตะที่ขี้เกียจอธิบายอะไรให้มากความตอบส่งๆ ไป “...ว่าแต่...นายไปทำอีท่าไหนถึงไม่มีที่เรียนน่ะ?”
“เออ...ความซวยทำพิษมั้งครับ” ฟุริฮาตะตอบในสิ่งที่น่าตรงกับตัวเองมากที่สุด เพราะตั้งแต่เกิดจนมาถึงปานนี้เขามักจะซวยอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง
“ไม่มีอะไร แค่ซื้อบื้อจนเรื่องลอยเข้าหาน่ะ” ฮานามินะที่กลัวว่าลูกหมาน้อยของตนจะโกหกไม่เนียนเอ่ยแทรกขึ้นมา
“อื้อ...” เซโตะพยักหน้ารับเป็นเชิงว่าเข้าใจ “...งั้นช่างเถอะ...แล้วนายจะทำไงกับหมอนี่ตอนเรียนน่ะฮานามินะ? ฉันว่านายพาหมอนี่ไปนั่งเรียนด้วยไม่ได้แน่”
“ก็ให้อยู่แถวๆ นี้แหละ” ฮานามิยะเองก็ไม่คิดจะเอาฟุริฮาตะไปนั่งเรียนกับตนหรอก...เขาไม่คิดว่าจิ้งจอกที่อยู่ในป่าเสียส่วนใหญ่แบบนี้จะเรียนหนังสือได้หรอก ถ้าจะเรียนจริงๆ คงต้องติวเรื่องต่างๆ ให้หมอนี่ก่อนล่ะ
“ไม่กลัวโดนอาจารย์ว่าหรือไง?” เซโตะเดาได้เลยว่าถ้าอาจารย์มาเจอคนนอกในโรงเรียนเข้าคงเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร
“แล้วคิดว่าฉันหาทางแก้ต่างไม่ได้?” ฮานามิยะถามกลับ
“ไม่...” ...ถ้าอย่างนายหาทางเอาตัวรอดกับเรื่องแค่นี้ไม่ได้คงตลกพิลึกเลย
“เพราะงั้นไม่ต้องห่วง ฉันหาทางรอดได้น่า...ไปเถอะฟุริ...” ฮานามิยะเรียกลูกหมาของตนพลางก้าวเท้ายาวๆ ไปทางห้องเปลี่ยนชุดของชมรม
“อ่ะ! ครับ!” ฟุริฮาตะวิ่งตามหลังคนผมดำไปโดยไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาอย่างงงๆ เลยแม้แต่น้อย ฮานามิยะเองก็ใช่ว่าไม่รู้สึกถึงสายตาที่มองมาแต่ก็เมินไปเสียทั้งอย่างนั้นแล้วพาฟุริฮาตะไปยังห้องเปลี่ยนชุดสำหรับเหล่าตัวจริงในชมรมพร้อมปิดล็อกประตูเอาไว้กันใครเปิดพรวดเขามา
“นายอยู่ที่นี่นะ...อย่าไปไหนจนกว่าฉันจะบอกล่ะ” ฮานามิยะเอ่ยพลางเปลี่ยนชุดตัวเองไปด้วย “ถ้าให้ดีหาทางแอบไม่ให้ใครมาเจอด้วยก็ดี”
“ครับ” ฟุริฮาตะพยักหน้ารับก่อนที่จะมีเสียงดังปุ้งดังขึ้น เรียกความสนใจของฮานามิยะให้หันกลับไปมองและ...ก็พบว่าจุดที่ฟุริฮาตะยืนอยู่เมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยลูกหมาชิวาว่าสีน้ำตาลที่คุ้นตาดี
“...นายกลับร่างเป็นลูกหมาได้ด้วย?” ฮานามิยะถามอย่างเอ๋อๆ
“แน่สิครับ” ฟุริฮาตะในร่างหมาน้อยตอบเหมือนกวนนิดๆ ...ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นพูดฮานามิยะคงคิดว่าอีกฝ่ายกำลังกวนตนเล่น ทว่าพอเป็นหมาน้อยที่แสนซื่อบื้อนี้แล้วคำพูดเมื่อครู่คงไม่ได้ตั้งใจที่จะกวนตนเป็นแน่
“พูดได้อีกแหน่ะ...” ดวงตาสีน้ำตาลเทากรอกไปมา “...เฮ้อ เอาเถอะ...เอาเป็นว่าเป็นเด็กดี จนกว่าฉันจะมารับล่ะและห้ามเผลอพูดในร่างนี้ล่ะ”
“โฮ่ง!” ฟุริฮาตะเห่ารับเป็นเชิงว่าเข้าใจ
“ดีมาก...งั้นฉันไปเรียนก่อนล่ะ” ฮานามิยะกระตุกยิ้มอย่างพอใจก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องไปในที่สุด
...เออ...นี่มันบ้าอะไรฟะ?...
ความคิดอันงุนงงปนหงุดหงิดลอยไปมาภายในหัวของเด็กหนุ่มคิ้วหนาอย่างไม่มีท่าทีจะหยุดพลางมองคนผมม่วงเทาที่แทบจะขี่หลังลูกหมาสีน้ำตาลของตนอยู่ร่อมร่อแล้ว ส่วนจากเหตุที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ไม่มีอะไรมาก แค่...ตอนเลิกเรียนหลังจากที่ฮานามยะไปรับฟุริฮาตะที่ห้องเปลี่ยนชุดและให้คืนร่างมนุษย์ดังเดิม เขาก็พาฟุริฮาตะมาดูการซ้อมแบบในยามเช้า แต่พอซ้อมเสร็จไม่รู้ด้วยเหตุอันใดเหล่าตัวจริงทีมบาสคิริซากิไดอิจิถึงสามัคคีกันมาเกาะแกะฟุริฮาตะราวกับกำลังแกล้งฮานามิยะเล่นแบบนี้เสียได้..
...ซึ่งแก่นนำในการแกล้งฮานามิยะเช่นนี้คงไม่พ้นนายฮาระ คาสึยะเจ้าเก่ารายเดิมนั้นแหละ
...กวนกันแบบนี้...พรุ่งนี้ให้ฝึกเพิ่มสักสี่ห้าเท่าดีไหมเนี่ย?...
“ฮานามิยะ~~~ อย่าทำหน้ามุ่ยสิ~~~ เดี๋ยวแก่เร็วนะ~~~” ฮาระลากเสียงยาวแบบกวนๆ ออกมาขัดความคิดอาฆาต (?) ของกัปตันทีมตนราวกับรู้ทัน
“งั้นนายก็เลิกเกาะฟุริสักที...ไม่กลัวฮิโรชิหึงหรือไง?” ฮานามิยะสวนกลับด้วยหน้าตายสนิก
“ซากิไม่หึงหรอกน่าาาาา” ฮาระชูนิ้วอย่างมั่นใจ
“แน่ใจ?” ยามาซากิถามกลับด้วยท่าทีเล่นๆ คล้ายว่าอยากแกล้งฮาระเล่น
“ว้าๆ อย่าพูดงั้นสิซากิ...รู้สึกผิดอ่ะ” ฮาระลอย (?) จากหลังฟุริฮาตะไปยังยามาซากิซึ่งเป็นคนรักตนแทน
“ช่วยไปจีบกันไกลๆ ได้ไหมเนี่ย?” ฮานามิยะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ถ้าที่ให้ไปไกลๆ หมายถึงฮาระคนเดียวล่ะก็ได้เลย” ฟุรุฮาชิเอ่ยพร้อมยกเท้าเตรียมถีบใครบางคนเมื่อมีโอกาส
“ไม่กัดฉันสักครั้งจะตายไหมฟุรุฮาชิ?” ฮาระแยกเขี้ยวใส่คนหน้าตาย
“ไม่ตาย และจะไม่จนกว่าจะแย่งจากนายมาได้” ฟุรุฮาชิเหล่มองคนผมน้ำตาลส้มเป็นเชิงบอกว่า...ไอ้ที่ตนอยากแย่งมาหมายถึงใคร
“งั้นนายคงกลายเป็นตาแก่พันปีแน่ เพราะเรื่องนั้นไม่มีทางล่ะ” ฮาระแล่บลิ้นใส่
“อย่าทะเลาะกันสิครับ” ฟุริฮาตะมองคนสองคนที่กำลังจะทะเลาะกันแบบไม่แคร์สายตาชาวบ้านพร้อมคิดหาวิธีห้ามทั้งสองคน
“ไม่ต้องห้ามหรอกน่า” ฮานามิยะตบบ่าฟุริฮาตะเล็กน้อยเพื่อดึงความสนใจของหมาน้อยออกจากลูกทีมของตนทั้งสอง
“ใช่...” เซโตะเอ่ยเสริม “...ว่าแต่...เยี่ยมชมโรงเรียนมาวันหนึ่งแล้วเนี่ย เกิดสนใจเรียนที่นี่ไหม?”
“เออ...ก็สนครับ...” ฟุริฮาตะที่ไม่รู้จะตอบยังไงก็เออออตามไป
“ถ้าสนให้ฉันช่วยติวสอบแทรกชั้นไหม?” เซโตะเสนอตัวเองพลางเหล่มองกัปตันทีมตนที่เริ่มกระตุกยิ้มเหี้ยมด้วยความรู้สึกขำๆ นิดๆ ...ไอ้การแกล้งรายนี่สนุกดีแฮะ
“ไม่ต้องเลย แต่ติวฉันติวให้หมอนี่ได้” ฮานามิยะเอ่ยปฏิเสธก่อนที่ฟุริฮาตะจะได้ทันเอ่ยตอบอะไรกลับไป
“ติวหลายๆ คนดีกว่านะ~~~” เซโตะทำเสียงกวนๆ ด้วยความอยากแกล้งฮานามิยะที่เพิ่มทวี “ยิ่งสอบแทรกชั้นระดับสูงเท่าไหร่ยิ่งยากนะ...แล้วนายอายุเท่าไหร่เนี่ย?”
“เออ...” ฟุริฮาตะพยายามคิดคำนวนอายุของตน เนื่องจากอายุจริงของเผ่าตนกับมนุษย์นั้นต่างกันเลยต้องมาตีความอายุของตัวเองในร่างมนุษย์อีกที “...ราวๆ สิบห้าสิบหกครับ”
“อื้อ...ปีหนึ่งสินะ? แบบนี้น่าจะติวง่ายหน่อย” เซโตะเอ่ย
“ฉันว่าติวใครก็ง่ายหมดแหละ ถ้าไม่ใช่ติวให้ไอ้คาสึยะมันเนี่ย” ฮานามิยะรีบแยกตัวฟุริฮาตะให้ออกห่างเซโตะมากที่สุด
“ไหงว่างั้นล่ะ!?” ฮาระที่ได้ยินเสียงนินทาตนก็โวยกลับทันที
“ก็นายนอกจากไม่ฟังแล้วยังเถียงนี่หว่า” ฮานามิยะสวนกลับในแบบที่เล่นซะฮาระเถียงไม่ออก
“สรุป...หมอนี่จะมาสอบแทรกที่โรงเรียนเราดิ?” ยามาซากิมองคนรักตนที่บ่นอุบอิบอย่างเจ็บใจที่เถียงอะไรฮานามิยะกลับไม่ได้เล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยถามกับผู้เป็นกัปตันทีมตน
“อาจจะ” ฮานามิยะยักไหล่น้อยๆ ก่อนที่จะสะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงคล้ายวัตถุหนักๆ ตกกระแทกพื้นและนั้นทำให้เจ้าตัวหันไปมองยังต้นเสียง ภาพที่ปรากฏเข้าสู่สายตาทำให้สมองของเด็กหนุ่มหยุดไปชั่วขณะนะกับภาพที่...มีหญิงสาวผมดำคนหนึ่งสู้กับคนจำนวมากอยู่ โดยที่ทุกหมัดทุกตีนของสาวเจ้านั้นล้วนส่งใครสักคนไปหมอบกับพื้นได้ในพริบตา เท่านั้นไม่พอสาวเจ้าคนนั้นดันเป็นคนที่ฮานามิยะเองก็รู้จักด้วยสิ “ฮิโรชิ...นั้นพี่สาวนายไม่ใช่เหรอ?”
“อา...ใช่...” ยามาซากิคุมขมับเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าใครคือต้นเหตุของเสียงเมื่อครู่ “...ฉันไปห้ามก่อนนะ ฉันกวนพี่ฉันฆ่าคนตายชอบกล...พวกนายกลับบ้านดีๆ ล่ะ”
“ฉันช่วยด้วยนะซากิ~~~” ฮาระวิ่งตามคนผมน้ำตาลส้มที่รีบไปห้ามพี่สาวตัวเองอย่างเริงร่า
“ฉันด้วย...” ฟุรุฮาชิเองก็ตามยามาซากิไปอีกคน ทิ้งให้เด็กหนุ่มทีมบาสสองลูกหมาในร่างคนอีกหนึ่งเอาไว้
“ดูพยายามเอาคะแนนจากว่าที่พี่สะใภ้กันเยอะดีเนอะ” เซโตะพูดอย่างติดตลกนิดๆ
“ฉันก็ว่างั้น...” ฮานามิยะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย “...เอาเป็นว่าฉันก็กลับเลยดีกว่า...ส่วนไอ้เรื่องติวหมอนี่เดียวฉันจัดการเอง”
“อื้อ ก็ได้” เซโตะที่แกล้งฮานามิยะจนพอใจแล้วหรืออย่างไรไม่ทราบขานรับ ทางฮานามิยะเมื่อได้รับคำตอบก็รีบลากฟุริฮาตะกลับหอพักตัวเองทันที
เมื่อกลับมาถึงห้องฮานามิยะก็รีบปิดล็อกประตูแล้วเดินไปทิ้งตัวที่บนเตียงของตนเองอย่างเหนื่อยอ่อน
“ให้ตายสิ...ไหงนายไปตอบเคนทาโร่มันแบบนั้นเนี่ย? ได้เรื่องเลย...” ...ถ้าเกิดบอกไปว่าไม่สนเซโตะคงไม่ถามอะไรเพิ่มเติมแท้ๆ
“ขอโทษครับ...” ฟริาตะทำหน้าหง่อย...ดูท่าเขาจะสร้างความลำบากให้อีกฝ่ายแล้วสิ
“เฮ้อ ช่างมันเถอะ” เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าของอีกฝ่ายฮานามิยะก็เลือกที่จะบอกปัดๆ ไปเช่นนี้ “แล้วนี่นาย...อ่อนกว่าฉันแค่ปีเดียวจริงๆ ดิ?”
“เปล่าครับ ที่จริงผมอายุมากกว่าคุณแต่ที่ผมบอกไปเป็นอายุเมื่อตีค่าเป็นอายุมนุษย์แล้วครับ” ฟุริฮาตะตอบ
“หื้อ? นายแก่กว่าฉันเหรอ?” ฮานามิยะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย...ที่จริงก็เดาไว้แล้วว่าจิ้งจอกจริงๆ คงไม่น่าจะอายุเท่านี้จริงๆ จากตำนานต่างๆ ที่เคยได้ยินมา “แล้ว...ถ้านับตามจริงนายอายุเท่าไหร่ล่ะ?”
“ร้อยห้าสิบห้าปีครับ” ฟุริฮาตะเอ่ยอย่างใสซื่อ
“...” ฮานามิยะถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้คำตอบ “ไม่ยักเหมือน”
...อายุตั้งเยอะแต่ทำไมซื่อบื้อแบบนี้ฟะ!? หรือผ่าเหล่าจนหาความเป็นจิ้งจอกไม่เจอเนี่ย!?...
“คงงั้นแหละครับ ในเผ่าผมก็โดนบอกแบบนี้บอกๆ” ฟุริฮาตะหัวเราะออกมาเบาๆ ...ว่าตามจริงคนในเผ่าเขาส่วนใหญ่บอกว่าเขาเหมือนลูกจิ้งจอกแรกเกิดด้วยซ้ำ
“สมควรล่ะ” ฮานามิยะไม่แปลกใจเลยที่อีกฝ่ายโดนว่าเช่นนั้น “ฉันว่าฉันควรอัพสมองนายให้เท่าตามอายุหน่อยแฮะ”
“เอ๊ะ?” ฟุริฮาตะเอียงคอน้อยๆ กับคำพูดของเด็กหนุ่ม
“ไม่ต้องมาเอ๊ะเลย...นายน่ะเชื่อใจคนง่ายไปนะ แถมความรู้พื้นฐานถ้าให้เดานายคงไม่มีเลยแหง” ที่จริงฮานามิยะตงิดๆ ใจตั้งแต่เช้าเรื่องที่รายนี้เชื่อใจคนอื่นง่ายมากจนยอมเล่าเรื่องทั้งหมดมาแบบไม่ติดใจอะไรกับตนแล้วล่ะ แต่เนื่องจากเมื่อเช้าสมองยังไม่ทำงานดีฮานามิยะเลยมาบอกมันตอนนี้แทน
“แฮะๆ” ฟุริฮาตะหัวเราะแห้งๆ อย่างหมดข้อโต้เถียง
“ไม่ต้องแฮะๆ เลย ตอนนี้นายต้องหาความรู้ใส่สมองสักนิดนะ” ฮานามิยะลุกขึ้นแล้วไปรื้อหาพวกหนังสือพิมพ์หรืออะไรสักอย่างที่พอทำให้คนผมน้ำตาลเข้าใจโลกยุคนี้ขึ้นมาบ้าง โดยที่ขณะรื้อๆ อยู่นั้นดวงตาสีน้ำตาลเทาก็แอบเหล่มองคนผมน้ำตาลที่นั่งเอ๋ออยู่เป็นระยะๆ “เฮ้อ...ตกลงนายทำอะไรกับฉันกันแน่เนี่ย?”
...ฉันถึงได้...ห่วงนายขนาดนี้...
วันคืนผ่านไปนับจากวันที่นายฮานามิยะ มาโคโตะเก็บจิ้งจอกน้อยนามฟุริฮาตะ โคกิมาด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นลูกชิวาว่า ฮานามิยะก็ทำการติวฟุริฮาตะทุกคืนเสียจนสอบแทรกเข้าชั้นโรงเรียนตนได้จริงๆ นอกจากนี้ยังลากฟุริฮาตะเข้ามาเป็นผู้จัดการทีมอีกด้วย...ส่วนสาเหตุที่ฮานามิยะเลือกให้ฟุริฮาตะเป็นผู้จัดการแทนผู้เล่น ก็เนื่องจากการเล่นของทีมตนอันตรายเกินกว่าพวกใสซื้อจนซื่อบื้อจะเล่นด้วยได้...
...และในเรื่องการเข้ากับคนอื่น ฟุริฮาตะนั้นก็สามารถเข้ากับสภาพแวคล้อมใหม่ได้ดีเกินคาดถึงจะมีป๋ำๆ เป๋อๆ ในเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ บ้างก็ตามเถอะ
“ฟุริ~ ไปเที่ยวกัน~” นายฮาระ คาสึยะหนึ่งในผู้เล่นตัวจริงของทีมบาสคิริซากิซึ่งเริ่มสนิกกับคนผมน้ำตาลเนื่องจากอีกฝ่ายตัวติดกับกัปตันทีมตนแทบจะตลอดเวลาลากเสียงยาวอย่างร่าเริง
“อย่าดีกว่าฮาระซัง...พรุ่งนี้มีซ้อมเช้าไม่เหรอครับ?” ฟุริฮาตะเอ่ยปฏิเสธไปพลางเหล่มองคนคิ้วหนาที่เริ่มทำหน้ายักษ์เล็กน้อย
“แถมก่อนจะคิดเรื่องเล่นคิดเรื่องสอบกันก่อนดีไหมห๊า?” ฮานามิยะเอาฝ่ามือสับลงกลางหัวสีม่วงเทาอย่างแรง
“อูย~ เจ็บนะ~~~ และอย่าพูดเรื่องชวนเครียดแบบนั้นสิฮานามิยะ~~~” ฮาระรีบแว่บไปหลบหลังฟุริฮาตะก่อนที่จะโดนเขกหัวอีกรอบ
“ใช่...อย่าพูดถึงมันเลย...” ฟุรุฮาชิกระดึบไปหลบหลังฟุริฮาตะอีกคน เช่นเดียวกับยามาซากิที่มีปัญหาเรื่องการสอบเหมือนกัน
“ไม่ต้องเลยพวกแก อย่าหวังให้ฟุริช่วยเลย” ฮานามิยะรีบเดินไปจัดการถีบฮาระและฟุรุฮาชิที่ไปแอบหลังคนผมน้ำตาลทันที
“โอ๊ย! ไหงทีซากิไม่เห็นว่าอะไรเลยอ่ะ!?” ฮาระร้องโอดครวญ
“ก็ฮิโรชิดูน่าไว้ใจกว่าพวกนายนี่หว่า” ฮานามิยะแยกเขี้ยวใส่ “ไม่ต้องพูดมากเลย ยอมมาติวกันซะดีๆ ห้ามคิดหนีกลับบ้านด้วย”
“หว่า รู้ทันซะได้” ฮาระทำหน้าเซ็งๆ ด้วยความที่อีกฝ่ายรู้ทันแผนที่ตนจะหนีการติวที่กัปตันทีมตนบังคับให้ไปติวที่หอพักอีกฝ่ายทุกวันหลังเลิกซ้อมจนถึงกว่าจะถึงวันสอบ
“เฮ้อ นายนี่น้า...นี่ซากิ นายคิดผิดหรือเปล่าที่ยอมคบกับหมอนี่เนี่ย?” เซโตะที่หาวหวอดๆ มองฮาระอย่างปลงๆ ก่อนที่จะหันไปถามความเห็นคนผมน้ำตาลส้ม
“คงงั้น” ยามาซากิที่เป็นคนเดียวที่แอบหลีงฟุริฮาตะแล้วไม่โดนถีบ (เพราะเคะเหมือนกัน... // s , ไม่โผล่มาแกล้งสักครั้งก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ! // ยามาซากิ) ตอบ
“ไม่งั้นล่ะ คิดผิดแน่นอน” ฟุรุฮาชิเอ่ยหน้าตายสนิกดังเดิม
“อย่าว่ากันสิ!” ฮาระรีบไปอ้อนเมีย (?) พร้อมกับส่งสายตาอาฆาตไปให้คนที่คิดแย่งแฟนตนเล็กน้อย
“...สักวันฉันได้บ้าตามพวกนี้จริงๆ แน่” ฮานามิยะคุมขมับอย่างปวดจิตกับลูกทีมตนแต่ล่ะคน
“ไม่หรอกครับ คงไม่ติดมาหรอก” ฟุริฮาตะเอ่ยปลอบ
“ถ้าเป็นงั้นก็ดี” ฮานามิยะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เออ...ขอโทษนะครับ” ระหว่างที่เหล่าคนในทีมบาสคิริซากิไดอิจิกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน (?) ก็มีเสียงทุ้มๆ ของใครสักคนดังขึ้นมา
“หื้อ / ครับ?” เด็กหนุ่มทั้งหกหันไปยังต้นเสียงและ.,,พบว่าผู้ที่เรียกรั้งตนไว้เป็นชายหนุ่มท่าทางน่าสงสัยคนหนึ่ง
“คือผม...มีเรื่องคุยกับคนคนนี้น่ะครับ ขอยืมตัวสักครู่ได้ไหมครับ?” ชายหนุ่มชี้ยังคงผมน้ำตาลอย่างเจาะจง
“ขอโทษครับ แต่คงไม่ได้หรอก” ฮานามิยะเอาตัวมากั้นระหว่างชายหนุ่มกับคนผมน้ำตาล...ที่แสดงหน้าเอ๋อออกมาสุดฤทธิ์ บ่งบอกว่าไม่รู้จักอีกฝ่าย
“ใช่ๆ ไม่ให้หรอก” ฮาระเองก็เอาตัวมากั้นฟุริฮาตะไม่ต่างกัน
“ดูเหมือนคุณจะไม่ได้มาดีสักเท่าไหร่นะ” ยามาซากิหรี่ตามองชายหนุ่มอย่างไม่ไว้ใจ
“...” ทางฟุรุฮาชิไม่ได้พูดอะไรแต่ส่งสีหน้าน่ากลัวออกมา (ซึ่งแน่นอนว่าดูไม่ต่างจากเดิมแม้แต่น้อย)
“หว่า แย่จัง...กะคุยด้วยดีๆ แท้ๆ ...” ชายหนุ่มเกาหัวตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะ...หยิบบางอย่างมายิงใส่กลุ่มเด็กหนุ่มที่ยืนบังตัวเด็กหนุ่มผมน้ำตาลอยู่ จนทำให้ทุกคนเผลอก้าวหลบโดยสัญชาตญาญและชายหนุ่มใช้จังหวะนี้พุ่งเข้าไปกระชากตัวคนผมน้ำตาลออกมา “...มานี่!!!”
“โอ๊ย!” ฟุริฮาตะหลุดร้องออกมาด้วยความเจ็บกับแรงที่บีบบนข้อมือต้น
“ฟุริ!!!” ฮานามิยะหลุดร้องออกมาเล่นน้อยเมื่อเห็นหมาน้อยของตนโดนพาตัวไป สองขาก็หมายจะวิ่งเข้าไปช่วยโดยไม่ต้องผ่านสมองสักนิดทว่ากลับต้องชะงักไปเมื่ออีกฝ่ายเล็งปืนขู่มาที่ตน “ทำอะไรคนของฉันวะไอ้เวร!?”
“คนของนาย? หึ! อย่าพูดให้ขำเลย...หมอนี่ไม่ใช่คนด้วยซ้ำ!” ชายหนุ่มแค่นเสียงออกมา มือที่จับข้อมือฟุริฮาตะก็พลันบีบแน่นขึ้นเสียจนคนผมน้ำตาลหลุดร้องออกมาอีกรอบ
...หมอนี่..รู้ว่าฟุริเป็นอะไรงั้นเหรอ!?...
ฮานามิยะเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจกับการที่มีคนรู้ความลับข้อนี้ แต่ก็ยังยิ้มยียวนใส่ชายหนุ่ม “แต่ฉันว่าที่ไม่เหมือนคนคือแกมากกว่า”
“ปากเสีย! ไอ้เด็กนี่!” ชายหนุ่มตะคอกใส่กับคำพูดที่เหมือนจะจี้จุดชาวบ้านได้ดีเหลือหลาย และนั่น...เป็นการเปิดช่องให้เหล่าเด็กหนุ่มทั้งหลายชิงตัวฟุริฮาตะกลับมาได้อย่างรวดเร็วด้วยการสามัคคีส่งลูกถีบใส่คนถือปืนอย่างพร้อมเพรียง สมกับเป็นคนของทีมบาสที่ได้ชื่อว่านอกคอกที่สุดในวงการ
“หนีเร็ว!!!” พอได้ตัวคนของตนคืนฮานามิยะก็ตะโกนลั่นพร้อมกับใส่เกียร์หมาวิ่งกันยกแก๊งค์ “แยกย้ายไปคนทาง! พยายามทำให้หมอนั่นไขว้เขว่ให้ได้!”
“รับทราบ!” เด็กหนุ่มทั้งหลายขานรับพร้อมแยกย้ายตามคำสั่ง จนในยามนี้เหลือคนที่หนีไปทางเดียวกันสองคนคือตัวฮานามิยะกับฟุริฮาตะเท่านั้น
“ฮ...ฮานามิยะซัง...” หลังจากหนีมาได้สักพักฟุริฮาตะก็เอ่ยเสียงสั่นขึ้นมา “...ทุกคนจะไม่เป็นไรเหรอครับ?”
“ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไร...” ฮานามิยะเอ่ยปลอบ “...แล้วเจ้านั้นมันอะไรกัน?”
“พวกนักล่าครับ” ฟุริฮาตะตอบ
“นักล่า?” ฮานามิยะทวนอย่างไม่เข้าใจนัก
“ครับ คล้ายๆ พวกล่าสัตว์ป่าไปขายน่ะครับ แต่ในกรณีนี้จะล่าพวกที่ไม่ใช่มนุษย์หรือสัตว์แบบปกติน่ะครับ” ฟุริฮาตะอธิบาย
“สรุปคือล่าของแปลก” ฮานามิยะสรุปง่ายๆ สั้นๆ “ที่พวกเผ่านายมีกฏหมายหรืออะไรจัดการพวกนี่ไหมเนี่ย?”
“ก็มีครับ...เหมือนตำรวจจับคนร้ายของที่นี่แหละครับ” ฟุริฮาตะเอ่ย
“งั้นอยู่ทางนี้หรือทางนู้นก็เหมือนกันสินะ?” ฮานามิยะแค่นเสียงในลำคอเบาๆ “เอาไงต่อดี?”
“ไม่ทราบครับ” ฟุริฮาตะส่ายหน้าวืด “รู้แค่ว่า...คนคนนั้นใกล้เข้ามาแล้วครับ”
“ชิ! ถ้าหนีอย่างเดียวมีโดนจับได้แน่!” ฮานามิยะกวาดตาไปรอบๆ เพื่อคิดหาทางหนีทีไล่...ทว่าเมื่อคำนวนแล้วทางหนีเหล่านั้นก็ไม่น่าจะหนีได้นานนักทั้งนั้น “เอาไงดีวะ!?”
...ถ้าไปหาตำรวจก็หาข้ออ้างที่ฟุริไม่มีเอกสารต่างๆ ไม่ได้เหมือนที่โรงเรียนด้วย...ทำไงดีวะ!?...
“นี่ๆ ...ให้ช่วยไหม?” ระหว่างที่ฮานามิยะกำลังคลั่ง (?) อยู่นั้นก็มีเสียงทุ้มๆ ของใครสักคนดังขึ้น
“ก็ดี...หื้อ?” ฮานามิยะที่เผลอตอบรับเสียงปริศนาเมื่อครู่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกได้ว่าเวลานี้ไม่น่ามีเสียงใครมาตอบตนเช่นนี้ได้นอกจากหมาน้อยสีน้ำตาลของตน ดวงตาสีน้ำตาลอมเทาตวัดไปยังต้นเสียงและพบกับ...ชายหนุ่มผมน้ำตาลคนหนึ่งกำลังยืนส่งยิ้มยียวนกวนประสาทมาให้
“พ...” ฟุริฮาตะที่หันไปมองยังจุดเดียวกับคนคิ้วหนา (เลิกเรียกแบบนี้สักตอนเถอะ...ขอล่ะ // ฮานามิยะ) ถึงกับอ้าปากพะงาบๆ อย่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น “...พ...พี่?”
“ห๊า!? พี่เหรอ!?” ฮานามิยะหลุดร้องลั่นเมื่อได้ยินคำที่อีกฝ่ายใช้เรียกชายหนุ่ม “งั้นหมอนี่ก็จิ้งจอกเหมือนกันดิ!?”
“ใช่น่ะสิ แล้วจะให้เป็นทานุกิหรือไง?” ชายหนุ่มยักคิ้วกวนๆ ให้
“...” ...กวนชิบ! พี่น้องกันแน่เหรอฟะ!?
“แต่ถามจริง...ไปเจอพวกนักล่าได้ไงเนี่ยโคกิ? ความซวยดึงมาหาอีกหรือไง?” ชายหนุ่มที่ไม่รู้ถึงคำนินทาในใจฮานามิยะหรือรู้แต่จงใจเมินไม่ทราบหันไปถามผู้เป็นน้องตน
“คงงั้นแหละครับ” ฟุริฮาตะยักไหล่เป็นเชิงว่าตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่านักล่ามาเจอตนได้ไง “แล้วพี่รู้ได้ไงครับว่าผมอยู่ที่นี่?”
“เดา” ชายหนุ่มตอบง่ายๆ สั้นๆ “ที่จริงพี่เดินหานายมาตั้งแต่นายโดนคนอุ้มมาแล้วล่ะ”
“แล้วไม่คิดช่วยกันหน่อยเหรอครับ?” ฟุริฮาตะถามกลับด้วยความที่รู้ว่า...คำว่าเดากับเดินหาตั้งแต่แรกนั้นหมายความว่าพี่ตนนั้นหาตัวของตนเจอตั้งนานแล้วและแอบตามาพักใหญ่ๆ แล้วด้วย
“ก็เห็นนายอยู่สบายดีนิ อีกอย่างตอนหมอนี่เก็บนายไปก็ดูไม่น่ามีอะไรเลยปล่อยๆ ไป” ชายหนุ่มชายหนุ่มชี้ที่ฮานามิยะอย่างเจาะจง
“แบบนี้แสดงว่า...ตามมาตลอดเหรอครับ?” กัปตันทีมบาสคิริซากิที่พอจับประเด็นที่ชายหนุ่มพูดได้เล็กน้อยถาม
“ถูกเผง ที่จริงตอนไอ้บ้านั้นทำร้ายโคกิกะหาอะไรปาหัวเหมือนกัน แต่พวกนายจัดการก่อนน่ะ” ชายหนุ่มเกาหัวน้อยๆ ก่อนที่จะสะดุ้งโหยง...ที่จริงสะดุ้งโหยงกันทั้งสามคนนั้นแหละเมื่อได้ยินเสียงร้องโหยหวน (?) ดังแว่วมา “หื้อ? อะไร? เสียงยังกับไอ้เมื่อกี้เลย?”
“นั้นสิครับ” ฟุริฮาตะทำหน้เอ๋ออย่างไม่เข้าใจ...เพราะเสียงเมื่อครู่เจ้าตัวมั่นใจว่าเป็นเสียงของนักล่าที่มาล่าตนเมื่อครู่แน่
“เดี๋ยวนะ...แถวนี้มัน...” ฮานามิยะที่รู้สึกเอ๊ะใจที่คนที่ไล่ตามตนมาอยู่ๆ ร้องขึ้นมาเหมือนโดนเชือดหันไปมองรอบๆ ดวงหน้าหล่อเริ่มซีดลงเมื่อสังเกตว่าบริเวณที่ตนวิ่งหนีมานี่คือที่ใด “...นี่เราเผลอวิ่งหนีมาบริเวณนี้เหรอเนี่ย!?”
“เอ๊ะ?” ฟุริฮาตะหลุดร้องออกมาอย่างงงๆ ก่อนที่จะสังเกตรอบๆ “อา...ที่ที่เมื่อก่อนเราเห็นพี่สาวของยามาซากิซังตื้บคนสินะ?”
“ถูก และถ้าให้เดาฮิโรชิคงไปตามพี่ตัวเองมาแหง” ฮานามิยะคุมขมับ และในขณะนั้น...
“ไอ้ดอกไม้เน่าอยู่ไหมโว้ย!!! นายกับฟุริเลิกหลบแล้วออกมาได้แล้ว! จัดการเรียบร้อยแล้ว!!!” ...ก็มีเสียงหวานๆ ดังขึ้นในเวลาต่อมา
“ตะโกนบอกดีๆ ก็ได้ครับ! คานาเดะซัง!” ฮานามิยะตะโกนกลับไปเป็นเชิงบอกว่าตนยังอยู่ครบสามสิบสองดี
“ฉันจะตะโกนแบบนี้จะทำไมมิทราบ?” เสียงคานาเดะดังขึ้นอีกระรอบพร้อมกับ...ร่างของสาวเจ้าผมดำที่โผล่มาจากซอยเล็กๆ โดยในมือถือเชือกที่มัดชายหนุ่มเอาไวเราวดักแดลากมาตามทางและที่ด้านหลังหญิงสาวมีเด็กหนุ่มอีกสี่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีเดินตา มาต้อยๆ “แล้วไอ้นั้นใครล่ะ?”
“เออ...พี่ผมเองครับ” ฟุริฮาตะส่งยิ้มแห้งๆ ให้หญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นพี่สาวของคนผมน้ำตาลส้มที่เป็นหนึ่งในลูกทีมของฮานามิยะ
“สวัสดี ฉันฟุริฮาตะ เคียวเป็นพี่ของโคกิน่ะ...พอดีสองคนนี้วิ่งมาขอความช่วยเหลือล่ะนะ...” เคียวเอ่ยแนะนำตัวด้วยท่าทีกวนๆ ตามประสา “...แต่น่าเสียดายที่โดนอัดไปแล้วแฮะ...กะฟาดสักทีสองทีข้อหารังแกน้องฉันอยู่”
“ไอ้ฟาดของพี่นี่มีหวังได้ไปเกิดใหม่สิครับ!” ฟุริฮาตะโวยใส่พูดเป็นพี่ตน
“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า” เคียวเอ่ย
“มากกว่านั้นสิครับ ยิ่งแรงเยอะๆ อยู่” ฟุริฮาตะเถียงกลับอย่างที่นานๆ ทีจะได้เห็น ทำให้เหล่าทีมเด็กหนุ่มจากทีมบาสคิริซากิลงมติว่า...นายฟุริฮาตะ เคียวเป็นตัวอันตรายขนานแท้แน่ มิเช่นนั้นเด็กดีว่าง่ายแบบนี้คงไม่มีทางแย้งกลับแบบนี้แน่
“นิดหน่อยน่า” เคียวหัวเราะร่า และด้วยความรู้สึกหมั่นไส้หรืออะไรก็มิทราบ คานาเดะจึงถีบนายเคียวไปเสียทีหนึ่ง ชายหนุ่มเองเมื่อถูกถีบก็คว้าเสาเพื่อยั้งตัวไม่ให้ตนล้มหน้าทิ่มและ...
กร๊อบ...
...บีบเสาหักครึ่งไปเลยทีเดียว
“เอาอีกแล้วนะพี่” ฟุริฮาตะเอ่ยเสียงดุเล็กน้อย
“อุ๊ย...ไม่ได้ตั้งใจอ่ะ...” เคียวหง่อยเมื่อโดนดุ พร้อมคาดโทษไปยังสาวเจ้าที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมไม่รู้สึกอะไรกับเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างเช่นหนุ่มคนอื่นที่สติบินไปแล้วเล็กน้อย และแน่นอนว่าคานาเดะเมินสายตาของอีกฝ่ายไป
“ก็เห็นพูดแบบนี้ทุกทีนี่ครับ...ใครมีที่ไหนแนะนำให้พี่ไปฝึกควบคุมแรงไหมครับเนี่ย? น่าเอาไปฝึกจริง” ฟุริฮาตะถามขึ้นลอยๆ คล้ายระบายเครียดเล่น ทว่า...
“ฉันมี...สนไหม?” ...หญิงสาวเพียงคนเดียวใน ณ ที่นี้กลับเช่นขึ้นมาเช่นนี้ “เอาระดับเดียวกับฉันด้วย...รับรองถึงกึ๋นแน่”
“พี่...อย่าเลย ถ้าไม่อึดจริงเดี๋ยวตาย” ยามาซากิเมอได้ยินดังนี้ก็ดึงสติกลับเข้าร่างในทันทีโดยมีอาการเหงื่อตกนิดๆ ด้วยความที่รู้ดีว่า...ไอ้ที่พี่สาวตนพูดนั้นมันโหดหินขนาดไหน และต่อให้เมื่อครู่ที่เห็นดูเกินคนขนาดไหนก็ไม่น่ารอดอยู่ดี!
“ไม่หรอกน่า ระดับเดียวกับฉันไม่ไหวก็มีแบบโหดน้อยกว่าตั้งสองระดับ” คานาเดะยักไหล่น้อยๆ
“ฟังน่าสนุกแฮะ” เคียวเมื่อได้ยินเรื่องน่าสนุกเช่นนี้ก็ลืมเรื่องที่สาวเจ้าถีบตนเมื่อครู่เสียหมดสิ้นแล้วเข้าไปถามถึงสถานที่ฝึกดังกล่าวอย่างสนใจ
“นี่ฟุริ...” ฮานามิยะที่ดึงสติเข้าร่างได้เป็นคนต่อมาเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว
“ครับ?” ฟุริฮาตะตอบรับเป็นเชิงถาม
“ฉันว่าเตรียมสวดให้พี่นายเถอะ” ฮานามิยะเอ่ย
“เอ๊ะ?” ฟุริฮาตะหลุดร้องแบบไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อ
“ก็ที่ฝึกของคานาเดะซังเนี่ย...” ฮานามิยะยิ้มแหย้ๆ “...ต่อให้ไม่ใช่คนก็ไม่น่ารอดนะ”
“...งันเตรียมสวดเถอะครับ” จากสีหน้าของฮานามิยะ ฟุริฮาตะก็เดาได้ในทันทีเลยว่า...อยู่ในระดับนรกแตกชัวท์ ไม่งั้นไม่มีทางที่รายนี้จะแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาแน่
“ไหงพูดงั้นอ่ะ?” เคียวที่คุยกับคานาเดะเสร็จเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบและได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มทั้งสองพอดีถาม
“ลองดูเดี๋ยวก็รู้ครับ” ฮานามิยะตอบง่ายๆ สั้น...เนื่องจากไอ้เรื่องนี้เขาก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน!
“เอางั้นก็ได้” เคียวพยักหน้ารับ ก่อนที่จะหันไปคุยกับน้องตัวเองแทน “อ๋อ และก็นะ...ขอถามก่อน ตอนนี้นายอยากอยู่กับหมอนี่ต่อหริอกลับบ้านอ่ะ?”
“...” คำถามที่ดังออกจากปากชายหนุ่มผมน้ำตาล ทำให้ฮานามิยะนิ่งอึ้งยิ่งกว่าตัวคนถูกถามเสียอีก เมื่อรู้ว่าลูกหมาน้อยที่อยู่กับตนมานานพอสมควรต้องเลือกระหว่างอยู่กับตนหรือไม่ก็กลับบ้านของตัวเองไปเสีย...ว่าตามจริงถ้านับตามหลักเหตุผล การให้ฟุริฮาตะกลับบ้านกลับเผ่าตัวเองไปนั้นจะเป็นการทำให้เจ้าสีน้ำตาลนี้ปลอดภัยมากที่สุด แต่ถ้าตามใจจริงของเขา...
...เขาไม่อยากให้ฟุริไป...นั้นคือความรู้สึกของเขาตอนนี้
“ผม...” ฟุริฮาตะมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลใสเหลือบมองคนผมดำข้างกายตน “...อยากอยู่ที่นี่ต่อน่ะครับ”
“โอเค งั้นถ้างั้นเกิดมีไอ้บ้าแบบไอ้นี่มาอีกก็ติดต่อมาเบอร์นี้แล้วกัน...จะมาช่วยภายในห้านาทีเลย” เคียวที่รู้ว่าจะได้คำตอบเช่นนี้อยู่แล้วหรือเปล่าไม่รู้ ยื่นเบอร์โทรศัพท์ให้ฟุริฮาตะกับฮานามิยะอย่างละใบ ก่อนจะละไปเรียกสติเด็กหนุ่มอีกสามคนที่ปานนี้ยังไม่กลับเข้าร่างด้วยตัวเองเลย
“ฟุริ...” เมื่อเห็นนายเคียวเดินห่างออกไป ฮานามิยะก็เอ่ยเรียกคนผมน้ำตาลเบาๆ ...ถึงเขาจะโล่งใจที่ฟุริฮาตะเลือกอยู่กับตน แต่ก็ยังสงสัยในการตัดสินใจนี้อยู่ดี “...แบบนี้จะดีเหรอ?”
“ดีสิครับ...นี่เป็นความต้องการของผมเองนิ” ฟุริฮาตะหัวเราะออกมาเบาๆ พลางมองความวุ่นวายในการพยายามเรียกสติของชาวบ้านกลับเข้าร่างของนายเคียว แถมคานาเดะยังไปร่วมวงก่อความวุ่นวายอีกต่างหาก
“นั้นเหรอ” ฮานามิยะแค่นเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ พร้อมกับตัดสินใจบางอย่างในใจตน...
...เมื่อนายตัดสินใจเช่นนี้แล้ว...หลังจากนี้ต่อให้นายอยากหนีจากฉัน...
...ฉันก็ไม่มีทางยอมปล่อยนายไปแล้วนะ...ฟุริ...
End
cr. 猫野
https://www.pixiv.net/member_illust.php?mode=medium&illust_id=34837205
ความคิดเห็น